LOGINในสายตาของหลานจิ่วอวิ๋น ซูจิ่งหลงคือท่านลุงผู้แสนใจดีคืออ้อมกอดอบอุ่นแต่สิ่งที่เด็กชายไม่รู้… ว่าทุกยิ้ม ทุกคำปลอบโยน ทุกของเล่นที่ได้รับล้วนแลกมาด้วยเลือดของใครบางคนโลกของเด็กน้อยยังใสเกินกว่าจะเข้าใจว่าชายผู้เป็นเสาหลักแห่งโลกมืดผู้นี้คือปีศาจที่บดขยี้ศักดิ์ศรีของผู้คน…เพียงเพราะขนมหวานเพียงหนึ่งคำไม่ถูกปากและที่เขายังไม่รู้อีกก็คือนอกจากท่านลุงแล้ว เขายังมีท่านตา อีกคนหนึ่งผู้ที่รักเขา… ยิ่งกว่าอะไรในโลก
แม่ทัพหลานซือเหยียนบุรุษผู้เคยออกรบเพื่อรักษาแผ่นดินบัดนี้กลับกำลังวางหมาก… เพื่อทำลายตระกูลของสหายเก่าเพียงเพราะต้องการใกล้ชิดหลานชาย
ช่วงสายของวันนั้น แม่ทัพหลานซือเหยียน เดินทางมายังจวนตระกูลซ่งเป้าหมายของเขาคือการพบกับ ซ่งเจี้ยนหง ศิษย์เอกในอดีตทันทีที่ก้าวลงจากรถม้า เหล่าทหารยามหน้าจวนต่างพากันคุกเข่าทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียงไม่มีใครกล้าเฉยชา ไม่มีใครไม่รู้ว่า ชายชราผู้นี้คือเงาผู้ผลักดันให้นายกองหนุ่มในวันวานอย่างซ่งเจี้ยนหง ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในวันนี้
จะเรียกว่าเป็น อาจารย์ ก็ไม่ผิด เพราะทุกชัยชนะ ทุกกลยุทธ์ ทุกแนวทางล้วนถูกหล่อหลอมมาจากมือของแม่ทัพหลานซือเหยียนแทบทั้งสิ้นซ่งเจี้ยนหงรีบรุดออกมาต้อนรับทันทีที่ทราบข่าวใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดีและความเคารพที่ฝังลึก"ท่านอาจารย์... ข้านึกไม่ถึงเลยว่าจะได้ต้อนรับท่านที่นี่"น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจ รอยยิ้มก็จริงใจ…
หากแต่เขาหารู้ไม่ว่าแววตาของชายชราตรงหน้าในยามนี้ ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความอบอุ่นแบบในวันวานเบื้องหลังแววตาเรียบนิ่งนั้น เต็มไปด้วยเงาร้ายและแผนการที่กำลังจะฉุดเขา…ให้ตกลงไปในขุมนรกที่ไม่มีวันปีนกลับขึ้นมาได้อีกเลย
ซ่งเจี้ยนหงไม่กล้าทำตัวเฉยชาต่อผู้ที่เขาเคยยกย่องเสมือนเป็นอาจารย์ ทันทีที่ต้อนรับแม่ทัพหลานซือเหยียน เขาก็รีบพาท่านเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ด้วยความเคารพอย่างถึงที่สุดแม้จะเป็นเจ้าบ้าน แต่ในยามนี้ เขากลับมีท่าทีไม่ต่างจากศิษย์ที่กำลังรับอาจารย์เยี่ยมเยือน
"เรียนอาจารย์ เชิญด้านในขอรับ" เสียงของเขานุ่มนวลและจริงใจ ก่อนจะหันไปสั่งการเด็กรับใช้ นำชาชั้นดีที่สุดพร้อมของว่างที่เหมาะสมที่สุดกับฤดูนี้บรรยากาศในห้องโถงเต็มไปด้วยกลิ่นหอมบางของชา ความเงียบงัน และความกดดันที่เริ่มคืบคลานเข้ามาโดยไม่มีใครเอ่ยถึง
“บิดาของเจ้า...แม่ทัพซ่งไห่หยาง ไม่อยู่ที่จวนหรือ?”แม่ทัพหลานซือเหยียนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แฝงท่าทีเหมือนเพียงแค่ไถ่ถามสารทุกข์
“อาจารย์ ท่านพ่อของข้าออกเดินทางบัญชาการรบที่แดนใต้ อีกไม่นานคงหวนกลับมา” ซ่งเจี้ยนหงตอบอย่างนอบน้อม สีหน้าดูจริงใจ แต่อีกฝ่ายกลับไม่แสดงท่าทีตอบรับใด ๆ
“เฮ้อ...เดิมที ข้าหวังจะได้เจ้าเป็นบุตรเขย”แม่ทัพหลานทอดถอนใจด้วยน้ำเสียงปนเสียดาย “แต่ดูท่าฟ้าคงไม่ให้พรแก่เราสักเท่าไร”
คำพูดนั้นเหมือนแค่รำพันถึงอดีต ทว่าในใจกลับตอกย้ำถึงแผนที่เคยพังทลายลงเขาเคยผลักไสบุตรสาวคนหนึ่งที่ไร้ค่าตามสายตาของเขา ส่งให้อดีตศิษย์ผู้นี้ใช้เป็นสาวอุ่นเตียงชั่วคราว ขณะวางแผนจะยกบุตรสาวอีกคน หลานอวี้ซิน ให้แต่งแทนในภายหลัง ทว่า...นางนั้นกลับตั้งครรภ์กับชายอื่นเสียก่อน แผนทั้งหมดพังทลายอย่างหมดรูป
“ฮ่าฮ่า...ท่านอาจารย์ล้อข้าเล่นแล้ว” ซ่งเจี้ยนหงหัวเราะเบา ๆ พลางยกถ้วยชาขึ้นจิบ สีหน้าเสแสร้งดูสุภาพ ทว่าความเย็นชาที่ซ่อนอยู่ในดวงตากลับไม่อาจปิดบังได้
‘เด็กนั่น…’เขาคิดในใจเงียบ ๆ‘...คือคราบเปื้อนที่ไม่ควรมีอยู่ ข้าจะไม่ยอมให้มันมาทำลายแผนแต่งงานของข้าโดยเด็ดขาด’
เขาเผลอสนุกมากเกินไปกับสตรีที่ไม่ได้รับการยอมรับ และผลลัพธ์ที่ตามมา ก็คือเด็กคนหนึ่งซึ่งไม่ควรถือกำเนิดขึ้นเลยแต่ตอนนี้เขากำลังจะเข้าพิธีสมรสกับบุตรสาวของขุนนางใหญ่แห่งราชสำนัก เด็กคนนั้น...คือเงาที่เขาต้องกำจัดก่อนพิธีจะเริ่ม
แม่ทัพหลานซือเหยียนยกถ้วยชาขึ้นจิบ รอยยิ้มอบอุ่นผุดขึ้นบนใบหน้า ราวกับผู้ใหญ่ใจดีผู้เปี่ยมเมตตา
“ข้าได้ยินมาว่า อีกไม่นานเจ้าจะเข้าพิธีแต่งงานกับบุตรสาวของขุนนางผู้มีชื่อเสียง”เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ในฐานะอาจารย์…ข้ารู้สึกยินดีแทนเจ้าจริง ๆ”
“ขอบคุณมากขอรับ ท่านอาจารย์” ซ่งเจี้ยนหงรีบประนมมือ กล่าวตอบอย่างนอบน้อม แววตาเคารพอย่างจริงใจหลานซือเหยียนพยักหน้าเบา ๆ แล้ววางถ้วยชาลงบนจานรอง ก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นราบเรียบแต่ทิ่มแทง
“เจี้ยนหง เจ้าคิดอย่างไรกับฝีมือการบัญชาการรบของข้า?”
คำถามนั้นดูธรรมดา…แต่หากมองลึกลงไป มันคือบททดสอบที่ซ่อนอะไรบางอย่างไว้
“ท่านพ่อเคยกล่าวไว้ว่า…ท่านคือแม่ทัพผู้หาตัวจับยาก หากต้องเผชิญกันในสนามรบ คงไม่มีใครอยากเป็นศัตรูกับท่าน”เขาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แม้ในใจจะเริ่มมีร่องรอยไม่สบายใจบางอย่างไหลวาบขึ้นมาแม่ทัพหลานยิ้มบาง รับคำยกยออย่างเงียบงัน ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เจี้ยนหง…เจ้าสนใจจะออกรบเคียงข้างข้าครั้งสุดท้ายหรือไม่?” คำถามนั้นทำให้หัวใจของชายหนุ่มสะดุดเต้น
“ข้าจะถ่ายทอดทุกพิชัยสงครามที่ข้ามีให้เจ้า โดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย…ถือเสียว่าเป็นของขวัญแต่งงานที่ข้าตั้งใจจะมอบให้แก่เจ้า” ซ่งเจี้ยนหงถึงกับนิ่งไปชั่วครู่ แม้ภายนอกจะยังคงสงบนิ่ง ทว่าสิ่งที่ได้ยินกลับทำให้ภายในใจปั่นป่วนไม่หยุด
เขารู้ดี...ว่าแม่ทัพหลานไม่ใช่คนที่จะยื่นข้อเสนออะไรโดยไร้เจตนาเบื้องหลังแต่ในฐานะศิษย์ และด้วยความเป็นมิตรของตระกูลเขาไม่มีทางปฏิเสธตรง ๆ ได้
“ศิษย์น้อมรับคำสั่งสอนขอรับ ท่านอาจารย์” เขาเอ่ยออกมาในที่สุด เสียงเรียบนิ่งแต่เจือด้วยความระแวดระวังที่พยายามซ่อนไว้แม่ทัพหลานซือเหยียนหัวเราะเบา ๆ สีหน้ายังคงยิ้ม...แต่ในแววตานั้นกลับเปล่งแสงวาววับ เย็นยะเยือกเกินกว่าจะเรียกว่าเมตตา
“ดีมาก…เจ้าเองก็จงตั้งใจเรียนรู้ไว้ให้ดี” น้ำเสียงของเขานุ่ม…แต่คำพูดกลับเหมือนมีดที่กรีดรออยู่ในความมืด
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







