เข้าสู่ระบบดูเหมือนว่าผู้คนยังประเมินความโหดเหี้ยมของ ซูจิ่งหลง ต่ำเกินไป...ใครเลยจะคาดคิดว่า ชายผู้เป็นเสาหลักของโลกใต้ดินจะใช้ ความไร้เดียงสา ของเด็กน้อยเป็นเครื่องชั่งตวงวัด ความภักดี และ คุณค่าของชีวิตคน ในห้องน้ำชาที่เงียบงัน เหลือเพียงผู้ที่รอดพ้นจากการคัดกรองรอบแรกพวกเขาคือคู่ค้าคนสนิท และเหนือสิ่งอื่นใดคือลูกหนี้ที่ติดหนี้มหาศาลมากพอจะขายทั้งชีวิตก็ยังไม่หมดทันใดนั้น…
ซูจิ่งหลงหยิบของเล่นไม้ชิ้นหนึ่งขึ้นมาขยับ กลไกด้านในส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดน่ารำคาญ ทันทีที่เขาออกแรงขยับเสียงนั้น แม้แผ่วเบาแต่กลับกระตุกหัวใจผู้คนให้เต้นไม่เป็นจังหวะซูจิ่งหลงหรี่ตา มองของเล่นในมืออย่างเหยียดหยัน
“ของไร้น้ำยาแบบนี้ เจ้ากล้าดียังไงถึงเอามาให้หลานข้า?” น้ำเสียงเย็นยะเยือก แทรกความดูแคลนรุนแรงไปในทุกถ้อยคำชายคนหนึ่งลุกขึ้นรีบคำนับ ร่างสั่นน้อย ๆ
“นายท่าน... ข้า… ข้าสั่งทำจากช่างไม้เอกของเมืองชายแดน มันเป็น..”
ซูจิ่งหลงปรายตามองเพียงแวบเดียวแววตานั้นไร้แววให้อภัย เหมือนคนที่กำลังมอง สิ่งของ ที่หมดอายุ
เพล้ง! ของเล่นในมือถูกฟาดลงศีรษะชายผู้นั้นอย่างไม่ลังเลร่างเขาทรุดฮวบ เลือดไหลซึมจากหน้าผากอย่างรวดเร็วสิ่งที่ตามมาคือเสียงกระเส่า กับร่างกายที่ชักกระตุกท่ามกลางความเงียบงันซูจิ่งหลงโยนเศษของเล่นไม้ในมือทิ้งลงกับพื้นก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบไร้ความเมตตา
“ถ้าหลานข้าบอกว่ามันห่วย... มันก็ห่วยและเจ้าช่างไม้ที่ทำมัน... เดี๋ยวข้าจะส่งคนไปเก็บมันซะ”
แม้มือของเขาจะเปื้อนเลือด… ซูจิ่งหลงกลับไม่คิดแม้แต่จะล้างมันออก เขาเพียงหยิบขนมชิ้นเล็กที่วางอยู่ตรงหน้าขนมหวานที่ หลานจิ่วอวิ๋น เคยบ่นว่าหวานเกินไป ขึ้นมากัดอย่างเชื่องช้า
สัมผัสแรกเมื่อเนื้อขนมสัมผัสปลายลิ้น ความหวานอ่อนละมุน แทบจะละลายไปกับความร้อนในปาก เขาหลับตาแผ่วเบา ราวกับซึมซับรสชาติอย่างเพลิดเพลิน แต่เพียงชั่วพริบตา สีหน้านั้นก็เปลี่ยนเป็นเย้ยหยันแฝงความดูแคลน ก่อนเขาจะถ่มน้ำลายลงพื้นด้วยแรงสะอิดสะเอียน
“ถุย! นี่เจ้าคิดอะไรอยู่ถึงเอาขนมชั้นเลวแบบนี้ให้หลานข้ากิน?”“เจ้าจะฆ่าเขาทางอ้อมหรือไง ด้วยรสชาติที่ห่วยแตกพรรค์นี้!?”
เจ้าของขนมชิ้นนั้น ตัวสั่นเทา สีหน้าซีดเผือด เหงื่อผุดเต็มขมับ เขารีบคุกเข่าลงกับพื้น กล่าวเสียงสั่น
“นายท่าน… นี่...นี่คือฝีมือของพ่อครัวในวังหลว—”
เขายังไม่ทันได้เอ่ยจบ ซูจิ่งหลงก็คว้าข้อมือของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว พร้อมกับขนมที่เปื้อนเลือดในมือเขายัดมันเข้าไปในปากชายผู้นั้นเต็มแรง
“งั้นก็กลืนมันเข้าไป! กลืน! เข้า! ไป!”
แครก แครก แครก!เสียงเคี้ยวแบบขาดอากาศตามมาด้วยเสียงสำลัก มือสองข้างคว้าอากาศเหมือนคนจมน้ำ ดวงตาเบิกโพลง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำในพริบตา ร่างนั้นทรุดลงช้า ๆ หายใจติดขัดใกล้จะขาดใจ กระทั่งในวินาทีสุดท้ายเมื่อใบหน้าเริ่มเหม่อลอย ดวงตาเหลือกกลับซูจิ่งหลงจึงยอมละมือ พร้อมผลักร่างนั้นให้ล้มลงกับพื้นราวกับเศษขยะเปื้อนโคลน
สายตาของซูจิ่งหลง พวกมัน…ไม่ต่างอะไรกับเศษฝุ่นใต้รองเท้าแล้วในที่สุด เสียงต่ำเย็นชาก็ดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบงันราวป่าช้าที่ไร้ชีวิต
“เอาไป…” เสียงของเขาไม่ดังนักแต่ในความเงียบงันนั้น กลับแหลมคมจนบาดไปถึงขั้วหัวใจ
“ถ้าใครทนไม่ไหว… ก็ไปผูกคอตายซะ จะได้ไม่ต้องลำบากกันทั้งตระกูล” เงียบไม่มีเสียงใดโต้ตอบ ไม่มีใครแม้แต่จะขยับตัวซูจิ่งหลงปรายตามองพวกเขา…ไม่ต่างจากคนที่มองกองขยะ
“พวกเจ้าต่างเลือกเส้นทางนี้ด้วยตนเองบนเส้นทางแห่งเงามืด ไม่มีคำว่าถอยกลับมีแค่ก้าวไปต่อ… หรือจบมันซะด้วยมือของตัวเอง” เชือกนั้น...กลายเป็นสัญลักษณ์แห่ง การไว้ชีวิต และ การปลดปล่อยไปในเวลาเดียวกัน
ผู้ที่เลือกใช้ชีวิตอยู่ภายใต้เงามืด…ล้วนแล้วแต่เป็นเศษสวะที่เคยชินกับกลิ่นคาวเลือดเคยลั่นมีดปลิดชีพผู้อื่นเพียงเพราะคำพูดไม่เข้าหู หรือเพราะผลประโยชน์เล็กน้อยที่ขัดกันพวกมันไม่ใช่คนดี… และไม่เคยแสร้งเป็นโลกของพวกมันไม่มีที่ว่างสำหรับความเมตตา ไม่มีที่ยืนให้ผู้ใดลังเล
เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่เงามืด ก็เท่ากับยอมรับว่า วันหนึ่งอาจต้องตายด้วยน้ำมือของเงามืดนั้นเองมันคือข้อตกลงเงียบที่ทุกคนรู้…แต่ไม่มีใครพูดไม่มีใครถูกหลอกให้เข้ามา ทุกคนรู้ตัวดีว่าที่นี่ไม่ใช่สนามเด็กเล่น แต่คือหลุมศพที่เดินได้และเมื่อถึงคราวจะถูกฝัง…ก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องความยุติธรรม
ซูจิ่งหลงรู้จักสันดานของคนพวกนี้ดีเกินกว่าจะเผลอใจอ่อนในสายตาเขาพวกมันก็เป็นแค่เครื่องมือ เป็นหนี้ก้อนโตที่ยังเดินได้ ไม่มีค่าพอให้เมตตา
“เอาเถิด...”เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยอำนาจที่ไม่มีใครกล้าท้าทาย“ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกสักครั้ง…”
ดวงตาเรียบนิ่งฉายแวววาวเย็นเยียบ ขณะเสียงของเขากดต่ำลงราวกับน้ำแข็งที่กัดลึกถึงกระดูก
“หากครั้งหน้า ของขวัญของพวกเจ้า…ทำให้หลานชายข้ามีความสุขหรือรู้สึกพึงพอใจแม้เพียงครึ่งไม่แน่ว่า… ข้าอาจจะใจดี ลดหนี้ให้พวกเจ้าบ้าง”
คำว่าใจดี ในประโยคนั้น ฟังดูเหมือนคำล้อเลียนมากกว่าความเมตตา
ผู้คนในห้องต่างรีบก้มหน้าคุกเข่าบางคนหลั่งน้ำตาด้วยความกลัว บางคนแทบกลั้นสะอื้นไม่ไหวแต่ทุกคน…พูดพร้อมกันราวกับบทสวด “ขอบคุณนายท่าน! พวกเราจะหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับหลานชายของท่าน…พวกเราจะไม่ทำให้ผิดหวังอีก!”
เสียงเหล่านั้นฟังดูเหมือนคำมั่นสัตย์ แต่ในความจริง…มันไม่ต่างจากเสียงร้องขอชีวิต
มีคนจำนวนไม่น้อยจากโลกมืด...ที่เลือกจบชีวิตของตนเองอย่างเงียบงัน ไม่ใช่เพราะหมดหนทางหลบหนีแต่เพราะชีวิตที่หลงเหลือมันไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นชีวิต อีกต่อไป ในโลกที่ศักดิ์ศรีมนุษย์ถูกเหยียบย่ำจนแหลกละเอียดความตายกลับกลายเป็นทางเลือกเดียวที่ยังคงมอบ ความเป็นมนุษย์ คืนให้พวกเขาได้บ้างอย่างน้อย…การจากไปด้วยมือตนเองก็ยังดีกว่าการมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อเป็นของเล่นของผู้อื่นเป็นเบี้ยล่างที่ไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะหายใจตามใจตนเอง
พวกเขาไม่ได้สิ้นชีวิตเพราะอ่อนแอแต่เพราะโลกใต้เงาใบนี้...ไม่หลงเหลือพื้นที่ให้ผู้ที่ล้มแล้วลุกไม่ไหว
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







