Masukท่ามกลางผู้มาร่วมงานที่แต่งกายไว้ทุกข์ คนผู้หนึ่งก้าวเท้าเข้ามาอย่างเงียบงัน... หลานซือเหยียน แม่ทัพใหญ่อีกคนหนึ่งของแผ่นดิน และคือสหายร่วมรบผู้เคยยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับซ่งไห่หยางมาตลอดหลายสิบปี
มือที่ถือธูปของเขาสั่นเล็กน้อย ขณะที่ปลายนิ้วจรดก้านธูปในกระถาง ใบหน้าขรึมที่มักเยือกเย็นไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด บัดนี้กลับซีดเซียวราวคนแบกน้ำหนักทั้งแผ่นดินไว้บนบ่า เขาหลับตาลงแน่น ในใจกำลังตั้งจิตอธิษฐานเงียบ ๆ
“ซ่งไห่หยาง... เพื่อนรักเพียงหนึ่งเดียวของข้า... ข้าอยากจะขอโทษเจ้าจริง ๆ เรื่องลูกชายของเจ้า... ข้ารู้ดีว่าความจริงนั้นร้ายแรงเพียงใด... แต่ทั้งข้าและซ่งเจี้ยนหง พวกเราทุกคนต่างมีความผิดที่ต้องชดใช้... ข้าเคยกลัวว่าเจ้าจะรู้ กลัวว่าสายตาของเจ้าจะมองข้าเปลี่ยนไป”
ความทรงจำในอดีตผุดขึ้นมา... วันที่ทั้งสองยังเป็นเพียงนายกองตัวเล็ก ๆ ยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวของสนามฝึก พูดถึงความฝันอันไกลโพ้น ความหวังอันเรียบง่ายในวันที่ยังไม่มีคำว่าอำนาจหรือศักดิ์ศรีเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่วันคืนเหล่านั้นกลับหายไปดั่งหมอกจางเมื่อเงามืดแห่งตำแหน่งสูงศักดิ์เข้าปกคลุมหัวใจ
แม้บรรยากาศในงานจะอบอวลไปด้วยกลิ่นกำยานและความเศร้า แต่สำหรับหลานซือเหยียนแล้ว... ความเงียบงันนี้กลับยิ่งตอกย้ำบางสิ่งที่ผิดปกติ เหล่าทหารเอกของซ่งไห่หยาง คนเหล่านั้นที่เขาเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มาในสมรภูมิ นับไม่ถ้วนครั้ง กลับไม่มีแม้แต่เงาปรากฏตัวในพิธีอำลาดวงตาแหลมคมของแม่ทัพผู้ช่ำชองหันไปจับจ้องร่างของซ่งอี้เฉินทันที
"แล้วเหล่าทหารเอกของบิดาเจ้าหายไปไหนหมด?" เสียงของเขาหนักแน่น ทว่ากดต่ำดุจสายลมก่อนพายุ บรรดาขุนนางและแขกผู้มีเกียรติในงานเริ่มหันสายตาสงสัยมองไปยังซ่งอี้เฉิน ชายหนุ่มที่บัดนี้กำลังรับบทเป็นบุตรชายผู้โศกเศร้าเขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มบางๆ แฝงด้วยความนิ่งสงบผุดขึ้นที่ริมฝีปาก"ข้า... ไม่ทราบจริงๆ ท่านแม่ทัพ" น้ำเสียงอ่อนโยนราวสายหมอก แต่ดวงตานั้นกลับไร้คลื่นอารมณ์ ไม่ต่างอะไรจากทะเลที่ไร้ชีพพูดจบ เขาก้มหน้าลงอีกครั้ง บีบน้ำตาเบาๆ ราวกับหัวใจแตกสลายกับการจากไปของบิดา ท่าทีทั้งหมดสมบูรณ์แบบไร้ที่ติจนไม่อาจจับผิด
แต่หลานซือเหยียนที่ผ่านความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน รู้ดีว่าน้ำตาบางหยดนั้นช่างเย็นเยียบจนน่าหวาดหวั่นแม่ทัพเฒ่ากำหมัดแน่น สันกรามเขาขบกันจนขึ้นนูน ดวงตาวาววับด้วยเพลิงโทสะที่ถูกเก็บกลั้น
"เด็กสารเลว... เจ้านี่มันกล้าเมินข้าราวกับข้าเป็นอากาศธาตุเช่นนั้นหรือ?" เขาก่นด่าภายในใจอย่างเดือดดาล แต่ยังข่มกลืนทุกอย่างไว้ภายใต้ใบหน้าสงบนิ่ง เพื่อไว้เกียรติแด่ผู้ล่วงลับอย่างซ่งไห่หยาง ผู้ที่เคยเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตาย
ยามหัวค่ำมาเยือน จวนตระกูลซ่งกลับเข้าสู่ความเงียบสงัด แขกเหรื่อขุนนางผู้มีเกียรติทยอยกลับกันไปหมดแล้ว เหลือไว้เพียงบรรยากาศหม่นหมองกับกลิ่นธูปที่ยังคงลอยกรุ่นอยู่หน้าป้ายวิญญาณ ซ่งอี้เฉินยังคงสวมชุดไว้ทุกข์สีดำสนิท เส้นผ้าขาวพาดไหล่ ขับให้ใบหน้าที่ซีดเซียวดูเศร้าหมองอย่างสมบูรณ์แบบ เขาแสดงได้แนบเนียนตลอดทั้งวัน ทั้งน้ำเสียงที่อ่อนแรง ดวงตาแดงช้ำ และหยาดน้ำตาที่กลั่นออกมาได้ตรงจังหวะแต่เมื่อฟ้ามืดลง เมื่อสายตาของผู้คนพ้นจากเงาจวน... สิ่งที่เรียกว่า หน้ากาก ก็ถูกเขี่ยทิ้งอย่างไม่ใยดี
เพล้ง! เสียงกระถางธูปกระเด็นกระแทกพื้นแตกกระจาย ราวกับเป็นสัญญาณเปิดม่านให้ปีศาจในใจเผยโฉม ซ่งอี้เฉินถลึงตา มือสองข้างกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เขาหันขวับไปทางป้ายวิญญาณของผู้เป็นบิดา ดวงตาแดงก่ำด้วยเพลิงโทสะที่คุกรุ่นตลอดทั้งวัน
"อ๊ากกกกก!!! ไอ้แก่สารเลว!! มันกล้าดียังไงถึงจับผิดข้าต่อหน้าผู้คน! เจ้าเห็นมั้ย!?" เสียงตะโกนลั่นสะท้อนก้องไปทั่วลานว่างของเรือนบรรพชน บ่าวรับใช้ที่ยังไม่ทันถอยหนีไปไหนถึงกับหน้าซีด ตัวสั่นไม่กล้าขยับเขยื้อนเขาเดินเข้าไปกระแทกไหล่ใส่โต๊ะบูชาอย่างรุนแรงจนเชิงเทียนโยกเยก เปลวไฟลุกวูบตามแรงลมที่ไล่ตามแผ่นอาฆาต
"ตอนมีชีวิตพวกเจ้าแค่เสแสร้งสวมหน้ากากให้กันและกัน! ทั้งที่ต่างก็หักหลังกันมาเป็นสิบปี! แล้ววันนี้มันคืออะไร!? มิตรภาพหรอ!? ความอาลัยหรอ!? ฮึ!"
เขาหัวเราะในลำคอ เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยันและความบิดเบี้ยวจากบาดแผลในใจที่สั่งสมมานานปีดวงตาของซ่งอี้เฉินที่เคยเยือกเย็น กลับฉายแววคลั่งเสียจนน่าหวาดหวั่น ราวกับสัตว์บาดเจ็บที่พร้อมจะกัดทุกคนที่กล้ามองตาเงามืดที่ทอดยาวจากเปลวไฟพลิ้วไหว ลากเงาร่างของเขายาวเหยียดบนพื้นศิลา และในเงานั้น... ความลับที่ถูกฝังไว้ ก็เริ่มส่งเสียงสะท้อนออกมาอย่างแผ่วเบา
“แกรักไอ้เด็กเหลือนั่นมากใช่ไหม...”
เขาหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความบิดเบี้ยวของคนที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและชิงชัง
“ดีล่ะ เช่นนั้น...ข้าจะส่งมันไปตามรับใช้ แกต่อในโลกหน้า!”“ข้าจะยัดมันลงหลุมเดียวกับแกนั่นแหละ แล้วข้าจะทวงคืนทุกอย่าง...ทุกสิ่งที่มันไม่ควรได้ตั้งแต่แรก!”
แม้ภายนอกเขาจะยังคงแต่งกายงามสง่าราวขุนนางผู้ดีผู้เปี่ยมด้วยสติปัญญา แต่เนื้อแท้ของเขานั้นช่างเป็นสิ่งตรงกันข้าม จิตใจดำมืดจนยากจะนับเป็นมนุษย์ “หลานจิ่วอวิ๋น...” เสียงเอ่ยนามนั้นหลุดออกจากริมฝีปากของซ่งอี้เฉินช้า ๆ ราวกับมันเป็นคำสาป “เจ้ากำลังจะรู้เสียที...ว่าโลกใบนี้ไม่มีที่ยืนให้เด็กที่ไม่ควรเกิดมาอย่างเจ้า”
แม้ซ่งอี้เฉินจะพอมีความรู้ มีวรยุทธ์อยู่บ้าง แต่โดยสันดานแล้ว เขาเป็นเพียงคนขี้ขลาดที่หวาดกลัวเงาของตนเอง ทว่าบัดนี้ เขากลับก้าวเดินอย่างองอาจดั่งอสรพิษที่เพิ่งสลัดคราบเก่า นับแต่วันที่เขาส่งบิดาแท้ ๆ ลงสู่หลุมศพ ซ่งอี้เฉินก็ได้รับสิ่งที่ปรารถนามาตลอดชีวิต อำนาจ ศักดิ์ศรี ทรัพย์สิน และชื่อเสียงที่เคยเป็นของซ่งไห่หยาง บัดนี้ล้วนตกเป็นของเขาเพียงผู้เดียว ในโลกที่ความจงรักภักดีขึ้นอยู่กับจำนวนชามข้าวมีคนมากพอที่พร้อมจะคุกเข่ารับใช้คนอย่างเขา ตราบใดที่ยังมีเศษอาหารและอำนาจโยนใส่พื้นให้พวกมันแย่งกันแทะซ่งอี้เฉินมองคนพวกนั้น พวกนักฆ่ารับจ้าง พวกทหารฝีมือตก พวกขุนนางตาเหล่ที่เคยโดนบิดาเขากดหัวไว้ มาบัดนี้ต่างยืนเรียงแถวอย่างเชื่องราวหมาที่ผ่านการฝึกดีแล้วเขาหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ พลางเอ่ยกับตัวเองด้วยเสียงที่แทบไม่ได้ยิน
“เจ้าเด็กนั่น... ต่อให้เจ้ามีสายเลือดของตระกูลซ่ง แต่เจ้าก็ไม่มีอะไรเลย ไม่มีพลัง ไม่มีฐานะ ไม่มีอำนาจ… เจ้าจะไม่มีวันเอาชนะข้าได้” เสียงหัวเราะแผ่วเบาของซ่งอี้เฉินแฝงไปด้วยความเหยียดหยาม ทว่าเมื่อลอยกระทบกำแพงห้อง กลับดังก้องราวกับคำสาปที่ประกาศชะตากรรมของตนเองโดยไม่รู้ตัว
ทว่า… มีสิ่งหนึ่งที่เขายังไม่รู้ และอาจไม่มีวันได้รู้จนกว่ามันจะสายเกินไปวันใดก็ตามที่เขากล้าคิดแตะต้องเด็กน้อยผู้ไร้เดียงสาด้วยมือเปื้อนเลือดของตนเองวันนั้น… จะเป็นวันแรกที่เขาก้าวเข้าสู่หายนะอันไร้หนทางหวนกลับโชคชะตาของซ่งอี้เฉินได้ถูกขีดเส้นไว้แล้ว บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยเงามืดและในเงามืดนั้น มีสายตาคู่หนึ่ง… จับจ้องเขาอยู่ตลอดเวลา รอคอยเพียงวินาทีที่เหมาะสมเพื่อฟาดฟัน ต่อให้เขาจะปั้นหน้าเป็นผู้ทรงคุณธรรม ต่อให้เขาจะพร่ำคำอ่อนโยนเพียงใดเลือดของผู้บริสุทธิ์ที่ติดอยู่บนมือ กับความโลภที่ฝังลึกในใจ จะไม่มีวันถูกลบล้าง และในวันนั้น… ชื่อของซ่งอี้เฉิน จะถูกสลักไว้ในประวัติศาสตร์ในฐานะผู้ที่จมสู่เหวลึกด้วยน้ำมือของความอธรรมของตนเอง
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







