เข้าสู่ระบบช่วงสายของวันที่แสงอาทิตย์ยามสายส่องอาบผ่านผ้าม่านบางเบา ภายในห้องรับรองอันเงียบสงบของจวนหลานเยว่กลับเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ตรึงเครียดและเรียบเย็นประหนึ่งสายน้ำใต้ผืนน้ำแข็งหลานเยว่นั่งอยู่เบื้องหน้าชุดน้ำชา สายตาราบเรียบไร้อารมณ์จ้องมองควันชาที่ลอยอ้อยอิ่ง ราวกับจิตใจมิได้อยู่ ณ ที่ตรงนั้น ทว่าในความเงียบนิ่งนั้นกลับแฝงความระวังและเฉียบคมเหมือนคมมีดเงียบ
บานประตูไม้ถูกเปิดออกอย่างนุ่มนวล ชายร่างสูงผู้หนึ่งก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าไม่รีบร้อน เสื้อคลุมยาวพริ้วไหวตามจังหวะฝีเท้า คนผู้นี้คือ ซูจิ่งหลง เจ้าของโรงประมูลชื่อดัง ผู้ซ่อนใบหน้าของพ่อค้าแห่งความตายไว้ใต้รอยยิ้มที่อ่อนโยนและมารยาทที่ประณีต
เขาเปรียบเสมือนสะพานที่เชื่อมระหว่างโลกในเงามืดกับแสงสว่าง ผู้ที่แม้ไม่ลงมือสังหารเอง แต่คำพูดหนึ่งประโยคจากเขาอาจหมายถึงชีวิตที่สูญหายวันนี้ เขามิได้มาเยือนด้วยเรื่องส่วนตัว หากแต่เพราะคำร้องขอจากคนผู้หนึ่ง... ที่คาดไม่ถึง
เมื่อสายตาเขาสบเข้ากับหลานเยว่ ผู้หญิงที่แม้จะนั่งนิ่งราวรูปสลัก แต่กลับมีแรงดึงดูดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หัวใจของเขาก็พลันสั่นไหวโดยไม่รู้ตัว
“ดูเหมือนวันนี้เจ้าคงมีเรื่องสำคัญที่ต้องการจะคุยกับข้า... ใช่หรือไม่?” นางเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา ราวกับอ่านใจเขาออกตั้งแต่แรกที่เขาก้าวเข้ามาซูจิ่งหลงยิ้มน้อย ๆ ด้วยแววตาที่อบอุ่นปนประหม่า “ไม่ผิดเลย สมกับเป็นเจ้าจริง ๆ ... ช่างรู้ใจข้ายิ่งนัก” แม้เพียงถ้อยคำธรรมดา แต่ในน้ำเสียงนั้นแอบเจือไว้ด้วยความละมุนละไมและความรู้สึกที่ไม่เคยถูกกล่าวออกมาตรง ๆ เสมือนเขาแอบใส่น้ำตาลลงไปในคำพูดอย่างแนบเนียน แต่หลานเยว่ยังคงเงียบ นางจิบชาเบา ๆ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ หากเพียงปรายตามองมาอย่างเรียบเฉย ทว่าในแววตาคู่นั้นกลับเหมือนมีดวงไฟที่คอยจับสังเกตทุกอณูอารมณ์ของผู้มาเยือน
“คนที่เจ้าคงไม่คาดคิด... กลับเป็นผู้ว่าจ้างภารกิจครั้งนี้”แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจังฉับพลัน ไร้ซึ่งรอยยิ้มล้อเล่นอย่างเคย
“ครั้งก่อน... เป็นพี่ชายของเจ้า” เขาหยุดเว้นจังหวะ ราวกับต้องการให้นางตั้งใจฟัง “แต่ครั้งนี้... เป็นบิดาของเจ้าที่ต้องการใช้บริการนักฆ่าไร้นาม” คำพูดของเขาทำให้อากาศในห้องเงียบงันลงกะทันหัน เงียบเสียจนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของคนทั้งสองหลานเยว่ยังคงนิ่งสงบ สีหน้าไร้ความประหลาดใจ ราวกับรู้ว่าทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนมีเหตุผลเบื้องหลังที่
“ภารกิจอะไร?” น้ำเสียงของนางยังคงเรียบเย็นดุจสายน้ำใต้ผืนน้ำแข็ง
“บิดาของเจ้าต้องการความจริง” ซูจิ่งหลงตอบ “เขาสงสัยว่าการตายของแม่ทัพซ่งไห่หยาง... อาจมิใช่เพราะโรคร้าย แต่เกิดจากน้ำมือของซ่งอี้เฉินและหากใช่... เขาขอให้เจ้าจัดการมัน” หลานเยว่ไม่ได้ตอบทันที นางเพียงยกถ้วยชาขึ้นอีกครั้ง จิบชาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่งดั่งสายน้ำไร้คลื่นแม้ไม่มีคำพูดหลุดจากริมฝีปาก แต่ภายในใจของนางนั้นกลับแปรปรวน แม่ทัพซ่งไห่หยาง… เขาเป็นปู่ของลูกชายของนาง และในตอนที่เขายังมีลมหายใจ เขามอบทรัพย์สมบัติมากมายให้นางเงียบ ๆเหมือนเป็นการส่งมอบอนาคตให้แก่หลานโดยไม่ต้องเอ่ยคำใด
“ที่เหลือ... ข้าจะเป็นผู้จัดการเอง” นางเอ่ยอย่างเรียบเย็น แต่หนักแน่น ราวกับคำตัดสินจากเบื้องบนการตายของแม่ทัพซ่งไห่หยางไม่อาจอธิบายได้ด้วยเหตุผลธรรมดา กลิ่นอายของความผิดปกติยังคงคละคลุ้งอยู่ แม้จะพยายามกลบเกลื่อนด้วยพิธีศพอันยิ่งใหญ่เพียงใดหากซ่งอี้เฉินเป็นผู้ลงมือลอบสังหารบิดาตนเองจริง...ก็สมแล้วที่นางจะเป็นผู้ลงทัณฑ์
ซูจิ่งหลงมองใบหน้าที่สงบนิ่งของนาง ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ ไม่มีคำพูดใดจำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยอีกต่อไป เพราะเมื่อมือสังหารไร้นามรับปาก… ความตายของเป้าหมายก็เพียงแค่รอเวลาเท่านั้น
ยามค่ำคืนเงียบสงัด ท้องฟ้าเบื้องบนแต่งแต้มด้วยแสงดาวพราวระยับ แต่ภายใต้แสงนวลนั้น เงาร่างหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างไร้สุ้มเสียง หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความมืด หลานเยว่ปรากฏกายในเงาสลัวของเรือนนอนของแม่ทัพหลานซือเหยียน บิดาผู้เคยวางนางไว้ต่ำเสียยิ่งกว่าฝุ่นธุลี
เสียงลมหายใจหนักหน่วงผสมกับเสียงกรนเบา ๆ ดังสม่ำเสมอ ทว่าไม่นานนัก ทุกอย่างก็เงียบงัน…ปลายมีดสั้นคมกริบแตะลงบนลำคอที่เคยเปล่งวาจาสั่งการสนามรบอย่างเด็ดขาด ความเย็นเฉียบของโลหะทำให้หลานซือเหยียนสะดุ้งตื่น ลืมตาขึ้นพร้อมเหงื่อเย็นไหลซึมตามขมับ เขายังไม่ทันได้เห็นหน้าผู้ลอบเร้นเข้ามา เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ชัดเจน ดุดัน และเยือกเย็นเสียจนเลือดในกายแทบเย็นเฉียบ
"ข้าตกลงที่จะรับภารกิจในครั้งนี้"
ดวงตาของแม่ทัพเบิกกว้าง ความตกตะลึงแล่นผ่านทั่วร่าง เขาจับเสียงนั้นได้ทันที เสียงของบุตรสาวที่เขาเคยเมินเฉย
"เป็น...เจ้า?" น้ำเสียงของเขาสั่นพร่า ทั้งไม่อยากเชื่อและหวาดระแวงในเวลาเดียวกันหญิงสาวเบื้องหน้าคือหลานเยว่ สตรีผู้เคยถูกดูแคลนว่าอ่อนแอไร้ความสามารถ บัดนี้กลับยืนอยู่เบื้องหน้าเขาในฐานะนักฆ่าผู้ไร้นาม ผู้ที่ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างหวาดหวั่นยามเอ่ยนาม ในความเงียบสงัด บิดากับบุตรสาวจ้องตากัน คนหนึ่งเต็มไปด้วยคำถาม อีกคนหนึ่งกลับแน่วแน่ไม่ไหวเอน
"ภารกิจในครั้งนี้ ข้าจะไม่รับค่าจ้าง… เพราะสิ่งที่ข้าควรได้รับ ข้าได้มาแล้ว"น้ำเสียงของหลานเยว่ยังคงเรียบเย็น ก่อนที่ร่างของนางจะจางหายไปราวกับละอองหมอกที่กลืนหายไปในความมืด เงียบงัน ไร้ร่องรอย ราวกับไม่เคยปรากฏอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก
แม่ทัพหลานซือเหยียนนั่งนิ่งอยู่บนเตียง ลมหายใจของเขาเริ่มสั่น ร่างกายอันเคยผ่านสนามรบนับไม่ถ้วนกลับเย็นเยียบด้วยความหวาดหวั่น
"ข้า… ไม่เคยคิดเลย ว่าจะเป็นนาง" เขาพึมพำ ดวงตาสั่นระริก
หากค่ำคืนนี้ นางมิได้มาเพียงแจ้งภารกิจ แต่คือผู้ลงมือลอบสังหาร ต่อให้เขาจะเป็นแม่ทัพผู้บัญชาการศึก หรือแม้แต่จะมีองครักษ์มากเพียงใด ก็ไม่อาจหลีกหนีเงื้อมมือแห่งความตายได้
เพียงแค่ความเย็นเฉียบของคมมีดเมื่อครู่ที่แนบกับลำคอ… ก็เพียงพอจะทำให้เขาเข้าใจ ว่าหากเป็นการลงมือจริง เขาคงได้ไปสำนึกบาปอยู่ในโลกหน้าเรียบร้อยแล้ว
"สมแล้ว… สมแล้วจริง ๆ ที่เป็นนักฆ่าไร้นาม" เขาเอ่ยอย่างเคร่งขรึม สีหน้าผสมทั้งเกรงกลัวและเคารพ ตำนานเรื่องเล่าที่แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงว่า นักฆ่าไร้นาม คือเงาที่ไม่อาจหลีกหนี คำสาปที่ไม่มีใครได้ล่วงรู้ บัดนี้ได้ปรากฏตัวตนที่แท้จริงต่อหน้าเขาแล้ว และไม่ใช่ใครอื่น… แต่คือนาง บุตรสาวที่เขาเคยมองข้ามไปโดยสิ้นเชิง
สำหรับหลานเยว่ ภารกิจครั้งนี้… ไม่อาจนับเป็นภารกิจสมบัติทั้งหลายที่แม่ทัพซ่งไห่หยางมอบให้นางก่อนจากลาหาใช่เพียงทองคำหรือของมีค่าแต่คือมรดกแห่งความไว้วางใจคือความผูกพันสุดท้ายของชายชราผู้หนึ่งที่มองเด็กน้อยในอ้อมแขนนาง… ว่าเป็นหลานแท้ๆ
นางมิใช่ฆาตกรเลือดเย็น แต่เมื่อลมหายใจของผู้มีพระคุณดับสิ้นไปด้วยเงื่อนงำเมื่อลูกชายของนางหลานจิ่วอวิ๋น ต้องเติบโตขึ้นโดยไม่มีมือของปู่คอยประคองนางจึงเลือกที่คิดบัญชีชำระแค้น
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







