เข้าสู่ระบบความล่มสลายของขันทีเฒ่าก้องกังวานราวระฆังเตือนภัยในใจของเหล่าผู้ครองอำนาจทั่วทั้งราชสำนัก แม้ในมือยังถือบังเหียนแห่งอำนาจ ปกครองคนหมื่นแสน แต่ลึกลงในแววตากลับแฝงเงาหวาดระแวงที่ปิดไม่มิด พวกเขารู้ดีว่าบัลลังก์อำนาจนั้นสูงเพียงใดก็เปราะบางได้ไม่ต่างจากเครื่องเคลือบ บนหอคอยงาช้างที่ดูมั่นคง อาจมีแรงถีบเพียงครั้งเดียวก็พอจะส่งร่างร่วงลงไปสู่ความมืดลึก
ฟู่เหวินโหลว ปราชญ์หลวงผู้เปี่ยมปัญญา และหลี่เถี่ยนกวง ขันทีใหญ่ผู้เคยครองอำนาจล้นฟ้า คือสองชื่อที่ยังไม่ทันเลือนหายไปจากปลายลิ้น ทุกคนจำได้ดีว่าไม่นานมานี้ ทั้งคู่ยังยืนเคียงข้างองค์ฮ่องเต้ เสียงหนึ่งคำของพวกเขาสามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ แต่สุดท้ายกลับลงเอยด้วยชะตาน่าสมเพชหนึ่งถูกประหารชื่อ อีกหนึ่งถูกย่ำยีจนดับสูญราวกับไม่เคยยิ่งใหญ่
ในความเงียบงันของห้องโถงใหญ่ ใต้เงาเสาแกะสลักมังกร หลายคู่ตาสบกันเพียงชั่ววูบแล้วหลบเลี่ยง ราวกับกลัวว่าการเอ่ยชื่อผู้ล่มสลายจะดึงดูดเคราะห์ร้ายมาสู่ตน ความคิดเดียวที่โผล่ขึ้นในใจพวกเขาเหมือนกันอย่างน่าขนลุก คือ นักฆ่าไร้นาม คำนี้กลายเป็นเสียงกระซิบติดปาก แม้ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันคือใคร มาจากที่ใด แต่ทุกการเคลื่อนไหวกลับเรียบเนียน ราวเงาที่ซึมผ่านกำแพงได้ ไม่ทิ้งหลักฐานให้ติดตาม แม้เพียงเส้นผมหรือรอยเท้าก็ไม่เคยปรากฏ
ภายในเรือนรับรองที่เงียบสงัด แม่ทัพหลานซือเหยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สลักอย่างสง่า มือหนึ่งประคองถ้วยชาอุ่น ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางเมื่อมองหลานจิ่วอวิ๋น หลานชายผู้เป็นความภาคภูมิของตระกูล แววตาเปล่งประกายด้วยความพึงใจราวกับได้มองอนาคต
แต่เพียงชั่วหันสายตาไปไกลออกไป ร่างของสตรีผู้หนึ่งก็ปรากฏในมุมมองบุตรสาวของเขาเอง ผู้ที่เขาเคยตีค่าต่ำต้อย ไร้ประโยชน์ต่อวงศ์ตระกูล ยามนี้ยืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์ยามบ่าย เส้นผมดำขลับพลิ้วตามลม ใบหน้าสงบนิ่งแต่ดวงตาคมดั่งคมมีด แววตานั้นทำให้หัวใจเขากระตุกวาบ
มือที่กำลังยกถ้วยชาแตะริมฝีปากสั่นไหวเล็กน้อย น้ำชาภายในเกือบกระฉอกออกมา ความคิดหนึ่งผุดขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่"เจ้า…เป็นลูกสาวของข้าจริงหรือ?"
ความจริงที่เพิ่งตระหนักได้ราวฟ้าผ่าลงกลางใจบุตรสาวที่เขามองว่าไร้ค่า กลับเป็นนักฆ่าในตำนาน ผู้มีชื่อขจรไกลในเงามืด และหากนางยังคงเก็บความเคียดแค้นที่ฝังลึกในใจต่อเขาไว้… ชะตาของเขาก็อาจไม่ต่างจากผู้ทรงอำนาจคนอื่นที่จบลงอย่างน่าสมเพช
หลังจากแม่ทัพหลานซือเหยียนจิบชาจนหยดสุดท้าย กลิ่นชาขมอวลในลำคอ เขาสูดลมหายใจลึกเหมือนต้องรวบรวมแรงใจก่อนเอ่ยสิ่งที่คิดมานาน
“หลานเยว่… ลูกพ่อ”ถ้อยคำสองพยางค์ที่กล่าวขึ้นอย่างตั้งใจนั้น มิใช่เพียงการทักทาย แต่เป็นเชือกเส้นบางที่เขาพยายามโยนไปผูกความสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้น หวังให้ความเป็นพ่อลูกบรรเทารอยร้าวและรอยแค้นในใจนาง
เขาก้มสายตาลงเล็กน้อย น้ำเสียงแผ่วลงราวสารภาพความจริงที่เก็บงำมานาน“พ่อตั้งใจจะวางมือจากทุกเรื่อง… ร่างกายข้าเริ่มเหนื่อยล้าแล้ว”
แม้นางเคยพูดว่าจะไม่จองเวร แต่เงาแห่งความระแวงยังฝังลึกในใจเขาเพราะความผิดในอดีตนั้นชัดเจนเกินจะลบเลือน วันที่เขาเคยบังคับฝืนใจนาง ส่งนางไปเป็นสาวอุ่นเตียงของผู้ใต้บังคับบัญชา… บาดแผลเช่นนี้ ไม่มีมนุษย์ผู้ใดลืมได้ง่าย
“งั้นหรือ”นางตอบกลับเพียงสั้น ๆ น้ำเสียงราบเรียบ ไร้ร่องรอยอารมณ์ เหมือนคำพูดของเขาไม่อาจสร้างแรงกระเพื่อมใดในใจ
แม่ทัพหลานซือเหยียนกัดฟันเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อ“ข้าจะให้พี่ชายของเจ้าขึ้นมาแทน ข้าจะมอบหน้าที่ดูแลตระกูลให้หลานหย่งจวิน” นางพยักหน้าอย่างเรียบง่าย“เช่นนั้นก็ดี” ในน้ำเสียงไม่มีทั้งความดีใจหรือโกรธเคือง หากเป็นเพียงการยอมรับข้อเท็จจริง เพราะนางรู้ดีว่าหลานหย่งจวินเอ็นดูลูกชายของนางไม่น้อย อีกทั้งยังให้คำมั่นว่าจะยกตำแหน่งผู้สืบทอดทั้งหมดให้เขาในอนาคต
ข่าวการวางมือของแม่ทัพหลานซือเหยียน แพร่สะพัดไปทั่วทั้งราชสำนัก ราวระฆังใหญ่ที่กระทบใจผู้คนให้สั่นสะเทือน ชายผู้ทะเยอทะยานและฝ่าฟันมาตลอดทั้งชีวิต ผู้เคยกุมกองทัพไว้ในมือและยืนเคียงข้างองค์จักรพรรดิกลับเลือกถอยลงจากอำนาจ หันไปใช้ชีวิตเช่นคนเฒ่าธรรมดา เหตุผลที่ยกต่อหน้าขุนนางทั้งหลายในท้องพระโรงนั้นเรียบง่าย “ข้าอยากใช้เวลาที่เหลือ เลี้ยงหลาน”
แม้เขาจะประกาศวางมือ ไม่ข้องเกี่ยวกับกิจการบ้านเมืองอีกต่อไป แต่ไม่มีใครเชื่อว่าอำนาจของเขาจะสูญสิ้นเพราะเพียงชื่อ ขุนศึกคู่ราชบัลลังก์ ก็เพียงพอให้ทั้งราชสำนักยังต้องชั่งน้ำหนักคำพูดและท่าทีของเขาอยู่เสมอ อำนาจเช่นนี้ แม้ไม่ต้องเอื้อมมือคว้า ก็ยังมีคนพร้อมนำมาวางไว้ตรงหน้าในสายตาของผู้คน
วันที่หลานหย่งจวินขึ้นรับตำแหน่งผู้นำตระกูล จวนตระกูลหลานคึกคักดุจงานมหามงคล ขบวนรถม้าประดับลายทองเรียงรายตั้งแต่หน้าประตูถึงลานใน บ่าวรับใช้เร่งฝีเท้ารับรองแขกอย่างไม่หยุดหย่อน เหล่าขุนนาง ขุนศึก และพ่อค้าผู้ทรงอำนาจต่างมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง แม้แต่ฮ่องเต้หรงจวิ้นยังเสด็จมาด้วยพระองค์เอง
ทว่าทุกคนต่างรู้ความจริงแล้ว พวกเขาไม่ได้มาด้วยเหตุผลเพียงเพื่อแสดงเกียรติแก่หลานหย่งจวิน แต่เพราะเงาของบุรุษอีกคนที่ยังปกคลุมเหนือจวนหลังนี้… แม่ทัพหลานซือเหยียน ขุนศึกคู่ราชบัลลังก์ ผู้แม้จะวางมือแล้ว แต่อำนาจยังไม่เคยเสื่อมคลาย
ท่ามกลางผู้มาเยือนมากหน้าหลายตา มีชายผู้หนึ่งสะดุดสายตา ซูจิ่งหลง เจ้าของโรงประมูลผู้กุมเครือข่ายโลกมืดไว้ในกำมือ เขายืนอยู่เคียงข้างหลานเยว่และบุตรชายของนาง ดวงตาเรียวคมแฝงประกายอ่อนโยนผิดกับภาพลักษณ์พ่อค้าแห่งความตายที่ผู้คนในเงามืดรู้จัก
“ถ้าเป็นไปได้ ข้าเองก็อยากจะวางมือเหมือนกัน”น้ำเสียงเขานุ่มนวล คล้ายคำพูดสัพยอกในวงสนทนา แต่แฝงความหมายลึกซึ้ง เขาเหลือบมองนางเพียงเสี้ยววินาที ราวกับต้องการวัดว่าคำพูดที่ปนเสน่ห์นี้จะเขย่าหัวใจนางได้หรือไม่
ความเย็นชาที่เคยเป็นเกราะป้องกันในโลกมืดค่อย ๆ ละลายไป เมื่อเขาโน้มตัวลงพูดกับเด็กชายข้างกาย“หลานจิ่วอวิ๋น เจ้าช่วยเป็นกำลังใจให้ท่านลุงผู้นี้ด้วยนะ”
“ขอรับ ท่านลุง” เสียงนั้นแม้จะไร้เดียงสา แต่กลับเหมือนสายลมอ่อนที่พัดผ่านกลางใจของซูจิ่งหลง รอยยิ้มอบอุ่นจึงผุดขึ้นบนใบหน้ารอยยิ้มที่หากใครมองเพียงผิวเผินก็จะคิดว่ามันคือรอยยิ้มของผู้ชายธรรมดาที่เอ็นดูเด็กน้อย ทว่าในความเป็นจริง ภายใต้รอยยิ้มนั้นยังมีเงาเย็นเยียบของชายผู้เคยยืนอยู่ท่ามกลางกองซากศพ ผู้ไม่เคยหวั่นไหวต่อเลือดหรือความตาย
ในช่วงเสี้ยววินาทีนั้น หลานเยว่หันไปสบตาเขาดวงตาที่ทั้งสงบและลึกล้ำ ราวกับมองเห็นทั้งความอบอุ่นที่เขามอบให้ลูกของนาง และคมดาบที่ซ่อนอยู่ในเงามืดซึ่งพร้อมจะฟาดฟันเพื่อปกป้องทุกสิ่งที่เขาปรารถนา
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







