Masukแม้หลานเยว่จะไม่เคยเอ่ยรับรักซูจิ่งหลงเลยสักครั้ง แต่ชายผู้ครองบังเหียนโลกมืดก็ไม่เคยถอยก้าวเดียวจากหัวใจของตน เขาเหมือนคนเดินท่ามกลางพายุที่ไม่มีท่าทีหยุดพัก แต่ยังฝืนก้าวต่อโดยไม่สนว่าปลายทางจะได้พบความอบอุ่น หรือเพียงความว่างเปล่า
ทุกการเคลื่อนไหวของเขา… ล้วนมีนางเป็นเหตุผล ถึงแม้สิ่งที่ทำจะไม่เคยปรากฏในสายตานาง หรืออาจไม่เคยเล็ดรอดเข้าสู่ความรับรู้ของนางเลยก็ตาม
ในฐานะ พ่อค้าแห่งความตาย โลกของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นเลือดและใบสั่งฆ่าที่ถูกส่งมาอย่างไม่รู้จบ มากเสียจนเปรียบได้กับเศษกระดาษที่ถูกใช้แล้วโยนทิ้ง งานสกปรก หยาบโลน และอำมหิตนับไม่ถ้วน ล้วนเคยผ่านการจัดการของเขามาทั้งสิ้น
ทว่า… ตั้งแต่วันที่ได้รู้จักกับนาง เขาไม่เคยแตะต้องงานหยาบโลนอีกเลย เว้นเพียงครั้งที่เหยื่อเป็น เดนคน ซึ่งแม้แต่ความเมตตาของฟ้าก็ไม่ควรหยิบยื่นให้ สำหรับคนเช่นนั้น เขาจะลงมือจัดการด้วยความไร้ปรานี
ในใจของซูจิ่งหลง การสละบางส่วนของความโหดเหี้ยมในตัวเองไม่ใช่เรื่องง่ายแต่มันคือคำมั่นสัญญาที่ไม่มีเสียง ว่าเขา พร้อมจะเปลี่ยนแปลงเพื่อนาง แม้จะรู้ดีว่า นางอาจไม่มีวันรับรู้…หรืออาจไม่เคยมองเขาด้วยสายตาที่ต่างไปจากเดิมเลย ก็ตาม
แสงแดดยามสายโปรยอุ่นลงบนถนนหินขาวของเมืองหลวง ผู้คนสัญจรขวักไขว่ ท่ามกลางเสียงคึกคักของพ่อค้าและฝีเท้าผู้เดินทาง ชายร่างสูงในชุดผ้าไหมสีเข้มก้าวเดินอย่างไม่เร่งรีบ มือใหญ่หยาบกร้านจากการใช้ชีวิตในโลกมืดกลับกุมมือเล็กๆ ของเด็กชายไว้แน่น ซูจิ่งหลง กับ หลานจิ่วอวิ๋น
เขาพาเด็กน้อยเดินชมเมืองโดยปราศจากผู้คุ้มกัน ราวกับเพียงชายผู้หนึ่งที่อยากพาลูกชายออกมาเที่ยวในวันที่อากาศดี รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาในยามนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากภาพจำที่ผู้คนเคยรู้จัก ไม่ใช่รอยยิ้มเยาะ ไม่ใช่รอยยิ้มเย็น หากเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่อบอุ่นพอจะทำให้เด็กชายหัวเราะได้อย่างไร้เดียงสา
ผู้ที่รู้จักเขา ไม่ว่าจะในฐานะเจ้าของโรงประมูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หรือในนาม พ่อค้าแห่งความตาย ต่างหยุดมองด้วยความประหลาดใจ บางคนถึงกับชะงักฝีเท้า เพราะชายผู้เคยเยือกเย็นและสุขุมราวแท่นหิน บัดนี้กลับก้าวเดินไปพร้อมกับเด็กน้อย แถมยังโน้มตัวลงฟังด้วยสีหน้าพึงใจ
“หลานจิ่วอวิ๋น เจ้าอยากไปเที่ยวเล่นที่ไหน บอกลุงมาได้เลย” น้ำเสียงทุ้มนุ่มของเขาไม่เหลือเค้าลางของผู้เจนจัดในเส้นทางนองเลือด เด็กชายเงยหน้ามอง แววตาใสแจ๋วเปล่งประกายด้วยความสุข เขายิ้มกว้าง“ขอรับ ท่านลุง”
สำหรับหลานจิ่วอวิ๋น เขาคือท่านลุงที่อบอุ่นและตามใจไม่ต่างจากพ่อแท้ ๆ และสำหรับซูจิ่งหลง… วันนี้เขาไม่ใช่พ่อค้าแห่งความตาย ไม่ใช่เงามืด แต่เป็นเพียงชายผู้หนึ่งที่อยากใช้ทุกลมหายใจท่ามกลางเสียงหัวเราะของเด็กชายเสียงที่แม้แต่โลกมืดก็พรากไปจากเขาไม่ได้
ตลอดทั้งวัน ซูจิ่งหลงปล่อยให้หลานจิ่วอวิ๋นวิ่งเล่น ชมร้านรวง และหัวเราะอย่างเต็มที่ จนกระทั่งยามบ่ายคล้อย แววตาใสซื่อก็เริ่มหม่นลงเพราะความเหนื่อยล้า ก้าวเท้าของเด็กชายช้าลงเรื่อยๆ ชายร่างสูงสังเกตได้ในทันที เขาก้มลงลูบศีรษะ เล็ก ๆ อย่างแผ่วเบา รอยยิ้มอบอุ่นแตะมุมปาก
“หลานจิ่วอวิ๋น วันนี้คนรู้จักของลุง เตรียมของเล่นกับของว่างไว้ให้เจ้ามากมาย… เรากลับไปที่จวนของลุงกันก่อนเถิด”
ถ้อยคำฟังดูราวกับเป็นเพียงการบอกเล่าทั่วไป ทว่า คนรู้จัก ในปากซูจิ่งหลง หาใช่คนธรรมดา หากแต่เป็นเหล่าลูกหนี้ในโลกมืดพวกที่ติดค้างเขาหนักจนไม่มีทางใช้คืนได้หมดในชั่วชีวิต สำหรับคนเหล่านั้น การทำให้หลานชายของเขาพึงพอใจ คือใบเบิกทางให้มีลมหายใจต่อไปอีกวันโดยไม่ต้องถูกตามชำระ และในหมู่พวกมัน… ย่อมต้องมีใครบางคนที่ยังฝังใจกับความผิดพลาดคราวก่อน กำลังรอคอยโอกาสแก้มือ ในวันนี้อย่างกระวนกระวาย
แม้หลานเยว่และซูจิ่งหลงจะร่วมมือกันตัดขาดหลานจิ่วอวิ๋นจากโลกมืดอย่างแนบเนียนเพียงใด พวกเขาก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย เด็กน้อยผู้นี้เติบโตท่ามกลางแสงสว่าง รายล้อมด้วยผู้คนที่ดูเหมือนใจดีไปเสียหมด แต่ความฉลาดเกินวัยของเขาทำให้ความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย ก็ไม่อาจเล็ดรอดสายตา
หลายครั้งที่หลานจิ่วอวิ๋นวิ่งเล่นผ่านห้องทำงานของท่านลุง เขามักได้ยินเสียงร้องโหยหวน หรือพบคนบางคนที่วันก่อนเพิ่งนำของเล่นมาให้แล้วถูกเขาบอกว่า “ไม่ชอบ” หรือขนมว่า “ไม่อร่อย” วันต่อมาก็กลับมาปรากฏตัวพร้อมร่องรอยฟกช้ำบนใบหน้า เมื่อซูจิ่งหลงพาหลานชายกลับถึงจวน เหล่าลูกหนี้ที่ถูกเรียกมารวมตัวก็ยืนรออยู่พร้อมหน้า แต่ละคู่ตาเต็มไปด้วยความประจบประแจงและความหวัง หวังว่าจะผ่านเวลานี้ไปได้โดยปลอดภัย
“เจ้าชอบหรือไม่ชอบอันไหน บอกลุงมาได้เลย เดี๋ยวลุงจะหามาให้ใหม่” น้ำเสียงทุ้มของซูจิ่งหลงอ่อนโยนเสียจนแทบไม่เหลือเค้าลางของพ่อค้าแห่งความตายหลานจิ่วอวิ๋นหยิบของเล่นมาลองพลิกดู และหยิบขนมว่างมากัดอย่างไม่เกรงใจ เวลาผ่านไปเพียงครู่ เขาก็ยิ้มตาหยี กล่าวเสียงใส“ข้าชอบมากเลยขอรับ ท่านลุง” ซูจิ่งหลงหรี่ตาลง… เขารู้ทันทีว่าหลานชายกำลังเสแสร้ง ไม่มีอะไรหลุดรอดสายตาของเขาได้ เขาหยิบของเล่นขึ้นมาลองขยับเล่น แต่ในใจกลับคิดของไร้สาระแบบนี้ สนุกตรงไหนกัน?
“หลานจิ่วอวิ๋น… เจ้าชอบเล่นของเล่นปัญญาอ่อนนี่จริงหรือ?” น้ำเสียงเย็นเฉียบเล็ดลอดออกมาก่อนที่เขาจะทันยั้งคิดแล้วเพียงพริบตา เขาก็ปรับสีหน้ากลับมาเป็นลุงผู้แสนดีดังเดิม“เจ้าบอกว่าสนุก ข้าก็ว่าสนุกด้วย” รอยยิ้มอ่อนโยนผุดขึ้นอีกครั้ง ทว่ามือใหญ่กลับบีบของเล่นชิ้นนั้นจนเกิดเสียงกรอบ แกรบ ราวกับจะบดมันให้แหลกคามือ ขณะที่สายตาคมกริบก็ทอดไปยังเจ้าของของขวัญ… แววตานั้นเย็นเสียจนคนผู้นั้นแทบลืมหายใจ
ทันทีที่ร่างเล็กของหลานจิ่วอวิ๋นลับออกไปพร้อมบ่าวรับใช้ บานประตูค่อย ๆ ปิดลง กลบเสียงหัวเราะไร้เดียงสาให้หายไปจากห้อง ความอบอุ่นเมื่อครู่พลันสลายราวเถ้าธุลี เหลือเพียงความเงียบหนักอึ้งที่กดทับทุกลมหายใจ
ซูจิ่งหลงเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย แต่แววตากลับเย็นเยียบราวน้ำแข็ง เขากวาดสายตาคมกริบมองเหล่าลูกหนี้ทีละคน เสียงทุ้มต่ำเอื้อนเอ่ยช้า ๆ แต่หนักหน่วงพอจะทำให้หัวใจคนฟังหดตัว “พวกเจ้ายังรักษามาตรฐาน…เอาของชั้นเลวมาวางต่อหน้าหลานชายข้าได้เหมือนเดิม”
คำพูดเรียบง่ายกลับเหมือนคมมีดกรีดลึก ทุกคนสั่นสะท้านจนแทบยืนไม่ตรง ข้างในอยากจะตะโกนแก้ตัวใจแทบขาดเพราะของเล่นชิ้นนั้นสั่งทำจากช่างไม้ชั้นเลิศ อาหารว่างก็ล้วนมาจากครัวชั้นสูงของเมืองหลวงแต่ไม่มีใครโง่พอที่จะโต้เถียงต่อหน้าชายคนนี้
ซูจิ่งหลงเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างความพอใจของหลานชาย กับความอยากบดขยี้พวกตรงหน้าในทันที สุดท้ายเขาถอนหายใจเบา ๆ พลางเอ่ยเสียงราบเรียบ “เอาเถิด…ในเมื่อหลานชายข้าดูเหมือนจะอยากช่วยเหลือพวกเจ้า ข้าก็จะถือว่าปล่อยผ่าน”
น้ำเสียงนั้นแม้จะเรียบง่าย แต่แฝงด้วยแรงกดดันมหาศาล จบคำ เขาโบกมือเพียงเล็กน้อยสัญญาณให้พวกมันรีบออกไปอย่างไม่ต้องรอซ้ำคำสั่งพวกมันต่างรีบก้มหัวคำนับแล้วถอยหลังออกจากห้องราวกับกำลังหนีเงามัจจุราช
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







