Masukทั้งวันนั้น ซูจิ่งหลงใช้เวลาอยู่กับหลานจิ่วอวิ๋นจนเสียงหัวเราะของเด็กน้อยกลายเป็นดั่งสายลมอุ่นที่พัดผ่านหัวใจอันด้านชา แต่เมื่อเงาของตะวันเริ่มทอดยาว เขาก็รู้ว่าคงถึงเวลาพาหลานชายกลับจวนของหลานเยว่ ก่อนที่ความมืดจะโอบล้อมเมืองหลวง
ระหว่างทางกลับ เขาโน้มตัวลง ให้เด็กน้อยปีนขึ้นหลังอย่างเคย มือเล็กโอบรอบคอของเขาอย่างไว้ใจ ความอบอุ่นจากร่างเล็กแผ่ซ่านเข้ามาจนหัวใจที่เคยเย็นชารู้สึกอ่อนโยนขึ้นทุกย่างก้าว“ฮ่า ๆ หลานจิ่วอวิ๋น เจ้าช่างเป็นเด็กดีนัก ลุงภูมิใจในตัวเจ้าจริง ๆ” เขาหัวเราะเบา ๆ เสียงทุ้มอบอุ่นไม่เหลือเค้าลางของชายผู้ผ่านเส้นทางนองเลือด เด็กชายหัวเราะตอบอย่างร่าเริง โดยไม่รู้เลยว่าผู้เป็นลุงนั้นล่วงรู้ทุกความพยายามเล็ก ๆ ที่เขาทำเพื่อปกป้องลูกหนี้ในเงามืดของตน
ยังไม่ทันถึงจวนของหลานเยว่ ร่างสูงก็เห็นสาวใช้ผู้หนึ่งรออยู่ที่ทางเดิน เธอก้าวมาค้อมศีรษะ เอ่ยเสียงสุภาพ “นายท่าน นายหญิงฝากมาบอกว่า คืนนี้ให้นายน้อยไปพักที่จวนของท่านแม่ทัพหลานซือเหยียน”
ซูจิ่งหลงพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเรียบ แต่ในแววตาแฝงความเข้าใจ “อืม…เดี๋ยวข้าจะไปส่งนายน้อยเอง ฝากบอกนายหญิงของเจ้าว่าไม่ต้องห่วง” เขาหยุดเล็กน้อย เหมือนลังเลว่าจะเอ่ยต่อดีหรือไม่ ก่อนเอ่ยถ้อยคำที่แผ่วแต่หนักแน่น “แล้วก็บอกนางด้วย…ลมหนาวกำลังมา ดูแลสุขภาพตัวเองให้มาก”
สาวใช้ยิ้มรับอย่างรู้ใจ เพราะแม้จวนของหลานเยว่จะมีมือสังหารคอยปกป้อง แต่ก็ยังมีบ่าวรับใช้ธรรมดาที่มองเห็นความห่วงใยลึกซึ้งของชายผู้นี้ต่อผู้เป็นนายหญิงได้อย่างชัดเจน ซูจิ่งหลงก้มมองเด็กชายตัวน้อยบนหลัง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่แฝงความอบอุ่น “ดูเหมือนว่าคืนนี้…ท่านตาของเจ้าคงอยากให้เจ้ามานอนด้วย”
หลานจิ่วอวิ๋นถึงกับตาโตด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าเล็กเปื้อนยิ้มกว้าง เขารู้ดีว่าคืนที่ได้อยู่กับท่านตา มักจะจบลงด้วยการซุกตัวฟังนิทานอันอบอุ่นจากปากแม่ทัพหลานซือเหยียนจนหลับสนิทราวกับมีใครโอบกอดในฝัน
เมื่อทั้งคู่มาถึงหน้าจวนแม่ทัพ กลับพบว่าบรรยากาศเงียบขรึมแต่เต็มไปด้วยผู้คน ชายหนุ่มในชุดขุนนางหลายคนยืนเรียงรายอยู่ด้วยท่าทีเคร่งขรึม ดวงตาคมของซูจิ่งหลงหรี่ลง ก่อนจะวูบวาบด้วยแสงแห่งความสงสัยและความไม่พอใจที่เขาเก็บซ่อนไว้ลึก ๆ “คนพวกนี้…มาทำอะไรกัน?” เสียงคิดในใจเย็นยะเยือก
หลานจิ่วอวิ๋นกำลังจะร้องเรียกท่านตา แต่ยังไม่ทันเอ่ย ซูจิ่งหลงก็วางมือใหญ่ลงบนศีรษะเล็กๆ แล้วกดเบาๆ เป็นสัญญาณให้เงียบ เขาตั้งใจฟังเสียงสนทนาที่เล็ดลอดมา และไม่นานความหมายของถ้อยคำก็ชัดเจนพวกนั้นมาขอสู่ขอหลานเยว่
หัวใจเขากระตุกวูบ ความร้อนรุ่มแผ่ซ่านขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ ศัตรูหัวใจ…จำนวนไม่น้อยยืนอยู่ตรงหน้าเขาในค่ำคืนนี้
“ลุงต้องไปแล้ว” เขาเอ่ยเพียงเท่านั้น น้ำเสียงราบเรียบแต่ดวงตายังคงจับจ้องผู้คนเหล่านั้นไม่วาง ก่อนจะส่งหลานชายถึงมือแม่ทัพหลานซือเหยียน แล้วหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ค่ำคืนนี้…เป็นครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษที่ซูจิ่งหลงไม่อาจข่มตาหลับได้เขานั่งพิงพนักเก้าอี้ในห้องเงียบงัน แสงตะเกียงสั่นไหวราวกับหัวใจของเขาที่ไม่เคยนิ่ง ภาพของหลานเยว่ผุดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าใบหน้าสงบงาม รอยยิ้มที่เคยแตะเพียงปลายสายตา และ…เงาร่างของชายหนุ่มรูปงามนับสิบที่เขาเห็นยืนอยู่หน้าจวนแม่ทัพในค่ำนี้
หัวใจเขาเหมือนถูกบีบแน่น เขาไม่คาดคิด…ว่าตนจะมีศัตรูหัวใจมากมายถึงเพียงนั้น
นางอดีตสตรีที่ครั้งหนึ่งเคยถูกตราว่าไร้ค่า แถมยังมีลูกติดกลับกลายเป็นเป้าหมายของผู้คนมากมาย แต่ซูจิ่งหลงรู้ดี…คนเหล่านั้นไม่ได้หลงรักนางจากหัวใจ พวกมันเพียงเห็นนางเป็นสะพานสู่เส้นทางแห่งอำนาจ
เพราะในวันนี้ แม่ทัพหลานซือเหยียนวางมือแล้วการได้ครอบครองนาง…ก็เท่ากับการผูกพันตนเองเข้ากับตระกูลที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดตระกูลหนึ่งในแผ่นดิน เส้นทางชีวิตของพวกมันจะถูกปูด้วยอำนาจ บารมี และเกียรติยศที่หาไม่ได้จากที่ใด
ซูจิ่งหลงขบกรามแน่น รู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบที่คลืบคลานในอกผสมกับไฟร้อนรุ่มที่เผาใจ เขาไม่เคยหวาดกลัวศัตรูในโลกมืด แต่ศัตรูหัวใจเหล่านี้…ทำให้เขาอยากลงมือเสียยิ่งกว่าใคร
ค่ำคืนนี้…ไม่ใช่เพียงซูจิ่งหลงที่นอนไม่หลับในจวนแม่ทัพ หลานซือเหยียนก็ทอดถอนใจอยู่กลางความเงียบเช่นกันแทนที่เขาจะรู้สึกยินดีที่มีขุนนางน้อยใหญ่ต่างหมายตาบุตรสาว หากเป็นเมื่อก่อน…เขาคงยกนางให้ไปโดยไม่ลังเล อดีตนั้น หลานเยว่เคยเป็นเพียงสตรีไร้ค่าตามสายตาของผู้คน การที่มีผู้ชายมากหน้าพร้อมอ้าแขนรับดูแลนาง ก็ถือเป็น เกียรติ สูงสุดในชีวิตของหญิงเช่นนั้นแต่วันนี้…ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
“เจ้าพวกนี้…ช่างทำให้ข้าเหนื่อยใจนัก” แม่ทัพพึมพำอย่างเคร่งขรึม แววตาแฝงความหวาดหวั่นปนความเด็ดขาดหากพวกมันยังคงดื้อดึง ตื้อไม่เลิก เขาจะไล่พวกมันกลับไปให้หมด ไม่เหลือแม้แต่เงาเขาไม่มีความจำเป็นต้องถนอมน้ำใจใครอีกแล้วโดยเฉพาะถ้าหลานเยว่เข้าใจผิด คิดว่าเขาต้องการผลักไสนางไปเป็นเพียง สตรีอุ่นเตียงของใคร
นั่นจะเป็นจุดจบของเขาเอง…หลานซือเหยียนไม่ต้องการชะตากรรมเช่นนั้นเขาเพียงอยากใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข ไม่อยากจบชีวิตด้วยความน่าสมเพช เหมือนผู้ชายมากมายที่เคยกล้าลองดีกับนาง…แล้วพังพินาศไม่เหลือแม้ชื่อให้จดจำ
เช้าวันถัดมา แสงอรุณเพิ่งสาดลอดผ่านหมอกจาง ๆ ซูจิ่งหลงก็ก้าวเข้าสู่จวนแม่ทัพหลานซือเหยียนวันนี้เขามิใช่บุรุษในชุดดำที่มีกลิ่นอายโลกมืด หากแต่แต่งกายด้วยชุดผ้าไหมเรียบหรู สีสุขุมตัดเย็บอย่างประณีต ทรงผมเกล้าขึ้นอย่างเรียบร้อยไร้เส้นหลุดลุ่ย ราวกับบัณฑิตหนุ่มที่ตั้งใจมาพบผู้ใหญ่เป็นครั้งแรก
หลานซือเหยียนยืนมองชายตรงหน้าแล้วอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วสูง ความทรงจำของเขายังชัดเจนบุรุษผู้นี้ในยามปกติคือเสือร้ายผู้กุมสายใยโลกมืดไว้ในมือ แต่ภาพที่เห็นวันนี้กลับราวกับเป็นคนละคน
“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากัน” แม่ทัพถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ผสมทั้งความงุนงงและระแวดระวัง ซูจิ่งหลงสบตาเขาอย่างไม่หลบเลี่ยง แววตาคมมั่นคง ริมฝีปากเอื้อนเอ่ยช้า ๆ แต่หนักแน่น“ท่านแม่ทัพ…ข้าหลงรักบุตรสาวของท่าน”
เพียงประโยคเดียว…บรรยากาศในห้องก็พลันเงียบลงจนได้ยินแม้เสียงลมพัดใบไม้ไหว หลานซือเหยียนนิ่งอึ้งราวกับถูกตีให้ชะงักไปชั่วขณะ ชายผู้นี้…คนที่เขาเคยร่วมทำธุรกิจมืดด้วยกันมานับครั้งไม่ถ้วนวันนี้กลับมายืนสารภาพรักต่อหน้าอย่างเปิดเผย ราวกับเป็นหนุ่มน้อยที่เพิ่งค้นพบว่าหัวใจตนเองถูกช่วงชิงไป
“อายุเจ้ากับนางห่างกันมากนัก”เสียงของแม่ทัพหลานซือเหยียนทุ้มต่ำ แฝงด้วยน้ำหนักของคนผ่านศึกมานับไม่ถ้วน เขาจ้องสำรวจชายตรงหน้าซูจิ่งหลง ผู้มีวัยสี่สิบต้น ๆ และชื่อเสียงเลื่องลือทั้งในโลกสว่างและโลกมืด ขณะที่บุตรสาวของเขา หลานเยว่ เพิ่งอยู่ในวัยยี่สิบกลาง ๆ เท่านั้นซูจิ่งหลงไม่หลบสายตา น้ำเสียงหนักแน่นเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมา “ตลอดชีวิตของข้า…ข้าไม่เคยหลงรักสตรีนางใด นอกจากนาง”
แม่ทัพพินิจอีกฝ่ายด้วยสายตาคมกริบ เขารู้ดีว่าฉากหน้าของชายคนนี้คือเจ้าของโรงประมูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง แต่ฉากหลังคือพ่อค้าแห่งความตาย ผู้ครอบครองเครือข่ายนักฆ่าอันแผ่กว้าง อีกทั้งยังมีสายเลือดเชื้อพระวงศ์ที่แทบไม่มีใครล่วงรู้ และยังขึ้นชื่อในเรื่องความโมโหร้ายที่ไม่เคยปรานีใคร
“แต่เจ้าเคยตบบุตรสาวข้าจนฟันร่วงไปแล้วคนหนึ่ง…จำได้หรือไม่” น้ำเสียงของแม่ทัพเต็มไปด้วยร่องรอยความโกรธเก่าที่ไม่เคยจาง ภาพของหลานอวี้ซินบุตรสาวคนรองที่เคยงามหมดจด แต่ต้องอับอายเพราะถูกตบกลางตลาดค้าทาสยังฝังอยู่ในใจ
ซูจิ่งหลงเพียงหัวเราะเย็น แววตาไม่มีแม้เงาสำนึก “ที่ข้าทำ…ก็เพื่อปกป้องลูกของนางบุตรชายของหลานเยว่” เขาเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “บุตรสาวของท่านผู้นั้น แม้จะงามหยดย้อย แต่ใจกลับอัปลักษณ์ยิ่งนัก ท่านควรขอบใจข้าเสียด้วยซ้ำที่ลงมือสั่งสอน หากเป็นคนอื่น ป่านนี้นางคงจับไปขายเป็นทาสแล้ว”
เขาก้าวเข้าใกล้เพียงครึ่งก้าว เสียงเข้มขึ้นราวประกาศิต “หากนางยังกล้าทำอีก…ข้าจะตบนางให้ฟันร่วงหมดปาก”
คำพูดตรงไปตรงมานั้นทำให้ใบหน้าของแม่ทัพหลานซือเหยียนตึงเครียดและบิดเบี้ยวด้วยอารมณ์ซับซ้อนโกรธก็มี สับสนก็มี แต่ในแววตาลึก ๆ กลับแฝงประกายบางอย่างที่ยอมรับว่าชายตรงหน้า…ที่สำคัญ เขามองหลานเยว่และลูกชายของนางเป็นดั่งโลกทั้งใบที่ไม่มีวันปล่อยให้ใครแตะต้องได้
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







