LOGINพวกเขาเดินรับลมชมทิวทัศน์กันอย่างสนุกสนาน โดยมีเด็กสาวขี่อยู่บนหลังของสามบุรุษ มีตงหาน และหานเกอเดินขนาบข้าง และองครักษ์ของพวกเขาอีกสามคน เดินตามหลังและคอยระวังภัยให้ แต่แล้วเสียงบางอย่างก็ดังขึ้นมา
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! หมับ! หมับ! หมับ! สามเด็กสาวที่อยู่บนหลังของบุรุษทั้งสาม ด้วยสัญชาตญาณป้องกันตัว พวกนางรีบใช้มือคว้าจับลูกศรของธนู ที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว พวกเขามองการกระทำของพวกนาง อย่างไม่อยากเชื่อสายตา แรงยิงของธนูไม่ใช่ว่า เด็กเช่นพวกนาง จะจับมันเอาไว้ได้ง่าย ๆ เช่นนี้ นอกเสียจากมีพลังยุทธ และพลังปราณที่แข็งแกร่งเท่านั้น ไม่นานหลังจากนั้น ลูกธนูนับสิบก็พุ่งเข้ามาที่พวกเขาอีกครั้ง “ทุกคนระวัง!” ซิ่วอิงรีบร้องขึ้นเตือนทุกคน ก่อนที่พวกเขาจะรีบชักดาบออกมาปัดป้อง แต่ก็พลาดโดนลูกธนู ปักที่แขนและขาทั้งสอง และดูเหมือนลูกธนูจะอาบยาพิษ ซิ่วอิงเห็นเช่นนั้นก็รีบตะโกนบอก ตงฮวนและหานเกอทันที “พวกเจ้าใช้พลังย้อนลูกธนูกลับไป พี่ซีฮันรีบปล่อยข้าลงเจ้าคะ” “ได้” เฉินซีฮันปล่อยนางลงที่พื้น ส่วนตงฮวนและหานเกอ เมื่อได้ยินนางบอกเช่นนั้น ก็รีบรวบรวมพลังยุทธและพลังปราณ บังคับลูกธนูที่ปักอยู่กับพื้น ให้ลอยกลับไปยังคนที่ยิงมาทันที “อ๊าก!” เสียงร้องอยากเจ็บปวดดังขึ้นมาหลังจากนั้น แล้วร่างของคนร้ายก็พากันร่วงลงมาจากต้นไม้ใหญ่ บางคนตกลงน้ำและบางคนตกลงพื้น ไม่นานก็สิ้นใจตายเพราะลูกธนูอาบยาพิษ “เฉินซีฮัน เฉินจางหย่ง เฉินเจียวหมิง ยืนมองตงฮวนและหานเกอ อย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง เด็กสองคนนี้มีพลังยุทธ เป็นไปได้อย่างไร แต่ว่าสติของพวกเขาเริ่มพร่าเลือน เพราะยาพิษเริ่มออกฤทธิ์ “เหมือนพวกเขาจะโดนพิษ” ซิ่วอิงเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนจะหยิบดาบ แล้วปาดไปที่นิ้วชี้ของนาง ก่อนจะจ่อไปปากของเฉินซีฮัน จากนั้นก็นำไปหยดลงที่ปากเฉินจางหย่งและเงินเจียวหมิง จากนั้นนางก็รีบเปิดกล่องโบราณ เห็นเม็ดยาอยู่หลายเม็ด นางจึงหยิบมาใส่ปากของพวกเขาคนละเม็ด ไม่นานอาการของเฉินซีฮันก็เริ่มดีขึ้น แต่ว่าเฉินจางหย่งและเฉินเจียวหมิง กลับไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ซิ่วอิงรีบคว้าข้อมือของเขาขึ้นมาตรวจ ด้วยสีหน้าเป็นกังวล ยังมีพิษเป็นไปได้อย่างไร นางจึงไปคว้าขอมือของเฉินซีฮันมาตรวจดูอีกครั้ง ไม่มีพิษ นี่มันอะไรกัน “มีอะไรหรือซิ่วอิง?” ตงฮวนเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะเห็นสีหน้าของซิ่วอิงไม่ค่อยดีนัก “เหมือนเลือดข้าจะไม่ได้ผล เจียวจูข้าคงต้องลองเลือดของเจ้า” เจียวจูเมื่อได้ยินก็หน้าซีด เพราะนางกลัวเลือดและที่สำคัญกลัวเจ็บ “หากเจ้ากลัวก็หันหน้าไปทางอื่น” กล่าวจบซิ่วอิงก็เฉือนไปที่นิ้วของเจียวจูทันที เจียวจูกำหมัดเอาไว้แล้วยกขึ้นมากัด เพื่อกลั้นความเจ็บ พอเลือดไหลออกมา นางก็น้ำนิ้วของนางไปจ่อ ที่ปากของเฉินเจียวหมิง ซิ่วอิงรีบจับข้อมือของเขา ขึ้นมาตรวจอีกครั้ง ก่อนจะพบว่า ครั้งนี้พิษในตัวเขาคล้ายเบาบางลง ซิ่วอิงได้แต่ครุ่นคิด เรื่องนี้แปลกมากจริง ๆ ซิ่วอิงให้เจียวจูนำนิ้ว ไปจ่อที่ปากของเฉินจางหย่งดูบ้าง แล้วซิ่วอิงก็จับข้อมือเขาขึ้นมาตรวจ ปรากฏว่ายังมีพิษ ที่มันเรื่องบ้าอะไรกัน นางงงไปหมดแล้ว “ข้าคงต้องลองใช้เลือดของเจ้าลี่อิน” “เลือดข้าเหรอได้” ลี่อินไม่รอให้ซิ่วอิงใช้ดาบ นางนกนิ้วขึ้นมากัดทันที แล้วหยดเลือดลงไปในปากของเฉินจางหย่ง ซิ่วอิงจับข้อมือของเขา ขึ้นมาตรวจพิษในร่างของเขาอีกครั้ง ไม่มีพิษแล้ว เรื่องนี้แปลกเกินไปแล้ว “ดูแล้วเลือดของเจียวจูจะเข้ากับพี่เจียวหมิง และเลือดของลี่อินจะเข้ากับพี่จางหย่ง แต่ว่าปกติเลือดของข้าก็ใช้ได้กับทุกคน หรือว่านี่จะเป็นโชคชะตาฟ้ากำหนด ให้ทั้งคู่มีวาสนาต่อกัน” ซิ่วอิงเอ่ยขึ้นมาอย่างวิเคราะห์ ก่อนจะหันไปมอง ชายอีกสามคนที่ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน “พวกท่านอ้าปากเจ้าค่ะ” คราวนี้ซิ่วอิงเลือกที่จะปาดไปที่ข้อมือของนาง เพราะนางคิดว่า นางต้องใช้มือทำงาน ข้อมือน่าจะดีกว่า พอหยดเลือดให้พวกเขาครบทุกคน นางก็เปิดกล่องโบราณอีกครั้ง และหยิบเม็ดยาออกมา แล้วใส่ลงไปในปากของพวกเขา จากนั้นก็รอดูท่าทีว่าอาการพวกเขาจะเป็นเช่นไร ปรากฏว่าสีหน้าของพวกเขาค่อย ๆ ดีขึ้น นางจึงลองจับข้อมือพวกเขามาตรวจ พบว่าไม่มีพิษ นางก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอก เลือดของนางได้ผลกับทุกคน ยกเว้นพี่จางหย่งและพี่เจียวหมิง พวกเขามองการกระทำของเด็กทั้งห้าคน โดยไม่ปริปากพูดสิ่งใดออกมา เด็กกลุ่มนี้ต้องมีความลับบางอย่างปิดบังอยู่แน่ แล้วสิ่งที่ซิ่วอิงพูดคืออะไร เลือดของเจียวจูสามารถช่วยเฉินเจียวหมิง เพราะทั้งคู่มีวาสนาต่อกัน แล้วเลือดของลี่อินก็สามารถช่วยเฉินจางหย่ง และเลือดซิ่วอิงสามารถช่วยได้ทุกคนได้ แต่ไม่สามารถช่วย เฉินจางหย่งและเฉินเจียวหมิง เรื่องราวฟังดูสลับซับซ้อนเสียจริง บุรุษทั้งสามเมื่อได้รับรู้เช่นนี้ ความรู้สึกก็เริ่มเปลี่ยนไป เฉินจางหมิงเริ่มหันมามองลี่อินอย่างจริงจัง ที่ยามนี้ใช้ผ้าเช็ดหน้า มาเช็ดปากให้เขา เพราะเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด เขายกยิ้มในความเอาใจใส่ของนาง ดู ๆ ไปนางก็น่ารักดี เหตุใดก่อนหน้านี่เขาถึงมองไม่เห็นกันนะ แต่ก็อีกหลายปี กว่านางจะโตเป็นผู้ใหญ่ เวลานั้นนางคงงดงามไม่แพ้ใคร เฉินเจียวหมิงเองก็ เอาแต่มองเจียวจูไม่ว่างตา พร้อมครุ่นคิดว่า เด็กคนนี้เป็นคู่วาสนาของเขาจริงหรือ พอเขาพิจารณาดูนางดี ๆ นางก็มีความงดงามอยู่ไม่น้อย ในวันข้างหน้า นางต้องงดงามมากเป็นแน่ ก่อนหน้านี้ เขามัวแต่พุ่งสายตาไปที่ซิ่วอิง เขาเลยไม่ได้มองเจียวจูอย่างจริงจัง พอมองอย่างละเอียดเช่นนี้ ก็รู้สึกภูมิใจขึ้นมา เขาต้องดูแลและปกป้องนางให้ดี เพราะนางคือคู่วาสนาของเขา เฉินซีฮันให้องครักษ์ไปแจ้งทางการ เพราะว่าเขาจะไปส่งเด็ก ๆ ทั้งห้าคนที่จวน และเขามีเรื่องอยากถามพวกเขาทั้งห้าคน แต่ไม่รู้เด็กห้าคนนี้จะยอมเปิดใจ และไว้ใจพวกเขามากน้อยเพียงใด ซิ่วอิงรู้ว่ายามนี้พวกเขากำลังสงสัย และนางเองก็สงสัยพวกเขาเช่นกัน เพราะนางสังเกตว่าหลายวันแล้วว่า พวกเขาน่าจะไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป นักฆ่าที่มาวันนี้ เดาได้สองทาง หนึ่งมาฆ่าพวกนางทั้งห้าคน หรืออาจจะมาฆ่าพวกเขา เป็นครั้งแรกที่นางตัดสินใจ ให้ตงฮวนและหานเกอฆ่าคน นางรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย แต่หากว่าไม่ฆ่าพวกเขา พวกนางอาจเป็นฝ่ายถูกฆ่าแทน โลกใบนี้มันโหดร้าย หากเราอ่อนแอก็จะถูกรังแกอยู่ร่ำไป เพราะฉะนั้นหากไม่มายุ่งกับพวกนาง และรังแกคนบริสุทธิ์ พวกนางก็จะไม่ทำร้ายใคร “ข้ารู้ว่าพวกท่านมีเรื่องสงสัยและอยากถาม ข้าก็มีเรื่องสงสัยและอยากถามพวกท่านเช่นกัน เราไปหาที่เงียบ ๆ คุยกันเถอะเจ้าค่ะ” “ไปที่จวนท่านปู่เถอะ” “เจ้าค่ะ” พวกเขามาถึงจวนของเฉินเจ๋อหยวนก็ค่ำมากแล้ว เฉินซีฮันผลักประตูจวนเข้ามา ก็พบกันชายชราเฉินเจ๋อหยวน รดน้ำต้นไม้ในกระถางอย่างเพลิดเพลิน วันนี้ชายชรามีความสุขมาก ตั้งแต่ย้ายออกมาอยู่นอกวัง เขามีความสุขที่สุดก็วันนี้ พอเขาเหลือบไปเห็นสามหลายชาย พาเด็กๆ ทั้งห้ามาด้วยก็ยิ้มร่า “พวกเจ้ามากันได้อย่างไรกันละเนี้ยะ มา ๆ ไปนั่งที่ห้องโถงกันก่อน” ชายชรากุลีกุจอเดินนำไปก่อน เขาดีใจเป็นอย่างมาก ที่มีแขกคนสำคัญมาเยือน พอทุกคนนั่งลงกันเรียบร้อย ซิ่วอิงก็วาดมือเป็นวงกลม แล้วปล่อยคลื่นพลังบางอย่าง ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง ทุกคนมองการกระทำของนางอย่างสนใจ “ข้าต้องป้องกันไม่ให้ใครมาแอบฟัง หรือได้ยินสิ่งที่เราคุยกันเจ้าค่ะ ข้ายังไม่พร้อมจะเปิดศึกสงครามในยามนี้” “นี่มันเรื่องอันใดกัน?” เฉินเจ๋อหยวนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้างุนงง เพราะยามนี้ทุกคนมีสีหน้าจริงจัง แล้วแม่นางน้อยซิ่วอิงกลับมีพลังขึ้นมา นี่เขาพลาดสิ่งใดไป แล้วนางพูดถึงศึกสงคราม มันคืออะไรกันซิ่วอิง ลี่อินและเจียวจู กลับมาที่จวนอีกครั้ง แล้วตรงไปยังโรงครัวเพื่อทำอาหาร อยู่ในมิติแปลกมากเลย ร่างกายเหมือนอิ่มทิพย์ ไม่รู้สึกหิวอะไรเลย อาจเพราะเป็นมิติเทพ ร่างกายจึงไม่ต้องการอาหาร แต่พอกลับออกมาเช่นนี้ นางก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที“ซิ่วอิงข้ารู้สึกหิวมากเลย”“ข้าก็เหมือนกัน”“งั้นวันนี้พวกเราจัดเต็มไปเลย ฉลองวันเกิดอายุครบ15ปี และฉลองที่พวกเราสำเร็จพลังปราณ ขั้นสูงสุด เพราะฉะนั้นข้าจะทำเนื้อย่าง และจะทำเค้กด้วย” ซิ่วอิงเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง พอพูดถึงเนื้อย่างตงฮวนและหานเกอก็รีบเข้ามาร่วมวง “สตรีคนงามข้าขอหมูสามชั้นได้หรือไม่?” ตงฮวนรีบหยอดคำหวานทันที“สตรีผู้งามล้ำเหนือผู้ใดในใต้หล้า ข้าขอกุ้งตัวโต ๆ และเนื้อย่างแบบไม่สุกมาก”“เชอะ! พวกเจ้าเป็นบุรุษที่อยู่เป็นจริง ๆ” เจียวจูส่ายหน้าอย่างรู้เท่าทันพวกเขา“ข้าไม่ได้บอกสตรีไร้ยางอายเช่นเจ้า ข้าบอกซิ่วอิงผู้เลอโลมต่างหากเล่า?” ตงฮวนตอบกลับไปอย่างยียวนกวนประสาท“นี่เจ้าเต่าโบราณล้านปี!”“หยุด! หยุดเถิดข้าขอร้อง ข้าเหนื่อยจะฟังแล้ว” ซิ่วอิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าและเริ่มรำคาญ เฉินซีฮัน เฉินเจียวหมิงและเฉินจางหย่ง ก็ต่างพากันหัวเราะออ
พวกเขาเฝ้ามองแสงที่ครอบร่างของพวกเขาทุกวัน เวลาผ่านไปห้าวันแล้ว แต่ว่าพวกเขาก็ยังไม่ออกมา ยามนี้ทุกคนนั่งไม่ติด เพราะรู้สึกเป็นห่วงว่าเหตุใดพวกเขาถึงยังไม่ออกมา พวกเขาจะฝึกพลังนานเพียงใดกันนะ“ท่านปู่ข้าเป็นห่วงพวกเขามากเลยขอรับ” เฉินซีฮันเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล เมื่อก่อนเขาก็อยู่ได้โดยที่ไม่มีนาง แต่มายามนี้ ชีวิตกระวนกระวาย เหมือนขาดอะไรไป “นั่นสิห้าวันแล้วที่พวกเขาเข้าไปฝึก หากใช้เวลาเป็นเดือนจะทำอย่างไร?” เฉินเจียวหมิงเอ่ยอย่างวิตกกังวลไม่ต่างกัน “ข้าว่าไม่นานก็คงออกมาแล้วละ พวกเจ้าดูแสงพวกนั้นสิ ค่อย ๆ จางลงแล้ว” เฉินจางหย่งเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น พร้อมชี้ให้ทุกคนดู เมื่อทุกคนมองไปดู ก็เห็นว่าแสงเริ่มลดลงจริง ๆ พวกเขาต่างมายืนจ้องมองตาไม่กะพริบ ผ่านไปเพียงห้าวัน พวกเขารู้สึกว่ายาวนานเหมือนห้าปี ก่อนที่การรอคอยจะสิ้นสุดลง เมื่อแสงที่เปล่งประกายได้จางหายไป ก่อนพวกเขาทั้งห้าคนจะลุกขึ้น และก้าวเดินมาที่พวกเขานี่มันอะไรกัน! ผ่านไปเพียงห้าวัน พวกเขาเติบโตขึ้นถึงเพียงนี้ น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ซิ่วอิง ลี่อิน เจียวจู สวยสดงดงามดั่งเซียนน้อยมาจุติยังโลกมนุษย์ ตงฮวนหล่อเหล่าสง่างาม ดั่
เด็กทั้งห้าคนกลับถึงจวน ด้วยความสบายใจเป็นอย่างยิ่ง ข้าวสารอาหารแห้ง ทางร้านจะมาส่งทีหลัง เพราะเถ้าแก่เจ้าของร้านยุ่งจนหัวหมุน พวกเขาทั้งห้าคนเห็นทุกคนเริ่ม ตุนเสบียงและอาหารเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยพวกเขา ก็ซื้อได้ในราคาปกติ หากรอไปซื้อในช่วงฤดูหนาว พ่อค้าคงขึ้นราคาเป็นแน่ “ป้าหวังที่จวนเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ” “ทุกอย่างเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงยกยิ้มอย่างพอใจ “ช่วงนี้ข้าฝากท่านป้าและลุงฮุ่ยช่วยดูแลจวนด้วยเจ้าค่ะ พี่อู่ถง พี่อู่จิ้ง พี่อู่หย่ง ต่อไปท่านทั้งสามคนช่วยดูแลเรื่องทั่วไปในจวน หากต้องการซื้ออะไรเพิ่ม หากจำเป็นก็ซื้อได้เลยเจ้าค่ะ ข้าจะฝากเงินไว้กับป้าหวัง พี่ซูผิงว่าง ๆ ก็ช่วยสอนเด็กๆ หัดคัดอักษรทีเจ้าค่ะ กระดาษและหมึก มีพร้อมไม่ต้องกังวล ช่วงนี้พวกข้ามีเรื่องให้ทำมากมาย หากวันไหนข้าไม่ได้ทำอาหาร ป้าหวังพาทุกคนทำเลยนะเจ้าคะ ให้ทุกคนได้กินอย่าปล่อยให้หิว เพื่อรอพวกข้าเจ้าค่ะ” “ขอรับ/เจ้าค่ะ ซิ่วอิงสั่งงานทุกคน เพราะตอนนี้นางและสหายมีเรื่องให้ทำมากมาย จึงไม่สามารถทำได้เหมือนแต่ก่อน “ท่านลุงช่วงนี้ยังไม่เป็ดให้ย่าง ท่านสามคนไปขนฟืนที่ช่างตัดต้นไม้มาไว้ที่จวนเจ้า
ไม่นานข่าวก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองเหยียนฟางว่า หมู่บ้านเหยียนฟางมีผีร้าย ข่าวลือเรื่องนี้ทำเอาผู้คนขนลุกขนชันด้วยความหวาดกลัว เพราะไม่ใช่เพียงทหารคนเดียวที่พบ แต่เป็นทหารหลายสิบคน รวมทั้งท่านเจ้าเมืองและนายอำเภอ ซิ่วอิงและสหาย ที่ออกมาสั่งของที่ตลาด พอได้ยินข่าวนี้ ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ด้วยความสะใจ สมน้ำหน้า! “ฮ่า ๆ ข้าละสะใจจริง ๆ” หานเกอเอ่ยขึ้น “ใช่สมน้ำหน้า ไปรบกวนวิญญาณคนตาย ก็ต้องเจอดีแบบนี้” เจียวจูเสริมขึ้น “ซิ่วอิงวิญญาณพวกเขา ยังไม่ไปเกิดใหม่อีกเหรอ?” ลี่อินเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าคิดว่าพวกเขา คงยังเป็นห่วงสมบัติอยู่ เลยยังไม่จากไปไหน” “ซิ่วอิงข้าคิดแผนออกมาได้แล้ว” ตงฮวนเอ่ยขึ้นด้วย ท่าทางเจ้าเล่ห์ “แผนอะไรรึ?” ซิ่วอิงหันมาถามอย่างสนใจ “ก็แผนไปสำรวจพื้นที่แถบนั้นนะสิ” “แต่ว่าตงฮวนเจ้าไม่กลัวผีรึ?” เจียวจูถามขึ้น “จะกลัวทำไมวิญญาณเหล่านั้น เป็นคนในครอบครัวของเราที่ถูกฆ่า ข้าดีใจเสียอีกหากว่าจะได้พบพวกเขาอีก” ซิ่วอิงฟังจากที่ตงฮวนพูดก็ครุ่นคิด แผนของเขาดีมากเลยทีเดียว ตงฮวนเป็นเด็กฉลาด เขาสามารถฟังและวิเคราะห์ ได้อย่างดีเยี่ยม“แล้วจะไปสำรวจยังไง ไม่ใช่ว่าพวกเ
เช้าวันนี้มีประกาศจากทางการว่า มีแจ้งเบาะแสว่าพบเจออดีตฮ่องเต้ หลบหนีอยู่ที่หมู่บ้านไฉ่หลิน ทางการจึงจำเป็นต้อง ส่งคนไปตรวจสอบ อู่ถงรีบเข้ามารายงานอีกเช่นเคย เพราะเขามีหน้าไปจ่ายของที่ตลาด จึงพบเห็นทางการออกมาปิดประกาศข่าวสาร ให้ผู้คนได้รับรู้ “นายหญิงน้อย ดูเหมือนทางการจะออกมาติดประกาศแจ้งข่าวขอรับ” “แจ้งว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?” “แจ้งว่าพบเจอ อดีตฮ่องเต้หลบหนีไปอยู่แถว ๆ หมู่บ้านไฉ่หลินขอรับ” ซิ่วอิงจากที่กำลังผัดผัก ก็ต้องหยุดชะงักลงทันที ทางการคงอ้างเหตุผลนี้ เพื่อเข้าไปตรวจค้นสมบัติ ที่หมู่บ้านไฉ่หลินเป็นแน่ หากเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่า ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ยังไม่รู้เรื่องนี้ และดูเหมือนท่านเจ้าเมือง จะทำการปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ “แล้วยังมีข่าวอย่างอื่นอีกหรือไม่เจ้าคะ?” “ไม่มีแล้วขอรับ” เขาตอบเสร็จก็เดินไปยกของลงจากรถวัวเทียมเกวียน ซิ่วอิงจึงหันมาหาสหาย ที่ช่วยงานกันอยู่ในครัว “ท่านเจ้าเมืองคงเริ่มให้ทหารไปสำรวจพื้นที่แล้ว ข้าลืมบอกพวกเจ้าไป ก่อนหน้านี้ข้าได้ฝันเห็น วิญญาณของทุกคนที่จากไป บิดาของข้ายังบอกอีกว่า พื้นที่แถบนั้นมีสมบัติซ่อนอยู่” “จริงเหรอซิ่วอิง” หานเกอถามขึ
เฉินซีฮัน เฉินเจียวหมิง เฉินจางหย่ง ยังคงปูที่นอนบนพื้นข้างเตียงของพวกนาง ซิ่วอิง ลี่อินและเจียวจู หลังจากชำระร่างกายเสร็จ ก็ให้พี่อู่ถงและพี่อู่จิ้งมาเปลี่ยนน้ำให้ และให้พวกเขาเข้าไปชำระร่างกาย นางนึกเห็นใจสามพี่น้องสกุลอู่ ที่ทำงานกันอย่างขยันขันแข็งและไม่ปริปากบ่น คงเพราะนางรับทุกคนมาอยู่ด้วย พวกเขาเลยรู้สึกเกรงใจ จึงพยายามทำงานทุกอย่างที่สามารถทำได้ แต่ตอนนี้มีคนมาเพิ่มแล้ว นางจะให้คนมาช่วยงานพวกเขา จะได้ไม่ไปหนักที่พวกเขาสามคนจนเกินไป ขนาดยามนี้ดึกมากแล้ว พวกเขายังทนรอรับใช้ นางรู้สึกซาบซึ้ง น้ำใจพวกเขาจริง ๆ อีกไม่นานเรือนพักก็จะสร้างเสร็จ ทุกคนจะไม่ต้องอยู่กันอย่างแออัดอีกต่อไป จวนที่ท่านปู่ให้คนมาสร้าง นางก็บอกช่างให้ทำใหญ่ไปเลย และมีเรือนแยกอีกหลายหลัง เพราะที่ดินกว้างมากจึงสามารถทำได้ ซิ่วอิงนอนคิดเรื่องราวจนผล็อยหลับไป พร้อมลี่อินและเจียวจู พวกเขาเมื่อออกมาจากห้องอาบน้ำ ก็มอง เด็กน้อยทั้งสามคนอย่างเอ็นดู เป็นเพียงเด็กแค่10ขวบ แต่ต้องมาทำอะไรมากมายเช่นนี้ โชคชะตาช่างเล่นตลกกับชีวิตคนเสียจริง พวกเขาล้มตัวลงนอนก่อนจะพากันหลับไป วันต่อมาที่โรงเตี๊ยมฟู่จิน วันนี้ทุกอย่างด







