พ่อแม่ของต้าจูต่างเข้ามาขอร้องสองแม่ลูกไม่ให้ส่งเรื่องให้ทางการ ต้าจูในยามนี้ได้ยินสิ่งที่จือหลินพูดก็เป็นลมหมดสติไปเสียแล้ว
จินฮวานางก็แข้งขาอ่อนเมื่อได้ยินว่าจะส่งตัวต้าจูให้ทางการ หากเขาถูกจับไปจริงนางก็คงไม่พ้นความผิดเป็นแน่
เป็นนางที่พูดยุยงให้ต้าจูที่กำลังหาเงินไปใช้หนี้พนันมาขโมยเห็ดหลินจือที่เรือนของสองแม่นาง นางอิจฉาในความโชคดีที่สองแม่ลูกได้รับ แต่ไม่คิดว่าต้าจูจะโง่ถึงขั้นล้มจนมีแทงตัวเองได้เช่นนี้
อี้เฉินก็เดินเข้ามาประคองมารดาไว้ จางอู๋จ้องมองจินฮวาอย่างดุดัน หากต้าจูไม่โง่ล้มลงเสียก่อนเข้าไม่อยากจะนึกว่าสองคนแม่สองที่อ่อนแอจะเป็นเช่นใด
ลี่อินที่เห็นสายตาห่วงใยของจางอู๋นางก็ก้มหน้าลงโดยไม่กล้ามอง นางรู้ว่าเพราะความหึงหวงจึงทำจินฮวาทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา
แม้ว่านางกับจางอู๋จะไม่ได้พบเจอหรือพูดคุยกันแล้ว แต่จินฮวานนางก็ยังไม่ยอมเลิกรา ลี่อินจึงคิดเรื่องที่บุตรสาวถามเรื่องที่ย้ายไปอยู่อีกครั้งขึ้นมา
“ช่างเถิดเจ้าค่ะ ข้ากับหลินเออร์จะย้ายไปอยู่ที่อื่น” ลี่อินเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันเบา
“อาอิน” ชาวบ้านรวมทั้งจางอู๋เอ่ยเรียกนางอย่างไม่อยากเชื่อหูตนเอง
“ท่านพาต้าจูกลับไปรักษาตัวเถิด ส่วนเรื่องที่จินฮวานางเป็นผู้ยุยงหรือไม่ ท่านผู้นำหมู่บ้านข้าหวังว่าท่านจะสอบถามเรื่องนี้ให้ข้าด้วยเจ้าคะ” ลี่อินเงยหน้าไปมองสบตาผู้นำหมู่บ้านอย่างอ้อนวอน
“ได้ข้าจะสอบสวนด้วยตนเอง หากนางผิดจริง ข้าจะให้นางหย่าขาดกับอาอู๋เสีย” ผู้นำหมู่บ้านพูดด้วยเสียงอันดัง
“ท่านพ่อ ไม่ ไม่นะเจ้าค่ะ ข้า ข้าไม่ได้ทำ” จินฮวาคลานเข่าเข้าไปหาพ่อสามีอย่างไม่อยากเชื่อหู
“เป็นเจ้าที่ลอบคบชู้กับสามีข้าใช่หรือไม่ จึงได้ใส่ร้ายข้าเช่นนี้” จินฮวาที่จวนตัวก็กล่าวโทษลี่อินกับจางอู๋ทันที
“เจ้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ดี ข้าจะได้พูดเรื่องทั้งหมด” ลี่อินมองไปที่จินฮวาอยากไม่อยากเชื่อ นางต้องเริ่มที่จะตอบโต้ได้แล้ว จึงเอ่ยออกมาเช่นนี้
“เจ้าจะพูดเรื่องอันใด” จินฮวาหันมามองที่ลี่อินอย่างข่มขู่
“เรื่องเมื่อสิบปีที่แล้วอย่างไรเล่าพี่หญิง” ลี่อินไม่ได้เรียกจินฮวาเช่นนี้มานานแล้ว
“หยุดปากเสีย หากเจ้าพูดออกมาข้าจะฆ่าเจ้าทิ้ง” จินฮวาโวยวายอย่างคนเสียสติ
ชาวบ้านช่วยกันจับตัวนางไว้ เพื่อไม่ให้เข้ามาทำร้ายลี่อินได้ แต่จือหลินอยากให้นางเดินเข้ามาเสียจริงจะได้จัดการนางเสียเลย ยาพิษที่นางทำขึ้นในมิติมีอยู่มากนัก จะทำให้เป็นใบ้หรือเป็นอัมพาตก็ย่อมได้ ด้วยความเร็วของนางแล้วย่อมไม่มีผู้ใดพบเห็นแน่นอน
ลี่อินสูดหายใจเข้าก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีที่แล้วโดยที่นางไม่เคยได้มีโอกาสโต้แย้งมาก่อน ป้าจงก็เดินเข้ามาใกล้นางเพื่อช่วยประคองตัวนางไว้
เสียงสะอื้นอย่างเจ็บปวดของลี่อิน และแววตาที่เจ็บปวดของจางอู๋ทำให้ชาวบ้านได้แต่ถอดถอนใจ ไม่คิดว่าสิ่งที่พวกตนกล่าวโทษมาตลอดจะลงเอ่ยเช่นนี้
“อาอิน” จางอู๋เอ่ยเรียกนางเสียงแผ่วเบา เขาเจ็บปวดไม่ต่างจากนางที่ต้องมาฟังเรื่องในหนนั้นอีกครั้ง
“ฮ่า ฮ่า แล้วอย่างไรเล่า ต่อให้พวกเจ้ารักกันมากเพียงใด ในที่สุดข้าก็ไม่ครอบครองพี่อู๋” จินฮวาหัวเราะและร้องไห้ราวคนเสียสติ
“ข้าไม่เคยรักเจ้าเลยสักนิด” จางอู๋กัดฟันพูดออกมาอย่างโกรธแค้น
“ท่านพ่อ” อี้เฉินเรียกบิดาอย่างไม่อยากเชื่อหู แม้นางจะรับรู้ทุกสิ่งจากมารดา แต่ไม่คิดว่าบิดาจะพูดออกมาต่อหน้าทุกคน
“เฉินเออร์ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เป็นมารดาเจ้าที่ชั่วช้านัก” จางอู๋หันไปพูดกับบุตรสาว ถึงนางจะเกิดมาจากเล่ห์ของจินฮวา แต่เขาก็เลี้ยงดูนางมาอย่างดี
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนของบุรุษแปลกหน้ามาถามหาเจ้ากับข้า ลี่อินเอ่ยลี่อิน เพราะเขามีฐานะข้ากลัวว่าเจ้าจะได้ดีจึงบอกว่าเจ้ากระโดดน้ำหนีความอับอายไปแล้ว” จินฮวาเอ่ยออกมาอย่างยินดี ราวกับว่าสิ่งที่นางทำเป็นเรื่องถูกต้อง
“เจ้ามันเสียสติไปแล้ว จิตใจโหดเหี้ยมยิ่งนัก” ชาวบ้านต่างตะโกนด่าทอจินฮวาอย่างหนาหู
ลี่อินไม่คิดว่าบุรุษผู้นั้นจะส่งคนออกตามหานาง จือหลินก็ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจเช่นกัน
อี้เฉินที่ทนอับอายไม่ไหวก็วิ่งหนีกลับเรือนโดยทิ้งมารดาไว้ข้างหลัง นางรับรู้มาโดยตลอดแต่ไม่คิดว่ามารดาจะโง่เขลาจนกล้าพูดเรื่องทั้งหมดออกมาในยามนี้
กว่าลานเรือนของลี่อินจะเงียบสงบก็เกือบฟ้าสาง จินฮวาถูกลากตัวกลับไปที่เรือนของผู้นำหมู่บ้าน เขาจัดการเขียนหนังสือหย่าให้บุตรชายด้วยตนเองในคืนนั้นเลย เพราะเขาก็ทนรับความอับอายที่ลูกสะใภ้ทำไว้ไม่ได้เช่นกัน
บุตรชายของเขายังหนุ่มแน่นจะแต่งงานอีกรอบก็ยังได้ ต่อให้จางอู๋คิดจะแต่งลี่อินเขาก็จะไม่เอ่ยห้ามอีกแล้ว ตอนนี้ได้แต่โทษตัวเองที่ไม่สืบสาวราวเรื่องเหตุการณ์ในครั้งนั้นให้ดีเสียก่อน จึงทำให้ชีวิตของสองแม่ลูกต้องเป็นเช่นนี้
ตอนนี้สวรรค์ได้ลงโทษเขาแล้ว โดยการที่ทำให้เรือนลุกเป็นไฟโดยสะใภ้ที่มีปากเสียงกับบุตรชายทุกวันมาตลอดสิบปี
จือหลินนางประคองมารดาเข้าไปพักในห้อง โดยมีป้าจงเข้ามาช่วยดูแล เมื่อเห็นมารดาหลับสนิทแล้วนางจึงส่งป้าจงกลับเรือน
จือหลินจึงได้มีเวลาส่วนตัวของนางเสียที นางยังไม่ได้ตรวจสอบห้วงมิติของนางเลยว่าสิ่งที่อยู่ภายในติดตามนางมาด้วยหรือไม่
จือหลินนางพาชิงชางเข้าไปภายในมิติ ชิงชางเมื่อรู้ตอนนี้ตนอยู่ที่ใดเขาก็อุ้มจือหลินเข้าไปในห้องของนางนางรู้ว่าเขาต้องการทำสิ่งใดกับนางก็อดที่จะเอ่ยถามอย่างสงสัยไม่ได้“ท่านอยู่ในขั้นใด”“ข้าเร่งเดินลมปราณ เพื่อวันนี้หลินหลิน”ชิงชางไม่ยอมบอกนางแต่เขากับจุมพิตนางอย่างดูดดื่มแทน จือหลินราวกับต้องมนต์เมื่อได้รับสัมผัสที่อ่อนโยนของเขาชิงชางไล้นิ้วไปตามเรือนร่างของนาง พร้อมทั้งปลดชุดของนางอย่างรวดเร็ว“เจ้างามยิ่งนักหลินหลิน” เมื่อได้เห็นเรือนร่างที่เปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าของนาง เขาก็อดที่จะจ้องมองอย่างตกตะลึงมิได้จือหลินนางก็ไม่ได้มีท่าทีที่เขินอายเช่นหญิงสาวทั่วไป กลับใจกล้ากว่าที่เขาคิด เพียงนางช้อนสายตายั่วยวนเขา ชิงชางก็รีบปลดชุดออกด้วยมือที่สั่นเทาก่อนจะขึ้นคร่อมตัวนางพร้อมกับมอบจุมพิตที่ร้อนแรงเต็มไปด้วยไฟปรารถนา จือหลินโอบรอบคอของเขาไว้ พร้อมทั้งใช้มือที่ซุกซนของนางสัมผัสไปที่เครื่องเพศของเขาโดยตรง“หลินหลิน เจ้าช่าง ซุก ซนนัก” ชิงชางเอ่ยแสงสั่นเทาออกมาอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้จือหลินนางเงยหน้าขึ้นหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อเห็นสีหน้าที่อดกลั้นของเขา แต่ต่อมานางก็รู้ตัวว่านางนั้นคิดผ
ภายในมิติผ่านมาได้สองปี แต่ด้านนอกเพียงผ่านไปแล้วสี่เดือนเท่านั้น ชิงชางก็คิดจะออกไปจัดการเรื่องของตนในวังหลวง แม้แต่ขั้นระดับเขาก็ไม่ให้จือหลินตรวจสอบนางก็ไม่ว่าอันใด พาเขาออกไปส่งด้านนอกอย่างที่เขาต้องการ ชิงชางมองจือหลินอย่างลึกซึ้งก่อนจะเดินจากไปโดยที่เขาไม่เอ่ยอันใดสักคำจือหลินยืนมองแผ่นหลังของเขาอย่างสะท้านในอก นางคิดว่าตัวนางไม่อยากยึดติดหรือหวังในตัวของชิงชางแล้วแต่ก็ยังอดเศร้าใจไม่ได้“ชางเออร์เจ้ากลับมาเสียที” หลีจิ้งมองบุตรชายที่รูปร่างและกลิ่นอายที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างแปลกใจ“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกมีเรื่องจะพูดกับพวกท่าน”“หากเป็นเรื่องของหลินเออร์ พ่อเข้าใจ แต่เจ้าก็ต้องรู้ว่าต่อไปเจ้ามิอาจมีนางเพียงผู้เดียวได้”หลีจิ้งมองบุตรชายอย่างจริงจัง เพราะตัวเขาที่คิดจะมีเพียงอี้หนิงในวังหลังเพียงหนึ่งเดียวยังไม่อาจทำได้เขาจำต้องรับบุตรสาวของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ทั้งผู้ที่เคยช่วยเหลือจนเขาได้นั่งในบัลลังก์ครั้งนี้ไว้อย่างเสียไม่ได้เพียงปีเดียวก็มีพระสนมมากถึงนับสิบคนแล้วชิงชางฟังคำพูดของบิดาหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด“ลูกไม่คิดจะเป็นฮ่องเต้เช่นเสด็จพ่อ ลูกต้องการออกเดิ
ชิงชางอับอายจนใบหูของเขาแดงก่ำ ตัวเขาจะเคยทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ที่ทำกับนางก็เป็นครั้งแรกของเขาเช่นกันแล้วสตรีเช่นนางกับพูดเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อย่างไม่อายบอก หรือว่านางเคยถูกผู้ใดจุมพิตมาแล้วชิงชางยิ่งคิดก็ยิ่งเกิดอาการหึงหวง เขาเดินเข้าไปจับใบหน้าของนางไว้แล้วจุมพิตนางอีกครั้งอย่างรุนแรงแต่ครั้งนี้จือหลินนางตกตะลึงอย่างแท้จริง เพราะไม่คิดว่าชิงชางจะจุมพิตนางอีกครั้ง นางคิดว่าคำพูดของนางจะทำให้เขาเกิดอยากเปลี่ยนใจจือหลินกลับเป็นฝ่ายดึงรั้งคอของชิงชางไว้ แล้วเริ่มใช้เรียวลิ้นของนางหยอกล้อกับเรียวลิ้นของชิงชางแทนในตอนแรกชิงชางก็นิ่งชะงักอย่างตกตะลึง เขาไม่คิดว่านางจะจุมพิตได้ช่ำชองเช่นนี้ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นความรัญจวนที่นางมอบให้ทั้งสองไม่รู้ว่าตนจุมพิตกันนานเพียงใด แต่เมื่อจือหลินนางถอนริมฝีปากออก ชิงชางกลับอาลัยอาวรณ์อย่างไม่สิ้นสุด“หลินเออร์ เหตุใดเจ้า”“ท่านอยากจะรู้ว่าเหตุใดข้าถึงจุมพิตเป็นใช่หรือไม่”จือหลินนางจ้องมองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างหยอกล้อ ก่อนจะเล่าเรื่องที่นางไม่ใช่คนในภพนี้ให้ชิงชางได้ฟังทั้งคู่เข้ามานั่งในห้องนั่งเล่นที่โซฟาแทนห้องทดลองของจือหลินนางบอกเล่า
บ่าวไพร่ในจวนตระกูลถานรวมทั้งองครักษ์ของชิงชางต่างแตกตื่นกันให้วุ่น เพราะเรื่องที่จือหลินและชิงชางหายตัวไปจากห้องนอนในเรือนของป๋อฉิวอย่างไร้ร่องรอยลี่อินที่ยังไม่หายดีก็ให้ตงฟางประคองตนมาที่ห้องของจือหลินอย่างร้อนใจจือหลินนางออกทันเห็นคนกำลังเข้าช่วยมารดาที่หมดสติอยู่ในห้องของนางพอดี“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเจ้าคะ” เสียงของนางทำให้ทุกคนหยุดนิ่งอยู่กับที่ คนที่มีสติที่สุดเห็นจะเป็นตงฟางที่วิ่งเข้ามากอดเอวพี่สาวไว้แน่น แล้วปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใครจือหลินต้องลูบหลังปลอบประโลมเขาอยู่พักใหญ่กว่าจะเงียบเสียงลง คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตงฟางต้องแสร้งเข้มแข็งมากเพียงใด เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับพี่สาวของตน เพราะเขาต้องดูแลมารดาที่ล้มป่วยทั้งยังน้องชายคนเล็กที่เสียขวัญอีกด้วย“หลินเออร์ เจ้ากลับมาหาแม่แล้ว” ลี่อินเมื่อได้สติก็ลุกขึ้นดึงตัวบุตรสาวเข้ามาสวมกอดอย่างหวงแหนท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อบ่าวไปแจ้งว่าพบตัวจือหลินแล้วก็รีบร้อนเดินมาทันที“หลินเออร์” ผู้เฒ่าถานมองหลานสาวด้วยดวงตาที่เออคลอไปด้วยน้ำตาส่วนฮูหยินผู้เฒ่าถานเดินเข้ามาสวมดอกนางไม่ต่างจากที่ลี่อินทำเลย“พวกท่านใจเย็นก่
ภายนอกมิติต่างวิ่งวุ่นตามหมอกันไปทั่ว เพราะหลายวันแล้วที่จือหลินนางนอนอย่างไม่ได้สติ พวกเขาที่รอเวลาให้นางตื่นก็ไม่อาจทนรอได้อีกหมอที่มาตรวจก็ไม่อาจหาสาเหตุที่ทำให้จือหลินนางหมดสติเช่นนี้ได้ เพราะร่างกายของนางเหมือนกับคนที่หลับสนิทเท่านั้นหลีจิ้งเมื่อจัดการเรื่องภายในวังหลวงเสร็จสิ้นก็มารับอี้หนิงกับอวี่ซีกลับเข้าวังหลวง เพื่อสถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้และฮองเฮาพระองค์ใหม่ป๋อฉิวถูกราชโองการแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกรมกลาโหมทันทีที่หลีจิ้งขึ้นนั่งบัลลังก์ เขาไม่ได้รู้สึกยินดีกับตำแหน่งที่ได้จวนตระกูลถานยังไม่เปิดรับผู้คนที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดี เพราะบุตรสาวที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่ในเรือนของเขาชิงชางเมื่อช่วยบิดาจัดการเรื่องในวังหลวงเสร็จสิ้น ตัวเขาก็แทบจะอยู่ที่จวนตระกูลถานไม่ยอมขยับไปที่ใด ได้แต่นั่งเฝ้าจือหลินที่นอนหลับอยู่บนเตียงเขามักจะนำตำรา หรือเรื่องที่พบเจอมาตลอดที่ไม่ได้อยู่กับนางมาเล่าให้นางฟัง จนคนที่เข้ามาพบเห็นอกเห็นใจเขาไม่ได้ป๋อฉิวก็ไม่ทำใจไล่เข้ากลับวังไม่ลง จึงปล่อยให้เขานั่งพูดอยู่เช่นนั้น เรื่องร้านค้าของจือหลินก็ไม่มีปัญหา เพราะของที่นางทำไว้ยังมีอีกมาก ลี่อินที่
ป๋อฉิวไม่เคยเห็นด้านที่อ่อนแอเช่นนี้ของนาง เขาอดที่จะจุกในอกไม่ได้ สุดท้ายแล้วอย่างไรนางก็เป็นเด็กสาวที่ต้องการคนปลอบประโลมชิงชางกับหลีจิ้งทรุดตัวลงอย่างสิ้นแรง ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากการระเบิดพลังครั้งนี้ของจือหลินแต่เพียงไม่นาน ร่างกายที่ทุกคนได้รับบาดเจ็บ แม้แต่โรคที่รักษาไม่หายเมื่อถูกแสงสีขาวของจือหลินต่างก็หายราวปาฏิหาริย์ เรื่องนี้ชาวเมืองที่หนีไม่ทันจากแสงก็รับรู้ได้เช่นกันชาวชราที่เดินกลับเรือนเขาไม่อาจวิ่งหนีได้เช่นคนหนุ่มสาว เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งร่างกายที่ทรุดโทรมก็กลับแข็งแรงขึ้นอย่างน่าประหลาดใจคนขอทานที่ขาหัก ล้มอยู่ที่พื้น เพราะโดนชนจนหนีไม่ทันก็กลับมาลุกขึ้นเดินได้เมื่อแสงสีขาวหายไปกลายเป็นที่ร่ำลือไปทั่ว ชาวเมืองทั้งหมดต่างออกจากเรือนเพื่อมารอแสงสีขาวอีกครั้ง แต่ก็ไม่เคยปรากฏขึ้นอีกเลยป๋อฉิวประคองบุตรสาวขึ้น ก่อนที่ทั้งคู่จะร่ำลาสองพ่อลูกกับจวนของตนไป“หลินเออร์” ชิงชางร้องเรียกนาง“ท่านจัดการเรื่องของท่านเถิด ข้าจะกลับจวนเพื่อไปดูมารดาและน้องชาย” จือหลินนางไม่ได้หันไปมองชิงชางเลยสักนิดจือหลินพูดจบนางก็หมดสติไปทันที เพราะการระเบิดพลังและการเลื่อนขั้นที่เกิดข