หลินซินเยว่ได้ยินสิ่งที่พี่ชายพูดมา ก็เข้าใจได้ทันทีว่าต่อให้จะมีการเปลี่ยนผู้นำ หรือชาวบ้านเริ่มทำการค้าได้แล้ว แต่งานในคอมมูนยังคงมีต่อไป นั่นเพราะว่ายังไม่ยกเลิกกฎนี้ ดูท่าจะอีกสามถึงสี่ปีหลังจากนั้น ถึงจะมีการยกเลิก
หญิงสาวไม่ต้องการให้ครอบครัวทำงานหนักอีกแล้ว จึงคิดว่าต้องหาโอกาสพูดเรื่องมิติกับคนในครอบครัวหลิน อย่างน้อยพี่ใหญ่ของเธออาจจะทำการค้าได้ แล้วพ่อกับแม่จะได้ไม่เหนื่อย เพราะเธอคิดว่าท่านทั้งสองควรจะพักได้แล้ว
‘ก่อนจะบอกพ่อแม่ บอกพี่ใหญ่ก่อนดีกว่า’
เมื่อคิดได้อย่างนั้นเธอก็พูดขึ้นมาว่า “พี่ใหญ่ ฉันฝากยาสูบไปให้พ่อหน่อยสิ”
ไม่พูดเปล่า เธอลูบที่กลางฝ่ามือแล้วเอาบุหรี่และของออกมาจากอากาศอีกหลายอย่างต่อหน้าต่อตาพี่ชาย
หลินอี้เฉินแม้จะตกใจอย่างมากที่เห็นอย่างนั้น แต่แววตาของเขากลับไม่มีความโลภกับสิ่งที่เห็นหรือหวาดกลัวน้องสาวคนนี้เลย เขาทำเพียงถามออกมาว่า
“เธอทำได้ยังไง เอาของพวกนี้มาได้ยังไง”
พอเจอคำของพี่ชาย หลินซินเยว่จึงเล่าเรื่องราวให้เขาฟัง ซึ่งสิ่งที่เล่าก็ไม่ต่างจากที่เคยเล่าให้สามีฟังเลย แถมไม่มีตกหล่นเลยแม้แต่คำเดียว
เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว หลินอี้เฉินก็พูดออกมาอย่างเป็นห่วงว่า
“ดีแล้ว ต่อจากนี้ก็ใช้ชีวิตให้ดี อย่าให้ท่านตาคนนั้นต้องผิดหวังกับของวิเศษที่ให้มา อีกอย่าง ต้องใช้อย่างระมัดระวังด้วย เพราะคนชอบสอดรู้สอดเห็นมีเยอะ หากมีคนอื่นรู้เรื่อง น้องอาจเกิดอันตรายได้”
“ค่ะพี่ใหญ่ ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง ฉันคิดว่าช่วงที่รอพี่กวนหยางเลิกงาน ฉันว่าจะไปสำรวจตลาดสักหน่อย พี่จะไปกับฉันไหม เผื่อว่าเราจะทำการค้าได้ ต่อไปฉันว่าพี่ไม่ต้องไปทำงานที่คอมมูนแล้วก็ได้”
หญิงสาวเอ่ยปากชวนพี่ชายแม้จะรู้ว่าเขายังคงทำงานที่คอมมูนอยู่ เธอได้แต่หวังว่าเขาจะตอบตกลงมาร่วมทำงานกับเธอ
“อืม ถ้าอย่างนั้น พี่เอากับข้าวไปให้พ่อกับแม่ก่อน แล้วจะไปลางานช่วงบ่ายด้วย ขอบใจนะที่ยังนึกถึงพี่ชายคนนี้”
หลินอี้เฉินเข้าใจความหมายของน้องสาวที่ชวนตนเองเข้าเมืองด้วย จึงตอบรับอย่างโดยดี เพราะเขากลัวว่าหากน้องสาวไปคนเดียวอาจจะเกิดอันตรายได้
หลังจากที่เอาอาหารกลับไปบ้านแล้ว หลินอี้เฉินก็รีบไปลางาน ก่อนจะรีบกลับมาหาน้องสาว
จากนั้นทั้งสองคนก็รีบออกมาจากหมู่บ้าน แต่หลินซินเยว่แวะเอากับข้าวไปส่งให้บ้านสามีกับพี่สะใภ้ทั้งสองคนก่อน
“อ้าวซินเยว่ มีอะไรหรือเปล่า” สะใภ้รองของบ้านโม่เอ่ยถามอย่างแปลกใจที่เห็นน้องสะใภ้มาหาตอนนี้อีกครั้ง นั่นก็เพราะว่าเพิ่งแยกจากกันไม่นาน
“พอดีฉันทำกับข้าวไปให้พี่กวนหยางน่ะ แต่ทำไว้เยอะเลยแบ่งเอามาให้ที่บ้านโม่กินด้วย” เธอตอบด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับยื่นกล่องใส่อาหารให้กับพี่สะใภ้
“ขอบใจมากสะใภ้สาม ว่าแต่เข้ามาคุยในบ้านก่อนไหม วันนี้พ่อกับแม่ก็อยู่บ้านนะ” ห่ายเยี่ยนรับกล่องอาหารมาแล้วก็บอกกับน้องสะใภ้พร้อมกับเปิดประตูบ้าน แล้วเชื้อเชิญให้เข้ามาในบ้าน
“เดี๋ยวค่อยกลับมาคุยกันนะคะพี่สะใภ้รอง พอดีฉันรีบเอากับข้าวไปให้พี่กวนหยางที่ร้านน่ะค่ะ” หญิงสาวรีบบอกกับพี่สะใภ้ตอนนี้เธอกำลังรีบมาก เพราะดูเหมือนว่าจะใกล้เวลาพักเที่ยงของสามีแล้ว อีกทั้งหลินอี้เฉินพี่ชายของเธอก็กำลังรออยู่ด้วยเหมือนกัน
“ขอบใจมากนะสะใภ้สาม เดินทางดี ๆ ล่ะ”
ห่ายเยี่ยนกล่าวขอบคุณอีกครั้ง จากนั้นจึงมองแผ่นหลังของน้องสะใภ้เดินจากไปจนลับตาพร้อมกับพี่ชายของเธอ
จากนั้นจึงเดินเข้าบ้านเพื่อไปเตรียมอาหารให้กับทุกคน
หลินซินเยว่และหลินอี้เฉินเดินออกมาขึ้นรถประจำทางเพื่อเข้าไปตัวเมือง ชาวบ้านต่างก็มองอย่างสงสัย ว่าสองพี่น้องจากบ้านหลินนั้นกำลังจะไปไหนกัน และมีคนที่พอจะมีความสนิทสนมกับบ้านหลินในรถคันนี้ด้วย จึงกล้าที่จะเอ่ยถาม
“อี้เฉิน จะพาซินเยว่ไปไหนล่ะ วันนี้ไม่ทำงานเหรอ”
แม้จะถามคนเป็นพี่ชาย แต่สายตาของหลายคนก็มองไปที่หลินซินเยว่อย่างสนใจ
“พอดีวันนี้ผมจะเข้าไปทำธุระในเมืองน่ะครับ ส่วนซินเยว่ก็จะเอาข้าวเที่ยงไปให้พี่กวนหยางด้วย พวกเราเลยไปพร้อมกัน”
ชายหนุ่มตอบกลับ ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มอยู่เล็กน้อยเพราะปกติเขาก็เป็นคนที่มีอัธยาศัยดีอยู่แล้ว
ส่วนหลินซินเยว่เลือกที่จะนั่งเงียบและมองข้างทาง โดยไม่สนใจคนที่อยู่ในรถเลย เพราะเธอไม่อยากสนิทสนมกับพวกสอดรู้สอดเห็นแบบนี้
ไม่นานรถประจำทางก็มาถึงจุดจอดรถรับจ้าง หญิงสาวจึงรีบลงจากรถและเดินมาจ่ายเงินสำหรับสองคน ก่อนจะรีบชวนพี่ชายไปที่ร้านขายข้าวสารที่โม่กวนหยางทำงานอยู่
“พี่ใหญ่ เราสองคนไปหาพี่กวนหยางก่อนนะคะ”
“ดีเหมือนกัน นี่ก็เที่ยงพอดี” หลินอี้เฉินพยักหน้าตอบรับอย่างไม่ขัดข้องอะไร เพราะตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว
“แล้วหลังจากนั้นเราจะควรไปที่ไหนต่อดีคะ ตัวฉันเองไม่ค่อยรู้เรื่องตลาดการค้าเลยนะ”
ระหว่างที่เดินไปร้านข้าวสาร หลินซินเยว่เอ่ยถามพี่ชาย เพราะที่ผ่านมาร่างเดิมทำเพียงใช้จ่ายเงินซื้อของตามที่ต้องการเท่านั้น ไม่คิดที่จะทำงานอะไรเลย
“พี่คิดว่าอันดับแรกคงต้องไปที่ตลาดมืดก่อน แม้ว่าตอนนี้จะมีการค้าเสรีแล้วก็ตาม แต่สินค้าหลายอย่างยังขาดแคลนและจำกัดจำนวนการซื้อ รวมไปถึงในตลาดมืดชาวบ้านไม่ต้องใช้คูปอง ต่อให้จะเริ่มยกเลิกใช้ในบางพื้นที่แล้วก็ตาม
แต่เมืองของเรายังคงใช้อยู่ ชาวบ้านจึงยังนิยมที่จะไปซื้อของในตลาดมืดอยู่ เพราะมีทั้งสินค้าหลากหลาย แถมราคาก็ยังไม่แพงอีกด้วย พี่ว่าเราควรจะไปเปิดการค้าในนั้นก่อน จากนั้นค่อยขยับขยายมาเปิดร้าน”
หลินอี้เฉินพูดตามที่รู้มา เพราะเขาก็เป็นคนหนึ่งที่มักจะมาซื้อของในตลาดมืดเพราะมันมีสินค้าหลากหลายและราคาถูก
คำตอบนั้นทำให้หลินซินเยว่มองพี่ชายอย่างแปลกใจ เธอไม่คิดว่าเขาจะมีความรู้ในเรื่องพวกนี้เหมือนกัน
“เอาตามที่พี่บอกมาก็ดีเหมือนกันค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ายังเข้าใจพร้อมกับยิ้มให้เขา
ไม่นานสองพี่น้องก็เดินมาถึงร้านขายข้าวสารที่โม่กวนหยางทำงานอยู่ ก่อนที่หลินซินเยว่จะใช้สายตามองไปในร้านเพื่อหาสามี และเมื่อเห็นว่าเขามองมาพอดี เธอจึงโบกมือให้พร้อมกับกวักมือเรียกให้เขาออกมา
“ซินเยว่มาแล้วเหรอ อ้าว อาเฉินก็มาด้วยกันเหรอเนี่ย” โม่กวนหยางรีบเดินออกมาหาภรรยาแล้วเอ่ยทักทาย พร้อมกับมองพี่ภรรยาอย่างแปลกใจเพราะไม่คิดว่าหลินอี้เฉินจะมาด้วย
“พี่ใหญ่รู้เรื่องทั้งหมดเรียบร้อยแล้วค่ะ ฉันเลยชวนพี่ใหญ่มาดูตลาดด้วย ช่วงที่เวลารอพี่กลับบ้านน่ะ” หลินซินเยว่เห็นสายตาสงสัยของสามีก็กระซิบไขข้อข้องใจให้สามีรู้เบา ๆ
“ดีแล้ว น้องจะได้ไม่ต้องปิดบังอาเฉินให้อึดอัดใจ อีกอย่างต่อไปอาเฉินจะได้คอยช่วยเหลือน้องด้วย”
โม่กวนหยางพยักหน้ารับรู้ เขารู้สึกดีเสียด้วยซ้ำที่ภรรยาได้บอกกับครอบครัวหลินเรื่องความลับของเธอ และเชื่อว่าคนบ้านหลินไม่มีวันทำร้ายภรรยาของเขาแน่ เพราะขนาดเมื่อก่อนเธอร้ายกาจมากแค่ไหนแต่พวกเขาก็ยังรักเธอมาก
แล้วตอนนี้หลินซินเยว่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น พ่อแม่และพี่ชายก็ยิ่งจะรักเธอมากกว่าเดิม
“นี่คือข้าวกลางวันของพี่ค่ะ พี่ทำงานเหนื่อยไหม” เธอยื่นกล่องข้าวให้กับสามี ก่อนจะถามเขาอย่างห่วงใย
“นิดหน่อยครับ” ชายหนุ่มตอบกลับ แต่ทว่าหูแดงเล็กน้อยเพราะความเขินอาย ปกติภรรยาไม่ใส่ใจเขาขนาดนี้ แถมตอนนี้ยังมีสายตาของคนอื่นมองมาที่เขากับภรรยาด้วย
หลินซินเยว่เห็นอาการของสามีแบบนั้น เธออดไม่ได้ที่จะหลุดอมยิ้มเล็กน้อย แต่เลือกที่จะไม่พูดหยอกล้อเพราะกลัวเขาจะเขินอายมากกว่าเดิม
“อาหารที่ฉันทำมาเยอะอยู่นะ กินได้หลายคนเลย พี่จะแบ่งให้เพื่อนกินด้วยก็ได้นะคะ ฉันไม่กวนพี่แล้ว เดี๋ยวฉันจะไปเดินดูตลาดกับพี่ใหญ่ แล้วตอนเย็นฉันจะมารับนะคะ”
หลินซินเยว่บอกกับสามีอย่างอ่อนหวาน เพราะเห็นสายตาของคนงานมองมาทางเธอและสามี การแบ่งปันเป็นสิ่งที่ดี เธอคิดอย่างนั้น
“ขอบใจนะ เดี๋ยวพี่จะแบ่งให้เพื่อน ๆ กินด้วย ว่าแต่จะไปเดินดูตลาดก็ระวังด้วยนะ อย่าอยู่ห่างจากอาเฉิน พี่เป็นห่วง” ชายหนุ่มรับกล่องอาหารมาแล้วบอกกับภรรยาให้ระวังตัวในการเดินตลาด
“ค่ะ ว่าแต่คนนั้นใช่เถ้าแก่ของร้านหรือเปล่าคะ” หญิงสาวรับปากอย่างสดใส และเมื่อเห็นชายคนหนึ่งในร้านที่หน้าตาเหมือนคนคิดหนัก เลยเลือกที่จะถามสามี
“ใช่แล้วล่ะ นั่นคือเถ้าแก่ของร้าน ดูเหมือนวันนี้เขาจะมีปัญหา จึงดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร ว่าแต่ซินเยว่ถามทำไมเหรอ” ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าภรรยาถามถึงเถ้าแก่ร้านทำไม จึงอดที่จะถามเธออย่างสงสัยไม่ได้
“พี่ไปกินข้าวเถอะค่ะ ฉันขอเข้าไปคุยกับเถ้าแก่หน่อยนะ พี่ใหญ่ตามฉันมาด้วยนะคะ”
หลินซินเยว่บอกสามีออกไปพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน พร้อมกับคิดในใจว่า
‘คนที่ทำการค้ามีเรื่องเครียดไม่กี่เรื่องหรอก และยุคนี้อาหารจำเป็นมาก แถมยังขาดแคลนอีกต่างหาก การที่เถ้าแก่ร้านมีสีหน้าเคร่งเครียดแบบนั้น คงไม่พ้นหาซื้อของเข้าร้านไม่ได้ หรือไม่ คู่ค้าอาจจะเพิ่มราคาเพื่อกักตุนสินค้า นี่เป็นโอกาสดีที่ฉันจะเริ่มทำการค้าแล้วสินะ’
บทส่งท้าย ความรักที่สมบูรณ์ของหลินซินเยว่ตอนที่ได้ยินว่าภรรยาตั้งท้อง โม่กวนหยางก็ตกใจและดีใจมากแล้ว แต่พอรู้ว่าเธอตั้งท้องแฝด เขากลับยิ่งทั้งดีใจและเริ่มเป็นกังวล เพราะกลัวจะดูแลเธอไม่ดี“ซินเยว่ได้ยินที่คุณหมอบอกแล้วใช่ไหม ต่อไปนี้ไม่ต้องทำงานอะไรอีกแล้วนะ เดี๋ยวพี่จะทำทุกอย่างแทนซินเยว่เอง เรากลับบ้านกันเถอะ ส่วนที่ร้านก็ให้โม่เจิ้งฉีกับน้องสะใภ้ดูแลไปก่อน” โม่กวนหยางพูดกับภรรยาอย่างอ่อนโยน“ก็ได้ค่ะ” หลินซินเยว่ตอบรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้งเพราะเธอก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่เมื่อเดินออกมาจากห้องตรวจ ก็พบเข้ากับพ่อแม่จากทั้งสองบ้านมารอถามข่าว เมื่อทุกคนได้รับรู้ข่าวดีก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจ“ดีจริง ๆ ต่อไปเจ้าสามจะต้องดูแลสะใภ้สามให้ดี ๆ นะ งานขายของก็พักไว้ก่อน เดี๋ยวพ่อแม่จะมาช่วยดูแลร้านให้เอง แถมตอนนี้ยังมีโม่เจิ้งฉีกับเซี่ยเป้ยนีมาช่วยดูแลด้วย ซินเยว่ก็ไม่ต้องห่วงนะ” ฟางเหนียงพูดกับลูกชายของตนเองกับสะใภ้“นั่นสิ ซินเยว่ต้องพักผ่อนเยอะๆ นะลูก ท้องแรกแถมยังเป็นท้องแฝดด้วย ต้องระวังตัวให้มากๆ เดี๋ยวแม่จะอยู่ช่วยดูแลซินเยว่เองนะลูก เราจะต้องเริ่มบำรุงด้วยอาหารที่เพิ่มน้ำนมแล้วนะฟางเหนียง
บทที่ 59 งานแต่งของหลินอี้เฉินเมื่อวันที่บ้านหลินมาสู่ขอคุณหนูหวาง แม้ว่าทั้งสองคนจะฐานะต่างกัน แต่บ้านหลินทำเต็มที่ จนชาวบ้านที่รู้ข่าวตกตะลึงไม่น้อย แล้วยังมีของขวัญจากน้องสาวและน้องเขยคือตึกในแหล่งการค้าอีกด้วย“หลังจากนี้ฉันฝากหลิงหลิงไว้กับนายด้วยนะ ต่อจากนี้ฉันก็กล้าที่จะวางมือแล้ว” นายท่านหวางเอ่ยขึ้นมาอย่างอ่อนโยนเขาไม่ได้สนใจว่าสินสอดที่อีกฝ่ายให้มานั้นจะมากน้อยแค่ไหน เพราะเขาตั้งใจว่ายื่นคืนกลับให้ว่าที่ลูกเขยและลูกสาวไว้ทำทุน เพราะอย่างไรหลินอี้เฉินย่อมก็ต้องเข้ามาช่วยดูแลกิจการของครอบครัวหวางอยู่แล้ว“ครับนายท่าน ผมจะดูแลคุณหนูและกิจการของตระกูลหวางให้ดี” หลินอี้เฉินรับปากอย่างหนักแน่นจริงจัง“ยังจะมาเรียกนายท่าน เรียกคุณหนูอยู่อีก เราจะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ นายก็ควรเรียกฉันว่าพ่อได้แล้ว ส่วนหลิงหลิงนายจะเรียกชื่อเธอหรือจะเรียกภรรยาก็ตามใจนาย” นายท่านหวางพูดขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี“ครับคุณพ่อ ผมจะดูแลหลิงหลิงกับตระกูลหวางให้ดีครับ” หลินอี้เฉินตอบใหม่อีกครั้ง“และเราสองคนจะกลับไปดูแลพ่อกับแม่ที่บ้านหลินบ่อยๆ นะคะ” หวางหลิงหลิงเองก็หันไปพูดกับหลินไป๋หานและจางฮุ่ยอี อย่างนอ
บทที่ 58 ซื้อที่ดินสร้างกิจการของตัวเอง“นายมาหาฉันทำไม” หญิงสาวถามหลวนหมิงด้วยน้ำเสียงเย็นชา เพราะเธอพอจะสืบเรื่องนี้มาได้เหมือนกัน“ผมมีเรื่องมาสารภาพครับ” หลวนหมิงพูดออกมาด้วยท่าทางนอบน้อมจากนั้นชายหนุ่มจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่มีคำไหนตกหล่นเลยแม้แต่น้อย ครั้งนี้เขาก็ไม่รู้ว่าหน้าที่การงานจะยังอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจที่จะพูดออกมาทั้งหมดเพื่อรักษาชีวิต“ฉันดีใจนะหลวนหมิง ที่นายมาสารภาพด้วยตนเองแบบนี้ ครั้งนี้ฉันถือว่านายได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่นายทำตามคำขอของหญิงคนนั้น หน้าที่การงานรวมถึงชีวิตของนายก็จะไม่เหลือ เพราะฉันเองก็คงจะต้องตามล่านายเหมือนกัน นายรู้ใช่ไหมว่าตอนนี้ตระกูลหลินกับตระกูลหวางมีความเกี่ยวดองกันแล้ว”หวางหลิงหลิงพูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกยินดี ที่ลูกน้องของคุณพ่อคนนี้กล้ามาพูดตรงๆ และกล้ายอมรับความผิดทั้งหมดด้วยตัวเอง เธอจึงพร้อมที่จะให้อภัย และให้เขาทำหน้าที่เดิมต่อไป “ครับคุณหนู” หลวนหมิงตอบกลับมาเพียงเท่านี้ ก่อนจะก้มหน้ารู้สึกผิดอีกครั้ง“ถ้าอย่างนั้นนายก็ทำหน้าที่ของนายต่อไป และเมื่อไรที่นายพบผู้หญิงที่อยากจะ
บทที่ 57 จบสิ้นเรื่องวุ่นวายส่วนทางด้านหลินอี้เฉิน เขาได้พาหวางหลิงหลิงมาเดินเล่นในหมู่บ้านโดยมีสายตาของชาวบ้าน ต่างก็มองอย่างอยากรู้อยากเห็น“ทำไมคุณต้องเดินห่างฉันขนาดนี้ หรือว่าคุณมีคนรักอยู่ในหมู่บ้านนี้ เลยกลัวว่าเธอจะเห็นเราสองคนเดินด้วยกันเหรอ” หญิงสาวถามขึ้นมาคล้ายกับจะหยอกล้อ แต่ความจริงเธอต้องการคำตอบนี้อย่างมาก“ผมยังไม่มีคนรักครับ แต่ที่ผมต้องเดินเว้นระยะห่างกับคุณเพราะกลัวชาวบ้านจะเอาไปนินทา แล้วจะทำให้คุณเสียหาย”หลินอี้เฉินตอบกลับอย่างจริงจัง ขณะที่ตอบก็สบตาหญิงสาวอย่างไม่หลบเลี่ยง เพราะกลัวว่าเธอจะไม่เชื่อในสิ่งที่เขาได้บอกไป“เป็นไปได้เหรอที่คุณจะไม่มีคนรัก ดูจากอายุแล้วน่าจะเลยวัยที่จะต้องแต่งงานแล้วนะ” เธอแสร้งถามอย่างหยอกล้ออีกครั้ง ทั้งที่หัวใจนั้นพองโตไม่น้อยกับคำตอบที่ได้รับรู้“เมื่อก่อนบ้านผมจนน่ะ ไม่มีใครอยากให้ลูกสาวต้องมาลำบากหรอกครับ” คราวนี้เขาตอบออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ๆ เพราะนึกถึงฐานะของตนเองกับหญิงสาวที่แตกต่างกันมาก“แต่ตอนนี้บ้านของคุณมีฐานะดีขึ้นแล้วนี่ จะกลัวการแต่งงานทำไม ถ้าอย่างนั้นคุณลองมาคบหากับฉันไหม แต่คุณจะรับความเสี่ยงได้หรือเปล่าล่ะ เพร
บทที่ 56 ไม่หาเรื่อง เรื่องก็มาหา“พี่คิดว่าฉันโหดร้ายเกินไปหรือเปล่าคะ ที่ตัดสินใจทำตามแผนการนี้”“ไม่เลย ในเมื่อลูกสาวบ้านตู้คิดจะเล่นงานน้องก่อน อย่างไรเธอก็ควรจะได้บทเรียนในครั้งนี้”โม่กวนหยางรีบตอบกลับไปอย่างอ่อนโยนทันที เขาไม่ได้มองว่าภรรยาตนเองนั้นโหดร้าย และไม่ว่าเธอตัดสินใจจะทำอย่างไร เขาก็พร้อมจะสนับสนุนทุกอย่าง แม้ว่าสิ่งที่ภรรยาของเขาทำนั้น จะเป็นเรื่องที่ร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม “ขอบคุณมากนะคะที่เข้าใจฉัน” หลินซินเยว่พูดขอบคุณและยิ้มให้สามีอย่างอ่อนโยน“ถ้าอย่างนั้นเราทำตามแผนการที่วางไว้เลยนะคะ กลับไปฉันจะได้สั่งให้คนดำเนินการเลย ส่วนคุณ เมื่อถึงเวลานั้นก็แสร้งทำทีพาคนไปพบ เรื่องนี้ตู้หลินเซียนไม่อาจหนีชะตากรรม ที่เธอได้ทำไว้ในตอนแรกแน่” หวางหลิงหลิงพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าหลินซินเยว่มีความเด็ดขาด ไม่ยอมให้คนที่ทำร้ายตนเองลอยนวล“ขอบคุณมากนะคะคุณหนูหวางที่ช่วยในเรื่องนี้ ฝากขอบคุณไปถึงนายท่านหวางด้วย จริงสิ รอสักครู่นะคะ” หลินซินเยว่ยิ้มและเอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ห้องตัวเอง แล้วหยิบเอารังนกออกมาชุดใหญ่“นี่ฉันฝากไปให้นายท่านหวางด้วยนะคะ ฉันไม่รู้ว่าจ
บทที่ 55 ต้องจัดการให้เด็ดขาด“ครับ แต่อย่างไรเรื่องนี้ผมจะต้องไปคุยกับซินเยว่และพี่กวนหยางดูก่อน แต่เชื่อว่าทั้งสองคนน่าจะเห็นด้วยกับความคิดนี้ และหากจะหาใครสักคนให้แต่งงานกับตู้หลินเซียน ก็น่าเป็นชายหนุ่มจากหมู่บ้านอื่น หรือไม่ก็คงจะเป็นพวกพรานป่า หรือไม่ต้องเป็นคนที่โหดสักหน่อย เพื่อที่จะจัดการให้เธออยู่ในโอวาทได้ ไม่อย่างนั้นแล้วก็คงจะเอาผู้หญิงคนนี้ไม่อยู่”หลินอี้เฉินพูดขึ้นมาตามความคิดของเขา โดยที่เขายังไม่มีใครอยู่ในใจ แต่อย่างไรเรื่องนี้ก็คงจะต้องไปคุยกับน้องสาวและน้องเขยให้ชัดเจนเสียก่อนว่า จะจัดการลูกสาวบ้านตู้อย่างไร“แต่ฉันเห็นต่างเล็กน้อย เรื่องอื่นไม่มีปัญหา แต่ชายที่จะมาแต่งงานกับตู้หลินเซียนนั้น จะต้องเป็นคนที่ยากจนเพิ่มขึ้นมาด้วย ผู้หญิงคนนั้นจะได้เลิกเชิดหน้าชูคอสักที”หวางหลิงหลิงพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง ใครจะคิดว่าเธอนั้นจะโหดร้ายเกินไปก็ช่าง แต่เพราะผู้หญิงร้ายกาจแบบตู้หลินเซียน จะต้องจัดการขั้นเด็ดขาดแบบนี้เท่านั้นพอได้ยินอย่างนั้น หลินอี้เฉินก็หันไปมองหญิงสาวเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มมุมปากออกมาอย่างพึงพอใจ เขาไม่มองเลยว่าเธอนั้นโหดร้ายกับผู้หญิงด้วยกัน เพราะคนอย่างตู้ห