ตอนซ่งรั่วเจินและหมอหลวงทุกท่านศึกษาวิธีรักษาโรคระบาด ฉู่จวินถิงและฉู่อวิ๋นกุยก็ไปสอบสวนหมอหลวงจินหมอหลวงจินเห็นทุกคนจากไป หยุดพักครู่หนึ่ง นี่ถึงหยิบยาถอนพิษออกมา“โชคดีก่อนหน้านี้ข้าเหลือทางออกเอาไว้ ป้องกันตนเองโดนพิษเช่นเดียวกัน!”หมอหลวงจินลำพองใจ จากนั้น ชั่วขณะเขากำลังจะกินยาถอนพิษลงไป เขากลับถูกจับไว้แล้ว“ท่าน ท่านอ๋อง?”สายตาฉู่จวินถิงเรียบเฉยเย็นชา “คิดไม่ถึงเลยว่าหมอหลวงจินจะมีความกล้าไม่เบา ถึงขั้นวางยาพิษทำร้ายคนในค่ายทหารข้า!”สีหน้าหมอหลวงจินหมดอาลัยตายอยาก ครู่ต่อมาพูดบ่ายเบี่ยง “ไม่ ไม่ใช่...”เพียงแต่ เผชิญเข้ากับสายตาคมกริบของฉู่อ๋อง สีหน้าเขาหมดอาลัยตายอยาก รู้ตัวว่าตนเองจบสิ้นแล้ว!ฉู่อ๋องลงมืออย่างโหดเหี้ยม จะต้องไม่ปล่อยเขาไปแน่น่าเสียดาย เขาไม่มีโอกาสฆ่าตัวตาย วิธีทรมานของฉู่จวินถิงทำให้เขารับรู้ว่าสิ่งใดทรมานยิ่งกว่าความตาย“ท่านอ๋อง กระหม่อมไม่รู้จริงๆ ขอร้องท่านฆ่ากระหม่อมด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”หมอหลวงจินที่มีโลหิตอาบร่างพูดเสียงสั่นไม่หยุด ภายในสายตาเปี่ยมความหวาดกลัวอย่างล้ำลึกใบหน้างดงามมีเสน่ห์ของฉู่จวินถิงเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด เขาพิงพนักเก้า
“กระหม่อม กระหม่อมก็แค่เจ็บจนพูดจาเหลวไหล” ใบหน้าหมอหลวงจินเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน ในใจยิ่งเกลียดซ่งรั่วเจินเข้าไปใหญ่ สตรีนางนี้ชอบหาเรื่อง ตั้งใจจับผิด น่าชังเสียจริง! เขาโดนเฆี่ยนไปตั้งสามสิบไม้แล้ว สตรีนางนี้ยังจะเอาอะไรอีก? “แค่ล้อเล่นเท่านั้น หมอหลวงจินคงไม่ถึงขั้นรับไม่ได้หรอกใช่หรือไม่?” ใบหน้าซ่งรั่วเจินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม คำพูดเต็มไปด้วยถ้อยคำยั่วโมโห นางหันไปสั่งให้ไป๋จื่อนำยาต้มส่งไปให้ “หมอหลวงจิน ระหว่างท่านกับข้าเดิมทีก็มิได้มีความแค้นใด แต่ว่าวันนี้ท่านไม่เคารพข้าครั้งแล้วครั้งเล่าต่อหน้าทุกคน แน่นอนว่าควรถูกลงโทษ” “นี่เป็นยาที่ข้าสั่งให้คนต้มให้ท่านโดยเฉพาะ ท่านรีบดื่มเสียเถิด เมื่อดีขึ้นหน่อยยังร่วมกันหาวิธีรักษาอยู่” หมอหลวงจินมองยาต้มตรงหน้า พลันรู้สึกตกใจ ไป๋จื่อยื่นยาต้มออกไปตรงหน้าอย่างเหมาะเจาะ “หมอหลวงจิน ท่านรีบดื่มเสียเถิด” ลูกกระเดือกของหมอหลวงจินกระเพื่อมเล็กน้อย สีหน้าแสดงความลำบากใจ “ข้า ข้าค่อยดื่มทีหลัง…” “หมอหลวงจินไม่ให้เกียรติกันเลยหรือ?” สีหน้าของฉู่จวินถิงพลันเย็นชา “พระชายาสั่งให้คนจัดเตรียมให้ท่
แต่ว่า หลังจากพบว่ามีเพียงพวกเขาไม่กี่คน หมอหลวงคนอื่นกลับไม่ได้มา ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย “หมอหลวงหยาง จากประสบการณ์หลายปีของพวกท่าน เวลานี้มีความคืบหน้าอะไรบ้างหรือไม่?” ซ่งรั่วเจินเอ่ยถาม หมอหลวงหยางมีสีหน้าจนใจ พลางกล่าวว่า “พระชายา โรคระบาดครั้งนี้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง” “แม้จะบอกว่าในปีก่อน ๆ จะเคยเกิดโรคระบาดขึ้นเช่นกัน แต่จากเริ่มป่วยจนถึงเสียชีวิตก็ยังต้องใช้เวลาระยะ หนึ่ง ทว่าโรคระบาดครั้งนี้รุนแรงอย่างยิ่ง เพียงระยะเวลาสั้น ๆ แค่สองวันก็คร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว” “พวกเราเคยลองใช้วิธีเดิมก่อนหน้านี้ทั้งหมดแล้ว แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งอาการป่วยได้เลย” “และใช่ สมุนไพรที่ใช้กันบ่อยที่สุดหลายชนิด หากเป็นปกติแล้วล้วนได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด คราวนี้กลับไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย” เมื่อได้ยินดังนั้น ซ่งรั่วเจินก็หันไปมองฉู่จวินถิง ฉู่จวินถิงพยักหน้า เป็นเชิงให้นางวางใจ ด้านนอกกระโจมมีทหารคอยเฝ้าอยู่ พวกเขามาในวันนี้แล้ว ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะออกไป ไม่มีทางที่จะมีโอกาสได้แพร่ข่าวถึงผู้อื่นโดยเด็ดขาด แน่นอนว่า ผู้ใดบังอาจบุกเข้ามาในเวลาเช่นนี้
เมื่อไป๋จื่อตักน้ำมาให้ ซ่งรั่วเจินก็รีบตรวจสอบปัญหาของน้ำทันที “เป็นอย่างไรบ้าง?” ฉู่จวินถิงถาม บนใบหน้าของซ่งรั่วเจินไร้ซึ่งความประหลาดใจ “ตรงกับที่หม่อมฉันคาดไว้ทั้งหมด ในน้ำนี้ถูกวางยา” “ในน้ำนี้มีพิษ เช่นนั้นทหารทั้งค่ายที่ดื่มน้ำจากบ่อนี้ ถึงตอนนั้นจะไม่มีใครหนีรอดได้เลยงั้นหรือ?” ฉู่อวิ๋นกุยเบิกตากว้าง ถึงแม้อีกฝ่ายจะอยากให้เสด็จพี่สามพลาดท่ามากแค่ไหน แต่ทหารมากมายขนาดนี้ต่างก็เป็นผู้บริสุทธิ์ กลับไม่คิดจะละเว้นแม้แต่คนเดียว! ซ่งรั่วเจินหันไปมองฉู่จวินถิง เรื่องในราชสำนักคงจะเป็นสิ่งที่เขาพิจารณาอยู่แล้ว ส่วนตัวนางในตอนนี้ไม่อาจใส่ใจเรื่องพวกนั้นได้ นางจำเป็นต้องรีบลงมือ! ไม่เพียงแค่ต้องหาทางแก้พิษนี้ โรคระบาดก็ยิ่งเป็นปัญหาใหญ่ หากคิดจะกำจัดให้สิ้นซาก ย่อมมิใช่เรื่องง่ายเลย แต่ตราบใดที่ถอนพิษนี้ได้ ผู้ที่ติดเชื้อก็จะไม่เสียชีวิตในเวลาอันสั้น อย่างน้อยก็จะมีเวลาให้พวกเขาคิดหาวิธีมากขึ้น “จวินถิง ในบรรดาหมอหลวงในตอนนี้ ท่านรู้หรือไม่ว่ามีใครที่พอจะไว้ใจได้บ้าง?” แววตาของซ่งรั่วเจินจริงจัง “ตอนนี้แค่พึ่งหม่อมฉันคนเดียวย่อมไม่เพียงพอแน่
“ข่าวนี้แพร่ออกมาจากที่ใด?” “ตอนนี้ข้างนอกต่างก็พูดกันเช่นนี้ บอกว่าค่ายทหารมีผู้เสียชีวิตไปไม่น้อยแล้ว แล้วยังบอกอีกว่าเมื่อสองวันก่อน ทหารในค่ายได้กลับมาพักที่เมืองหลวง จึงทำให้ชาวบ้านติดโรคตามไปด้วย” “ตอนนี้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่ว แม้แต่จวินถิงก็ถูกตำหนิไปด้วยแล้ว!” ลู่หมิ่นฮุ่ยพูดมาถึงตรงนี้ก็อดโกรธไม่ได้ “ท่านว่าคนพวกนี้ เปลี่ยนสีหน้ากันเร็วจริง ๆ ก่อนหน้านี้ถ้าไม่ใช่เพราะจวินถิงนำทหารขึ้นสู่สนามรบ ปกป้องบ้านเมือง จะมีวันเวลาที่สงบสุขเช่นนี้ได้อย่างไร?” “เมื่อก่อนชมว่าจวินถิงดี พอเกิดเรื่องขึ้น กลับไม่แม้แต่จะถามว่าอะไรถูกอะไรผิด พากันโยนความผิดทั้งหมดใส่จวินถิง!” สีหน้าฮองเฮาซีดเผือด สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้!“เร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?” ลู่หมิ่นฮุ่ยพอได้ยิน หัวใจก็พลันหนักอึ้ง “ทุกอย่างเป็นความจริงทั้งหมดงั้นหรือ?” “ไม่ ไม่ใช่เรื่องจริง” ฮองเฮาส่ายหน้าทันที ลู่หมิ่นฮุ่ยงุนงงไปหมด “พี่หญิง ท่านจะทำให้ข้าร้อนใจตายหรืออย่างไรกัน! รีบบอกข้ามาเถิด นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” “ค่ายทหารเกิดโรคระบาดขึ้นจริง แต่ทันทีที่ตรวจพ
พระราชวัง เมื่อฉู่มู่เหยากลับพระราชวังแล้ว ก็รีบไปหาฮองเฮาเป็นลำดับแรก “เสด็จแม่ทราบหรือไม่ว่าในค่ายทหารอาจจะเกิดโรคระบาดขึ้น?” ใบหน้าของฉู่มู่เหยาเต็มไปด้วยความร้อนใจ ตลอดทางที่กลับมาก็เอาแต่กังวล สถานที่ที่อันตรายถึงเพียงนั้น เสด็จพี่กับพี่สะใภ้ต่างก็อยู่ข้างใน แม้แต่เสด็จพี่ห้าก็ยังไปแล้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริง ๆ แล้วจะทำเช่นไรดีเล่า! ฮองเฮาเมื่อได้ยินเช่นนี้ นัยน์ตาก็ปรากฏความตกใจทันที แล้วรีบให้คนปิดประตูห้อง อีกทั้งแม่นมคนสนิทก็ไปเฝ้าประตูเอาไว้ “ใครเป็นคนบอกเจ้า? หรือว่าข้างนอกแพร่กระจายข่าวไปแล้ว?” ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทยังตรัสว่า ข่าวนี้ไม่สามารถให้แพร่ออกไปให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้ แล้วฉู่มู่เหยารู้ได้อย่างไรกัน? “เสด็จแม่ก็รู้งั้นหรือ!” ฉู่มู่เหยาได้สติกลับมา แล้วกล่าวว่า “คนนอกไม่รู้เพคะ เพียงแต่ตอนข้าไปหาพี่สะใภ้ ก็รู้ว่าพี่สะใภ้ไปค่ายทหารแล้ว อีกอย่างพี่สะใภ้ก็คงเดาสถานการณ์ในค่ายทหารออก คนของสกุลซ่งเองก็ล่วงรู้แล้วเช่นกัน” “อะไรนะ? รั่วเจินไปค่ายทหารแล้วหรือ?” ฮองเฮากล่าวอย่างร้อนใจ ฉู่มู่เหยาพยักหน้า ในอกเต็มไปด้วยความละอายใจ “