บทที่ 7เริ่มต้นหลอมโอสถ /2
รอให้นางถึงระดับหยวนอิงก่อนเถอะ นางจะกลับไปทวงทุกอีแปะคืนด้วยตนเอง! "ได้แน่นอน หากรวี่เยว่น้อยอยากฝึกการหลอมโอสถ อาจารย์ก็ให้ผู้เชี่ยวชาญมาช่วยสอน" มหาเทพหวงหลงแวบหายไปราวสามอึดใจ และกลับมาพร้อมเทพหนุ่มรูปโฉมสะคราญยิ่งอีกองค์หนึ่ง ทำเอารวี่เยว่และสหายทั้งสองตัวของนางหลุดอุทานออกมาพร้อมกันอย่างลืมสำรวม "โห รูปงามมากเลย" ผู้ที่มหาเทพหวงหลงพามาระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น พลางเดินไปลงนั่งข้างสหาย "ท่านต้องการให้ข้าช่วยสอนเด็กน้อยปรุงยาอย่างนั้นสินะ" มหาเทพชิงหลงเสกพัดออกมาโบกด้วยท่าทางเกียจคร้าน "ใช่ เจ้าพอจะช่วยนางได้หรือไม่" "ได้แน่นอน แต่นางต้องกราบข้าเป็นอาจารย์ก่อน" เขาก็อยากมีลูกศิษย์เป็นผู้ถูกเลือกเหมือนกัน เรื่องดีๆ แบบนี้หมื่นปีจะมีสักครั้ง รวี่เยว่มองหน้าอาจารย์ของตน ครั้นเห็นว่าเขาพยักหน้ารับ ร่างเล็กจึงเดินมาคุกเข่าและโขกศีรษะจบครบสามครั้งตามธรรมเนียม "อาจารย์รอง ศิษย์ขอฝากตัวด้วยเจ้าค่ะ" ที่นางเรียกอาจารย์รองเพราะจะได้ไม่สับสน มหาเทพชิงหลงดูพอใจกับไหวพริบของร่างเล็ก เขาเสกตำราออกมาสองเล่ม และบอกให้นางท่องจำเนื้อหาในนั้นทั้งหมด หากทำได้ภายในสองชั่วยาม เขาจะสอนพื้นฐานการควบคุมไฟธาตุให้นางวันนี้ รวี่เยว่เป็นเด็กมีความจำเป็นเลิศ เพียงสองชั่วยามทุกอย่างที่อยู่ในตำรา เวลานี้ถูกบันทึกไว้ในสมองของนางเป็นที่เรียบร้อย และเมื่อผ่านการทดสอบจากมหาเทพชิงหลง บทเรียนการควบคุมไฟธาตุจึงเริ่มต้น พรึ่บบบ!! รวี่เยว่จุดไฟธาตุลมขึ้นมา ทว่าถูกมหาเทพชิงหลงเอ่ยยั้ง และบอกให้ร่างเล็กใช้ไฟธาตุจากมหาธาตุหยินหยางแทน "หากเจ้าต้องการให้โอสถมีความบริสุทธิ์ระดับสูง ต้องใช้ไฟธาตุจากมหาธาตุหยินหยางในการหลอมจำเอาไว้" ถึงจะเป็นมือใหม่ แต่ในเมื่อมีของดีอยู่กับตัว ย่อมต้องนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ หลังจากฝึกควบคุมไฟธาตุมาหลายวันจนเชี่ยวชาญ มหาเทพชิงหลงจึงลองให้นางหัดหลอมยาขั้นพื้นฐาน อย่างยากระตุ้นปราณ มีสรรพคุณช่วยให้เส้นลมปราณที่ตีบตันขยาย และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซับพลังปราณ หากยาชนิดนี้มีความบริสุทธิ์สูงจะช่วยชำระสิ่งสกปรกในร่างกายได้ถึงสามส่วน มหาเทพรูปโฉมสะคราญ โบกพัดหนึ่งที สมุนไพรที่ต้องใช้ถูกเสกมาอยู่ตรงหน้า จากนั้นจึงหลอมยาให้ดูเป็นตัวอย่าง รวี่เยว่จดจำทุกขั้นอย่างตั้งใจและปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง เมื่อหลอมเสร็จยาของนางมีความบริสุทธิ์สูงถึงเจ็ดส่วนเลยทีเดียว "ยอดเยี่ยมๆ หลอมยาครั้งแรกได้ความบริสุทธิ์ถึงเจ็ดส่วน ฮ่าๆๆๆ" ช่างเป็นลูกศิษย์ที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ในการหลอมยา แบบนี้ค่อยน่าทุ่มเทให้หน่อย 'เอาไว้ข้าหาหม้อหลอมโอสถระดับสูงมาให้นางใช้สักใบดีกว่า รอให้นางถึงระดับหยวนอิง ค่อยสอนวิธีหลอมยาแบบไม่ใช้หม้อ หุหุหุ' เมื่อหลอมยาผ่าน นางจึงได้ลงสนามไปฝึกฝนการต่อสู้ กับหุ่นไม้มีชีวิตที่มหาเทพหวงหลงเสกขึ้นมา มันมีตบะระดับเดียวกันกับนาง หลังจากโรมรันกันอยู่พักใหญ่รวี่เยว่ก็สามารถเอาชนะไปได้แบบหืดขึ้นคอ วันรุ่งขึ้นรวี่เยว่จึงขอให้แม่นมพานางไปในเมือง เพื่อหาซื้อสมุนไพรและหม้อสำหรับใช้ในการหลอมโอสถ นางบอกกับแม่นมชุนและชุนอิ่งตามตรงว่า นางอยากหลอมยาขายเพื่อช่วยหาเงินเข้าบ้าน ผู้ใหญ่ทั้งสองซาบซึ้งจนน้ำตาคลอ คุณหนูของพวกนางอายุเพียงเท่านี้ ทว่ารู้ความและเข้มแข็งนัก นับวันยิ่งมีนิสัยใจคอคล้ายรองแม่ทัพเยว่หนิงลี่ที่จากไป เหลือเพียงอีกสามวันก็จะถึงวันประลอง รวี่เยว่หลอมยาออกมาให้แม่นมชุนนำไปขายให้หอโอสถเป็นครั้งที่สามแล้ว ครั้งแรกทั้งแม่นมและชุนอิ่ง ต่างตกตะลึงกับความบริสุทธิ์ของยาที่รวี่เยว่หลอมออกมาได้ เด็กหญิงบอกพวกนางว่าคงเป็นเพราะใช้ไฟของมหาธาตุหยินหยาง ความบริสุทธิ์จึงได้สูง …ในที่สุดวันประลองก็มาถึง รวี่เยว่ตื่นขึ้นมานั่งเดินพลังรับแสงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าตั้งแต่เช้าตรู่ เสี่ยวหลานและจวี๋จื่อก็เช่นเดียวกัน เมื่อได้เวลาจึงกลับไปรับมื้อเช้าและเดินทางเข้าเมือง "คุณหนูพร้อมแล้วนะเจ้าคะ" แม่นมชุนเอ่ยถามคุณหนูของตน ซึ่งเวลานี้ระดับพลังอยู่ที่จู้จีขั้นกลางเป็นที่เรียบร้อย ทว่าทุกคนจะรับรู้แค่ว่านางมีพลังอยู่ที่ระดับหนิงชี่ขั้นกลาง "ข้าพร้อมแล้วเจ้าค่ะแม่นม!!" ร่างเล็กก้าวเท้าผ่านประตู ตรงไปยังลานประลองของสำนักกระบี่จันทราอย่างมั่นใจบทที่ 8 คนจากสี่สำนักใหญ่ /1 แม้ว่าเมืองลวี่เฟิงจะเป็นเมืองชายแดน ทว่าเป็นที่ตั้งหอประมูลโอสถสำคัญของอาณจักรอู๋ซาง เจ้าของหอแห่งนี้เป็นคนตำหนักเทพอนันต์ และมักนำโอสถชั้นสูงออกมาทำประมูลอยู่หลายครั้งภายในหนึ่งปี การประมูลโอสถระดับสูงครั้งต่อไปจะมีขึ้นในอีกสามวัน ทำให้เวลานี้ในเมืองลวี่เฟิงจึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ ลานประลองในวันนี้ถูกจัดขึ้น ณ สนามประลองใหญ่ของฝ่ายใน ซึ่งสามารถจุคนได้มากถึงสองหมื่นคน บนเฉลียงใหญ่ของอัฒจันทร์สองด้าน มีธงของสี่สำนักใหญ่แสดงอยู่ ด้านหนึ่งเว้นไว้สำหรับสำนักกระบี่จันทรา ส่วนเฉลียงอีกด้านตระเตรียมที่นั่งพิเศษไว้เช่นกัน ทว่ากลับไม่มีธงหรือสัญลักษณ์ของสำนักใดแสดงไว้ รวี่เยว่มองสนามประลองอย่างตื่นตาตื่นใจ นางประหม่าจนมือเย็นไปหมด "จวี๋จื่อ เสี่ยวหลาน ข้าตื่นเต้นมากเลยทำอย่างไรดี" "สูดหายใจลึกๆ เหมือนกับตอนที่นั่งบำเพ็ญรวี่เยว่ เจ้าชนะแน่นอน เชื่อมั่นในตนเองหน่อย เจ้าทำได้" เสี่ยวหลานที่เกาะอยู่บ่าเล็กส่งเสียงให้กำลังสหายของมัน "ใช่แล้วรวี่เยว่ อย่างที่ท่านอาจารย์ทั้งสองบอกไว้ ในเด็กรุ่นเดียวกันไม่มีใครเอาชนะเจ้าได้แน่นอน" จวี๋จื่อเอาหัวน
บทที่ 8 คนจากสี่สำนักใหญ่ /2 ทว่าก่อนที่จะได้อ้าปากกล่าวคำใด ท้องฟ้าเหนือลานประลอง พลันปรากฏร่างสีเงินมหึมาของราชันย์หมาป่าพระจันทร์เงิน ยืนตระหง่านบดบังแสงอาทิตย์ บนหลังของมันมีเด็กหนุ่มรูปโฉมงดงามอย่างร้ายกาจนั่งอยู่ ด้านหลังของเด็กหนุ่มมีองครักษ์ระดับหยวนอิงสามคนคอยคุ้มกัน พร้อมด้วยองครักษ์ระดับเจี๋ยตันขั้นปลายอีกห้านายขี่กระบี่ติดตาม "องค์ไทจื่อ ฮั่วเฮ่อฉี เชิญพะย่ะค่ะ" เจ้าสำนักกระบี่จันทราประสานมือค้อมเอวเล็กน้อยขณะกล่าวเชิญ ฮั่วเฮ่อฉีปรายตามองอีกฝ่าย พยักหน้าเล็กน้อยก่อนแวบหายไปจากตรงนั้น และปรากฏกายอยู่บนเฉลียงที่ไม่มีธงสัญลักษณ์ ครั้นเห็นว่าผู้มาใหม่นั่งลงเรียบร้อยเจ้าสำนักกระบี่จันทราจึงกล่าวเปิดงาน รวี่เยว่นั่งมุมปากกระตุกยิกๆ คาดไม่ถึงว่าพี่ชายคนงามจะมาปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้ มิใช่ว่าคนตำหนักเทพอนันต์ ไม่ชอบสุงสิงกับผู้อื่นหรอกหรือ "แม่นมคิดว่าที่องค์ไท่จื่อมา เพราะคงใกล้ถึงงานประมูลโอสถทิพย์ที่กำลังจะมาถึงเจ้าค่ะคุณหนู ระหว่างรอเลยมาชมการประลองแก้เบื่อก็เป็นได้ คุณหนูยังจำได้หรือไม่เจ้าคะ องค์ไท่จื่อชอบอะไรตัวเล็กๆ จำพวกนี้" คนฟังกล่าวเสียง อ้อออ ออกมายาว นางจำได
บทที่ 9 การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ /1 ตั้งแต่เริ่มการประลอง ผู้เข้าแข่งขันถูกคัดกรองจนเหลือเพียงสี่คนสุดท้าย รวี่เยว่ที่ฝ่าฟันอุปสรรค จนเข้ารอบหนึ่งในสี่คนสุดท้ายมาได้อย่างทุลักทุเล… (ตามที่นางต้องการ) เด็กหญิงกำลังเป็นที่จับตามองของสี่สำนักใหญ่ หากการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ นางสามารถคว้าชัยชนะมาได้ ก็จะกลายเป็นผู้เข้าแข่งขันอิสระคนแรกที่ช่วงชิงตำแหน่งนี้มาจากศิษย์ของสำนักกระบี่จันทรา… รวี่เยว่ที่วันนี้ใช้พลังไปไม่น้อย พอขึ้นรถม้าได้นางก็ผล็อยหลับเกือบจะทันที แม่นมชุนและชุนอิ่งมองร่างเล็กด้วยแววตาหลากหลาย ทั้งสงสาร เอ็นดู ชมชื่น ปลาบปลื้ม ภาคภูมิใจ รวมถึงหวาดกลัว พวกนางกลัวเหลือเกินว่าคุณหนูของตนจะได้รับบาดเจ็บสาหัส คงเป็นเพราะการแข่งขันรอบสุดท้ายของวันนี้ รวี่เยว่ถูกพลังหมัดปฐพีของศิษย์สำนักกระบี่จันทรา กระแทกจนตัวปลิวกลิ้งล้มไปหลายตลบ ผิวขาวผ่องของนางเขียวช้ำเป็นจ้ำ มุมปากมีเลือดไหลซึม ผู้ใหญ่ทั้งสองไม่รู้ว่านี่คือแผนตบตาของรวี่เยว่ นางจำเป็นต้องแกล้งเสียเปรียบผู้เข้าแข่งขันบางคนที่ระดับพลังสูงกว่าบ้าง ก่อนพลิกสถานะการณ์กลับมาชนะอย่างฉิวเฉียด เพื่อปกปิดพลังที่แท้จริงของนาง ลูก
การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ /2 สนามประลองวันสุดท้าย แทบไม่น่าเชื่อว่าม้ามืดอย่างรวี่เยว่ จะมีผู้ชมในสนามเอาใจช่วยมากกว่าครึ่ง บ่อนพนันชื่อดังถึงขนาดเปิดรับพนันในราคาต่อรองที่ค่อนข้างสูง เพราะเชื่อมั่นในตัวเด็กหญิง แต่กระนั้นคนส่วนมาก กลับลงพนันข้างศิษย์สำนักกระบี่จันทรานามว่า เผยหู่ บุตรชายคนเล็กของท่านเจ้าเมืองลวี่เฟิง หากรวี่เยว่ชนะตัวนางจะได้ส่วนแบ่งถึงสามส่วน!! หากแพ้ก็ไม่มีอะไรต้องเสีย ช่วงนี้รวี่เยว่เห็นอะไรเป็นเงินเป็นทองไปหมด เด็กหญิงตัวเล็กๆอย่างนาง จำเป็นต้องมีเงินเพื่ออนาคตที่สดใส เฮ เฮ เฮ รวี่เยว่! รวี่เยว่! รวี่เยว่! เสียงสนับสนุนซึ่งส่วนมากจากชาวบ้าน และผู้เข้าแข่งขันอิสระที่ตกรอบไปแล้วดังกระหึ่มทั่วสนาม หลังจากนางเอาชนะคู่แข่งระดับหนิงชี่ขั้นปลายไปได้เมื่อช่วงเช้า ศิษย์ของสำนักกระบี่จันทราทั้งฝ่ายนอกและฝ่ายใน ต่างมารวมตัวกันเพื่อให้กำลังใจศิษย์ร่วมสำนักอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน ฮั่วเฮ่อฉียังคงมานั่งชมการประลองนี้ตามปกติ ทว่าในวันนี้มีสิ่งที่ดึงความสนใจของเด็กหนุ่มนอกเหนือจากรวี่เยว่น้อย บนเฉลียงฝั่งตรงข้ามซึ่งมีไว้สำหรับเจ้าสำนักกระบี่จันทรา เวลานี้ปรากฏบุรุษช
บทที่ 10 กลับไปกับข้า /1 แต่ก่อนที่กระบี่เล่มนั้นจะถึงตัวรวี่เยว่ องครักษ์ระดับหยวนอิงของตำหนักเทพอนันต์ และองครักษ์ระดับหยวนอิงของตำหนักเทวาอนธการ ได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน ทั้งคู่ใช้พลังหยุดกระบี่เล่มนั้นไว้ ภายในชั่วพริบตากระบี่เหล็กกล้าก็แหลกละเอียดเป็นผุยผงต่อหน้าทุกคน ปลิวหายไปกับสายลมที่พัดผ่าน รวี่เยว่ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นเพราะเสียขวัญ คาดไม่ถึงว่าจะมีคนใจร้าย หมายเอาชีวิตนางต่อหน้าผู้ชมหลายพันคนเยี่ยงนี้ ริมฝีปากจิ้มลิ้มสั่นระริก ดวงตาดอกท้อกลมโตเอ่อท้นด้วยน้ำตา กำลังจะส่งเสียงสะอื้นไห้ ทว่าแม่นมชุนทะยานมากอดนางไว้ได้ก่อน ถึงแม้รวี่เยว่จะเก่งกาจและกล้าหาญ ทว่านางก็เป็นเพียงเด็กอายุเก้าหนาวคนหนึ่งเท่านั้น… "คุณหนู คุณหนูของแม่นม บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าเจ้าคะ" แม่นมชุนน้ำตาไหลอาบใบหน้า ตกใจไม่แพ้ร่างเล็ก หากคุณหนูของนางเป็นอะไรขึ้นมา นางจะไปสู้หน้ารองแม่ทัพเยว่หนิงลี่ในปรโลกได้อย่างไร กลุ่มคนที่มาชมการประลองรอบสุดท้าย ต่างพากันส่งเสียงสาปแช่งเจ้าของกระบี่เล่มนั้นกันกระหึ่ม ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน เผยหลง พี่ชายของเผยหู่นั่นเอง หลายคนเป็นประจักษ์พยาน ว่าเห็นเขาซัดกระบี่ใส่เด
บทที่ 10 กลับไปกับข้า 2ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่อวี้เหวินเทียนหยา กำลังเอ่ยวาจาชักชวนรวี่เยว่ให้กลับไปกับตนอยู่นั้น ยังมีอีกคนที่กำลังร้อนใจไม่แพ้กัน ฮั่วเฮ่อฉีบดกรามดังกรอด ยามได้ยินถ้อยคำของชินอ๋องแห่งตำหนักเทวาอนธการ "เจ้ามารสวรรค์นั่นคิดขโมยรวี่เยว่น้อยของข้าไปต่อหน้าต่อตา อย่าได้ฝันไปหน่อยเลย!!" กล่าวจบกำลังทำท่าจะเหินลงมาจากเฉลียง ทว่าถูกอี้หรงงับหลังเข็มขัดไว้เสียก่อน "อี้หรง ปล่อยข้า! เจ้าจะมาห้ามข้าทำไม เจ้ามารสวรรค์นั่นกำลังจะขโมยรวี่เยว่น้อยของข้าเจ้าไม่เห็นรึ!" ฮั่วเฮ่อฉีดิ้นรนให้พ้นจากการถูกยื้อยุด ทำท่าจะปลดเข็มขัดออก ทว่าถูกเสียงของสหายรักห้ามปราบไว้เสียก่อน "ฝ่าบาท อย่าได้ทำสิ่งใดที่มันบุ่มบ่ามไปมากกว่านี้เลย ท่านเพิ่งสั่งลูกน้องให้เล่นงานมนุษย์ปางตายแท้ๆ หากสร้างเรื่องแย่งชิงเด็กมนุษย์กับคนของตำหนักเทวาอนธการขึ้นมาอีก ข้าเกรงว่าคนผู้นั้นได้เล่นงานท่านแน่" "กระหม่อมเห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านอี้หรงกล่าวมาพะย่ะค่ะ" หัวหน้าองครักษ์ระดับหยวนอิงของฮั่วเฮ่อฉีประสานมือค้อมศีรษะเอ่ยสนับสนุน ฮั่วเฮ่อฉีกำหมัดแน่นใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึง ยอมหันหลังกลับมานั่งบนเก้าอี้ที่พังไปแถบหน
บทที่ 11 ของขวัญจากอาจารย์ /1 เผยคังบดกรามดังกรอด หันมาตวาดบุตรชายคนเล็กอย่างอย่างฉุนเฉียว "หุบปาก! หากมิใช่เพราะเจ้าพ่ายแพ้คู่แข่งที่ตบะอ่อนด้อยกว่า จนทำให้ตระกูลเผยขายหน้า! มีหรือพี่ชายของเจ้าจะลงมือ! ต่อไปห้ามพูดถึงเรื่องนี้อีก ตั้งใจฝึกฝนให้มากกว่านี้ เข้าใจหรือไม่!" แม้ว่าความจริงตัวเขารู้สึกอับอาย และเจ็บแค้นไม่น้อยไปกว่าบุตรชาย ทว่าจำเป็นต้องอดกลั้น ฝืนกลืนโทสะทั้งหมดลงท้อง ด้วยเพราะผู้ที่ทำร้ายเผยหลงจนบาดเจ็บสาหัส คือคนของไท่จื่อแห่งตำหนักเทพอนันต์ ที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องไว้หน้าอยู่หลายส่วน ตัวเขาเป็นเพียงเจ้าเมืองจึงมิอาจล่วงเกินอีกฝ่าย ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจจนแทบจะกระอักเลือด! ผู้เป็นบิดาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก้าวมานั่งยังโต๊ะน้ำชากลางห้อง เอ่ยเรียกบุตรชายที่ยืนก้มหน้าเม้มปากแน่นอยู่ข้างมารดา ซึ่งเวลานี้กำลังได้รับการพัดวีจากสาวใช้หลังจากลมจับไปอีกรอบ "หู่เอ๋อร์มานี่ นั่งลง ข้าอยากรู้ว่าเด็กผู้หญิงที่ประลองชนะเจ้าวันนี้ เป็นใครมาจากไหน ใช่ศิษย์ของสำนักกระบี่จันทราหรือเปล่า" "นะ นาง นางเป็นผู้สมัครอิสระจากข้างนอกขอรับท่านพ่อ ส่วนเรื่องที่นางเป็นใครมาจากไหน ลูกเองก็ไม่ทราบ"
บทที่ 11 ของขวัญจากอาจารย์ /2 วาจาของเด็กหญิงทำคนฟังขอบตาร้อนผ่าว คุณหนูของพวกนางช่างคนเป็นจิตใจงดงามและกตัญญูอย่างยิ่ง ช่างน่าเสียดายที่รองแม่ทัพเยว่หนิงลี่จากไปเร็วเหลือเกิน หวังว่าวิญญาณของนางที่อยู่บนสวรรค์จะมองเห็นและภูมิใจในตัวบุตรสาว ในขณะที่ทั้งสามกำลังยืนมองร้านที่ปิดประกาศว่าปล่อยให้เช่าอยู่นั้น บุรุษคนหนึ่งซึ่งเคยพบพวกนางอยู่สองสามครั้ง บังเอิญเดินผ่านมาแถวนั้นพอดี เขาจดจำได้อย่างแม่นยำว่าสาวใช้หน้าแฉล้มนางนั้นคือชุนอิ่ง และหญิงวัยกลางคนร่างท้วมที่มีไฝเหนือริมฝีปากด้านซ้ายคือแม่นมชุน ครั้นมองไปยังเด็กหญิงและได้เห็นใบหน้าเล็กของนาง ซึ่งเวลานี้ปราศจากปานสีชาดรูปเปลวเพลิงก็ตกตะลึง ไม่กี่เดือนก่อนตอนที่เขามาส่งจดหมายจากเมืองหลวงให้นาง เด็กหญิงยังดูอัปลักษณ์เพราะปานนั่นอยู่เลย ไยตอนนี้ถึงได้… และในชั่วขณะนั้นเอง "นั่นรวี่เยว่นี่ รวี่เยว่! เจ้านั่นเอง มาทำอะไรตรงนี้หรือ" เด็กหญิงที่ดูอายุมากกว่ารวี่เยว่สองสามปี ก้าวมาหาร่างเล็กอย่างดีใจ นางคือหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันอิสระ ที่ตกรอบไปในรอบที่สาม และนางก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขัน ที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์เดียวกันกับรวี่เยว่ หลังจ
บทที่ 57/2 ข้าขอเป็นคนเลวสักครั้งในชีวิตเถิด เหวินไป๋เหลียนคนรักของเขาที่งดงามสดใสราวดอกทานตะวัน เทียบไม่ได้เลยกับความงามสง่าโดดเด่น ประหนึ่งดอกหมู่ตานตรงหน้า จากที่คิดว่าจะออกไปจากห้องหอทันทีหลังเปิดผ้าคลุมหน้าสาว หวังเหลียงกลับเปลี่ยนใจ เดินไปรินสุรามงคลมายื่นให้เยว่หนิงลี่แทน และใช้เวลาอยู่กับนางทั้งคืน ทว่าหลังจากนั้นเพียงเจ็ดวัน หวังเหลียงก็พาเหวินไป๋เหลียนเข้าจวน นับเป็นการหยามเกียรติฮูหยินเอกเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเยว่หนิงลี่กล้บไม่มีปฏิกิริยาใดๆ นางสงบนิ่งเยือกเย็นราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับตน กลับเป็นชุนหมัวมัวและหลานสาวนามชุนอิ่งที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทน ครึ่งปีต่อมาหวังเหลียงก็พาอนุอีกคนเข้าจวน เหวินไป๋เหลียนแล่นมาหาเยว่หนิงลี่ให้จัดการเรื่องนี้ ทว่าเยว่หนิงลี่ที่กำลังตั้งครรภ์ได้หกเดือนกลับนิ่งเฉยไม่สนใจ ทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนางอีกนั่นแหละ เหวินไป๋เหลียนที่กำลังตั้งครรภ์เช่นกันยิ่งเดือดดาลกว่าเดิม เพราะไม่สามารถยุแยงให้อีกฝ่ายออกโรงได้ “นางเป็นก้อนหินหรืออย่างไรกัน ถึงได้เย็นชาไร้อารมณ์เยี่ยงนี้ น่าโมโหที่สุด! หวังเหลียงนะหวังเหลียง!” เกือบสี่เดือนห
บทที่ 57 1 ข้าขอเป็นคนเลวสักครั้งในชีวิตเถิด @เรื่องราวบางส่วนในบทนี้ค่อนข้างอ่อนไหว โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ สิบหกปีก่อน เมืองเทียนหวง อาณาจักรอู๋ซาง นับตั้งแต่บอกลากับอวี้เหวินเทียนเหิง เยว่หนิงลี่กลายเป็นคนเงียบขรึม ทั้งที่ปกติหญิงสาวเป็นคนร่าเริงมีชีวิตชีวาราวลูกกวางน้อยวิ่งเล่นในทุ่งหญ้า แม้แต่ต้าอ๋องยังรู้สึกประหลาดใจ ครั้นถามไถ่หญิงสาวเพียงคลี่ยิ้มบาง และกล่าวว่าอาจเป็นเพราะต้องจากพี่น้องทหารร่วมรบไปอยู่เมืองหลวงจึงรู้สึกใจหาย หนึ่งเดือนก่อนงานแต่ง ค่ำคืนนี้เยว่หนิงลี่ออกมาเดินเล่นเตร็ดเตร่กับชุนหมัวมัวเพราะนอนไม่หล้บ ครั้นมองเห็นหอสุราที่ตนเคยมากับอวี้เหวินเทียนเหิง หญิงสาวก้าวเท้าเข้าไปด้านในอย่างไม่รู้ตัวราวต้องมนตร์ จากนั้นจึงถามหาห้องส่วนตัวที่เคยมา เสี่ยวเอ้อร์เดินนำขึ้นบันไดไป ทว่าระหว่างเดินผ่านห้องส่วนตัวอีกห้อง เสียงสนทนาของบุรุษกลุ่มหนึ่งดังลอดออกมา “นี่ หวังเหลียง เรื่องที่เจ้ากำลังจะแต่งงานกับรองแม่ทัพเยว่หนิงลี่จากแดนใต้ผู้นั้น ไม่ทำให้แม่นางเหวินไป๋เหลียนยอดดวงใจของเจ้าเสียใจแย่รึ” เสียงของบุรุษคนหนึ่งเอ่ยถามบุรุษอีกคนที่ชื่อ หวังเหลียง “นั่น
บทที่ 56/2 รักแรกของอวี้เหวินเทียนเหิง อวี้เหวินเทียนหยาได้แต่ทอดถอนใจ หันไปถามความเห็นของเยว่หนิงลี่ ด้วยความที่หญิงสาวเติบโตมากับบุรุษ จึงทำให้นางมีนิสัยใจกว้างและจริงใจเป็นทุนเดิม เมื่อเห็นว่าคนตำหนักเทวาอนธการ มีใจอยากชื่นชมความมีชีวิตชีวาของเมืองหลวงเผ่ามนุษย์ จึงตบปากรับคำอย่างเต็มใจ เพราะอย่างไรเสีย นางก็ชอบออกมาเดินเล่นเพื่อสอดส่องความปลอดภัยของชาวเมืองยามค่ำคืนเป็นปกติอยู่แล้ว ผูกมิตรไว้ดีกว่าเป็นศัตรู นั้นคือคำที่ต้าอ๋องผู้เฒ่าสั่งสอนนางมาตั้งแต่เด็ก “ได้เจ้าค่ะ ข้ายินดีช่วยพาพี่ชายองครักษ์เที่ยวชมเมืองหลวงยามค่ำคืน” เสียงสดใสจริงใจสะท้อนไปถึงจิตใจขององค์ราชาหนุ่ม จนก้อนเนื้อในอกเต้นแรงไม่เป็นระส่ำ “ถิงซี เรียกข้าว่าถิงซีเถิด” อวี้เหวินเทียนเหิงบอกชื่อกลางของตน ที่ปกติมีเพียงญาติพี่น้องเท่านั้นที่เอ่ยเรียกนามนี้ แค่กก!! ผู้เป็นน้องสำลักน้ำลายรอบที่สอง นับจากคืนนั้น ถิงซี ก็จะมารอพบเยว่หนิงลี่ที่สะพานหิน ซึ่งอยู่ห่างจากร้านอาหารทะเลไปราวครึ่งลี้ทุกคืน แม้ฝนจะตกเขาก็จะกางร่มมายืนรอนางไม่เคยขาด หลังจากผ่านไปสองอาทิตย์ ในที่สุดชายหนุ่มก็มีความกล้า เอ่ยปากชวนนางออกมาเที่ย
บทที่ 56 รักแรกของอวี้เหวินเทียนเหิง ตำหนักเทวาอนธการ องค์ราชาอวี้เหวินเทียนเหิงวางสาส์นที่น้องชายส่งมาถึงลงบนโต๊ะหลังจากอ่านจบ ร่างสูงสง่าใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มมองออกไปไกล ดวงตาเรียวยาวคู่คมเจือความเศร้าอยู่หลายส่วน “หนิงลี่ ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องหรือทำร้ายลูกสาวของพวกเราได้อีกแล้ว…ไยเจ้าถึงไม่บอกว่าตั้งครรภ์กับข้า ก่อนที่จะแต่งให้เจ้าสารเลวชั้นต่ำหวังเหลียงคนนั้น!” เพียงแค่รู้สึกขุ่นเคืองใจ ของตกแต่งภายในห้องทรงอักษรทั้งหมดก็แตกละเอียด ดวงตาสีเทาทรงอำนาจคมกริบปิดลง ความทรงจำเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนหวนกลับมา เมืองเทียนหวง อาณาจักรอู๋ซาง ในพิธีเปิดงานประลองของอาณาจจักร อวี้เหวินเทียนเหิงปลอมตัวเป็นองครักษ์ของน้องชาย เพื่อออกมาท่องเที่ยวดูโลกภายนอกในรอบสิบปี องค์ราชาหนุ่มในวัยยี่สิบแปดเดินทางลงจากภูผาหยินซาน หลังจากพระบิดาเดินเข้าแดนบำเพ็ญแห่งเทวา เพื่อกักตัวระยะยาวอย่างไม่มีกำหนด ชายหนุ่มสวมหน้ากากโลหะสีดำปกปิดใบหน้าเหมือนองครักษ์คนอื่นๆ เพียงแต่มิอาจปกปิดรัศมีสูงส่งรอบกาย จึงทำให้หลายคนรู้สึกยำเกรงองครักษ์ของชินอ๋องผู้นี้มากกว่าคนอื่นๆ ค่ำคืนหลังจบพิธีเปิดงาน อวี้เหวินเที
บทที่ 55/2 หารือ หลังจากปล่อยให้ฮั่วเมิ่งเหยา ทำความรู้จักมักจี่กับรวี่เยว่พอสมควร ครู่ต่อมาฮั่วเฮ่อฉีจึงสั่งให้ฟ่านจื่อพาน้องสาวไปส่งยังที่พัก ท่าทางผ่อนคลายของฮั่วเฮ่อฉีก่อนหน้านี้ แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขาขออนุญาตรวี่เยว่ ก่อนกางม่านพลังป้องกันไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกไป จากนั้นจึงเอ่ยเรื่องสำคัญ “รวี่เยว่ข้ามีเรื่องสำคัญต้องบอกเจ้า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้าโดยตรง ข้าเองไม่แน่ใจ ว่าเจ้าเคยรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับคำพยากรณ์สำคัญ เมื่อสิบกว่าปีก่อนหรือไม่” “หากเป็นเรื่องนี้ข้าพอรู้อยู่บ้างเจ้าค่ะ” รวี่เยว่ไม่คิดปิดบัง ในเมื่อชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาก่อนแบบนี้ แสดงว่าเขาต้องรู้หรือได้ยินอะไรมา ทั้งคู่หารือกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงออกไปพบชินอ๋องอวี้เหวินเทียนหยาด้วยกัน …ตำหนักรับรองริมทะเลสาบ โถงรับรองส่วนตัวในเรือนพักชินอ๋อง คำพยากรณ์ซึ่งเกี่ยวพันกับรวี่เยว่ ถูกถ่ายทอดให้อวี้เหวินเทียนหยาฟังจากปากของฮั่วเฮ่อฉี อีกทั้งเรื่องนี้โยงใยไปถึงความขัดแย้งระหว่างสองอาณาจักร หากสำนักกระบี่สวรรค์คิดทรยศอาณาจักรอู๋ซาง ไปเข้าฝ่ายอาณาจักรหวงซาอย่างที่คาดไว้จริง เช่นนั้นก็มิอาจนิ่งเฉย เพ
บทที่ 55/1 หารือ เรือนกายสูงสง่าของฮั่วเฮ่อฉีก้าวเข้ามาในห้อง ตามมาด้วยลูกสุนัขสีขาวเจ้าประจำ มันตรงดิ่งไปหาแมวสีเข้มที่ย้ายตัวเอง ไปนอนเอกเขนกอยู่บนตั่งอย่างคุ้นเคย “รวี่เยว่ของข้า สบายดีหรือไม่ ช่วงนี้พี่ชายถูกพวกตัวยุ่งจากตำหนักเทพอนันต์รั้งตัวไว้ เลยปลีกตัวมาหาไม่ได้ คิดถึงเจ้าใจแทบขาด” มาถึงปุ๊บก็รีบเอ่ยวาจาออดอ้อนสาวเจ้าปั๊บ ทำคนฟังเขินอายจนแก้มเนียนใสซับสีระเรื่อ ไม่เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มยังถือวิสาสะ เดินมากอบกุมมือเล็กขึ้นมาแนบอก สบตานางในดวงใจตาหวานซึ้ง คงเพราะเห็นว่าผู้ปกครองของหญิงสาว ไม่ได้มีท่าทีกีดกันเขาอีกต่อไป ฮั่วเฮ่อฉีเลยเดินหน้าเต็มกำลัง เพื่อพิชิตหัวใจของรวี่เยว่อย่างเปิดเผยมากขึ้น “พี่ชาย ท่านทำข้าใจสั่นไปหมดแล้วเจ้าค่ะ” รวี่เยว่ยังคงใสซื่อเรื่องความรักไม่ปลี่ยน รู้สึกอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น จนอีกคนที่ยืนอยู่หลังประตู ยกมือขึ้นมาประกบแก้มหัวเราะคิกอยู่ในใจ ‘ข้าชอบนางยิ่งนัก นางน่ารักเหลือเกิน’ ถ้อยคำอันใสซื่อของรวี่เยว่ ประดุจน้ำทิพย์ชโลมหัวใจของชายหนุ่ม เขายินดีเป็นล้นพ้นยามได้ยินว่านางใจสั่น ‘นางเริ่มมีใจให้ข้าแล้ว!’ ฮั่วเฮ่อฉีหัวใจลิงโลด อยากจะ
บทที่ 54/2 อย่าทำให้ข้าโมโห จากนั้นก็ลงมือทุบตีจิกข่วน จนใบหน้าของวั่งเฉาบวมเป่งกลายเป็นหัวหมู ผ่านไปครู่หนึ่งโส่วจินจึงลากร่างอันบอบช้ำของ ของเล่นชิ้นใหม่ เอ้ย นักโทษคนใหม่ ไปแยกขังไว้ในห้องข้างๆ ช่วงสายของวันรุ่งขึ้น หวังเหลียงเดินกระสับกระส่าย วนไปวนมาอยู่หน้าจวนแม่ทัพปราบทักษิณ มารดาของเขากับจูหมัวมัวออกมาพบต้าอ๋องตั้งแต่เมื่อวานช่วงบ่าย จนถึงบัดนี้ทั้งคู่ยังไม่กลับจวน ทหารที่เฝ้าประตูกลับออกมาพร้อมพ่อบ้าน กล่าวว่าฮูหยินผู้เฒ่าและจูหมัวมัว ออกไปจากที่นี่ตั้งแต่ช่วงเย็นของเมื่อวานแล้ว ซึ่งถือเป็นความจริงไม่ได้โกหกเลยสักนิดเดียว หญิงชราถูกส่งไปหอโอสถเยว่เสียง ส่วนร่างไร้วิญญาณของจูหมัวมัวถูกพาไปทิ้งยังป่าอสูรในเวลาเดียวกัน ส่วนคนขับรถม้าอย่างฝานจื่อหรือหม่าฝาน ก็กลับมายังคฤหาสน์ตามคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่า นางบอกให้เขากลับมารอรับหวังเหลียงตอนเลิกงานเหมือนทุกวัน นางกับจูหมัวมัวจะหารถม้ากลับคฤหาสน์เอง เพราะต้องใช้เวลาในการสนทนากับต้าอ๋องค่อนข้างนาน หวังเหลียงเดินกลับขึ้นรถม้า ในอกเต็มด้วยความวิตกกังวล มารดาของเขาหายตัวไป หลังมาขอพบต้าอ๋อง เรื่องนี้ดูอย่างไรก็ไม่ปกติ อยากจะถามไถ่มาก
บทที่ 54 อย่าทำให้ข้าโมโห วั่งเฉาละล่ำละลักเอ่ยวาจา เตรียมปลดปล่อยพลังธาตุ…ทว่ากลับไร้ปฏิกิริยาใดๆ พลังธาตุวารีระดับเจี๋ยตันขั้นสมบูรณ์ปลายยอดระดับคอขวด ถูกกดข่มไว้ด้วยพลังอันแข็งแกร่งบางอย่าง ชายวัยกลางคนตื่นตระหนกจนแทบจิตหลุด มองหญิงสาวราวเห็นภูตผี ใบหน้าของเขาซีดขาวมิต่างจากกระดาษ ในแววตาเต็มไปด้วยความสับสนระคนหวาดกลัว ในมหาพิภพทงเทียนเหอ สิ่งที่สามารถกดข่มพลังธาตุของนักพรตคนอื่นๆได้ในบัดดล มีเพียงสองประการ ประการแรกคือ เขตแดนแห่งแสงพิสุทธิ์ของผู้ครอบครองธาตุแสงระดับหยวนอิงขึ้นไป และประการที่สอง พลังที่อยู่เหนือมวลมนุษย์ทั้งปวง ทวยเทพ! ถึงแม้หญิงสาวเบื้องหน้าจะมีตบะระดับหยวนอิง หากแต่นางหาใช่เผ่ามนุษย์สายเลือดสัตว์เทพเหมือนเช่นเชื้อพระวงศ์ของตำหนักเทพอนันต์ จะมีเขตแดนแห่งแสงพิสุทธิ์ได้อย่างไร เรื่องที่นางมีธาตุมืดนั่นก็น่าเหลือเชื่อจนทำให้เขาประหลาดใจมากพอแล้ว “เจ้าเป็นใครกันแน่! เจ้าไม่ใช่หวังลี่ถิง แต่เป็นตัวปลอมใช่หรือไม่!” วั่งเฉาตกอยู่ในความหวาดผวาโพล่งวาจาออกมาขณะก้าวถอยหลัง “ถามมากเสียจริง หนวกหู” เสียงหวานดังขึ้นคล้ายรำคาญก่อนที่จะ… ครืนนน!! ปึ้ก!! แร
บทที่ 53/2 ช่วงเวลาแห่งความสนุก กระต่ายน้อยพองขนขู่ฟ่ออีกรอบ หันมาแหวใส่อีกฝ่ายทันควัน กล่าวว่าตนไม่ใช่เด็กน้อยเสียหน่อย ปีหน้าก็จะปักปิ่นแล้ว ถึงเวลานั้นจะกลับมาท้าเขาแข่งดื่มสุรา ใครแพ้ต้องยอมเรียกอีกฝ่ายว่า ลูกพี่ “ตกลง แล้วข้าจะรอแข่งร่ำสุรากับเจ้า! เตรียมล้างคอไว้ได้เลยอวี้เหวินอิงเอ๋อร์” “ท่านต่างหากที่ต้องเตรียมล้างคอไว้รอ หวงฝู่ฮ่าวอวี่” หลังจากปะทะคารมกันจบ ก็กลับมานั่งกินข้าวกันต่อ ทั้งคู่วางความแค้นลงชั่วคราว แต่กลับมาประลองฝีมือด้วยการแย่งชิงอาหารกันบนโต๊ะแทน รวี่เยว่ถึงกับส่ายหน้าให้กับความซุกซนของทั้งคู่ คืนนั้นองค์ชายใหญ่เสด็จกลับวังด้วยอารมณ์เบิกบานใจอย่างถึงที่สุด เขาไม่ได้สนุกเช่นนี้มานานแล้ว กงกงประจำตำหนักรีบไปรายงานจ้าวกุ้ยเฟยเป็นการเร่งด่วน องค์ชายใหญ่อารมณ์ดีเป็นพิเศษ ทางด้านรวี่เยว่หลังจากส่งกระต่ายน้อยพุงโตถึงเรือน นางก็แวะไปดูสภาพของเล่นใหม่ที่ต้าอ๋องส่งมาให้ตามคำขอ ภายในคุกใต้ดินเวลานี้ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง บนร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่าเต็มไปด้วยรอยตะปบ จากกรงเล็บของเสี่ยวเฮยมาว หญิงชรานั่งขดตัวกลม ยกมือปิดหน้าร้องไห้คร่ำครวญขอชีวิตปานขาดใจ ทว่าเสียงที่เ