ช่วงเวลาต่อมา องค์ชายใบ้ก็เหมือนตกอยู่ในบ่วงรัก เขาวนเวียนอยู่ที่เมืองเล็กๆ ใช้เวลายามค่ำคืนลักลอบปีนเข้าไปหาม่านซือซือที่เตียงนอนของนางอย่างบุรุษไร้เกียรติ ทำตัวประหนึ่งจอมโจรราคะในตำนาน ‘ข้าขอเป็นจอมโจรราคะ เพื่อทำให้แม่นางผู้นี้ตกเป็นทาสสวาท นางจะได้รู้ว่าชีวิตนี้ไม่อาจมีชายใดอุ่นเตียงกับนางได้ดีเท่าบุรุษแซ่จ้าว ผู้มีนามว่า เล่อซี’ อาเฟยไม่รู้จะตอบคนเป็นนายอย่างไร เขาได้แต่พยักหน้าตาม ก่อนเห็นว่าจ้าวเล่อซีใช้วิชาตัวเบา แล้วหายลับเข้าไปในเรือนสกุลม่าน อันเป็นวิชาที่เขาสอนอีกฝ่าย และดูเหมือนว่าลูกศิษย์ผู้นี้รุดหน้าไปกว่าเขามากโข ม่านซือซือลืมตาตื่นขึ้นช้าๆ หมู่นี้นางหิวบ่อยแม้กระทั่งกลางดึกและกระหายน้ำยามค่ำคืน พอสะดุ้งตื่นมักสัมผัสได้ถึงร่างอุ่นๆ ของจ้าวเล่อซีแต่คืนนี้แปลกอยู่สักหน่อย นางลืมตาเพราะอีกฝ่ายกำลังใช้ลิ้นสากๆ โลมเลียส่วนลับของนาง นี่เขาเป็นแมวรึ ไม่ใช่สิ ต้องเป็นเสือร้ายตัวโตถึงจะถูกเรียวลิ้นสากๆ จ้วงแทงอย่างล้ำลึก พอนางตอบรับอย่างเท่าทันด้วยการเกร็งเนื้อนูนฉ่ำชื้น เขาก็ดูด...ดูดแรงๆ จนร่างม่านซือซือสั่นสะท้าน“โอ้ ท่านพี่...”เสียงของนางขาดเป็นห้วงๆ จ้าวเล่อซีชอบเว
เม่าเฉิงเซ่อ (แมวส้ม) ตลอดระยะเวลาเกือบครึ่งเดือนที่ผ่านมา ฝูเอ๋อร์ตามติดจ้าวเล่อซีแจ และนางมีโอกาสเข้าวังหลวงด้วยแม่นางน้อยกลายเป็นจุดสนใจของเหล่าขุนนางที่อยากประจบสอพลอจ้าวเล่อซี พวกเขาพยายามเข้ามาชื่นชมฝูเอ๋อร์ บ้างก็มอบสิ่งของต่างๆ ให้เด็กหญิง โดยหารู้ไม่ว่าทั้งหมดล้วนเป็นแผนเบี่ยงเบนความสนใจของจ้าวเล่อซี เพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามพุ่งเป้าไปหาม่านซือซือที่กำลังตั้งครรภ์ อีกทั้งตอนนี้นางต้องรับมือทั้งเสี่ยวเหยาและว่าที่พระชายาของเขาเตียวจื่อ ซึ่งนับว่าหนักหนาพอแล้ว นอกจากนั้นในภายภาคหน้านางยังมีหลายสิ่งที่ต้องสะสาง ทั้งหมดล้วนเป็นวิบากกรรมของสตรีซึ่งจะต้องก้าวขึ้นเป็นใหญ่เคียงข้างจ้าวเล่อซีผู้ที่จะนั่งบนบัลลังก์มังกรและที่จ้าวเล่อซีพาฝูเอ๋อร์เข้าวังหลวง จุดหมายคือประกาศให้ทุกคนรู้ว่า แม่นางน้อยเป็นบุตรสาวบุญธรรมของเขา และมีศักดิ์เป็นถึง องค์หญิง‘เสี่ยวฝู... ช่างเป็นแม่นางน้อยที่เกิดมาเพื่อเป็นใหญ่!’อาเฟยเข้าใจสิ่งที่ชายหนุ่มกล่าวอย่างลึกซึ้ง แม้เขาจะไม่แน่ชัดเรื่องชาติกำเนิดนาง แต่เมื่อเจ็ดปีก่อนที่จ้าวเล่อซีได้ช่วยสตรีนางหนึ่งเอาไว้ และในเวลาต่อมานางให้กำเนิดฝูเอ๋อร์ เขาสงสัยอยู
หลอกล่อบุรุษไม่ให้ก้าวออกจากเรือน จ้าวเล่อซีไปส่งฝูเอ๋อร์ที่เรือนของม่านซือซือด้วยตนเอง แม่นางน้อยคุยจ้อไม่หยุดปากและอวดสิ่งที่นางได้เห็น“วังหลวงใหญ่โตยิ่งนัก มีทหาร ขุนนาง และผู้หญิงแต่งตัวแต่งหน้าอวดกัน และข้าเห็นขันทีด้วย พวกเขาสวย สวยจนน่าขนลุก แต่มีบางคนทำให้ข้ากลัว หน้าเหี่ยว ตัวเหม็นฉี่!”“แล้วเจ้าก่อเรื่องให้รัชทายาทต้องปวดหัวหรือไม่เสี่ยวฝู”“ไม่นะท่านแม่ ข้าเป็นเด็กดีและยังได้รับขนมกับมีดสั้นเป็นรางวัลจากจักรพรรดิเทียนฉางด้วย”“มีดสั้น?” ม่านซือซือทวนคำฝูเอ๋อร์ ใจคอนางไม่สู้ดี ของมีคมอันตรายแม่นางน้อยควรครอบครองหรือ“ไม่ต้องห่วงหรอกฮูหยิน มันเป็นอาวุธใช้ฝึกฝนมากกว่าทำร้ายใคร” อาเฟยเป็นคนตอบ กระนั้นม่านซือซือก็หันไปมองคนตัวสูงที่อมยิ้มชอบใจ เมื่อเห็นว่าฝูเอ๋อร์แสดงความปราดเปรียวราวกับเป็นจอมยุทธ์หญิง เรื่องนี้คนที่อยู่เบื้องหลังและให้ท้ายนางคงไม่พ้นจ้าวเล่อซี“ข้าคือองค์หญิงน้อย และยังเป็นจอมยุทธ์หญิงแห่งวังหลวง” ฝูเอ๋อร์ว่าอย่างลำพองใจ“เลือกเอาสักอย่างเถิดเสี่ยวฝู” ม่านซือซือเตือนสติฝูเอ๋อร์แม่นางน้อยทำหน้าคิดไม่ตก ก่อนมองไปทางจ้าวเล่อซีเพื่อขอให้เขาชี้แนะ‘เจ้าเป็นแมวหล
กล่องไม้ของเซี่ยอี๋ ห้าวันผ่านไป จ้าวเล่อซีไม่ได้อยู่ที่ตำหนักจันทร์ส่องหล้า ส่วนม่านซือซือเก็บตัวอยู่ในเรือน นานวันเข้าก็มีอาการเบื่อนางทำขนม ปรุงยา ดูแลสมุนไพร และเย็บผ้าเพื่อเตรียมชุดสำหรับเด็กที่จะคลอดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทุกอย่างทำให้ผ่อนคลายและไม่เครียดก็จริง ทว่าเมื่ออยู่ในพื้นที่จำกัด นางก็อยากเดินเล่นเพื่อหย่อนใจและยืดเส้นยืดสาย วันนี้อากาศเย็นสบาย แสงแดดไม่ได้แรง และม่านซือซือเดินเล่นบริเวณสะพานไม้ข้ามลำธารที่ทอดตัวยาวไปถึงด้านหลังของพื้นที่สวนแห่งนี้ ระหว่างที่เพลินตาเพลินใจกับธรรมชาติรอบกาย นางเห็นเตียวจื่อ อีกฝ่ายอยู่ไม่ห่างจากจุดที่นางยืนอยู่ ท่าทางดีใจที่เห็นนางปรากฏตัวเตียวจื่อมาพร้อมสาวใช้เจี้ยนปู่ ทั้งคู่เป็นนายกับบ่าวที่เข้าขากัน และมักคิดร้ายต่อผู้อื่นเป็นประจำ“ฮูหยินดูอารมณ์ดีจนน่าอิจฉา”เตียวจื่อกล่าวทักทาย น้ำเสียงนางเจือด้วยอคติ ทว่าสีหน้าบุตรีเจ้ากรมการปกครองหมองคล้ำไปนิด เส้นเลือดฝอยในดวงตาก็แตกดูน่ากลัวไม่น้อย ซึ่งนางคงมีเรื่องให้กังวลใจ“แล้วแม่นางเตียวเล่า เหตุใดสีหน้าจึงคล้ายคนไม่สบาย”“ฮึ สาเหตุล้วนเป็นเพราะฮูหยินกีดกันไม่ให้รัชทายาทไปที่เรือนข
บ่ายแก่ๆ ของวันต่อมา ม่านซือซือตกใจเป็นอย่างมาก นางคาดไม่ถึงว่าจะมีคนมารอพบที่หน้าตำหนักจันทร์ส่องหล้า พอสอบถามให้แน่ชัด หัวใจพลันหล่นลงไปอยู่ปลายเท้า“แม่นมหลานมั่นใจหรือว่าเป็นเขา!”เหม่ยหลานแม้ไม่อยากเอ่ยถึงบุคคลนั้น เพราะเมื่อม่านซือซือถูกซื้อขายในตลาดมืด ได้อยู่ในคฤหาสน์สัตตบงกช นางก็ไม่ใช่คนสกุลม่านอีก ชีวิตที่สองของนางเป็นคนของจ้าวเล่อซีอย่างชอบธรรม“คนเฝ้าประตูตรวจสอบแล้ว พบว่าเป็นบิดาท่านจริงๆ”“ตะ แต่เขารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่”“เรื่องนี้ ฟ้าดินเท่านั้นถึงจะตอบได้ ท่านคิดเห็นอย่างไร จงรีบตัดสินใจเถิด”“สายเลือดย่อมตัดกันไม่ขาด ที่สำคัญท่านพ่อชรามากแล้ว อย่างไรข้าคงเป็นบุตรอกตัญญูไม่ได้”เมื่อนางเอ่ยเช่นนั้น ก็แจ้งให้เหม่ยหลานนัดม่านเจิ้นไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ด้วยนางไม่อาจให้ม่านเจิ้นเข้ามาในตำหนักแห่งนี้ได้ และในใจม่านซือซือยามนี้คาดเดาไปต่างๆ นานา ซึ่งล้วนเป็นลางสังหรณ์ในแง่ร้าย! เมื่อม่านเจิ้นเห็นบุตรสาวคนที่ห้าก็ยิ้มอย่างโล่งใจ ทว่าเขารู้สึกไม่ปลอดภัย ด้วยสุนัขตัวโตสีดำที่ลูกสาวพามาด้วยแสดงท่าทางไม่เป็นมิตรพวกมันมาจากเรือนสุนัขในคฤหาสน์สัตตบงกช สองตัวนี้ได้รับก
ม่านซือซือนั่งรถม้าคันเล็กเพื่อกลับตำหนักจันทร์ส่องหล้า พอได้ครึ่งทาง นางรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแปลกๆ การหายใจติดขัด จึงสั่งให้หยุดรถม้า และช่วงเวลาดังกล่าว ในตรอกเล็กๆ มีขอทานพเนจรถูกทหารของเมืองหลวงไล่ตะเพิด ม่านซือซือได้ยินเสียงทุบตี เสียงร้องโอดโอยใจพลันนึกสงสาร ประกอบกับสุนัขทั้งสองตัวเห่าเสียงดังขรม เสียงพวกมันฟังแล้วชวนให้สงสัย“ข้าจะลงไปดูสักหน่อย”เหม่ยหลานที่มาด้วยเห็นท่าไม่ดี จึงออกปากห้าม“ฮูหยิน เรื่องบางเรื่องท่านควรปล่อยผ่าน อย่าได้ยื่นมือไปยุ่งจำได้หรือไม่ รัชทายาทเตือนไว้อย่างไร”ม่านซือซือฉุกคิดอยู่ประเดี๋ยว ทว่านิสัยนางเป็นเช่นนี้ เมื่อเห็นคนเดือดร้อนก็ไม่อาจนิ่งเฉย “แต่ข้าคิดว่าเขาต้องการความช่วยเหลือ”หญิงสาวสังหรณ์ใจบางอย่าง พอเปิดผ้าม่านดู นางเห็นร่างที่นอนกองอยู่กับพื้น ชายขอทานถูกทหารถ่มน้ำลายใส่ บางคนเตะที่ชายโครงเขาราวกับเป็นที่ระบายอารมณ์“สั่งให้พวกเขาหยุดเดี๋ยวนี้!”เมื่อตวาดขึ้นแล้ว ม่านซือซือจึงก้าวลงจากรถม้า เป็นตอนนั้นที่ขอทานกำลังจะถูกหิ้วปีกไปทิ้งนอกประตูเมือง ทว่าพอพวกเขาเห็นว่านางลงจากรถม้าที่มีป้ายตำหนักจันทร์ส่องหล้า จึงต่างพากันถอยเปิดทางให้
เมื่อกลับถึงตำหนักจันทร์ส่องหล้า หมอจากสำนักแพทย์ได้เข้ามาดูอาการของคนตั้งท้อง“จ้าวฮูหยินตากลมและคงแพ้เกสรดอกไม้ ให้นางพักสักวันสองวัน หากอาการไม่ดีขึ้นข้าจึงจะฝังเข็มให้” หมอจากสำนักการแพทย์เอ่ย และม่านซือซือเห็นด้วย“จริงอย่างที่ท่านหมอกล่าว เมื่อข้านอนเต็มอิ่มและกินอาหารถูกปากคงแข็งแรงดังเดิม”ถึงเหม่ยหลานได้ยินม่านซือซือกล่าวอย่างมั่นใจ แต่สีหน้านางกลับยังฉายความวิตก โดยเฉพาะยามนึกถึงตี้หยงชุนและเอี๊ยะถัง ซึ่งนางไม่ไว้ใจ ดังนั้นจึงรีบส่งข่าวนี้ให้จ้าวเล่อซีทราบทันทีและนับจากเหตุการณ์ที่พบเอี๊ยะถังกับตี้หยงชุน ราวๆ ห้าวันต่อมา ม่านซือซือมีเรื่องให้ขบคิด หนึ่งในนั้นคือการที่เสี่ยวเหยาทำพิธีกรรมแปลกประหลาด พิธีของนางมีทั้งการเล่นเครื่องดนตรีทั้งเครื่องเป่าเครื่องสายซึ่งส่งเสียงชวนให้จิตใจเศร้าหมอง นอกจากนั้นยังมีการเผากระดาษ เส้นผม เล็บ อีกทั้งทาเลือดหมูดำที่ขอบประตูกับหน้าต่าง“ดูแล้วเหมือนไสยเวทของเผ่านอกกำแพงเมือง”เหม่ยหลานอธิบายให้ม่านซือซือเข้าใจ พอนางเห็นด้วยตาตนเองก็พลอยให้รู้สึกสงสารเสี่ยวเหยา นางเป็นสตรีที่มาจากเรือนวิวาห์ที่น่าสงสาร เมื่อก่อนมุ่งหวังอยากเป็นผู้หญิงของจ้
เป็นม้าโยกให้เจ้าเพลินใจ ม่านซือซือเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนางไม่ทันได้ตั้งตัว พอคลำหาเสียงตัวเองพบจึงรีบคว้าไว้แล้วเอ่ยถามเหม่ยหลาน“บิดาข้ามีโทษร้ายแรงเพียงใด!”เหม่ยหลานมองม่านซือซือ เห็นสิ่งชั่วร้ายที่กำลังตามรังควานหญิงสาว เรื่องนี้ไม่ง่าย คนที่จ้องเล่นงานนางไม่ได้คิดเพียงแค่อยากเอาชีวิต ม่านซือซือ แต่มีจุดมุ่งหมายคืออยากทำให้จ้าวเล่อซีคลั่งเพื่อจะได้ควบคุมเขาได้ดังเดิม“เฮ้อ นางเป็นถึงลูกสาวสุดที่รักของเจ้ากรมการปกครอง ฝ่ายนั้นมีสายเครือญาติของมเหสีอี้เหอ ถึงยามนี้นางไม่ได้ถือตราหงส์ดั่งเดิมแต่นางยังมีอำนาจอยู่บ้าง และเกากงกงไม่ได้สร้างฐานกำลังมาเพียงแค่ชั่วข้ามคืน อีกทั้งสกุลอี้ทำชั่วมานานจึงยากนักที่จะล่มสลายลงได้ง่ายๆและการวางแผนร้ายเพื่อฆ่าคน โดยเฉพาะผู้ที่จะขึ้นเป็นพระชายาของรัชทายาท ย่อมมีโทษร้ายแรง!”“แต่ท่านพ่อไม่มีทางทำเรื่องนี้” ม่านซือซือสั่นผวา การที่บิดามาเมืองหลวง นางไม่อยากเชื่อว่าจะทำให้เขาต้องพบกับความหายนะ ทั้งหมดเป็นแผนของคนที่คิดชั่วกับจ้าวเล่อซีหรอกหรือ โดยหวังจะใช้นางเป็นเครื่องมือ“ฮูหยิน เมื่อเขาเป็นบิดาท่าน เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวพันถึงชื่
อิ่นสิงอี้อยากร้องประท้วงคนตัวโต ทั้งซักถามสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย แต่เขายังเล่นบทคนใบ้เฉกเช่นเดิม “ท่านคืออาหลุน... องค์ชายรอง... เป็นเหรินอ๋องอีกด้วย” ถานป๋อหยางไม่สนใจเสียงนางสักนิด เขาเหนื่อยกับการไล่ล่าคนของรัชทายาท และกำจัดพวกคิดก่อกบฏไปมิน้อย พอได้พบหน้าอิ่นสิงอี้ สิ่งเดียวที่อยากทำคือกอดนาง และขบเม้มร่างบอบบางนี้ให้หายคิดถึง “อย่าทำเป็นไขสือ แม้พูดไม่ได้ แต่ท่านสื่อสารได้ และเข้าใจสิ่งที่ข้าบอกใช่หรือไม่” ชายหนุ่มจูบหลังตนคอนางไปแรงๆ ก่อนทำมือทำไม้ส่งข้อความที่นางเข้าใจเพียงแค่ครึ่งเดียว “ล้วนเป็นข้าทั้งหมด แล้วอาอี้เล่า... ยังเป็นคนเดิมที่ชอบกลืนน้ำหวานของคนใบ้หรือไม่”นางไม่เข้าใจทั้งหมดที่เขาพยายามสื่อสารหรอก แต่คาดเดาได้ว่า เป็นเรื่องสัปดนของคนไร้ยางอายแน่นอน “ทะ ท่าน... หลอกลวงข้ามาโดยตลอด กี่ครั้งแล้วที่ทำให้สตรีผู้หนึ่งเสี่ยงอันตราย เพื่อให้ท่าน จับผู้ร้ายได้” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง เขาหรือจะไร้มนุษย์ธรรม และทำสร้างเรื่องที่น่ารังเกียจเช่นนั้น “อาอี้ ล้วนเข้าใจผิด ข้าไม่เคยทำสิ่งอย่างที่เจ้ากล่าวหา
กระทั่งจู่ๆ ขบวนรถม้าของอิ่นสิงอี้ ที่มุ่งตรงไปยังเรือนของเจ้าบ่าวก็หยุดชะงัก “คุณหนูรอง... มาหลบข้างหลังข้า” แม่สื่อผู้นั้น เป็นห่วงอิ่นสิงอี้ และอย่างที่กล่าว นางต้องส่งอีกฝ่ายให้ถึงมือเจ้าบ่าว นี่คือคำสั่งที่ต้องทำให้สำเร็จ เสียงโห่ร้อง เสียงการใช้อาวุธดังอยู่หลายอึดใจ ก่อนที่ประตูรถม้าจะถูกเปิดเข้ามา แต่แม่สื่อใช้เท้าถีบคนที่มุ่งร้ายหมายชิงตัวอิ่นสิ่งอี้ ฝ่ายแม่สื่อนางเป็นวรยุทธ์อยู่บ้าง และคนว่าจ้างบอกให้นางอารักขาชีวิตของอิ่นสิงอี้ ห้ามให้ผู้ใดเข้าใกล้เป็นอันขาด “อย่ากังวล นอกจากพวกรับจ้างดูแลรถม้า ยังมีกำลังเสริมที่ติดตามเราอยู่ไม่ไกล ตอนนี้สัญญาณถูกส่งออกไปแล้ว อย่างไรพวกเขาย่อมมาช่วยทัน” แม่สื่อกล่าวอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด พลอยให้อิ่นสิงอี้สบายใจได้เปลาะหนึ่ง สุดท้ายอิ่นสิงอี้ต้องอึ้งมาก นางเห็นบุรุษที่ขี่ม้าตัวโต เขาโดดเด่นสง่างามกว่าใคร และทั้งที่ผู้อื่นสวมชุดเกราะ แต่เขากลับสวมเสื้อผ้าสีแดง ไม่ต้องอธิบายก็รู้ว่าเป็นชุดของเจ้าบ่าว “ทุกคน จะให้เสียฤกษ์ไม่ได้ งานนี้อย่างไรต้องส่งเจ้าสาวเข้าหอกับเหรินอ๋อง”
อิ่นสิงอี้เดินเข้าไปในเรือนของตน ยามนั้นซูซินดีใจมาก และร้องไห้ไม่หยุด ส่วนตงหย่วนไม่ได้ถูกทำร้าย เนื่องจากนางยอมเปิดปากเล่าเรื่องอาหลุนที่ทำหมั่นโถว ไม่ใช่ฝีมือนางหรืออิ่นสิงอี้ ทว่ายามนี้มีเรื่องให้ต้องปวดหัวหนัก ด้วยก่อนหน้านั้น ลู่เหวยให้แม่สื่อมาช่วยจัดแจงสิ่งต่างๆ และบอกว่า อีกสามวันจะส่งตัวอิ่นสิงอี้ไปเป็นฮูหยินของคุณชายที่ร่ำรวยคนหนึ่ง หญิงสาวไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้อีก หลายวันที่ผ่านมานางได้มอบร่างกายและใจให้กับอาหลุนแล้ว ซึ่งตอนที่มาถึงจวนอิ่น นางได้รับคำมั่นสัญญาจากเขาว่า จะมาให้คนมารับตัว ไปอยู่ในที่ปลอดภัย ก่อนออกไปงานเลี้ยงลู่เหวย และอิ่นหลิวหลิงวางแผนชั่วร้าย เนื่องจากสืบรู้ว่าอิ่นสิงอี้ ต้องการหลบหนีออกจากจวนอิ่น และเพื่อตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมจึงขังอิ่นสิงอี้ไว้ที่เรือนสำนึกตน ซ้ำร้ายซูซินถูกขายออกไป ส่วนตงหย่วน นางล้มป่วยลงไม่ทราบสาเหตุ เมื่อคนของตนไม่ได้อยู่รับใช้ ทั้งมีชะตากรรมน่าสงสาร อิ่นสิงอี้ก็ทุกข์ใจ นางไม่กินข้าวหลับแทบไม่ลง จนเช้าวันใหม่ นางถูกปลุกด้วยการสาดน้ำเย็นๆ ใส่ร่าง ก่อนจับแต่งตัว ฝ่ายอิ่นหลิวหลิงเข้ามาเผช
อิ่นสิงอี้ได้พบคนของตนในอีกเกือบสิบวันต่อมา ระยะเวลาดังกล่าวทำให้นางเปลี่ยนความคิดไปอีกด้านหนึ่ง หญิงสาวเข้าใจโลกนี้มากกว่าเดิม นางตายแล้วฟื้นกลับมา เรื่องนี้คือสิ่งที่ตระหนักถึงเสมอ และอิ่นสิงอี้คนเดิม ที่แสนดี โง่เขลา ได้สาบสูญไปแล้ว ยามนี้ ร่างกายขับพิษออกหมด สุขภาพดีขึ้นเป็นลำดับ โดยภายหลัง นางมาอยู่ที่กระท่อมนายพรานซึ่งอาหลุนพามาอาศัย อีกทั้งมีคนรับใช้คอยช่วยเหลืองานทั่วไป ส่วนอาหลุนได้บอกว่า มีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ และเขาให้สัญญากับนางไว้ “จงอยู่ที่นี่สักพัก อย่ากังวลเรื่องใด อาอี้ย่อมปลอดภัยแน่นอน” นางพยักหน้าเข้าใจ ก่อนเอ่ยถามเขา “มีสิ่งหนึ่งที่อยากกระจ่างใจ อาหลุนของข้าเป็นผู้ใดกันแน่” และนี่คือสิ่งที่นางสมควรรู้ สตรีที่มอบกายและใจให้เขา และนางไม่อาจหันเหไปทางใดอีก ในสายตาอิ่นสิงอี้ ยามนี้มีแต่อาหลุน แม้เขาจะแสดงตนว่าไร้แซ่ เป็นเพียงคนใบ้ ทว่านางกลับไม่คิดรังเกียรติ แต่ปรารถนาให้เขาอย่าหลอกลวงกัน นางไม่อยากเป็นแค่สตรีซึ่งทำหน้าที่อุ่นเตียงให้ชายใด “อาอี้ เมื่อวันนั้นมาถึงสามีจะบอกเจ้าเอง ตอนนี้ขอเจ้า มี
หลี่ซือซิงแทบจะเต้นรอบโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนั้น นางแค่อยากอยู่อย่างสงบ ทว่าเหตุใดทหารพร้อมองครักษ์เกราะเหล็กถึงได้โผล่มาที่นี่ “เปิดประตูเถิดอย่าได้ขัดขวางการทำงาน จงรู้ไว้ แค่ข้าหายใจแรงสักหน่อย ที่นี่ก็พังราบเป็นหน้ากองแล้ว” เสียงที่ดังก้องอยู่ด้านนอกจะเป็นใครได้ เขาคือโหวเจียกวงนั่นเอง คนผู้นี้หลี่ซือซิงชังน้ำหน้ายิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน พบเขาหลายหน และดวงตาของอีกฝ่าย แจ้งชัดว่าอยากได้นางไปเป็นฮูหยินของตน ทว่าเขาเป็นเพียงแค่แม่ทัพจับดาบออกรบเก่งกาจ ได้เลื่อนขั้นเร็ว เพราะเป็นพวกกระหายสงคราม และเถรตรงไม่เอาพวกพ้อง ฆ่าได้ฆ่า และไฉนเขาจะอยากกินเนื้อหงส์ คนอย่างเขา เป็นได้แค่ทหารเฝ้าหน้าประตูจวนหลี่ก็เท่านั้น “ข้ามาพักผ่อน และอยากอยู่อย่างสงบ เหตุใด พวกปัญญาหาทึบ มือเปื้อนเลือดถึงต้องมารบกวน” “ฮึๆ ๆ หากท่านหญิงยังพยายามถ่วงเวลาอยู่เช่นนี้ และตัวข้า ตามน้องสาวของสหายไม่พบ เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่!” “บัดซบ แม่ทัพโหว... ถือว่ามีกำลังทหารในมือ ท่านจะใช้วาจาพล่อยๆ กับข้าได้หรือ ข้าถ่วงเวลาอันใด ในเมื่อที่นี่ข้ากำลังใช้เวลาพักผ่อนอย่างเป็นส่
ดวงตาก็พร่าเบลอ รับรู้เพียงแต่บุรุษตรงหน้ามีกลิ่นกายหอมจางๆ ช่วยให้นางผ่อนคลาย ยามนั้นนางจึงผุดลุกขึ้นยืน แล้วเป็นฝ่ายโน้มศีรษะเขาลงมาช้าๆ แรกเริ่มอาหลุนขัดขืน ทำท่าเหมือนหวงเนื้อตัว แต่นางหรือจะยอมให้เขาทำเช่นนั้น อิ่นสิงอี้ ส่งเสียงคำรามพร้อมกับสายตาดุกร้าวให้เขา “คนใบ้ย่อมพูดไม่ได้ เช่นนั้น ท่านคงเก็บความลับระหว่างเราได้ดีที่สุด” นางเอ่ยจบ จึงประกบริมฝีปากบดเบียดกับอีกฝ่าย คราแรกมันจืดชืด กระทั่งเขาเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย นางก็อาศัยโอกาสดังกล่าว แทรกลิ้นเข้าไปกวาดโพรงปากด้านในเขา ทั้งคู่แลกลิ้นกัน ส่งความหวานเย้าหยอกต่ออีกฝ่าย หัวใจนางสั่นไหวระรัวแรง ปรารถนาเรือนกายของอาหลุนยิ่งนัก อยากตกเป็นของเขา อยากครอบครอง ต้องการรุกอีกฝ่ายให้หนัก และทั้งหมดคือแรงพิศวาสที่เกิดจากพิษร้ายที่สะสมในร่างกายบอบบาง แต่ใจนางก็ปรารถนาเช่นนั้นไม่ต่างกัน กระทั่งนางปล่อยริมฝีปากเขาให้เป็นอิสระ ก็เห็นว่า เขากำลังสื่อสาร โดยไม่มีท่าทียั่วล้อ หากจริงจัง “คุณหนูรองแซ่อิ่น ช่างขวัญกล้าเทียมฟ้า...แต่ก่อนที่จะมีสิ่งที่ข้ามขั้นไปมากกว่านี้ คนต่ำต้อย
การยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออิ่นสิงอี้ของอาหลุน แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ซึ่งหญิงสาวรู้ดี นางสังหรณ์ใจตั้งแต่ออกมาจากอารามไผ่เงิน อีกทั้งสายตาชายหนุ่มยามมองนาง รวมถึงการยกยิ้มตรงมุมปาก แจ้งให้รู้ว่า เขาสนใจอิ่นสิงอี้ แล้วตัวนางเล่า คิดอย่างไรต่อเขา แน่นอนในหัวไม่ถึงกับว่างเปล่า แต่นางเชื่อมั่นอยู่ลึกๆ ว่า ไม่ได้รังเกียจ ก็เพียงแต่ยังไม่พร้อมเปิดรับใครก็เท่านั้น นางเพิ่งฟื้นจากความตาย ไฉนต้องรีบตกลงปลงใจกับบุรุษถึงเพียงนั้น นางอยากรู้จักหลายๆ สิ่งให้มาก รวมถึงผู้คนด้วย อย่างที่เคยกล่าว นางกับเขาเสมือนมีสายใยบางเบาผูกร้อยเข้าไว้ด้วยกัน จึงทำให้ได้พบกันบ่อยครั้ง นับแต่นางกลับมามีลมหายใจครั้ง และก่อนซางไป๋จงจะวิ่งหนีตายจากฝ่าเท้าของอาหลุน เขาได้ขว้างระเบิดควันออกมา ระเบิดซึ่งมีพิษนอกระคายเคืองดวงตา สร้างความมึนงง ยังกระตุ้นกำหนัดต่อสตรีเพศ คนที่มีอาวุธร้ายแรงเช่นนี้ ย่อมคบค้ากับพวกนอกด่าน และซางไป๋จง คือบุรุษขี้ขลาด ทั้งยังเป็นอันตรายและภายภาคหน้าย่อมสร้างปัญหาต่อบ้านเมือง อาหลุนตั้งใจตามไปจัดการอีกฝ่าย ทว่าอิ่นสิงอี้ไม่อาจประคองตัวไหว ร่างนางสั่น พยายามคว้าต้นไม้ยึดไว้
คนผู้นั้นคือซางไป๋จง แม้ใบหน้าหล่อเหลา ปากนิด จมูกหน่อย ทว่านิสัย กับท่าทางแจ้งชัดว่าเป็นคนร้ายกาจ ขณะที่ถูกกุมตัวแยกจากคนของตน อิ่นสิงอี้ได้แต่คิดหาทางเอาตัวรอด นางเริ่มเข้าใจหลายสิ่ง รู้ว่าตนพาเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น เรื่องนี้นับว่าเป็นความผิดพลาดมหันต์ กระทั่งเสียงของทหารนายหนึ่งเอ่ยถาม ฉุดนางออกจากภวังค์ “แม่นาง พวกเราไม่ต้องการสิ่งใดหรอก แค่ได้ชมความงาม ภายในร่มผ้าของเจ้าสักเล็กน้อย นับว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ดี รู้หรือไม่ หากไม่รีบตกลงเป็นของพวกข้า เจ้าอาจต้องไปเป็นของเล่นนายน้อยซาง หมู่นี้เขาหงุดหงิดง่าย คงตั้งแต่พาท่านหญิงหลี่ ออกจากเมืองหลวง เพื่อตามหาคนผู้นั้น” ทหารคนหนึ่งเอ่ย ท่าทางเขาไม่ได้ดูเหมือนคนร้าย ทว่าสุราที่ดื่ม และการมีลูกคู่คอยยุยง จึงทำให้พูดจาแทะโลมอิ่นสิงอี้ และการเล่าถึงเรื่องต่างๆ ของพวกเขา ก็ทำให้อิ่นสิงอี้ ทราบความเป็นมาของหลี่ซือซิง กับซางไป๋จง “เอาล่ะ... แม่นางผู้งดงาม อยากเปลื้องผ้าให้ข้าชมก่อน หรือว่า ให้เจ้านิ้วก้อยดูดนม ใช้ลิ้นแทงกลีบงามเจ้า สักจ๊วบ สองจ๊วบ เพื่อให้ชื่นใจดี” คนที่ถูกเรียกว่านิ้วก้อย ยิ้มให้อิ่นสิ
อิ่นสิงอี้ไม่อยากมีเรื่อง อีกทั้งการใช้สติให้มาก และหลบปัญหาที่เกินตัวย่อมสงผลดีที่สุด “ขอเวลาสักครึ่งชั่วยาม ข้าจะคืนห้องพักให้” นางเอ่ยได้เท่านั้น และไม่ทันได้ทำสิ่งใดอีก คนพวกนั้นก็บุกรุกเข้ามาในห้องพักนาง “พวกเจ้าเป็นผู้ใด” ซูซินเอ่ยถาม และพยายามขวางทางไว้ แต่เด็กสาวตัวเล็ก แรงแม้มีมาก แต่คงไม่อาจสู้กับองครักษ์หญิงเหล่านั้นได้ “ถอยไป...” เสียงหนึ่งดังขึ้น และซูซินถูกผลักอย่างแรง อิ่นสิงอี้ใจเดือดพล่าน นางอดทนแล้วและยอมถอย แต่ดูเหมือนคนพวกนี้ถนัดหาเรื่อง ทั้งชอบใช้กำลัง “ข้าแบ่งที่พักให้พวกท่าน แต่เหตุใดถึงได้มีนิสัยต่ำทรามนัก” เสียงของอิ่นสิงอี้ดังพอสมควร และมันไปเข้าหู สตรีนางหนึ่ง อีกฝ่ายแม้ปิดบังใบหน้า ด้วยหมวกสวมตาข่าย แต่ยังสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตจากดวงตานางที่ส่งมาถึงอิ่นสิงอี้ “พวกชั้นต่ำที่ไหนมาส่งเสียงให้ข้ารำคาญใจ” อีกฝ่ายคือหลี่ซือซิงลูกสาวอมาตย์ใหญ่แห่งแคว้นอัน “ท่านหญิง อย่าได้สนใจเสียงนกเสียงกาเลย พวกข้าจะจัดการไล่ไปให้พ้นๆ หน้าเดี๋ยวนี้” คนของหลี่ซือซิงเอ่ย “ฮึ แค