Share

ตอนที่ 3

Author: TheXang789
last update Last Updated: 2025-09-20 15:52:42

ตอนนี้เรือนรับรองของตระกูลจ้าว กลายเป็นสถานที่ผ่อนคลายของเหล่าฮูหยินทั้งสามของจ้าวจวิ้นซาน เมื่อฮูหยินเอกได้จ้างนักดนตรีและนางรำมาจากหอดนตรีที่มีชื่อเสียงในเมืองมาบรรเลงให้ฟังถึงที่จวน พร้อมทั้งชักชวนฮูหยินรองอีกสองคนให้มานั่งชมการแสดงด้วยกัน

บรรยากาศนั้นเป็นไปอย่างผ่อนคลาย ฮูหยินทั้งสามต่างจิบชาฟังดนตรี ดูนางรำ ผละสายตาไปชมนกชมไม้รอบข้างอย่างสุขใจ

จนกระทั่งเสียงตึงตังที่ดังมาแต่ไกลทำเอาติงมี่เซียนผู้เป็นฮูหยินเอกขมวดคิ้วฉับด้วยความไม่พอใจ เสียงวิ่งกระแทกเท้าดังใกล้ขึ้น นางเหลือบตาไปมองทางต้นเสียง เห็นเป็นบุตรชายของนางวิ่งมาด้วยท่าทางตื่นตระหนก และยังมีบ่าวหญิงสองคนที่วิ่งตามมา

บ่าวหญิงทั้งสองสบตากับฮูหยินเอกเล็กน้อย พวกนางกำลังจัดเตรียมขนมแกล้มน้ำชาของเหล่าฮูหยินอยู่ส่วนหลังของห้องรับรอง อยู่ๆคุณชายใหญ่ก็วิ่งมาอย่างตื่นตระหนกพลางถามหามารดาของตน แต่ก่อนที่บ่าวทั้งคู่จะได้ตอบอะไรกลับไป จ้าวซินเหอที่ได้ยินเสียงเพลงเสียก่อน ก็รีบวิ่งมา

ติงมี่เซียนเพียงแค่สะบัดมือไล่บ่าวทั้งคู่ออกไป ก่อนจะเอ่ยตำหนิบุตรชายของตนที่วิ่งตึงตังเข้ามาไม่รักษากริยาของคุณชายตระกูลใหญ่แม้แต่น้อย

"เหตุใดจึงทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้อาเหอ มิเห็นหรือว่ามารดาทำอะไรอยู่?"

"ท่านแม่ เรื่องนี้เรื่องใหญ่"

ครั้งที่แล้วๆมา หลังจากที่ไปกลั่นแกล้งเจ้าตัวโสโครกที่เรือนท้ายจวนก็พูดเช่นนี้ แต่ก็กลายเป็นการโอ้อวดว่าตนเองได้ทำร้ายเด็กคนนั้นอย่างไร

"เฮ้อ... เจ้ามาแล้วก็นั่งอยู่กับมารดาเถิด บ่าวกำลังไปนำขนมมา"

"ท่านแม่ ไอ้ตัวโสโครกนั่น..."

"อาเหอ ถ้าเจ้ายังพูดไร้สาระอีก มารดาจะลงโทษเจ้า"

"ไอ้ตัวโสโครกนั่นมันฝึกวิชามาร!"

จ้าวซินเหอพูดออกมาไม่เบานัก แม้ว่าดนตรีจะยังบรรเลงอยู่ แต่ใครฟังดูก็รู้ว่าเรื่องเมื่อครู่ทำเอานักดนตรีคนหนึ่งบรรเลงผิดจังหวะไป ติงมี่เซียนเหลือบตามองนักดนตรีคนนั้น ก่อนจะเรียกให้พ่อบ้านหยางส่งตัวเหล่านักดนตรีกลับไปพร้อมกับค่าจ้าง

ฮูหยินรองทั้งสองคนเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์เริ่มไม่ดีแล้วจึงรีบขอตัวกลับเรือน เหลือเพียงติงมี่เซียน และจ้าวซินเหอสองคน

"เจ้าพูดอะไรอาเหอ?"

"ท่านแม่ ท่านต้องเชื่อข้านะ เจ้านั่นมันฝึกวิชามารจริงๆ!"

จ้าวซินเหอเองก็ไม่รู้ว่าวิชามารที่ว่านั่นมันเป็นอย่างไร เพียงแต่การใช้พลังของจ้าวเซินฝูนั่นก็น่าสงสัยไม่น้อย ในเมื่อไม่ได้เล่าเรียนเฉกเช่นกับบุตรคนอื่น เหตุใดจึงใช้พลังได้ หรือไม่อย่างนั้นเหตุใดมันจึงใช้พลังได้ก่อนบุตรคนอื่นในจวนนี้

"เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหลนะ"

ติงมี่เซียนจับแขนจ้าวซินเหอแน่นราวกับจะเค้นเอาความ

การที่บุตรชายของนางพูดออกมาว่าในจวนตระกูลจ้าวมีผู้ใช้วิชามาร เรียกได้ว่าแทบจะเป็นจุดจบของตระกูล โทษของการเลี้ยงผู้ใช้วิชามารไว้ในตระกูล คือประหารสามชั่วโคตร ไม่ใช่เพียงแค่ตัวผู้ใช้ แต่เครือสาบรรดาญาติก็ต้องโดนไปด้วย

อีกทั้งเมื่อครู่บุตรชายโง่งมของนางดันพูดขึ้นมาทั้งๆที่มีคนอื่นอยู่ด้วย เรื่องนี้คงได้ตักเตือนกันทีหลัง

"ข้าพูดความจริง เมื่อครู่ข้าไม่ได้แตะต้องตัวมันด้วยซ้ำ แต่มันใช้วิชามารจับแขนข้าเอาไว้ ดีที่ข้ายังหนีมาได้"

ติงมี่เซียนใจหายวาบ ไอ้ตัวโสโครกนั่น ใช้วิชาชั้นต่ำกับบุตรชายของนาง จ้าวซินเหอยื่นแขนข้างที่ว่าให้มารดาดู แต่มันก็ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ติงมี่เซียนนั่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หากรออีกสักพัก รอให้สามีของนางกลับมาก่อนแล้วค่อยจัดการเจ้าเด็กนั่น

"ท่านแม่ ไล่มันออกจากจวนไปเถิดขอรับ"

ไม่ใช่ว่าติงมี่เซียนอยากให้จ้าวเซินฝูอยู่ที่จวนแห่งนี้ เด็กนั่นเดิมทีก็เป็นเสี้ยนหนามตำใจของนาง บุตรชายของสตรีสูงศักดิ์ที่อดีตประมุขตระกูลจ้าวจัดหามาให้บุตรชาย

แม้ว่าจ้าวจวิ้นซานในตอนนั้นจะบอกกับนางว่า นอกจากนางแล้วเขาไม่คิดจะมองใคร แต่เมื่อหญิงนางนั้นแต่งเข้าตระกูลได้ไม่นาน ก็ตั้งครรภ์ขึ้นมา

หากไม่ใช่สามีนางเป็นคนทำ ใครจะเป็นผู้ลงมือ ยิ่งคิดยิ่งเจ็บช้ำ เป็นไปได้ติงมี่เซียนภาวนาให้มันตายตกตามมารดาของมันเสีย

"ท่านแม่"

"ไปเรียกพ่อบ้านหยางมา"

จ้าวซินเหอยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ ไม่ว่าสิ่งที่จ้าวเซินฝูฝึกฝนมาจะใช่วิชามารหรือไม่ แต่มันก็ไม่มีสิทธิชูคออยู่ในจวนตระกูลจ้าวแห่งนี้แล้ว หากจ้าวจวิ้นซานรู้ จ้าวจวิ้นซานย่อมไม่ให้มันอยู่ในจวนต่อไปเป็นแน่

ไม่นานเกินรอจ้าวซินเหอก็เดินนำพ่อบ้านหยาง ติงมี่เซียนและบ่าวคนอื่นๆมายังเรือนโกโรโกโสท้ายจวนตระกูลจ้าว

จ้าวเซินฝูเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยืนกวาดใบไม้อยู่ลานบ้านเงียบๆ เมื่อเห็นผู้มาใหม่ถึงได้ละจากสิ่งที่กำลังทำอยู่

"จ้าวฮูหยิน ไม่ทราบว่ามีธุระใด จึงได้มาที่เรือนของข้า?"

จ้าวเซินฝูคำนับให้ติงมี่เซียนแบบขอไปที ทำเอาติงมี่เซียนขมวดคิ้วฉับ

ก่อนหน้านี้ติงมี่เซียนได้เห็นจ้าวเซินฝูผ่านๆบ้าง แต่ทุกครั้งจ้าวเซินฝูจะต้องค้อมตัวคำนับต่ำ ไม่เคยมีครั้งไหนที่มันเชิดหน้าชูคอถามด้วยน้ำเสียงแกมรำคาญเช่นนี้มาก่อน

"อาเหอไปแจ้งข้าเรื่องของเจ้า"

"ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องอันใดหรือ?"

จ้าวเซินฝูเหลือบตาไปมองจ้าวซินเหอที่หลบอยู่หลังมารดา ทั้งที่ตอนแรกเดินนำมาด้วยซ้ำ พอเห็นจ้าวเซินฝูยืนอยู่หน้าเรือนก็รีบวิ่งไปซุกตัวอยู่หลังติงมี่เซียน

"เจ้าอย่ามาทำเป็นไขสือ ข้าเห็นเองกับตา..."

จ้าวเซินฝูตวัดสายตามุ่งร้ายมองไปที่ร่างของจ้าวซินเหอที่ผลุบๆโผล่อยู่แถวชายกระโปรงของติงมี่เซียน จ้าวซินเหอเมื่อเห็นอย่างนั้นก็รีบเงียบปาก แล้วเบือนหน้าหนี

ติงมี่เซียนที่ทันเห็นว่าจ้าวเซินฝูข่มขู่บุตรชายของนางด้วยสายตาก็เกิดโมโหขึ้นมา

"เจ้าน่ะ...ฝึกวิชามารมิใช่หรือ? เจ้ามิรู้หรือว่าโทษของผู้ฝึกวิชามารคืออะไร?"

จ้าวเซินฝูรู้ดีแก่ใจว่าสิ่งที่ตนเองมีในครอบครองไม่ใช่วิชามาร เป็นบ่าวของจ้าวซินเหอแตกตื่นกันไปเอง แล้วจ้าวซินเหอก็เอาไปพูดเป็นตุเป็นตะ

จ้าวเซินฝูหันไปมองจ้าวซินเหอด้วยแววตาขบขัน ยิ่งทำให้จ้าวซินเหอรู้สึกว่าจ้าวเซินฝูนั้นกำลังข่มขู่ตนเองอยู่จริงๆ

"ไม่ทราบว่าจ้าวฮูหยินมีหลักฐานที่ว่าหรือไม่?"

จ้าวเซินฝูย้อนถามกลับ อย่างไรแล้วการที่ติงมี่เซียนมาถึงที่เรือนเล็กนี้ เดิมทีก็เป็นเพราะคำพูดลอยๆของบุตรชาย นางก้มมองบุตรชายของนางที่เกาะชายกระโปรงของนางอย่างหวาดกลัว

ไม่ใช่เรื่องที่ได้เห็นบ่อยๆ โดยปกติแล้วจ้าวซินเหอไม่ใช่เด็กขี้กลัว แต่คราวนี้ เหมือนว่าสิ่งใดก็ตามที่จ้าวซินเหอเจอมานั้น น่าจะเป็นเรื่องจริง

"เหตุใดจึงต้องหาหลักฐาน?"

"เช่นนั้นจะกล่าวโทษข้าลอยๆเช่นนั้นหรือ?"

"เจ้ารังแกอาเหอ เขาจึงได้มีท่าทีหวาดกลัวเช่นนี้"

ติงมี่เซียนเองก็ไม่ได้ยอมแพ้ ไม่ว่าจ้าวเซินฝูจะใช้วิชามารจริงหรือไม่ แต่หากผลพวงจากเรื่องครั้งนี้ทำให้นางสามารถกำจัดจ้าวเซินฝูไปจากจวนตระกูลจ้าวได้แล้ว นับว่าไม่เสียเปล่า

"เป็นบุตรชายท่านที่เริ่มก่อน ข้าเพียงป้องกันตัว"

เรื่องที่จ้าวเซินฝูโดนจ้าวซินเหอรังแกอยู่บ่อยครั้งล้วนรู้กันทั่วทั้งจวนกระกูลจ้าว ติงมี่เซียนแทบจะเถียงไม่ออก

"และที่สำคัญ จ้าวฮูหยินอาจจะเลอะเลือนไป ตรงนี้เป็นเขตเรือนของข้า เป็นบุตรชายท่านที่บุกรุกเข้ามา อีกทั้งยังสั่งให้บ่าวพังประตู และกลั่นแกล้งข้า"

จ้าวเซินฝูมองไปที่จ้าวซินเหอ ริมฝีปากคลี่ยิ้มไม่ถึงดวงตา

"บุตรชายของท่านรังแกผู้อื่นได้ แต่ผู้อื่นป้องกันตัวเองกลับไม่ได้เชียวหรือ?"

"มันจะมากไปแล้วนะ"

"สิ่งใดที่เรียกว่ามากไป เชิญจ้าวฮูหยินกล่าวเถิด"

ติงมี่เซียนกำมือแน่น นางไม่เห็นจะรู้มาก่อนว่าจ้าวเซินฝูมีฝีปากที่เฉียบคมเกินตัวขนาดนี้ ไม่ว่าจะเรื่องใดที่พูดไปล้วนย้อนกลับเข้าตัวนางหมด

"สิ่งที่ข้าคิดว่ามากไปคือการกล่าวหาว่าข้าใช้วิชามารต่างหาก ไม่เช่นนั้นให้ใต้เท้าอวิ๋นตัดสินไม่ดีหรือ?"

ติงมี่เซียนตาโตด้วยความตกใจ ไม่ว่าจะอย่างไร การที่เอ่ยถึงใต้เท้าอวิ๋นแล้วนั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา นางได้มองข้ามเรื่องที่จ้าวเซินฝูรู้จักใต้เท้าอวิ๋นไป แต่ไม่ใช่กับพ่อบ้านหยาง

หากเป็นเพียงแค่เด็กอายุสิบสองหนาว ไม่มีผู้ใดสั่งสอน ไหนเลยจะใช้พลังธาตุได้ กระทั่งรู้จักชื่อของใต้เท้าอวิ๋น

ใต้เท้าอวิ๋น เป็นขุนนางขั้นที่สาม อีกทั้งเป็นผู้มากความสามารถ เป็นผู้ตัดสินโทษการก่อคดีโดยการใช้พลังธาตุ หากเรื่องถึงใต้เท้าอวิ๋นแล้ว เกรงว่าจะไม่ง่าย

"เรียนฮูหยิน ข้าคิดว่าเรื่องที่คุณชายใหญ่ใช้วิชามารนั้นคงไม่ใช่ความจริง"

ทั้งจวนนี้มีเพียงพ่อบ้านหยางเท่านั้นที่เรียกจ้าวเซินฝูว่าคุณชายใหญ่จ้าว และจ้าวจวิ้นซานก็ไม่เคยปรามอะไร แม้ว่าติงมี่เซียนจะพูดเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว

"พ่อบ้านหยาง ข้าให้เจ้าพูดสอดหรือ?"

เพียงแค่เรียกเจ้าเด็กโสโครกตรงหน้านี่ว่าคุณชายใหญ่ นางก็เคืองไม่น้อยแล้ว ยังจะมาพูดราวกับว่าบุตรชายของนางพูดจาเหลวไหลอีก

"เช่นนั้นฮูหยินจะปล่อยให้เรื่องถึงใต้เท้าอวิ๋นหรือ?"

ไม่ใช่แค่นางที่ไม่พอใจ พ่อบ้านหยางเองก็ขุ่นเคืองไม่แพ้กัน แม้ว่าติงมี่เซียนจะมีศักดิ์เป็นนายผู้หญิงของบ้าน แต่แล้วอย่างไรล่ะ หากพ่อบ้านหยางไม่พึงใจจะอยู่ จะไปเมื่อไหร่ก็ย่อมได้

ว่ากันว่ามีพ่อบ้านดีก็เหมือนเป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูลอยู่หนึ่งส่วน เพราะคนที่ต้องออกหน้ารับส่งแขก กระทั่งแก้ปัญหาเบื้องต้น ย่อมเป็นพ่อบ้านของจวน

หากไร้เหตุผลถึงเพียงนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องเสวนากันอีก พ่อบ้านหยางไม่ได้ออกตัวว่าจะปกป้องจ้าวเซินฝูแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ได้เข้าข้างติงมี่เซียนด้วยเช่นกัน เพียงแค่เรื่องนี้พ่อบ้านหยางต้องการเอาเหตุผลเป็นที่ตั้ง

"หากเรื่องถึงใต้เท้าอวิ๋นจริง เช่นนั้นค่าเสียหายข้าของเป็นชีวิตของจ้าวฮูหยินและบุตรชายของท่านแล้วกัน"

คำพูดที่อยู่ๆก็โพล่งขึ้นกลางปล้องของจ้าวเซินฝูทำเอาพ่อบ้านหยางเสียอาการไปชั่วครู่ แต่ติงมี่เซียนทำท่าเหมือนจะเข้ามาตบตีจ้าวเซินฝูเสียแล้ว

"เจ้า!"

"มิใช่ว่าจ้าวฮูหยินมาหาเรื่องข้าถึงที่นี่ เพราะอยากให้ข้าไปพ้นๆหน้าเสียหรอกหรือ?"

จ้าวเซินฝูจ้องตากลับอย่างไม่เกรงกลัว

"ท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าถ้าหากแจ้งกับทางการว่าข้าฝึกวิชามาร เรื่องมันจะไม่จบที่ถูกเนรเทศ แต่ท่านก็ยังดึงดันที่จะมาพูด แม้ว่าไม่มีหลักฐานใดเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากคำพูดเลื่อนลอยของบุตรชายหน้าโง่ของท่าน"

จ้าวซินเหอไม่แม้แต่จะโผล่หน้าออกมามอง แม้ว่าจ้าวเซินฝูนั่นกำลังด่าอยู่ ได้แต่กำชายกระโปรงของมารดาอย่างเจ็บใจ

"หากไม่มีธุระอันใดแล้วก็กลับไปเถิด เสียเวลาข้า"

จ้าวเซินฝูไม่สนใจท่าทีที่เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อของติงมี่เซียน และสายตามาดร้ายของจ้าวซินเหออีก กลับตั้งหน้าตั้งตากวาดใบไม้ไปกองรวมกันไว้ให้ดูสะอาดตาเท่านั้น

เป็นเวลาเดียวกันกับที่จ้าวจวิ้นซานกลับมาถึงจวน หลังจากเยี่ยมชมกิจการโรงน้ำชา และเหลาอาหารเสร็จสิ้น แต่เมื่อกลับมาถึงจวนแล้ว มีเพียงแค่สาวใช้สองคนออกมาต้อนรับ จึงได้ถามหาภรรยาและบุตรคนอื่นๆ

"ฮูหยินใหญ่กับคุณชายใหญ่ ไปที่เรือนท้ายจวนเจ้าค่ะนายท่าน"

จ้าวจวิ้นซานได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วด้วยความงุนงงปนไม่พอใจ เหตุใดจึงได้พากันไปวุ่นวายที่เรือนเล็กนั่น ในขณะที่คิดดังนั้นก็เดินไปยังเรือนเล็กที่ว่านั่นด้วย

จวนตระกูลจ้าวเรียกได้ว่ากว้างขวาง กว่าจะเดินมาถึงเรือนเล็กที่ว่าก็ใช้เวลาไปเกือบครึ่งก้านธูป จ้าวจวิ้นซานนึกหงุดหงิดไม่น้อย หลังจากเสร็จงานแทนที่จะได้พักผ่อน กลายเป็นว่าต้องมาดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่เรือนเล็กท้ายจวนถึงได้พากันยกโขยงมาถึงที่นี่

เมื่อมาถึงแล้วภาพที่เห็นยิ่งช่วยงุนงง ภาพเด็กชายสภาพมอมแมมคนหนึ่งยืนกวาดลานหน้าเรือนเล็กอย่างไม่สนใจใคร กับบุตรชายของตนที่ยืนเกาะชายกระโปรงของฮูหยินแน่นไม่ปล่อย อีกทั้งยังมีพ่อบ้านหยางที่ยืนทำหน้าลำบากใจรวมอยู่ด้วย

ลำพังรู้มาว่าฮูหยินมาที่นี่ด้วยตัวเองก็ประหลาดใจไม่น้อยแล้ว แต่นี่กระทั่งพ่อบ้านหยางยังมาด้วย อาจจะเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คิด

"พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่?"

จ้าวจวิ้นซานเอ่ยถามออกมาด้วยเสียงที่ไม่เบานัก เสียงนั้นเจือความไม่พอใจอยู่ไม่น้อย

จ้าวเซินฝูที่แสร้งกวาดพื้นอยู่นั้น เมื่อได้ยินเสียงของผู้มาใหม่ก็เงยหน้ามามองเช่นกัน จ้าวจวิ้นซานมองมาที่จ้าวเซินฝูอย่างนึกรังเกียจ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหน จ้าวจวิ้นซานก็ยังชังน้ำหน้าบุตรชายคนโตไม่เสื่อมคลาย

เรียกได้ว่าจ้าวเซินฝูเป็นเสี้ยนหนามตำอย่างเดียวที่เหลืออยู่ในชีวิตของจ้าวจวิ้นซานเลยก็ว่าได้

เมื่อจ้าวเซินฝูได้เห็นสายตาของบิดาที่มองมา ก็มองกลับด้วยความท้าทายไม่มีกริ่งเกรง แม้ว่า ณ ที่ตรงนี้ จ้าวจวิ้นซานจะมีตำแหน่งสูงสุด แต่จ้าวเซินฝูไม่คิดจะทำความเคารพแม้แต่น้อย ต่างจากคนอื่นที่หันไปค้อมตัวให้ผู้เป็นเจ้าบ้าน

จ้าวซินเหอเมื่อเห็นว่าบิดาของตนมาแล้ว ก็รีบวิ่งเข้าไปหา พร้อมทั้งเอ่ยปากใส่ความจ้าวเซินฝูอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง

"ท่านพ่อ ไอ้ตัวโสโครกนั่นฝึกวิชามาร"

จ้าวซินเหอนั้นปากไวจนมารดาอย่างติงมี่เซียนไม่ทันเอ่ยห้ามอะไรด้วยซ้ำ

เมื่อจ้าวจวิ้นซานได้ยินคำว่าวิชามารนั้นบรรยากาศโดยรอบก็พลันเปลี่ยนไป ตวัดสายตามองมาที่จ้าวเซินฝูทันที

"วิชามารอย่างนั้นหรือ?"

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ทุกหนี้แค้นล้วนแล้วมีเจ้าของ เล่ม 1 -จวนตระกูลจ้าว-   ตอนที่ 15

    วันนี้ตระกูลจ้าวยังเงียบสงัดเช่นเดิมเมื่อตะวันลับขอบฟ้า ความมืดคืบคลานจนกระทั่งเต็มแผ่นฟ้า จวนตระกูลจ้าวจุดไฟสว่างไสวแต่กับไร้ผู้คนเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็น จ้าวจวิ้นซานขุ่นเคืองเสียจนไม่รับสำรับพร้อมกับติงมี่เซียน กระทั่งบุตรชายของนางเองก็ยังมีข้ออ้างเพื่อที่จะอยู่ให้ไกลจากนางจ้าวจวิ้นซานไปนอนที่เรือนของฮูหยินรองตามที่เจ้าตัวว่าเอาไว้ ส่วนฮูหยินเอกอย่างติงมี่เซียนในตอนนี้ ก็ต้องกลับมานอนที่เรือนใหญ่คนเดียว เพราะเรือนรับรองนั้นยังไม่ได้ซ่อมแซมแม้ว่าในช่วงเย็นจะมีบ่าวใจกล้าสามสี่คนมาจัดการเรื่องต่างๆให้ติงมี่เซียน แต่เมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีก็รีบกลับเรือนบ่าวไปโดยไม่ลาเท่ากับว่าในตอนนี้ติงมี่เซียนอยู่ที่เรือนใหญ่นี่เพียงคนเดียวติงมี่เซียนอยู่ในชุดผ้าสีขาวพร้อมนอน แต่สายตาของนางกวาดมองไปรอบห้องอย่างหวาดระแวงสายตาของนางจ้องเขม็งไปยังราวไม้ว่างเปล่า เดิมทีมันเป็นราวไม้สำหรับแขวนเสื้อคลุมประจำตำแหน่งฮูหยินเอกที่ถูกเผาทำลายไปตอนนี้มันเป็นเพียงราวไม้ว่างเปล่า แต่กลับดูน่าหวาดกลัวเสียเหลือเกินหากยังเป็นเช่นนี้ ราตรีนี้นางคงไม่อาจข่มตาหลับได้...ติงมี่เซียนรีบคิดหาทางรอดอย่

  • ทุกหนี้แค้นล้วนแล้วมีเจ้าของ เล่ม 1 -จวนตระกูลจ้าว-   ตอนที่ 14

    หลังจากที่ลงทะเบียนบ่าวกับทางการแล้ว จ้าวเซินฝูก็พาบ่าวทั้งคู่ไปเลือกซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปง่ายๆคนละห้าชุด ก่อนจะพากันกลับจวนเงินค่าตัวบ่าวนั้นมอบให้กับทั้งสองคนอย่างเท่าเทียม และมีสัญญาบ่าวเป็นเวลาห้าปีเนื่องจากทั้งเสี่ยวเล่อและเสี่ยวเมิ่งนั้นไม่มีบิดามารดา หรือผู้ดูแลอะไรเลย เงินที่ทั้งสองคนได้จึงเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องรับใช้จ้าวเซินฝูให้ครบห้าปีเสียก่อนจึงจะไถ่ถอนตัวเองได้ โดยมีพันธะสัญญานายบ่าวที่จัดการโดยทางการเย็นย่ำแล้ว หวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูจึงได้พากันกลับมาที่จวนตระกูลจ้าวในตอนนี้คนตระกูลจ้าวมีสีหน้าที่เหนื่อยล้าไม่น้อย เพราะทุกอย่างจะต้องเสร็จสิ้นก่อนตะวันตกดิน และทุกอย่างเพิ่งจะเสร็จสิ้นก่อนที่จ้าวซิ่วเทียนจะกลับมาไม่ถึงสองเค่อจ้าวจวิ้นซานเมื่อเห็นว่าหวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูกลับมาก็รีบเดินเข้ามาหา"หวังไต้ซือ""ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วหรือประมุขจ้าว""ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับ""เช่นนั้นหรือ..."จ้าวจวิ้นซานแม้จะพูดแบบนั้น แต่ก็ยังไม่แน่ใจนักว่าสมบัติที่ติงมี่เซียนเก็บเอาไว้นั้น ได้เอาไปคืนที่เรือนจันทร์เสี้ยวจนครบทุกอย่างแล้วหรือยัง"นางกล่าวว่ายังมี

  • ทุกหนี้แค้นล้วนแล้วมีเจ้าของ เล่ม 1 -จวนตระกูลจ้าว-   ตอนที่ 13

    เช้าวันถัดมาหวังซิ่นเจียเดินมาหาจ้าวเซินฝูที่เรือนเล็กพร้อมกับพ่อบ้านหยางในตอนนี้พ่อบ้านหยางเป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝูแล้ว เหมือนว่าพ่อบ้านหยางจะดูยิ้มแย้มขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องไหน ระหว่างได้เป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝู หรือได้ปลดภาระจากการเป็นพ่อบ้านของตระกูลจ้าว"วันนี้ข้าจะพาไปเลือกบ่าวคนใหม่"จ้าวเซินฝูเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามออกมา แต่ดูเหมือนว่าหวังซิ่นเจียจะไม่ค่อยพึงพอใจนัก และสิ่งที่ทำให้หวังซิ่นเจียดูไม่พึงพอใจคือชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่"แน่ใจนะว่าจะไปหาบ่าวเพิ่ม ไม่ใช่ไปขายตัวเป็นบ่าว"ตอนนี้ชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่ราวกับผ้าขี้ริ้วก็ไม่ปาน หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าหวังซิ่นเจียคงไม่กล้าเดินใกล้แม้ว่าชุดของหวังซิ่นเจียจะดูเก่า แต่มันก็มีราคา ที่สำคัญมันดูเก่าเพราะต้องระหกระเหินไปนู่นมานี่ต่างหาก หากใส่ชุดดีๆเกรงว่าชุดจะหม่นหมอง"เป็นถึงคุณชายใหญ่ ไม่มีเสื้อผ้าที่ดีกว่านี้หรือ"จ้าวเซินฝูได้แต่ทำหน้าแหยๆออกมาตั้งแต่เติบโตมาเสื้อผ้าที่จะมีใส่ก็มีเพียงชุดของบ่าวไพร่ที่เอามาทิ้งเท่านั้น อีกทั้งสองตัวนี้ยังใส่มานานแล้วด้วย"เป็นข้าที่สะเพร่าเอง พวกท่านโปรดรอสักครู่ ข้

  • ทุกหนี้แค้นล้วนแล้วมีเจ้าของ เล่ม 1 -จวนตระกูลจ้าว-   ตอนที่ 12

    หวังซิ่นเจียถ่ายทอดเรื่องที่อดีตฮูหยินอย่างเมิ่งหรูซีต้องการออกมาเป็นข้อๆอย่างแรกที่นางต้องการย่อมไม่พ้นตำแหน่งคุณชายใหญ่ตระกูลจ้าวที่ควรเป็นของจ้าวเซินฝูบุตรของนางตั้งแต่แรก ที่ผ่านมาเป็นติงมี่เซียนต้องการตำแหน่งนั้นให้กับบุตรชายของตนเอง และจ้าวจวิ้นซานไม่ได้โต้แย้งอะไรหวังซิ่นเจียกล่าวว่า นางคิดว่าจ้าวซินเหอหลงระเริงกับตำแหน่งนั้นมานานเกินพอแล้ว จ้าวซินเหอควรรู้ฐานะของตนแม้ว่าเมื่อพูดเรื่องแรกขึ้นมาแล้ว ลูกหนี้ความแค้นของจ้าวเซินฝูจะทำหน้าเหมือนไม่อยากจะยอมรับมากเพียงใด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในประการแรกที่เมิ่งหรูซีร้องขอมา จ้าวจวิ้นซานจึงตอบตกลงติงมี่เซียนมีสีหน้าที่ไม่น่าดูนัก อย่างไรการที่ลดตำแหน่งของจ้าวซินเหอนั้น นางมีแต่เสียกับเสีย ไม่ว่าจะเป็นตัวจ้าวซินเหอเองที่ต้องทนอยู่กับฐานะที่เป็นรอง อีกทั้งคนภายนอกอาจจะมองว่าที่ผ่านมา เป็นจ้าวซินเหอที่ใฝ่สูง อยากเป็นคุณชายใหญ่ก็ได้แล้วไหนจะตัวนางที่เป็นฮูหยินอยู่ในตอนนี้...สายตาเหยียดหยามจากคนอื่นคงทิ่มแทงจนนางแทบจะเป็นรูแต่เมื่อจ้าวจวิ้นซานนั้นรับปากไปแล้ว นางย่อมทำอะไรไม่ได้"สมบัติของอดีตฮูหยิน... โปรดมอบคืนให้กับคุณชายใหญ่ด้วย"แ

  • ทุกหนี้แค้นล้วนแล้วมีเจ้าของ เล่ม 1 -จวนตระกูลจ้าว-   ตอนที่ 11

    "เจ้าว่าอย่างไรนะ""คะ คุณชายผู้นี้ กล่าวว่าเห็นวิญญาณขอรับ"จ้าวจวิ้นซานแทบจะสั่งโบยบ่าวตรงหน้าให้ตายเสีย ในยามนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าจวนตระกูลจ้าวกำลังประสบปัญหาอะไร เชิญคนแปลกหน้าเข้ามาในจวนสุ่มสี่สุ่มห้า ครั้งนี้ก็คงจะเป็นพวกต้มตุ๋นเหมือนคนก่อนๆ"ขออภัยด้วยคุณชาย เกรงว่าตอนนี้ที่จวนไม่เหมาะจะรับแขก"เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมา ในตอนนี้จวนตระกูลจ้าวจึงมีปัญหามากมายรอการแก้ไข อีกทั้งเรื่องเรือนรับรองที่ถูกไฟไหม้ไปเมื่อคืน ยังไม่สามารถหาช่างมาซ่อมแซมได้ด้วยเรื่องข่าวลือที่ว่าจวนตระกูลจ้าวมีวัญญาณร้ายสิงสู่ ทำให้ไม่มีใครอยากรับงาน ไม่ว่าจ้าวจวิ้นซานจะเสนอราคาที่สูงแค่ไหนก็ตาม"เอาเถอะ หากนายท่านจ้าวกล่าวเช่นนั้น ข้าก็ไม่บังคับ"จ้าวจวิ้นซานยกมือนวดขมับเบาๆ ข้างๆมีติงมี่เซียนนั่งทำท่าขบคิดอยู่ไม่ห่างกาย"แต่ข้าขอเตือนไว้อย่าง..."เมื่อชายแปลกหน้าผู้นั้นพูดขึ้นมา จ้าวจวิ้นซาน ติงมี่เซียน หรือคนที่อยู่แถวนั้นต่างก็หยุดฟัง พวกเขาแทบไม่กล้าหายใจดังด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะพลาดใจความสำคัญไป"ครั้งหน้า... นางคงไม่ยอมจบแค่เสื้อคลุมประจำตำแหน่ง และเรือนรับรองแน่ ที่นางกล่าวมีเพียงเท่าน

  • ทุกหนี้แค้นล้วนแล้วมีเจ้าของ เล่ม 1 -จวนตระกูลจ้าว-   ตอนที่ 10

    ช่วงเวลาที่ไม่น่าอภิรมย์มากที่สุดของตระกูลจ้าว คือเมื่อยามที่ตะวันลับขอบฟ้า...ช่วงเวลาที่แสนน่าหวาดหวั่นของคนที่อยู่ในจวนตระกูลจ้าวทั้งเจ้านายและบ่าวไพร่มารวมตัวกันอยู่ที่เดียว เรือนรับรองถูกใช้เป็นที่ซุกหัวนอนในยามค่ำคืนของคนในตระกูลนี้แต่ถึงอย่างนั้น ทุกๆคืนก็ยังได้ยินเสียงลมหวีดหวิวอยู่ด้านนอก เรือนรับรองนั้นแม้ในยามที่ทุกคนรวมตัวกันอยู่ ด้านนอกก็ยังมีเสียงฝีเท้าที่เดินรอบเรือนครั้งหนึ่งเคยให้บ่าวพากันออกไปดูว่าใครเป็นคนเดิน แต่เมื่อออกไปดูก็พบเพียงความว่างเปล่า สายลมกรรโชกแรง พัดพายอดไม้สูงเอนไหวตามลมเป็นภาพที่น่าขนลุกหลังจากนั้นแม้จะมีเสียงเดินรอบเรือนรับรอง หรือเสียงขูดเล็บกับบานหน้าต่าง กระทั่งเสียงเดินบนหลังคาเรือนรับรองก็ไม่มีใครกล้าออกไปดูแต่คืนนี้ จะเป็นคืนสุดท้ายแล้ว การกลั่นแกล้งทั้งหมดจะจบลงในคืนนี้ดังนั้นจ้าวซิ่วเทียนจึงคาดหวังให้มันเป็นคืนที่จะฝังอยู่ในใจของผู้พบเจอไปจนตาย..."จงอยู่กับความหวาดกลัวไปชั่วชีวิตเสียเถอะ"เสียงแผ่วเบาพัดหายไปกับสายลมแรง จ้าวเซินฝูคับแค้นเสียจนต้องเอ่ยปากกับตัวเอง เกรงว่าหากไม่ได้ระบายออกมาเสียหน่อยคงจะอกแตกตายเรื่องที่ว่าจะให้ยกโทษ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status