ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ติงมี่เซียนยังเดินทางไปไหว้พระบนเขา และจ้าวเซินฝูพ้นโทษกักบริเวณเป็นวันแรก...
จ้าวเซินฝูคิดวิธีที่จะทวงคืนสมบัติของมารดาคืนมาได้แล้ว
สมบัติของใคร...ก็ให้คนนั้นเป็นผู้ทวงคืน
ดังนั้นจ้าวเซินฝูคิดจะใช้ความหวาดกลัวของผู้คนในตระกูลจ้าวให้เป็นประโยชน์ ในเมื่อตอนนี้คนในจวนเอาแต่พูดว่าจ้าวเซินฝูร่ำเรียนวิชามาร เรียกภูติผีวิญญาณมาเป็นบริวารได้ ดังนั้นก็ให้เชื่อไปเช่นนั้น...
เช้าตรู่ของวันที่พ้นโทษกักบริเวณ จ้าวเซินฝูมุ่งหน้าไปยังหอบรรพชน
หอบรรพชนที่ว่า อยู่ถัดจากเรือนรับรองมานิดหน่อย แม้ว่าตระกูลจ้าวจะอบรมบุตรหลานไม่ได้ความเท่าไรนัก แต่ว่าบุตรหลานตระกูลจ้าวนั้นให้ความสำคัญกับบรรพบุรุษเป็นอย่างมาก
จุดมุ่งหมายของจ้าวเซินฝูในวันนี้คือการมาเคารพป้ายวิญญาณของมารดา
และเพื่อขอล่วงเกิน ใช้ชื่อของมารดากระทำเรื่องผิดศีลธรรมไร้ยางอาย...
ความเชื่อของคนในจวนตระกูลจ้าวแท้ๆ ทำให้จ้าวเซินฝูคิดได้ว่าหากเชื่อกันไปเช่นนั้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปอธิบายอะไรให้เสียแผน สู้ใช้ความกลัวที่มีของคนในจวนปีนป่ายสู่ความสำเร็จเสียยังจะดีกว่า
หลังจากเคารพป้ายวิญญาณของมารดาเสร็จแล้ว จ้าวเซินฝูก็กลับมาเก็บตัวในเรือนเล็กเช่นเดิม เพื่อวางแผนที่จะดำเนินการตามขั้นตอน
ในตอนนี้ติงมี่เซียนไม่อยู่ที่จวนตระกูลจ้าว ดังนั้นเรื่องที่จะคิดบัญชีกับนางเอาไว้ทีหลัง แต่แน่นอนว่านางจะต้องโดนหนักสุดอย่างแน่นอน
อันดับแรก คงจะเริ่มจากบ่าวไพร่ตัวเล็กตัวน้อยในจวน...
แม้ว่าบ่าวที่ไม่เคยข้องเกี่ยวกับจ้าวเซินฝูจะโดนไปด้วย แต่ว่าจ้าวเซินฝูก็ไม่ได้สนใจ แม้จะไม่ได้ลงมือกลั่นแกล้ง แต่ก็เพิกเฉย
จ้าวเซินฝูไม่คิดจะเห็นใจใครในตระกูลจ้าวทั้งนั้น
เมื่อตกดึกจ้าวเซินฝูเดินสำรวจจวนตระกูลจ้าวอย่างเงียบเชียบ ทุกสิ่งอย่างล้วนดูแปลกตา เพราะในชาติก่อน จ้าวเซินฝูไม่ได้รับอนุญาตให้เดินไปทั่ว แม้ว่าจะกลับมาเยี่ยมในฐานะของผู้อาวุโสสำนักเจี๋ยเอินก็ตาม
แทบทั้งคืนที่จ้าวเซินฝูใช้เวลาไปกับการสำรวจจวนแห่งนี้ และได้ข้อสรุปมาเพื่อวางแผนอย่างแยบยล
เริ่มจากพวกบ่าวตัวเล็ก ไม่มีปากมีเสียง หากพวกมันพูดเรื่องไร้สาระ ย่อมต้องถูกลงโทษเป็นแน่ ทั้งโดนจ้าวเซินฝูกลั่นแกล้ง อีกทั้งยังโดนลงโทษอีก...
ต้องเป็นแบบนั้นแหละ...
เมื่อบ่าวพวกนั้นโดนลงโทษไปแล้ว ต่อไปก็เป็นพวกบ่าวทั่วไป โดยเฉพาะหัวหน้าแม่ครัวที่คอยกลั่นแกล้งจ้าวเซินฝูคนนั้น... นางต้องโดนหนักกว่าคนอื่นนิดหน่อย
และพ่อบ้านหยาง...
แม้ว่าในตอนนั้นพ่อบ้านหยางจะหยิบยื่นน้ำใจให้ แต่ว่าก็ยังเป็นอีกคนที่เพิกเฉยต่อการกระทำของคนในจวนนี้
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าใครก็สามารถลงมือรังแกจ้าวเซินฝูได้ แม้ว่าในบางครั้งพ่อบ้านหยางจะสังเกตเห็นแต่ก็ละเลยไม่สนใจ
หลังจากนั้นก็เป็นเหล่าฮูหยินรอง...
และเหล่าคู่แค้นคนสำคัญ...
จ้าวจวิ้นซาน ติงมี่เซียน จ้าวซินเหอ...
คนเหล่านี้ในอดีต ไม่เพียงแต่คร่าชีวิตของมารดา แต่ยังเป็นสาเหตุแห่งความตายของจ้าวเซินฝูอีกด้วย
แม้ว่าในภพชาตินี้จ้าวเซินฝูจะไม่โง่งมเช่นเดิมแล้วก็ตาม...
แต่หนี้แค้นที่มี อย่างไรก็ต้องชำระ
จ้าวเซินฝูตั้งใจที่จะแก้แค้นทั้งในตอนนี้ และในวันหน้า กระทั่งอีกเป็นสิบปีถัดจากนี้ จ้าวเซินฝูมาดหมายเอาไว้แล้วว่าคนตระกูลจ้าวต้องอยู่อย่างตายทั้งเป็น
ไม่มีทางที่จ้าวเซินฝูจะให้อภัย...
หากเป็นตัวจ้าวเซินฝูในอนาคต ไม่ว่าเรื่องใหญ่แค่ไหนย่อมจัดการได้อย่างแน่นอน
ในตอนนี้พลังธาตุที่จ้าวเซินฝูได้มาอย่างเดียวคือธาตุลม... และธาตุลมนั้น ช่างเหมาะสมกับแผนการกลั่นแกล้งคนตระกูลจ้าวยิ่งนัก...
ภูติผีงั้นหรือ...
หากมันไม่มี ก็สร้างขึ้นมาเสีย
สายลมในยามค่ำคืนพากันย่างกรายพัดผ่านจวนตระกูลจ้าว จ้าวเซินฝูยืนนิ่งบนหลังคาเรือนรับรองให้สายลมโอบล้อมร่างเอาไว้
ทั้งความคิด และความรู้สึกพรั่งพรูออกมา คนตระกูลจ้าว ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นเป็นเรื่องดี จ้าวเซินฝูจะได้แก้แค้นอย่างไม่ต้องรู้สึกผิด...
"จ้าวจวิ้นซาน..."
หากเป็นคนที่จ้าวเซินฝูคับแค้นใจมากที่สุด ย่อมไม่พ้นผู้เป็นบิดา หากที่ผ่านมาจ้าวจวิ้นซานออกหน้าปกป้องบ้าง จ้าวเซินฝูคงจะรู้สึกผิดที่ต้องทำเรื่องเช่นนี้
แต่แน่นอนว่าคนอย่างจ้าวจวิ้นซานไม่มีทางเปลี่ยนไป...
"เป็นเช่นนั้นดีแล้ว..."
แผนการแรกของจ้าวเซินฝูจะเริ่มขึ้นในตอนเช้ามืด...
.
.
.
ในเวลาเช้ามืดของจวนตระกูลจ้าวก็คึกคักเช่นเดิม เพราะเหล่าบ่าวไพร่ต้องรีบจัดเตรียมสิ่งต่างๆเพื่อปรนนิบัติเจ้านายของบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาด เตรียมน้ำชำระล้างกาย หรือเตรียมสำรับเช้า
และเป้าหมายของจ้าวเซินฝูในเช้าวันนี้ คือการกลั่นแกล้งบ่าวตัวเล็กตัวน้อยในบ้าน
บ่าวหญิงคนหนึ่ง เป็นบ่าวประจำโรงครัว คอยยกสำรับไปให้เรือนของฮูหยินรอง ในเวลาเช้ามืดนั้น นางยังไม่ต้องยกสำรับไปให้เจ้านาย แต่ก็ยังต้องไปช่วยงานที่โรงครัว
นางต้องเดินจากเรือนพักของบ่าวไปยังห้องครัว ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว หากเดินจากเรือนพัก ผ่านหน้าเรือนเล็กของจ้าวเซินฝูไปยังห้องครัวนั้น จะใช้เวลาเพียงครึ่งก้านธูป
แต่เพราะข่าวลือว่าเรือนเล็กนั้นไม่น่าเข้าใกล้ นางจึงต้องใช้ทางอ้อมเพื่อไปยังโรงครัว แต่ใช้เวลากว่าหนึ่งเค่อ
เพราะนางเป็นบ่าวที่ไม่ได้มีปากมีเสียง ดังนั้นเหยื่อของจ้าวเซินฝูในเช้านี้ จึงมีนางเป็นหนึ่งในนั้น
จ้าวเซินฝูอยู่รอที่เรือนพักของบ่าว เมื่อนางเดินออกมาจากเรือนพักแล้ว จ้าวเซินฝูจึงค่อยๆตามไปอย่าเงียบเชียบ เพื่อไม่ให้นางได้รู้ตัว
เพราะ 'ฝ่าเท้าเจ้าเวหา' ทำให้จ้าวเซินฝูสามารถเคลื่นไหวอยู่เหนือพื้นดินได้อย่างเงียบงั้น นางตกเป็นเหยื่อโดยที่ไม่ทันได้รู้ตัว
จ้าวเซินฝูสะบัดมือเบาๆ สายลมแผ่วเบากระทบกับพุ่มไม้ที่นางกำลังจะเดินผ่าน บ่าวหญิงคนนั้นหยุดชะงักด้วยความตกใจ
ในตอนเช้ามืดแบบนี้ ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ชัดเจน แต่เมื่อนางยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วไม่เห็นว่าจะมีอะไรออกมา นางจึงเดินต่อ แต่คราวนี้เร่งฝีเท้าขึ้นเพื่อให้ถึงที่หมายโดยเร็ว
และเพื่อให้ถึงที่หมายโดยเร็ว นางจึงเดินมาหยุดอยู่หน้าเรือนเล็กของจ้าวเซินฝูโดยไม่รู้ตัว
ร่างกายของนางพานางมาที่นี่ด้วยความเคยชิน เพราะเส้นทางนี้เป็นเส้นทางประจำที่พวกนางต้องใช้เพื่อเดินผ่านไปยังห้องครัว
เรือนเล็กของจ้าวเซินฝูนั้นเก่าโทรม แต่เมื่อก่อนไม่ได้ดูน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้
นางแทบจะกลั้นหายใจเมื่อขาไม่รักดีของนางพานางมาอยู่ในจุดที่อันตรายที่สุดของจวน แต่ในเมื่อเดินมาถึงตรงนี้แล้ว อีกเพียงอึดใจเดียวก็จะถึงโรงครัว
สายลมไม่ทราบที่มีพัดผ่านตัวนางไปอย่างแรง ด้วยสัญชาตญาณของมนุษย์ เมื่อลมพัดผ่านไปแล้ว จึงหันไปมองตามว่าลมนั้นพัดไปที่ใด
สายตาของนางไปปะทะเข้ากับสิ่งแปลกประหลาดที่อยู่บนกิ่งไม้ใกล้กับเรือนเล็กของจ้าวเซินฝู และสิ่งนั้นทำเอานางอกสั่นขวัญผวา
บางสิ่งบางอย่างในอาภรณ์สีขาวเรียบๆ ท่าทางราวกับกำลังนอนทอดกายอย่างสบายอกสบายใจอยู่บนกิ่งไม้กิ่งนั้น
บ่าวหญิงผู้นั้นยืนขาสั่นก้าวไม่ออก สิ่งที่นางเห็นนั้นนางไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้เลย
แม้จะพูดว่านอนทอดกาย แต่สิ่งนั้นมันไม่มีร่างกาย... เป็นเพียงชุดคลุมตัวในสีขาวที่ดูเป็นทรวดทรงของมนุษย์ ราวกับผู้ที่สวมใส่มันอยู่นั้นล่องหน...
นางฉุกคิดขึ้นมาได้ทันทีว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเรือนเล็กหลังข้างๆกันนั่น
เรื่องที่เล่าลือกันว่าเรือนเล็กท้ายจวนเป็นที่อยู่ของคุณชายตระกูลจ้าวผู้ตกอับ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้เป็นบิดา จึงได้ร่ำเรียนวิชามาร เลี้ยงภูติผีเป็นบริวาร
ทุกคนต่างรู้ดีว่าประมุขตระกูลจ้าวนั้นเคี่ยวเข็ญกับการปลุกพลังของบุตรในตระกูลมากเพียงใด เรื่องนี้คงไปถึงหูคุณชายผู้นี้เข้า แต่ว่าที่ผ่านมานั้น ผู้เป็นบิดาไม่ได้ให้ความสนใจ จึงไม่ได้ร่ำเรียนเหมือนกับบุตรคนอื่นๆ
เพราะอย่างนั้นจึงเหลือเพียงหนทางเดียวที่จะได้รับความสนใจ คือผันตัวเข้าสู่เส้นทางมาร เพื่อที่จะได้รับพลังเร็วกว่าบุตรคนอื่นๆ
นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่บ่าวในตระกูลต่างเล่าลือกันไปเองโดยที่จ้าวเซินฝูไม่รู้ ดังนั้นเมื่อตอนที่เรื่องนี้ถึงหูของจ้าวเซินฝูนั้น เจ้าตัวจึงได้คว่ำปากด้วยความไม่พอใจ...
แต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญเท่าชีวิตของบ่าวหญิงคนนึงที่(นางรู้สึกไปเองว่า)อยู่บนเส้นด้าย หากขยับตัวอาจเป็นการเรียกความสนใจมาที่ตัวนาง
ในขณะที่นางคิดหาวิธีเอาตัวรอดไปจากจุดนี้ จ้าวเซินฝูก็ไม่ปล่อยให้พลาดโอกาสอันดีงามนี้ผ่านไปเฉยๆ
จ้าวเซินฝูที่สังเหตการณ์อยู่บนหลังคาเรือนที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนักสะบัดมือช้าๆ บังคับให้สายลมประคองชุดสีขาวนั้นขยับเหมือนหันมาเห็นนางพอดี
ภาพของนางที่สะดุ้งจนตัวโยนอยู่ในสายตาของจ้าวเซินฝูทั้งหมด
นี่น่ะหรือ...ความรู้สึกที่ได้กลั่นแกล้งผู้อื่น...
จ้าวเซินฝูรู้สึกสะใจไม่น้อย บ่าวหญิงนางนั้นขาอ่อนจนทรุดลงกับพื้น นางพยายามเค้นเสียงที่เหมือนจะหายไปของตัวเองออกมา
"ชะ ช่วย..วะ วะ ไว้ ชีวิต...ฮึก.."
จ้าวเซินฝูขยับมือช้าๆ สายลมพยุงชุดสีขาวนั้นขึ้นเป็นแนวตรง ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางหวาดกลัวสังเกตเห็นนางและยืนขึ้นบนกิ้งไม้
ชายผ้าพลิ้วสะบัดไปตามสายลม บ่าวหญิงผู้นั้นรู้สึกโชคร้ายเหลือเกินที่มาขัดความอภิรมย์ของสิ่งนั้น เพราะตอนนี้มันหันมาให้ความสนใจนางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"ดะ ได้ ได้ โปรด..."
ไม่รอให้นางได้อ้อนวอนไปมากกว่านี้ จ้าวเซินฝูสะบัดมืออย่างรวดเร็ว สิ่งที่น่าหวาดกลัวสำหรับบ่าวหญิงผู้นั้นพุ่งเข้าหาตัวนางด้วยความรวดเร็ว
ก่อนที่สิ่งนั้นจะถึงตัว นางก็เป็นลมล้มฟุบลงไปทันที ในขณะที่จ้าวเซินฝูจ้องมองผลงานของตัวเองด้วยความพึงพอใจ แม้ว่าการที่นางมาล้มฟุบอยู่ตรงนี้ หามีใครมาเห็นเข้าความผิดคงไม่พ้นจ้าวเซินฝู
แต่นี่ก็เป็นการยืนยันไปกลายๆว่าสิ่งที่คนในจวนนี้หวาดกลัวนั้นเป็นเรื่องจริง...
หลังจากที่บ่าวหญิงผู้นั้นถูกพบว่าสลบอยู่ตรงทางเดินไปโรงครัวตรงข้ามเรือนเล็กของจ้าวเซินฝู ข่าวที่ว่าจ้าวเซินฝูนั้นร่ำเรียนวิชามารและเลี้ยงภูติผียิ่งถูกพูดถึงมากขึ้นไปอีก
กอปรกับบ่าวหญิงผู้นั้น ที่ฟื้นขึ้นมาก็พูดไม่เป็นศัพท์ จับไข้หนาวสั่น ไม่มีแรงแม้แต่จะดื่มน้ำเอง ยิ่งทำให้ข่าวลือเกี่ยวกับตัวจ้าวเซินฝูนั้นน่าหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก แม้ว่าคนที่ยังไม่เคยพบเจอจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็ตาม
แต่ผู้เป็นประมุขของตระกูลอย่างจ้าวจวิ้นซานนั้น ยังไม่ปักใจเชื่อเรื่องภูติผี ซ้ำยังมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ
ทว่าหลังจากนั้น...
เรือนพักของบ่าวหญิงในยามค่ำคืน มักจะมีเสียงเหมือนกับว่ามีคนเดินอยู่บนหลังคา ไม่มีบ่าวคนไหนกล้ามากพอที่จะออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เช่นเดียวกันกับเรือนพักของบ่าวชาย นอกจากจะมีเสียงเดินบนหลังคาเรือนแล้ว วันดีคืนดี ยังมีเงาเดินผ่านไปมาหน้าทางเดินให้เห็น สร้างความหวาดหวั่นไม่น้อย
หรือบางวันที่ลืมปิดหน้าต่าง ก็จะเห็นชายผ้าสีขาวลอยผ่านไป
หนักเข้าก็เป็นเสียงเคาะไม้ ขูดผนัง รวมกับเสียงลมหวีดหวิวโหยหวน ทำเอาบ่าวชายหญิงแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน
เรื่องนี้ร้อนไปถึงพ่อบ้าหยาง บ่าวไพร่นั้นขอให้พ่อบ้านหยางช่วยกราบเรียนนายท่านเพื่อจัดการเรื่องพวกนี้
แต่เมื่อเรื่องนี้ถึงหูจ้าวจวิ้นซานแล้ว กลับไม่ได้เป็นการช่วยเหลืออย่างที่คิด เหล่าบ่าวไพร่ที่พูดเรื่องภูติผีนั้นถูกลงโทษ โบยห้าไม้ในข้อหาสร้างความหวาดกลัวให้ผู้อื่น
แม้ว่าหลังจากนั้นยังจะมีเรื่องนี้พูดเข้าหูจ้าวจวิ้นซานอยู่เรื่อยๆ แต่บ่าวไพร่ที่พูดถึงเรื่องนี้ก็ถูกลงโทษไปเสียหมด กระทั่งไม่มีบ่าวคนไหนเอ่ยปากถึงเรื่องนี้อีก
บ่าวไพร่เริ่มปรับตัว ในเมื่ออยู่ในจวนตระกูลจ้าวแล้ว การจะไถ่ตัวออกไปนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่ใช่ว่ามีเจ้านายจากตระกูลอื่นยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
แต่แม้ว่าบ่าวจะจับกลุ่มกันเพื่อไปไหนมาไหนด้วยกัน ยังไม่วายโดนกลั่นแกล้งอยู่ร่ำไป...
กระทั่งมาถึงจุดเปลี่ยนความเชื่อของจ้าวจวิ้นซาน...
เช้าตรู่วันหนึ่งเสียงกรีดร้องลั่นที่หน้าเรือนนอนของจ้าวจวิ้นซาน จ้าวจวิ้นซานรีบผุดลุกจากที่นอนเพื่อหาต้นตอของเสียงนั้น
และทันทีที่เปิดประตูออกไปนั้น ก็พบกับต้นตอที่ว่า
พื้นดินหน้าเรือนนอนของจ้าวจวิ้นซานมีศีรษะของแม่ครัวใหญ่ประจำโรงครัวของตระกูลจ้าวโผล่พ้นดินอยู่ ใบหน้าของนางเรียกได้ว่าถูกทำร้ายมาอย่างหนัก
ในตอนแรกจ้าวจวิ้นซานยังคิดว่านางตายแล้วเสียด้วยซ้ำ กระทั่งนางส่งเสียงครางเบาๆออกมา
จ้าวจวิ้นซานสั่งให้คนมาขุดนางออกไป ในขณะที่นางเอาแต่พร่ำเพ้อไม่หยุดหย่อน
"ขออภัย..ฮูหยิน... ข้าผิดไปแล้ว...อึก.."
วันนี้ตระกูลจ้าวยังเงียบสงัดเช่นเดิมเมื่อตะวันลับขอบฟ้า ความมืดคืบคลานจนกระทั่งเต็มแผ่นฟ้า จวนตระกูลจ้าวจุดไฟสว่างไสวแต่กับไร้ผู้คนเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็น จ้าวจวิ้นซานขุ่นเคืองเสียจนไม่รับสำรับพร้อมกับติงมี่เซียน กระทั่งบุตรชายของนางเองก็ยังมีข้ออ้างเพื่อที่จะอยู่ให้ไกลจากนางจ้าวจวิ้นซานไปนอนที่เรือนของฮูหยินรองตามที่เจ้าตัวว่าเอาไว้ ส่วนฮูหยินเอกอย่างติงมี่เซียนในตอนนี้ ก็ต้องกลับมานอนที่เรือนใหญ่คนเดียว เพราะเรือนรับรองนั้นยังไม่ได้ซ่อมแซมแม้ว่าในช่วงเย็นจะมีบ่าวใจกล้าสามสี่คนมาจัดการเรื่องต่างๆให้ติงมี่เซียน แต่เมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีก็รีบกลับเรือนบ่าวไปโดยไม่ลาเท่ากับว่าในตอนนี้ติงมี่เซียนอยู่ที่เรือนใหญ่นี่เพียงคนเดียวติงมี่เซียนอยู่ในชุดผ้าสีขาวพร้อมนอน แต่สายตาของนางกวาดมองไปรอบห้องอย่างหวาดระแวงสายตาของนางจ้องเขม็งไปยังราวไม้ว่างเปล่า เดิมทีมันเป็นราวไม้สำหรับแขวนเสื้อคลุมประจำตำแหน่งฮูหยินเอกที่ถูกเผาทำลายไปตอนนี้มันเป็นเพียงราวไม้ว่างเปล่า แต่กลับดูน่าหวาดกลัวเสียเหลือเกินหากยังเป็นเช่นนี้ ราตรีนี้นางคงไม่อาจข่มตาหลับได้...ติงมี่เซียนรีบคิดหาทางรอดอย่
หลังจากที่ลงทะเบียนบ่าวกับทางการแล้ว จ้าวเซินฝูก็พาบ่าวทั้งคู่ไปเลือกซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปง่ายๆคนละห้าชุด ก่อนจะพากันกลับจวนเงินค่าตัวบ่าวนั้นมอบให้กับทั้งสองคนอย่างเท่าเทียม และมีสัญญาบ่าวเป็นเวลาห้าปีเนื่องจากทั้งเสี่ยวเล่อและเสี่ยวเมิ่งนั้นไม่มีบิดามารดา หรือผู้ดูแลอะไรเลย เงินที่ทั้งสองคนได้จึงเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องรับใช้จ้าวเซินฝูให้ครบห้าปีเสียก่อนจึงจะไถ่ถอนตัวเองได้ โดยมีพันธะสัญญานายบ่าวที่จัดการโดยทางการเย็นย่ำแล้ว หวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูจึงได้พากันกลับมาที่จวนตระกูลจ้าวในตอนนี้คนตระกูลจ้าวมีสีหน้าที่เหนื่อยล้าไม่น้อย เพราะทุกอย่างจะต้องเสร็จสิ้นก่อนตะวันตกดิน และทุกอย่างเพิ่งจะเสร็จสิ้นก่อนที่จ้าวซิ่วเทียนจะกลับมาไม่ถึงสองเค่อจ้าวจวิ้นซานเมื่อเห็นว่าหวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูกลับมาก็รีบเดินเข้ามาหา"หวังไต้ซือ""ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วหรือประมุขจ้าว""ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับ""เช่นนั้นหรือ..."จ้าวจวิ้นซานแม้จะพูดแบบนั้น แต่ก็ยังไม่แน่ใจนักว่าสมบัติที่ติงมี่เซียนเก็บเอาไว้นั้น ได้เอาไปคืนที่เรือนจันทร์เสี้ยวจนครบทุกอย่างแล้วหรือยัง"นางกล่าวว่ายังมี
เช้าวันถัดมาหวังซิ่นเจียเดินมาหาจ้าวเซินฝูที่เรือนเล็กพร้อมกับพ่อบ้านหยางในตอนนี้พ่อบ้านหยางเป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝูแล้ว เหมือนว่าพ่อบ้านหยางจะดูยิ้มแย้มขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องไหน ระหว่างได้เป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝู หรือได้ปลดภาระจากการเป็นพ่อบ้านของตระกูลจ้าว"วันนี้ข้าจะพาไปเลือกบ่าวคนใหม่"จ้าวเซินฝูเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามออกมา แต่ดูเหมือนว่าหวังซิ่นเจียจะไม่ค่อยพึงพอใจนัก และสิ่งที่ทำให้หวังซิ่นเจียดูไม่พึงพอใจคือชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่"แน่ใจนะว่าจะไปหาบ่าวเพิ่ม ไม่ใช่ไปขายตัวเป็นบ่าว"ตอนนี้ชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่ราวกับผ้าขี้ริ้วก็ไม่ปาน หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าหวังซิ่นเจียคงไม่กล้าเดินใกล้แม้ว่าชุดของหวังซิ่นเจียจะดูเก่า แต่มันก็มีราคา ที่สำคัญมันดูเก่าเพราะต้องระหกระเหินไปนู่นมานี่ต่างหาก หากใส่ชุดดีๆเกรงว่าชุดจะหม่นหมอง"เป็นถึงคุณชายใหญ่ ไม่มีเสื้อผ้าที่ดีกว่านี้หรือ"จ้าวเซินฝูได้แต่ทำหน้าแหยๆออกมาตั้งแต่เติบโตมาเสื้อผ้าที่จะมีใส่ก็มีเพียงชุดของบ่าวไพร่ที่เอามาทิ้งเท่านั้น อีกทั้งสองตัวนี้ยังใส่มานานแล้วด้วย"เป็นข้าที่สะเพร่าเอง พวกท่านโปรดรอสักครู่ ข้
หวังซิ่นเจียถ่ายทอดเรื่องที่อดีตฮูหยินอย่างเมิ่งหรูซีต้องการออกมาเป็นข้อๆอย่างแรกที่นางต้องการย่อมไม่พ้นตำแหน่งคุณชายใหญ่ตระกูลจ้าวที่ควรเป็นของจ้าวเซินฝูบุตรของนางตั้งแต่แรก ที่ผ่านมาเป็นติงมี่เซียนต้องการตำแหน่งนั้นให้กับบุตรชายของตนเอง และจ้าวจวิ้นซานไม่ได้โต้แย้งอะไรหวังซิ่นเจียกล่าวว่า นางคิดว่าจ้าวซินเหอหลงระเริงกับตำแหน่งนั้นมานานเกินพอแล้ว จ้าวซินเหอควรรู้ฐานะของตนแม้ว่าเมื่อพูดเรื่องแรกขึ้นมาแล้ว ลูกหนี้ความแค้นของจ้าวเซินฝูจะทำหน้าเหมือนไม่อยากจะยอมรับมากเพียงใด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในประการแรกที่เมิ่งหรูซีร้องขอมา จ้าวจวิ้นซานจึงตอบตกลงติงมี่เซียนมีสีหน้าที่ไม่น่าดูนัก อย่างไรการที่ลดตำแหน่งของจ้าวซินเหอนั้น นางมีแต่เสียกับเสีย ไม่ว่าจะเป็นตัวจ้าวซินเหอเองที่ต้องทนอยู่กับฐานะที่เป็นรอง อีกทั้งคนภายนอกอาจจะมองว่าที่ผ่านมา เป็นจ้าวซินเหอที่ใฝ่สูง อยากเป็นคุณชายใหญ่ก็ได้แล้วไหนจะตัวนางที่เป็นฮูหยินอยู่ในตอนนี้...สายตาเหยียดหยามจากคนอื่นคงทิ่มแทงจนนางแทบจะเป็นรูแต่เมื่อจ้าวจวิ้นซานนั้นรับปากไปแล้ว นางย่อมทำอะไรไม่ได้"สมบัติของอดีตฮูหยิน... โปรดมอบคืนให้กับคุณชายใหญ่ด้วย"แ
"เจ้าว่าอย่างไรนะ""คะ คุณชายผู้นี้ กล่าวว่าเห็นวิญญาณขอรับ"จ้าวจวิ้นซานแทบจะสั่งโบยบ่าวตรงหน้าให้ตายเสีย ในยามนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าจวนตระกูลจ้าวกำลังประสบปัญหาอะไร เชิญคนแปลกหน้าเข้ามาในจวนสุ่มสี่สุ่มห้า ครั้งนี้ก็คงจะเป็นพวกต้มตุ๋นเหมือนคนก่อนๆ"ขออภัยด้วยคุณชาย เกรงว่าตอนนี้ที่จวนไม่เหมาะจะรับแขก"เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมา ในตอนนี้จวนตระกูลจ้าวจึงมีปัญหามากมายรอการแก้ไข อีกทั้งเรื่องเรือนรับรองที่ถูกไฟไหม้ไปเมื่อคืน ยังไม่สามารถหาช่างมาซ่อมแซมได้ด้วยเรื่องข่าวลือที่ว่าจวนตระกูลจ้าวมีวัญญาณร้ายสิงสู่ ทำให้ไม่มีใครอยากรับงาน ไม่ว่าจ้าวจวิ้นซานจะเสนอราคาที่สูงแค่ไหนก็ตาม"เอาเถอะ หากนายท่านจ้าวกล่าวเช่นนั้น ข้าก็ไม่บังคับ"จ้าวจวิ้นซานยกมือนวดขมับเบาๆ ข้างๆมีติงมี่เซียนนั่งทำท่าขบคิดอยู่ไม่ห่างกาย"แต่ข้าขอเตือนไว้อย่าง..."เมื่อชายแปลกหน้าผู้นั้นพูดขึ้นมา จ้าวจวิ้นซาน ติงมี่เซียน หรือคนที่อยู่แถวนั้นต่างก็หยุดฟัง พวกเขาแทบไม่กล้าหายใจดังด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะพลาดใจความสำคัญไป"ครั้งหน้า... นางคงไม่ยอมจบแค่เสื้อคลุมประจำตำแหน่ง และเรือนรับรองแน่ ที่นางกล่าวมีเพียงเท่าน
ช่วงเวลาที่ไม่น่าอภิรมย์มากที่สุดของตระกูลจ้าว คือเมื่อยามที่ตะวันลับขอบฟ้า...ช่วงเวลาที่แสนน่าหวาดหวั่นของคนที่อยู่ในจวนตระกูลจ้าวทั้งเจ้านายและบ่าวไพร่มารวมตัวกันอยู่ที่เดียว เรือนรับรองถูกใช้เป็นที่ซุกหัวนอนในยามค่ำคืนของคนในตระกูลนี้แต่ถึงอย่างนั้น ทุกๆคืนก็ยังได้ยินเสียงลมหวีดหวิวอยู่ด้านนอก เรือนรับรองนั้นแม้ในยามที่ทุกคนรวมตัวกันอยู่ ด้านนอกก็ยังมีเสียงฝีเท้าที่เดินรอบเรือนครั้งหนึ่งเคยให้บ่าวพากันออกไปดูว่าใครเป็นคนเดิน แต่เมื่อออกไปดูก็พบเพียงความว่างเปล่า สายลมกรรโชกแรง พัดพายอดไม้สูงเอนไหวตามลมเป็นภาพที่น่าขนลุกหลังจากนั้นแม้จะมีเสียงเดินรอบเรือนรับรอง หรือเสียงขูดเล็บกับบานหน้าต่าง กระทั่งเสียงเดินบนหลังคาเรือนรับรองก็ไม่มีใครกล้าออกไปดูแต่คืนนี้ จะเป็นคืนสุดท้ายแล้ว การกลั่นแกล้งทั้งหมดจะจบลงในคืนนี้ดังนั้นจ้าวซิ่วเทียนจึงคาดหวังให้มันเป็นคืนที่จะฝังอยู่ในใจของผู้พบเจอไปจนตาย..."จงอยู่กับความหวาดกลัวไปชั่วชีวิตเสียเถอะ"เสียงแผ่วเบาพัดหายไปกับสายลมแรง จ้าวเซินฝูคับแค้นเสียจนต้องเอ่ยปากกับตัวเอง เกรงว่าหากไม่ได้ระบายออกมาเสียหน่อยคงจะอกแตกตายเรื่องที่ว่าจะให้ยกโทษ