'อ๊ากกกก!!'
โจวหมิงทรุดตัวหมอบกับพื้นกอดร่างไร้วิญญาณนั้นเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ไม่อาจทำใจยอมรับได้ว่าจ้าวเซินฝูนั้จากไปแล้วจริงๆ
ความวุ่นวายเกิดขึ้นหน้าจวนตระกูลจ้าว จนบ่าวตระกูลจ้าวต้องออกมาดู
เมื่อบ่าวคนหนึ่งเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นหน้าจวนแล้ว จึงรีบวิ่งเข้าไปตามจ้าวจวิ้นซาน โจวหมิงได้ยินเสียงวุ่นวายตรงหน้าจึงได้เงยหน้ามอง
ประตูจวนตระกูลจ้าวเปิดออกแล้วและมีบ่าวคนหนึ่งยืนมองเหตุการณ์ด้วยความตกตะลึง ในขณะที่อีกคนวิ่งเข้าไปตามผู้เป็นใหญ่ของจวน
โจวหมิงค่อยๆหยัดตัวขึ้นยืน อุ้มเอาร่างไร้วิญญาณของจ้าวเซินฝูเดินเข้าไปในจวนตระกูลจ้าวโดยไม่ต้องรอคำเชิญ ในใจร้อนรุ่มเสียยิ่งกว่าโดนไฟสุม หากเป็นไปได้ โจวหมิงอยากจะฆ่าคนตระกูลจ้าวทิ้งเสียให้เหี้ยน
หวังซิ่นเจียและเหล่าผู้อาวุโสรีบเดินตามเข้าไป ลูกศิษย์จำนวนหนึ่งยืนปิดทางไม่ให้ชาวบ้านเข้ามามุงดู
เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นจากทิศทางหนึ่งของบ้าน หวังซิ่นเจียคิดว่าโจวหมิงจะต้องอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอนจึงเร่งตามไป
ที่เรือนรับรองของจวนตระกูลจ้าว ร่างไร้วิญญาณของจ้าวเซินฝูนั่งอยู่ที่ตำแหน่งของผู้เป็นประมุข ด้านหน้าเป็นโจวหมิงที่ยืนจับกระบี่เอาไว้มั่น สายตาชิงชังถูกส่งให้คนตระกูลจ้าวที่ยืนกองกันอยู่มุมหนึ่งของเรือนรับรอง
'อาหมิง!'
หวังซิ่นเจียเรียกสหายเสียงหลง โจวหมิงในตอนนี้คงจะลงมือฆ่าคนตระกูลจ้าวทิ้งได้จริงๆ แต่ตนแค่คนเดียวคงรั้งโจวหมิงเอาไว้ไม่อยู่
'อาหมิง หยุดเถอะ'
'ผะ ผู้อาวุโสโจว คะ คุยกันก่อนดีหรือไม่'
จ้าวจวิ้นซานเอ่ยขัดอย่างกล้าๆกลัวๆ
'ลูกศิษย์ข้าตายไปทั้งคน ยังจะต้องคุยอะไรอีก'
โจวหมิงปรายตามองจ้าวจวิ้นซานราวกับเขาเป็นกากเดนไร้ค่าชิ้นหนึ่ง
'ที่พวกเจ้ายังยืนหายใจทิ้งได้เช่นนี้เพราะข้ามีเรื่องที่ต้องการจะรู้'
เรื่องที่จ้าวเซินฝูทรยศสำนักนั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องที่เจ้าตัวต้องการจะทำด้วยตนเองอย่างแน่นอน จ้าวเซินฝูแม้จะทำตัวไม่สมกับตำแหน่งผู้อาวุโสของสำนักอยู่หลายครั้งหลายครา แจ่จ้าวเซินฝูไม่ใช่ผู้ที่คิดจะทรยศสำนักอย่างแน่นอน
คัมภีร์สิบศาสตราที่จ้าวเซินฝูลักลอบนำออกมานั้น ยามจวนตัวแล้วจึงได้ส่งมันกลับสำนัก และโจวหมิงเองก็รับรู้ว่าคัมภีร์เล่มนี้ยังไม่เคยตกอยู่ในมือของคนตระกูลจ้าว
เช่นนั้นเป็นเพราะเหตุใดจ้าวเซินฝูจึงได้ลักลอบนำคัมภีร์เล่มนั้นออกมา ทั้งๆที่จ้าวเซินฝูได้รับสิทธิ์ในศึกษาคัมภีร์เล่มนั้นอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องนำออกมานอกสำนัก
เช่นนั้นต้องเป็นความอยากได้อยากมีของคนภายนอก...
ว่าแต่ของใครกันเล่า...
เป็นความโลภโมโทสันของสุนัขแซ่จ้าว หรือเป็นความทะเยอทะยานของสุนัขแซ่เจิ้งกันแน่
'เหตุใดจึงต้องการคัมภีร์ศาสตร์ขั้นเซียนเล่มนั้น'
ปลายแหลมของกระบี่ชี้ตรงไปที่ประมุขตระกูลอย่างจ้าวจวิ้นซาน หากไม่ใช่ความอยากได้อยากมีของจ้าวจวิ้นซานแล้ว ย่อมไม่มีผู้ใดออกคำสั่งให้จ้าวเซินฝูยอมทรยศสำนักได้
จ้าวจวิ้นซานอึกอักไม่ยอมตอบคำถาม หลบสายตาโจวหมิงไม่พูดไม่จา เช่นเดียวกันกับคนอื่นๆที่ไม่ยอมปริปากแม้แต่ครึ่งคำ
'ในเมื่อไม่มีผู้ใดตอบ เช่นนั้นข้าจะส่งไปตายเสียให้หมด'
โจวหมิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบน่าขนลุก คนตระกูลจ้าวอาจจะคิดว่าโจวหมิงเพียงแค่ต้องการจะข่มขวัญกัน มีเพียงหวังซิ่นเจียเท่านั้นที่รู้ว่าโจวหมิงจะลงมืออย่างที่ปากว่าอย่างแน่นอน
จ้าวจวิ้นซานทำใจดีสู้เสือ คิดว่าอย่างไรแล้วโจวหมิงก็คงจะไว้หน้าตนที่เป็นบิดาของจ้าวเซินฝูอยู่บ้าง แต่ไม่เป็นเช่นนั้น
พริบตาเดียวแขนของจ้าวจวิ้นซานก็กระเด็นขาดออกจากร่างกาย เลือดของจ้าวจวิ้นซานพุ่งออกจากบาดแผลราวกับน้ำตก ครู่หนึ่งจ้าวจวิ้นซานจึงได้รับรู้ว่าตนเสียแขนไปแล้ว ร่างของจ้าวจวิ้นซานล้มลงกับพื้น กุมบาดแผลฉกรรจ์เอาไว้ร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
เหล่าฮูหยินและบุตรต่างพากันกรีดร้องเสียงหลงเมื่อเห็นผู้เป็นประมุขตระกูลโดนบางสิ่งที่ไม่ทันมองเห็นด้วยซ้ำสะบั้นแขนคนออกไปง่ายๆข้างหนึ่ง
'อ๊ากกกกกกก!!'
'อย่าคิดจะเล่นแง่ ตอบคำถามข้ามา'
นี่ไม่ใช่การต่อรองเพื่อให้เอ่ยปาก
แต่เป็นการข่มขู่เพื่อให้ได้รับรู้ความจริง
หรือหากจนถึงที่สุดแล้วตระกูลจ้าวไม่ยอมปริปาก โจวหมิงคิดจะฆ่าทุกคนทิ้งเสียแล้วหิ้วหัวคนตระกูลจ้าวไปถามคนแซ่เจิ้งแทน
'อาหมิง!'
หวังซิ่นเจียเรียกสหายเสียงหลงพร้อมกับแสดงสีหน้าตื่นตระหนกอย่างเก็บไม่มิด เหล่าผู้อาวุโสคนอื่นเดินตามมาทีหลังก็ถึงกับผงะไปเช่นกัน
'หากใครบอก ข้าจะปล่อยไป'
จ้าวจวิ้นซานเอาแต่ครวญครางด้วยความเจ็บปวดโดยมีติงมี่เซียนและจ้าวซินเหอแสดงท่าทีตื่นตระหนกอยู่ไม่ห่างกัน
จ้าวซินเหอพยายามจะหยุดเลือดที่ไหลจากบาดแผลของบิดาด้วยมือที่สั่นเทา แต่สัมผัสจากเลือดอุ่นๆที่ไหลออกจากบาดแผลของจ้าวจวิ้นซานนั้นยิ่งทำให้จ้าวซินเหอมือไม้อ่อนมากกว่าเดิม
แม้ว่าตัวจ้าวซินเหอนั้นจะเป็นผู้ฝึกตนเช่นกัน แต่เดิมทีไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งอะไรมากมาย อีกทั้งเมื่อได้เข้าเป็นศิษย์หลักแล้ว ก็ไปเอาดีด้านการปรุงโอสถเสียมากกว่า
การปรุงโอสถ ไม่ได้แปลว่าจะได้รักษาผู้บาดเจ็บ เพราะจ้าวซินเหอนั้นไม่ใช่แพทย์ เป็นเพียงแค่คนปรุงโอสถเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเจอสถานการณ์จริงเช่นนี้จึงลนลานไปหมด
'หนึ่ง...'
โจวหมิงไม่คิดจะประวิงเวลาอีกต่อไป หากไม่มีใครปริปาก เช่นนั้นก็ฆ่าให้เหี้ยนเสียก็สิ้นเรื่อง อย่างไรตอนนี้จะพูดหรือไม่พูดล้วนไร้ประโยชน์ คัมภีร์สิบศาสตรากลับสู่สำนักเจี๋ยเอินอย่างปลอดภัย แลกกับชีวิตลูกศิษย์อันดับหนึ่งของโจวหมิงที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
'สอง...'
หวังซิ่นเจียตั้งท่าพร้อมปะทะกับสหาย หากโจวหมิงคิดจะทำร้ายคนอีกอย่างไรก็ต้องห้ามปรามอย่างถึงที่สุด
ในช่วงเวลาระหว่างความเป็นความตาย ชะตาชีวิตของคนตระกูลจ้าวแขวนไว้บนเส้นด้าย หากยังมัวแต่เงียบปากเช่นนี้เกรงว่าคงได้ตายตกตามกันไปหมด
'ขะ ข้า! ข้าจะเป็นคนเล่าเองเจ้าค่ะ!'
'ฮูหยินรอง!!'
จ้าวจวิ้นซานเค้นเสียงเรียกภรรยารองที่กำลังจะทำตัวปากสว่าง
'อึก... จะ จ้าวจวิ้นซาน ต้องการคัมภีร์เล่มนั้นเพื่อต่อรองกับราชวงศ์เจ้าค่ะ'
ในตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญไปกว่าชีวิต หลี่โหรวซีไม่อาจยินยอมที่นางต้องตกตายไปพร้อมๆกับคนอื่นโดยที่ตนเองไม่ได้ร่วมกระทำผิด
'ต่อรอง?'
'เจ้าค่ะ จ้าวจวิ้นซานต้องการขยายอำนาจทางการค้า และต้องการเพิ่มภาษีสำหรับเข้าร่วมสมาคมการค้า โดยให้ราชวงศ์เป็นผู้หนุนหลัง... ละ แลกกันกับการให้หยิบยืมอำนาจที่เป็นผู้ถือครองคัมภีร์เล่มนั้นเพื่อบงการสำนักเจี๋ยเอิน...'
'หึ..'
ช่างโง่เขลานัก...
'บงการเจี๋ยเอินงั้นหรือ หึ... ฮ่าๆๆๆๆๆๆ!!'
เพียงแค่มีคัมภีร์นั่นก็สามารถบงการสำนักเจี๋ยเอินได้อย่างนั้นหรือ ความคิดคนตระกูลจ้าวช่างประเสริฐนัก
หวังซิ่นเจียที่ยืนฟังอยู่ยังต้องกลั้นขำ แม้ว่าสถานการณ์ด้านหน้าจะตึงเครียดมากก็ตาม แต่สิ่งที่ฮูหยินรองของจ้าวจวิ้นซานกล่าวนั้นทำเอาอดหัวเราะไม่ได้จริงๆ
'พวกเจ้าคิดว่าสำนักเจี๋ยเอินเป็นสนามเด็กเล่นหรืออย่างไร โง่เขลานัก ฮ่าๆๆๆๆๆ!!'
โจวหมิงหัวเราะให้กับความโง่เขลาของตระกูลจ้าวอย่างไม่ปิดบัง แม้ว่าเรื่องที่ว่าหากมีคัมภีร์สิบศาสตราในครอบครองนั้นจะสามารถบงการเจี๋ยเอินได้เป็นเรื่องจริง แต่ก็มีเงื่อนไขที่คนทั่วไปไม่สามารถทำได้อยู่ ไม่เช่นนั้นคนที่ได้ถือครองคัมภีร์เล่มนั้นเพียงแค่ชั่วครู่ คงมีสิทธิ์ในการครอบครองเจี๋ยเอินไปเสียทุกคน
ไม่ใช่การครอบครองคัมภีร์
แต่เป็นการครอบครองศาสตร์สูงสุดของคัมภีร์นี้ต่างหากจึงจะบงการเจี๋ยเอินได้
'ดี เช่นนั้นข้าจะปล่อยเจ้าไป...'
หลี่โหรวซีใจชื้นเมื่อได้ยินโจวหมิงกล่าวเช่นนั้น นางลอบยิ้มอย่างดีใจ เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนนั้น นางที่เป็นเพียงฮูหยินรอง แทบจะไม่มีส่วนได้ประโยชน์อะไรแม้แต่น้อย หากต้องตายตกตามตระกูลจ้าวไปนับว่าชีวิตของนางนั้นขาดทุนแล้ว
'หลี่โหรวซี บอกข้อมูลอันเป็นประโยชน์ เช่นนั้นข้าจะปล่อยไปตามสัญญา'
หลี่โหรวซีก้มคำนับพร้อมทั้งเอ่ยคำสรรเสริญให้แก่โจวหมิง หวังซิ่นเจียโล่งใจไปเปราะหนึ่ง แต่ยังไม่ทันที่หลี่โหรวซีจะได้เงยหน้าขึ้นมา ก็ได้ยินคำถามชวนขนหัวลุกจากโจวหมิงเสียก่อน
'แต่เจ้าเป็นมารดาของจ้าวฉิงม่านใช่หรือไม่?'
หลี่โหรวซีถึงกับนิ่งค้างไป
'เช่นนั้นการอภัยโทษเมื่อครู่ถือเป็นโมฆะ แต่ไม่ต้องกังวล อีกสักครู่จะส่งบุตรสาวเจ้าตามไปด้วย'
สิ้นคำพูดหัวของหลี่โหรวซีก็กระเด็นออกจากลำคอ ภาพในครรลองสายตาของนางเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะค่อยๆมืดดับไป เหลือเพียงร่างที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น
ร่างของหลี่โหรวซีกระตุกเกร็ง เลือดพุ่งกระฉูดออกจากบาดแผลเป็นแอ่งรอบกาย เพราะความตายมาเยือนอย่างกระทันหัน เพราะอย่างนั้นร่างกายจึงยังไม่ได้หยุดทำงาน
หวังซิ่นเจียตะลึงค้างกับภาพตรงหน้า เลือดอุ่นๆของหลี่โหรวซีกระเด็นเปื้อนแก้มของหวังซิ่นเจียเป็นทาง ในขณะที่โจวหมิงเอาแต่หัวเราะกับภาพตรงหน้าอย่างสะใจ
'โจวหมิง!!'
'เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ!!'
เมื่อทุกคนตั้งสติได้ รอบด้านก็ถึงกับอลหม่าน หลิ่วป๋ายซื่อเรียกชื่อศิษย์น้องอย่างเกรี้ยวโกรธ แทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
โจวหมิงนั้นหากไม่นับกับนิสัยเก่าก่อน หลังจากได้ขึ้นเป็นผู้อาวุโสของสำนักก็ไม่มีท่าทีซุกซนหลงเหลือให้เห็น ออกจะสำรวมเป็นแบบอย่างให้ผู้อื่นได้อย่างดีจนน่าตกใจ
หลิ่วป๋ายซื่อคิดว่าโจวหมิงคงจะเลิกนิสัยป่าเถื่อนเช่นนั้นไปแล้วไม่คิดว่าจะได้เห็นอีก
และสิ่งที่ทำให้นิสัยเก่าๆของโจวหมิงผุดขึ้นมาก็คือการตายของลูกศิษย์ของโจวหมิงเอง
โจวหมิงไม่ได้สนใจเสียงของคนรอบข้าง เดินเข้าไปหาจ้าวจวิ้นซานที่นั่งกุมบาดแผลอยู่ที่พื้น แขนข้างหนึ่งของจ้าวจวิ้นซานกระเด็นอยู่ไม่ห่างกัน โจวหมิงหยิบมันขึ้นมาอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะดีดนิ้วเบาๆเพียงครั้งเดียว แขนของจ้าวจวิ้นซานก็กลายเป็นท่อนเนื้อสี่ส่วน
ติงมี่เซียนผู้เป็นภรรยาอาเจียนออกมาเมื่อเห็นภาพนั้น จ้าวจวิ้นซานหน้าซีดเผือดไม่ต่างจากจ้าวซินเหอผู้เป็นบุตรชาย
เลือดจากร่างของหลี่โหรวซีและบาดแผลของจ้าวจวิ้นซานมากมายเสียจนไหลรวมกันเป็นแอ่งเล็กๆ โจวหมิงปรายตามองก่อนจะเหยียบย่างบนกองเลือกของคนตระกูลจ้าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
โจวหมิงเดินเข้ามาใกล้จ้าวจวิ้นซานจนน่ากลัว ในตอนนี้กระบี่ของโจวหมิงวางเทียบอยู่บนบ่าของจ้าวจวิ้นซานเพื่อข่มขวัญคน
'เลือดโสโครกของพวกเจ้า ไม่มีค่ามากพอที่จะล้างเท้าศิษย์ข้าด้วยซ้ำ อาจหาญเหลือเกินประมุขจ้าว'
อาจหาญเหลือเกินที่กล้าออกคำสั่งชี้ทางตายให้กับจ้าวเซินฝู...
โจวหมิงอยากจะบั่นคอคนตระกูลจ้าวทิ้งเสียให้เหี้ยนเมื่อได้รู้ว่าแท้จริงแล้วจ้าวเซินฝูนั้นเลือกทางตายให้ตนเองด้วยเหตุผลโง่ๆอย่างการคิดเองเออเองของตระกูลจ้าวเช่นนี้
หรืออาจจะเป็นเพราะจ้าวเซินฝูมีเลือดของตระกูลจ้าวไหลเวียนอยู่กันนะจึงได้มีมุมที่โง่เขลาอยู่ด้วย
'มากไปแล้วนะโจวหมิง!!'
'อย่างไรที่กล่าวว่ามากไป! ชีวิตของคนทั้งตระกูลจ้าว! ยังเทียบเท่าชีวิตของจ้าวเซินฝูคนเดียวไม่ได้ด้วยซ้ำ!!'
โจวหมิงหันไปตวาดใส่หวังซิ่นเจียที่เข้ามาห้ามปราม
หากโจวหมิงเกิดบ้าคลั่งขึ้นมาจริงๆ หวังซิ่นเจียคงต้านไว้ไม่ไหว แม้จะบอกว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งรองจากสหายของตนก็ตาม แต่ระดับพลังนั้นห่างชั้นกันอยู่ไม่น้อย กระทั่งเจ้าสำนักอย่างหลิ่วป๋ายซื่อที่ว่าเก่งกาจไม่แพ้กันก็ยังไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้ามาห้ามปราม
'หากเจ้าทำเช่นนี้จ้าวเซินฝูจะเสียใจ...'
'เสียใจ?... ฮะๆๆๆ... เสียใจงั้นหรือ ฮ่าๆๆๆๆๆ!!'
ราวกับว่าประโยคเมื่อครู่นั้นน่าขันนัก โจวหมิงตะเบ็งเสียงหัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ เสียงหัวเราะของโจวหมิงนั้นกรีดแทงฝังลึกลงไปในโสตประสาทของคนตระกูลจ้าว
เสียงที่ได้ยินนั้นราวกับเสียงหัวเราะของปิศาจจากขุมนรก จิตใจของคนตระกูลจ้าวนั้นสั่นผวาแทบจะตายตกมันเสียตอนนี้
'จ้าวเซินฝูตายไปแล้ว! เห็นหรือไม่ว่าคนตายไปแล้ว! เขายังจะมารู้สึกเสียใจอะไรได้อีก!'
โจวหมิงหันกลับมามองจ้าวจวิ้นซานด้วยความโกรธแค้น เงื้อกระบี่ขึ้นสูงเตรียมบั่นคอจ้าวจวิ้นซานให้ตายตามฮูหยินรองไป
'จ้าวเซินฝูควรจะยินดีมากกว่าที่ข้าทำเพื่อเขาขนาดนี้!!'
"นี่มัน..." "ข้าเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไรก็เลย..." หลังจากที่บอกเรื่องกระดานภารกิจให้บ่าวตัวน้อยทั้งสองรับรู้ไปแล้ว เซินฝูก็ไม่ได้ติดตามรับรู้อะไร เด็กทั้งสองคนก็ยังเข้าเรียนตามวิชาที่ทางสำนักกำหนดเอาไว้ไม่ขาด แม้ว่าทุกครั้งหลังจากเลิกเรียนแล้วจะชอบหายไปกันสองคนก็ตาม เซินฝูคิดว่าเด็กทั้งคู่คงจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในสำนักแล้ว จะไปหาประสบการณ์เล็กๆน้อยๆก็คงจะไม่เป็นไร กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปหนึ่งสัปดาห์ ก่อนหน้านั้นประมาณสองวันเซินฝูกล่าวกับทั้งคู่ว่า สัปดาห์หน้าจะได้ออกไปข้างนอก เหมือนเป็นวันหยุดเพื่อให้ศิษย์นอกได้ออกไปเปิดหูเปิดตา เสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อมองหน้ากันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ามีแผน แต่ในตอนนั้นเซินฝูไม่ได้มีความคิดแบบนี้แม้แต่น้อย สาบานเลยว่าไม่ได้คิดว่าบ่าวตัวน้อยทั้งคู่จะทำสิ่งที่เรียกว่าเป็นการสร้างเรื่องเช่นนี้ "บอกข้าทีว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของพวกเจ้า" "คุณชาย บางภารกิจถูกทิ้งไว้เป็นเดือนแล้วนะขอรับ"
"ทำได้หมดนี่เลยหรือขอรับ?" หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักเจี๋ยเอินสักพัก นอกจากการลงไปเรียนรวมแล้ว ก็มีภารกิจต่างๆให้เลือกทำเพื่อเก็บแต้มในยามว่าง และตอนนี้เซินฝูพร้อมทั้งบ่าวได้มายืนอยู่หน้ากระดานของกองกิจการเรียบร้อย "ทำเท่าที่ทำได้เถอะ อันไหนเกินความสามารถก็ไม่ต้องฝืน" "มีแต่งานง่ายๆทั้งนั้นเลยนะขอรับ" "หยิบไปทีละใบเล่า" แต้มที่จะได้รับนั้น ผกผันตามระดับของภารกิจ ซึ่งแต้มจะถูกบันทึกเอาไว้ในหยกพกของแต่ละคน หากภารกิจไหนง่ายๆ อย่างเก็บสมุนไพร หรือช่วยเก็บของเล็กๆน้อยๆก็จะได้ไม่เกินสิบแต้ม หรือหากเป็นการเข้าร่วมภารกิจเล็กๆน้อยๆของสำนักอย่างช่วยถือของ หรือกำลังเสริมก็จะได้แต้มขึ้นมามากหน่อย แต่หากเป็นภารกิจที่ต้องใช้ระยะเวลานานหน่อย หรือเป็นภารกิจต่อเนื่อง ก็จะได้แต้มมากขึ้นไปอีก อย่างในชาติก่อน เซินฝูดึงภารกิจปราบสัตว์อสูรที่ระรานไร่สวนของชาวบ้านได้แต้มมาตั้งสองร้อยแต้ม "แต่ดูเหมือนว่างานที่เป็นภารกิจของสำนักจะรับแค่คนมีประสบการณ์เท่านั้น..."
"เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้" เซินฝูนิ่งไปกับสิ่งที่ได้ยิน เรื่องราวหลังจากที่ตนเองตายไปแล้วเซินฝูไม่ได้รับรู้ ในความรู้สึกของเซินฝูนั้น เมื่อได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาเพียงชั่วครู่ที่เซินฝูรู้สึกนั้น แท้จริงแล้วยาวนานถึงสิบปีในโลกแห่งความเป็นจริง อีกทั้งยังมีคนต้องจมอยู่กับความทุกข์เพราะการตายของตนเองเป็นเหตุ "แต่มันก็ผ่านไปแล้ว เจ้าได้กลับมาเช่นนี้ก็ดีแล้ว" โจวหมิงหันมายิ้มให้ลูกศิษย์ของตนเองที่นั่งไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรดีด้วยความจริงใจ เซินฝูในตอนที่กลับมาในร่างของตนเองตอนอายุสิบสองหนาวนั้น คิดเพียงว่าเพราะตนเป็นลูกรักสวรรค์ เป็นเพราะสวรรค์เสียดายผู้มากความสามารถเช่นตนมีวาสนายิ่งใหญ่ได้ไม่นานจึงนึกเสียดาย ส่งตนกลับมาในร่างเดิมพร้อมกับความทรงจำในชีวิตก่อน เพื่อจะได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตตนเองได้ ไม่ได้รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว เป็นเพราะโจวหมิงที่ยอมแลกทั้งระดับพลังและอายุขัยไม่รู้เท่าไหร่ของตนเพื่อพาเซินฝูกลับมา
'หินเจ้าพังแน่นอน!' โจวหมิงไม่อาจรับได้ที่พลังของตนเองลดลงมามากกว่าครึ่ง พลังเท่านี้พอๆกับตอนที่ได้เข้าเป็นศิษย์ในของสำนักเจี๋ยเอินใหม่ๆเมื่อหลายสิบปีก่อน และกว่าจะสั่งสมปราณให้ได้พลังระดับราชันย์ไม่ใช่เรื่องง่าย โจวหมิงเคี่ยวเข็ญฝึกฝนด้วยตนเองอย่างยากลำบาก จู่ๆต้องมาเสียไปเพราะคัมภีร์ประหลาดเล่มนั้น 'ฟังก่อนได้หรือไม่' 'เป็นเจ้าจะเย็นอยู่หรือ!?' โจวหมิงในตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าไร้พลัง ระดับพลังเท่านี้แค่ต้องสู้กับสัตว์อสูรขั้นนภาก็เต็มกลืนแล้ว 'นั่งลง ข้าจะอธิบายให้ฟัง' โจวหมิงหลังจากที่ได้รับรู้ว่าระดับพลังของตนเองลดลงถึงเพียงนั้นก็อยู่ไม่สุข พยายามขอให้หวังซิ่นเจียพากลับไปยังหอคัมภีร์ของสำนักอีกรอบ หวังซิ่นเจียเห็นท่าทางของโจวหมิงเช่นนั้นจึงได้คิดว่า โจวหมิงคงลืมไปแล้วว่าการประกอบพิธีกรรมนั้น ต้องแลกกับอะไรจึงจะสำเร็จ ซึ่งในตอนแรกเจ้าตัวก็ดูไม่ได้เสียดายระดับพลังอะไรนั่นแม้แต่น้อย แต่ที่โวยวายสติแตก ทำหน้า
'หมายความว่าอย่างไร...' หลังจากที่ทำให้โจวหมิงสงบลงได้บ้างแล้ว หวังซิ่นเจียจึงได้เล่าเรื่องที่หลิ่วป๋ายซื่อและศิษย์คนอื่นๆนั้นไม่รู้จักจ้าวเซินฝูแม้แต่น้อย เรื่องที่หวังซิ่นเจียกล่าวนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องอื้อฉาวเมื่อสิบปีก่อนนั้นทุกคนในสำนักเจี๋ยเอินรับรู้เป็นอย่างดี และทุกคนย่อมต้องรู้จักจ้าวเซินฝูในฐานะตัวต้นเหตุอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่คนจะไม่รู้จัก โดยเฉพาะในยอดเขาที่สามแห่งนี้ โจวหมิงทำท่าไม่ยอมรับ หวังซิ่นเจียเองก็ได้ถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก ในทีแรกยังคิดว่าเป็นการกลั่นแกล้งเสียด้วยซ้ำ 'คัมภีร์นั่น.. เป็นคัมภีร์ชุบชีวิตจริงหรือ?' หวังซิ่นเจียเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้งแรกที่โจวหมิงเอาคัมภีร์เล่มนั้นมาใหดูก็มีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่ได้ใส่ใจ แต่ตอนนี้คัมภีร์เล่มนั้นกลายเป็นคัมภีร์เจ้าปัญหาไปเสียแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่พ่อบ้านหยางและจ้าวเซินฝูหายไปเฉยๆ แต่ดูเหมือนจะหายไปจากควา
โจวหมิงหนีกลับสำนักไปพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของจ้าวเซินฝูหลังจากที่อาละวาดจนพอใจ ทิ้งปัญหามากมายเอาไว้ให้ผู้อาวุโสที่เหลือ โดยเฉพาะหลิ่วป๋ายซื่อผู้เป็นเจ้าสำนัก ความเสียหายที่โจวหมิงทิ้งเอาไว้นั้นมากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องใดก่อน ทั้งความเสียหายของราชวงศ์เจิ้ง ที่ต้องสูญเสียทั้งฮ่องเต้ ฮองเฮาคู่บัลลังก์ รวมถึงองค์รัชทายาท เรียกได้ว่าภายในวุ่นวายไม่แพ้ภายนอก หรือจะเป็นความเสียหายของตระกูลจ้าว ประมุขตระกูลคนปัจจุบันกลายเป็นคนพิการ อีกทั้งยังต้องสูญเสียฮูหยินรอง และบุตรสาวคนโตไปด้วย แน่นอนว่าในส่วนของสำนักเจี๋ยเอินก็เสียหายไม่แพ้กัน และเรื่องทั้งหมดนั้นเกิดจากการตายของคนเพียงคนเดียว เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถยอมความกันได้โดยง่าย ดังนั้นจึงได้มีตัวแทนของราชวงศ์มาเจรจาให้ส่งมอบตัวโจวหมิงเพื่อรับการลงโทษ ซึ่งหลิ่วป๋ายซื่อเองก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธแต่อย่างใด สิ่งที่ตอบกลับไปมีเพียง... 'เอาสิ แต่พวกท่านต้องไปพาคนมาเอ