'จ้าวเซินฝูควรจะยินดีมากกว่าที่ข้าทำเพื่อเขาขนาดนี้!!'
'ผู้อาวุโสโจว!!'
ฉัวะ!
'หยางจิน!'
ในขณะที่โจวหมิงใช้กระบี่ฟันฉับลงมาอย่างไร้ความปราณี พ่อบ้านหยางที่มาจากไหนก็ไม่รู้พุ่งพรวดเข้ามาขวางคมกระบี่ไว้ โจวหมิงเองก็นึกไม่ถึงจึงได้ยั้งมือไว้เพราะเห็นเป็นคนคุ้นเคย และพ่อบ้านหยางก็ไม่ใช่หนึ่งในบุคคลที่โจวหมิงคิดจะฆ่าทิ้ง
'อึก..พะ พอเถอะขอรับผู้อาวุโสโจว...'
'เจ้าไม่คิดจะแก่ตายหรืออย่างไร ถอยไป'
พ่อบ้านหยางเข้ามาขวางไม่ให้โจวหมิงจัดการจ้าวจวิ้นซาน แลกกับการที่ใบหน้าของตนเองถูกฟันเป็นทางยาว
'ผู้อาวุโสโจว ได้โปรด...'
'หยางจิน เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!? อาหมิง พอได้แล้ว!!'
แม้จะมีคนฝ่ายของตนเองบาดเจ็บอยู่ต่อหน้า โจวหมิงก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างไร จะให้ทำเช่นไรเล่า ในเมื่ออีกฝ่ายวิ่งเข้ามาขวางวิถีกระบี่เอง ยั้งมือได้ขนาดนี้ก็ดีเท่าไหร่
หากเมื่อครู่ไม่ทันยั้งมือล่ะก็ พ่อบ้านหยางได้เหลือหัวแค่ครึ่งเดียวอย่างแน่นอน
'เลิกบอกให้ข้าหยุดเสียที เพราะมันไม่เรื่องของเจ้า เจ้าจะพูดอย่างไรก็ได้ แต่ข้าเป็นฝ่ายสูญเสีย เจ้าจะให้ข้าพอใจแค่นี้หรืออย่างไร'
'เจ้าสังหารมารดาของจ้าวฉิงม่านไปแล้วนี่'
โจวหมิงหันไปมองหวังซิ่นเจียด้วยสายตาว่างเปล่า ผิดหวังในคำพูดของสหายไม่น้อย
'แล้วอย่างไร ข้าควรจะพอใจแค่มารดาของนางแพศยานั่นตายไปหรือไง นางเป็นแค่เดนมนุษย์ที่สั่งสอนบุตรให้ดียังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะอยู่หรือตายก็ไร้ประโยชน์เท่ากัน'
ในสายตาของโจวหมิงตอนนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไร้ค่าไปหมด หากเทียบกันกับจ้าวเซินฝูผู้เป็นลูกศิษย์ของตน ดังนั้นจึงข้อใจนักว่าเหตุใดตระกูลเศษสวะเช่นนี้จึงมีคนออกหน้าปกป้องมากนัก ทั้งๆที่ไม่มีค่าใดๆด้วยซ้ำ
แล้วเหตุใดตอนที่เป็นจ้าวเซินฝู ทุกคนจึงคิดจะจับตายเขา ในเมื่อจ้าวเซินฝูเป็นเพียงแค่เครื่องมือทำชั่วที่ขาดความอบอุ่นจากตระกูลจ้าวเท่านั้นเอง
หากพูดกันตามตรงแล้ว ตระกูลจ้าวที่เป็นต้นเหตุควรจะตายเพื่อชดใช้ความผิดไม่ใช่หรือ
'เช่นนั้นจะยกโทษให้ตระกูลจ้าวอย่างนั้นหรือ'
ดวงตาของโจวหมิงบัดนี้ว่างเปล่า ไม่หลงเหลือความรู้สึกใดๆอีกต่อไปแล้ว
'ได้...เช่นนั้นข้าจะไม่ลงมือกับตระกูลจ้าว'
โจวหมิงเดินนิ่งๆไปยังที่นั่งของประมุขตระกูลที่มีร่างของจ้าวเซินฝูวางอยู่ มือเรียวสั่นระริกเอื้อมไปลูบใบหน้าขาวซีดเย็นเฉียบของผู้เป็นศิษย์อย่างแผ่วเบา
'หากจ้าวเซินฝูยังอยู่ ในภายภาคหน้าคงได้นั่งตำแหน่งประมุขตระกูลแท้ๆ...'
โจวหมิงนำร่างของจ้าวเซินฝูเก็บเข้าแหวนมิติของตนเอง ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว ขนาดหวังซิ่นเจียที่อยู่ไม่ไกลนักยังมองตามไม่ทัน
เมื่อโจวหมิงจากไปแล้ว ที่เรือนรับรองตระกูลจ้าวจึงได้เกิดเหตุอลหม่านขึ้นทันที่ ผู้อาวุโสหยางที่มาด้วยถูกสั่งให้เข้าไปดูอาการของพ่อบ้านหยางอย่างเร่งด่วน และผู้อาวุโสหงได้เข้าไปดูอาการของจ้าววิ้นซาน
'รู้หรือไม่ว่าเขาไปที่ใด'
หวังซิ่นเจียส่ายหน้า หากอย่างดีโจวหมิงคงจะเร่งรุดกลับสำนักไปแล้ว หรือหากอย่างเลวร้ายที่สุด คงมุ่งหน้าไปหาศัตรูคนต่อไป
โจวหมิงนั้นเรียกได้ว่าเกลียดชังคนตระกูลจ้าวเข้าไส้ และเกลียดชังคนตระกูลเจิ้งไม่แพ้กัน ดังนั้นจึงได้คิดจะไปที่วังหลวงเสียก่อน
'ข้าจะไปที่วังหลวง'
'ข้าจะไปกับเจ้า'
หลิ่วป๋ายซื่อไม่อาจวางใจหากจะปล่อยให้หวังซิ่นเจียไปเผชิญหน้ากับโจวหมิงตามลำพัง และแม้ว่าหลิ่วป๋ายซื่อจะเสนอตัวไปด้วย ก็ไม่แน่ใจอยู่ดีว่าจะหยุดยั้งโศกนาฏกรรมที่จะเกิดขึ้นได้หรือไม่
'ผู้อาวุโสหง เสร็จจากตรงนี้แล้วตามไปด้วย'
หงหลิงเซี่ยพยักหน้ารับ เร่งจัดการจ้าวจวิ้นซานที่เสียแขนไป ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดราวกับใจจะขาด แม้ว่าในใจจะไม่อยากเผชิญหน้ากับโจวหมิงเท่าไหร่ก็ตาม
หลิ่วป๋ายซื่อและหวังซิ่นเจียเร่งมุ่งหน้าไปยังวังหลวงทันที เมื่อครู่โจวหมิงจากไปอย่างรวดเร็ว หากไปที่วังหลวงจริง ป่านนี้คงย่อยยับกันไปข้างหนึ่งแล้ว
หมายถึงฝั่งแซ่เจิ้งที่ย่อยยับน่ะนะ...
ยังไม่ทันจะเห็นกำแพงวังก็ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมเสียแล้ว ชาวบ้านต่างพากันวิ่งหนีไปทางที่หลิ่วป๋ายซื่อและหวังซิ่นเจียจากมา ทั้งคู่สบตากันเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะเร่งฝีเท้าให้ไปถึงจุดหมายโดยเร็ว
ผู้ที่ก่อเรื่องย่อมไม่พ้นโจวหมิงอย่างแน่นอน ภาวนาให้ยังไม่เกิดเรื่องร้ายแรงทีเถอะ...
แต่เมื่อมาถึงที่หมายแล้วก็ต้องพบกับภาพความวุ่นวายที่เกิดจากน้ำมือของโจวหมิงอย่างเต็มตา
วังหลวงที่เคยสวยงามบัดนี้ถูกโจวหมิงทำลายเสียย่อยยับ ความเสียหายนั้นสังเกตุได้ตั้งแต่กำแพงวังทอดยาวเข้าไปยังตำหนักต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายหรือข้าราชบริพารต่างก็พากันหนีตายจ้าละหวั่น
แต่ไม่เห็นผู้เป็นต้นเหตุอย่างโจวหมิง หวังซิ่นเจียและหลิ่วป๋ายซื่อจึงพากันแยกย้ายออกตามหา หวังหยุดการสูญเสียของราชวงศ์เจิ้ง
หวังซิ่นเจียมุ่งหน้าไปยังตำหนักบูรพาของเจิ้งซีเพ่ย ส่วนหลิ่วป๋ายซื่อเร่งรุดไปยังท้องพระโรง
ปกติแล้วแคว้นจิน จะว่าราชการกันตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นท้องพระโรงจึงเป็นสถานที่ที่รวบรวมสายเลือดตระกูลเจิ้งเอาไว้มากที่สุด
วิชาฝ่าเท้าทำให้หลิ่วป๋ายซื่อมาถึงท้องพระโรงได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ทันการณ์เมื่อบริเวณท้องพระโรงนั้นอาบย้อมไปด้วยเลือดของเหล่าขุนนาง แสดงให้เห็นความย่อยยับตั้งแต่หน้าประตู
หลิ่วป๋ายซื่อเร่งเข้าไปสำรวจด้านในก็พบว่าความเสียหายไม่น้อยหน้าด้านนอกเลยแม้แต่นิดเดียว บนบัลลังก์มังกรทอง มีร่างไร้ศีรษะของผู้เป็นโอรสสวรรค์นั่งอยู่ ข้างกันเป็นร่างของมารดาแผ่นดินที่ไร้ซึ่งศีรษะเช่นกัน
และบนพื้นไม่ห่างกันนักเป็นร่างไร้ศีรษะของศิษย์คนหนึ่งในสำนัก
หลิ่วป๋ายซื่อไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดโจวหมิงจึงลงมือกับศิษย์ในสำนักอย่างโหดร้ายเช่นนี้ หลิ่วป๋ายซื่อโอบอุ้มร่างไร้วิญญาณของศิษย์ในสำนักคนนั้นขึ้นมา แล้วรีบไปรวมตัวกับหวังซิ่นเจียอย่างรวดเร็ว
หวังซิ่นเจียที่มาถึงตำหนักบูรพาก็เห็นร่างไร้วิญญาณของบ่าวไพร่นอนเรียงรายเต็มทางเดิน ไม่ว่าจะเป็นองครักษ์หรือนางกำนัลก็ถูกสังหารทิ้งไม่มีละเว้น
บางร่างตะเกียกตะกาย ดวงตาเบิกโพลง ขัดขืนความตายที่ถูกยัดเยียดให้อย่างถึงที่สุด แม้ว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถเอาชนะความตายได้อยู่ดี
ไม่ต้องวิ่งตามหาต้นเหตุให้เหนื่อยเมื่อเสียงโหวกเหวกโวยวาย ดังมาจากส่วนหนึ่งของตำหนัก หวังซิ่นเจียรีบมุ่งหน้าไปยังต้นกำเนิดของเสียงทันที
'อย่าเข้ามานะ!!'
เสียงของจ้าวฉิงม่านหวีดร้องด้วยความหวาดกลัวทำให้หวังซิ่นเจียเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น เมื่อมาถึงห้องทำงานของเจิ้งซีเพ่ยแล้วก็เห็นว่าในห้องนั้นนอกจากโจวหมิง จ้าวฉิงม่านและเจิ้งซีเพ่ยแล้ว ยังมีศีรษะของบุคคลคุ้นหน้าอยู่ถึงสาม
'โจวหมิง!!'
ด้านหน้าของโจวหมิงเป็นจ้าวฉิงม่านและเจิ้งซีเพ่ยในสภาพกึ่งเปลือย ไม่ต้องคิดให้ยากว่าคนทั้งคู่กำลังทำอะไรอยู่ หวังซิ่นเจียตาค้างตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
'เจ้า...'
แม้ว่าโจวหมิงจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่ารังเกียจคนทั้งคู่มาโดยตลอด แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องนั้นเป็นเพราะสาเหตุใด กระทั่งหลี่โหรวซีที่ต้องตกตายด้วยเพียงเรื่องที่ว่าเป็นมารดาของจ้าวฉิงม่านยังดูไม่สมเหตุสมผลนัก กระทั่งได้เห็นด้วยตนเองในวันนี้
เพราะที่ผ่านมาไม่มีใครรับรู้เรื่องบัดสีของสองบุรุษสตรีตรงหน้า
ไม่รู้ว่าโจวหมิงจะรู้สึกโกรธแค้นมาเท่าไหร่ที่ต้องเห็นภาพนี้ตำตา เพราะทั้งสองตระกูลรวมหัวกันหลอกลวงจ้าวเซินฝูกระทั่งคนตัดสินใจจากไปไม่หวนกลับ
แม้หวังซิ่นเจียจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง แต่ก็อดนึกเคืองไม่ได้ดังนั้นจึงได้แต่ยืนมองเฉยๆไม่ได้เอ่ยห้ามอีก
หากคนทั้งคู่จะต้องรับโทษตาย ก็ดูสมควรอยู่เช่นกัน...
ชั่วครู่ที่สามัญสำนึกของหวังซิ่นเจียถูกทำลายด้วยสายตาที่แสดงออกว่าแตกสลายมากเพียงใดของสหาย
หวังซิ่นเจียยืนดูนิ่งๆไม่ปริปาก
จ้าวฉิงม่านพยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากหวังซิ่นเจีย ข้างกันมีเจิ้งซี่เพ่ยที่ถูกแทงเอาที่อกจนเลือดไหลอาบ จ้าวฉิงม่านหยิบปิ่นของตนเองออกมาหันเข้าหาโจวหมิง หวังป้องกันตนเองและคนรัก
ปิ่นอันน้อยไม่ได้สร้างความสะเทือนใดแม้แต่น้อย โจวหมิงก้าวเข้าไปหาคนทั้งคู่ด้วยสายตาโกรธแค้น จ้าวฉิงม่านพยายามกอดร่างของเจิ้งซีเพ่ยและถดตัวหนี
จ้าวฉิงม่านไม่ได้สนใจสภาพกึ่งเปลือยของตนเองแม้แต่น้อย เพราะนางรู้ดีว่าตรงนี้ไม่มีผู้ใดสนใจว่าเรือนร่างของสตรีโตเต็มวัยนั้นจะดูเย้ายวนเพียงใด
ยิ่งกับมัจจุราชตรงหน้าของนาง นอกจากความชิงชังจนอยากจะสังหารนางทิ้งเสีย โจวหมิงก็ไม่ได้มีความรู้สึกใดให้นางอีก
'ข้าสัญญากับมารดาของเจ้าเอาไว้แล้วว่าจะส่งเจ้าตามไป'
จ้าวฉิงม่านยังไม่ทันได้จับใจความคำพูดของโจวหมิงแม้แต่เพียงครึ่งคำ ศีรษะของหน้ากระเด็นออกจากร่างทั้งๆที่ยังอยู่ในท่าที่ถือปิ่นค้างเอาไว้
เจิ้งซีเพ่ยที่ตกอยู่ในอ้อมกอดของจ้าวฉิงม่านดีดตัวออกอย่างตื่นตระหนก เลือดของจ้าวฉิงม่านพุ่งกระฉูดออกจากบาดแผล ไหลอาบร่างของเจิ้งซีเพ่ย
ร่างของสตรีที่เสพสุขกันเมื่อคืนกลายเป็นศพภายในพริบตา เจิ้งซีเพ่ยกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง โจวหมิงโยนศีรษะของคนอีกสามคนไปให้เจิ้งซีเพ่ย ศีรษะของจ้าวฉิงม่านที่กะเด็นหลุดออกมา โจวหมิงก็ใช้เท้าเขี่ยกลับไปให้ไม่ขาด
เจิ้งซีเพ่ยตอนนี้ราวกับคนเสียสติ คู้ตัวหนีไม่มองสิ่งใดรอบตัว โจวหมิงได้แต่มองภาพตรงหน้าด้วยความสมเพช
'ที่ผ่านมาจ้าวเซินฝูคงเป็นตัวโง่งมในสายตาของเจ้าสินะ'
ทั้งหลอกใหรัก ทั้งหลอกใช้ต่างๆนานา สิ่งที่คนพวกนี้ต้องการล่วนทำให้จ้าวเซินฝูกลายเป็นตัวตลกที่โง่งมในสายตาของคนอื่น
'เจ้าเด็กโง่นั่น เพียงแค่เป็นเจ้า ไม่ว่าอะไรก็ทำให้ได้ ไม่ได้รู้เลยว่าลับหลังเจ้าทำเรื่องบัดซบอะไรบ้าง'
หลายครั้งหลายคราที่เอ่ยเตือนเรื่องนี้ แต่โจวหมิงไม่คิดจะหักหาญน้ำใจพูดไปตรงๆ หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ สู้พาคนมาดูตอนที่สุนัขพวกนี้สมสู่กันเสียก็ดี
'ทั้งสหาย ทั้งน้องสาว ทุกคนต่างลักลอบมีสัมพันธ์กับคนรักของตน น่าอดสูยิ่งนัก'
ไม่ว่าใครก็ฝักใฝ่อยากจะเป็นใหญ่เป็นโต โดยเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของจ้าวเซินฝูเป็นบันไดสู่ความสำเร็จ แต่นั่นก็เป็นเพราะจ้าวเซินฝูเองก็โง่เขลาไม่แพ้กัน
การที่ได้รับการยอมรับจากคนพวกนี้สำคัญที่ตรงไหนกัน
คนนับหมื่นแสนในใต้หล้ายอมรับในความสามารถของจ้าวเซินฝูนั้น ไม่มีน้ำหนักมากเท่ากับการได้รับการยอมรับจากคนพวกนี้เช่นนั้นหรือ
'จงไปขอขมาจ้าวเซินฝูที่ปรโลกเสีย สุนัขแซ่เจิ้ง'
เมื่อมัจจุราชนำพาความตายมาให้ถึงที่เจิ้งซีเพ่ยหวาดกลัวตัวสั่นจนถึงขั้นปล่อยเบา
'เอาเลือดหัวของเจ้าล้างเท้าเขาเพื่อขอรับการอภัยเสีย'
เจิ้งซีเพ่ยเงยหน้ามาสบตาโจวหมิงอย่างหวาดกลัว แววตาเย็นชา และใบหน้าเรียบนิ่งไม่ยี่หระต่อความตายของโจวหมิงเป็นสิ่งสุดท้ายที่เจิ้งซีเพ่ยได้รับรู้
ใบหน้าของบุคคลผู้นำความตายมาสู่เจิ้งซีเพ่ย ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่อีกกี่ครั้งก็ไม่อาจลบเลือนความหวาดกลัวในครั้งนี้ได้
ศีรษะของเจิ้งซีเพ่ยหลุดออกจากร่างโดยที่ไม่ทันได้เตรียมพร้อมรับความตาย ดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นเบิกโพลง เพียงแต่ร่างกายไม่อาจขัดขืนความตายได้อีกต่อไป
ร่างของเจิ้งซีเพ่ยถูกถีบให้หงายลงไปกับพื้นอย่างไม่ใยดี สำหรับโจวหมิงในตอนนี้หากไม่ใช่จ้าวเซินฝูแล้วล่ะก็ ผู้ใดก็ไม่มีค่ามากพอที่จะใส่ใจ
โจวหมิงนำร่างไร้วิญญาณของจ้าวเซินฝูออกมาจากแหวนมิติ โอบอุ้มอย่างทะนุถนอม ส่วนอีกมือใช้ลากศีรษะของคนทั้งห้า
ร่างของจ้าวเซินฝูถูกจับประคองให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง โจวหมิงเรียงศีรษะของผู้วายชนม์ไว้บนพื้นด้านหน้า ก่อนจะประคองฝ่าเท้าเย็นเฉียบของจ้าวเซินฝูเหยียบลงบนศีรษะของคนเหล่านั้น
หากจะตายต้องตายอย่างสมเกียรติเช่นนี้
เหล่าศัตรูผู้ชี้ทางตายไม่ควรได้มีชีวิตอยู่รอวันที่รุ่งเรืองหากต้องแลกกับชีวิตของใครคนหนึ่ง และยิ่งปล่อยไปไม่ได้ หากผู้ที่จากไปคือจ้าวเซินฝู
หวังซิ่นเจียแทบไม่เชื่อสายตากับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ในขณะเดียวกันหลิ่วป๋ายซื่อเองก็มาถึงตำหนักบูรพาพร้อมกับร่างไรวิญญาณของศิษย์คนหนึ่งในสำนัก
'มาแล้วหรือ'
โจวหมิงหันมาถามผู้มาใหม่ด้วยรอยยิ้มแม้แววตาของเขาจะดูว่างเปล่า หลิ่วป๋ายซื่อขบกรามแน่นด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ในหัวมีแต่คำถามที่ว่าทำไมโจวหมิงจึงทำเช่นนี้อยู่เต็มหัวไปหมด
'งดงามหรือไม่'
ภาพวิปริตตรงหน้าทำเอาหวังซิ่นเจียต้องเบือนหน้าหนี หลิ่วป๋ายซื่อเองก็ทนมองภาพตรงหน้าได้ไม่นานนัก มีเพียงโจวหมิงเท่านั้นที่ดูภาคภูมิใจเสียเหลือเกินกับสิ่งที่ตนเองทำ
'เพียงเท่านี้ จ้าวเซินฝูก็ได้จากไปอย่างสมศักดิ์ศรีแล้วสินะ...'
ในเมื่อพวกเขาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเจ้า เช่นนั้นอาจารย์จะเป็นผู้ทวงคืนให้เอง
"นี่มัน..." "ข้าเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไรก็เลย..." หลังจากที่บอกเรื่องกระดานภารกิจให้บ่าวตัวน้อยทั้งสองรับรู้ไปแล้ว เซินฝูก็ไม่ได้ติดตามรับรู้อะไร เด็กทั้งสองคนก็ยังเข้าเรียนตามวิชาที่ทางสำนักกำหนดเอาไว้ไม่ขาด แม้ว่าทุกครั้งหลังจากเลิกเรียนแล้วจะชอบหายไปกันสองคนก็ตาม เซินฝูคิดว่าเด็กทั้งคู่คงจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในสำนักแล้ว จะไปหาประสบการณ์เล็กๆน้อยๆก็คงจะไม่เป็นไร กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปหนึ่งสัปดาห์ ก่อนหน้านั้นประมาณสองวันเซินฝูกล่าวกับทั้งคู่ว่า สัปดาห์หน้าจะได้ออกไปข้างนอก เหมือนเป็นวันหยุดเพื่อให้ศิษย์นอกได้ออกไปเปิดหูเปิดตา เสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อมองหน้ากันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ามีแผน แต่ในตอนนั้นเซินฝูไม่ได้มีความคิดแบบนี้แม้แต่น้อย สาบานเลยว่าไม่ได้คิดว่าบ่าวตัวน้อยทั้งคู่จะทำสิ่งที่เรียกว่าเป็นการสร้างเรื่องเช่นนี้ "บอกข้าทีว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของพวกเจ้า" "คุณชาย บางภารกิจถูกทิ้งไว้เป็นเดือนแล้วนะขอรับ"
"ทำได้หมดนี่เลยหรือขอรับ?" หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักเจี๋ยเอินสักพัก นอกจากการลงไปเรียนรวมแล้ว ก็มีภารกิจต่างๆให้เลือกทำเพื่อเก็บแต้มในยามว่าง และตอนนี้เซินฝูพร้อมทั้งบ่าวได้มายืนอยู่หน้ากระดานของกองกิจการเรียบร้อย "ทำเท่าที่ทำได้เถอะ อันไหนเกินความสามารถก็ไม่ต้องฝืน" "มีแต่งานง่ายๆทั้งนั้นเลยนะขอรับ" "หยิบไปทีละใบเล่า" แต้มที่จะได้รับนั้น ผกผันตามระดับของภารกิจ ซึ่งแต้มจะถูกบันทึกเอาไว้ในหยกพกของแต่ละคน หากภารกิจไหนง่ายๆ อย่างเก็บสมุนไพร หรือช่วยเก็บของเล็กๆน้อยๆก็จะได้ไม่เกินสิบแต้ม หรือหากเป็นการเข้าร่วมภารกิจเล็กๆน้อยๆของสำนักอย่างช่วยถือของ หรือกำลังเสริมก็จะได้แต้มขึ้นมามากหน่อย แต่หากเป็นภารกิจที่ต้องใช้ระยะเวลานานหน่อย หรือเป็นภารกิจต่อเนื่อง ก็จะได้แต้มมากขึ้นไปอีก อย่างในชาติก่อน เซินฝูดึงภารกิจปราบสัตว์อสูรที่ระรานไร่สวนของชาวบ้านได้แต้มมาตั้งสองร้อยแต้ม "แต่ดูเหมือนว่างานที่เป็นภารกิจของสำนักจะรับแค่คนมีประสบการณ์เท่านั้น..."
"เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้" เซินฝูนิ่งไปกับสิ่งที่ได้ยิน เรื่องราวหลังจากที่ตนเองตายไปแล้วเซินฝูไม่ได้รับรู้ ในความรู้สึกของเซินฝูนั้น เมื่อได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาเพียงชั่วครู่ที่เซินฝูรู้สึกนั้น แท้จริงแล้วยาวนานถึงสิบปีในโลกแห่งความเป็นจริง อีกทั้งยังมีคนต้องจมอยู่กับความทุกข์เพราะการตายของตนเองเป็นเหตุ "แต่มันก็ผ่านไปแล้ว เจ้าได้กลับมาเช่นนี้ก็ดีแล้ว" โจวหมิงหันมายิ้มให้ลูกศิษย์ของตนเองที่นั่งไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรดีด้วยความจริงใจ เซินฝูในตอนที่กลับมาในร่างของตนเองตอนอายุสิบสองหนาวนั้น คิดเพียงว่าเพราะตนเป็นลูกรักสวรรค์ เป็นเพราะสวรรค์เสียดายผู้มากความสามารถเช่นตนมีวาสนายิ่งใหญ่ได้ไม่นานจึงนึกเสียดาย ส่งตนกลับมาในร่างเดิมพร้อมกับความทรงจำในชีวิตก่อน เพื่อจะได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตตนเองได้ ไม่ได้รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว เป็นเพราะโจวหมิงที่ยอมแลกทั้งระดับพลังและอายุขัยไม่รู้เท่าไหร่ของตนเพื่อพาเซินฝูกลับมา
'หินเจ้าพังแน่นอน!' โจวหมิงไม่อาจรับได้ที่พลังของตนเองลดลงมามากกว่าครึ่ง พลังเท่านี้พอๆกับตอนที่ได้เข้าเป็นศิษย์ในของสำนักเจี๋ยเอินใหม่ๆเมื่อหลายสิบปีก่อน และกว่าจะสั่งสมปราณให้ได้พลังระดับราชันย์ไม่ใช่เรื่องง่าย โจวหมิงเคี่ยวเข็ญฝึกฝนด้วยตนเองอย่างยากลำบาก จู่ๆต้องมาเสียไปเพราะคัมภีร์ประหลาดเล่มนั้น 'ฟังก่อนได้หรือไม่' 'เป็นเจ้าจะเย็นอยู่หรือ!?' โจวหมิงในตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าไร้พลัง ระดับพลังเท่านี้แค่ต้องสู้กับสัตว์อสูรขั้นนภาก็เต็มกลืนแล้ว 'นั่งลง ข้าจะอธิบายให้ฟัง' โจวหมิงหลังจากที่ได้รับรู้ว่าระดับพลังของตนเองลดลงถึงเพียงนั้นก็อยู่ไม่สุข พยายามขอให้หวังซิ่นเจียพากลับไปยังหอคัมภีร์ของสำนักอีกรอบ หวังซิ่นเจียเห็นท่าทางของโจวหมิงเช่นนั้นจึงได้คิดว่า โจวหมิงคงลืมไปแล้วว่าการประกอบพิธีกรรมนั้น ต้องแลกกับอะไรจึงจะสำเร็จ ซึ่งในตอนแรกเจ้าตัวก็ดูไม่ได้เสียดายระดับพลังอะไรนั่นแม้แต่น้อย แต่ที่โวยวายสติแตก ทำหน้า
'หมายความว่าอย่างไร...' หลังจากที่ทำให้โจวหมิงสงบลงได้บ้างแล้ว หวังซิ่นเจียจึงได้เล่าเรื่องที่หลิ่วป๋ายซื่อและศิษย์คนอื่นๆนั้นไม่รู้จักจ้าวเซินฝูแม้แต่น้อย เรื่องที่หวังซิ่นเจียกล่าวนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องอื้อฉาวเมื่อสิบปีก่อนนั้นทุกคนในสำนักเจี๋ยเอินรับรู้เป็นอย่างดี และทุกคนย่อมต้องรู้จักจ้าวเซินฝูในฐานะตัวต้นเหตุอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่คนจะไม่รู้จัก โดยเฉพาะในยอดเขาที่สามแห่งนี้ โจวหมิงทำท่าไม่ยอมรับ หวังซิ่นเจียเองก็ได้ถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก ในทีแรกยังคิดว่าเป็นการกลั่นแกล้งเสียด้วยซ้ำ 'คัมภีร์นั่น.. เป็นคัมภีร์ชุบชีวิตจริงหรือ?' หวังซิ่นเจียเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้งแรกที่โจวหมิงเอาคัมภีร์เล่มนั้นมาใหดูก็มีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่ได้ใส่ใจ แต่ตอนนี้คัมภีร์เล่มนั้นกลายเป็นคัมภีร์เจ้าปัญหาไปเสียแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่พ่อบ้านหยางและจ้าวเซินฝูหายไปเฉยๆ แต่ดูเหมือนจะหายไปจากควา
โจวหมิงหนีกลับสำนักไปพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของจ้าวเซินฝูหลังจากที่อาละวาดจนพอใจ ทิ้งปัญหามากมายเอาไว้ให้ผู้อาวุโสที่เหลือ โดยเฉพาะหลิ่วป๋ายซื่อผู้เป็นเจ้าสำนัก ความเสียหายที่โจวหมิงทิ้งเอาไว้นั้นมากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องใดก่อน ทั้งความเสียหายของราชวงศ์เจิ้ง ที่ต้องสูญเสียทั้งฮ่องเต้ ฮองเฮาคู่บัลลังก์ รวมถึงองค์รัชทายาท เรียกได้ว่าภายในวุ่นวายไม่แพ้ภายนอก หรือจะเป็นความเสียหายของตระกูลจ้าว ประมุขตระกูลคนปัจจุบันกลายเป็นคนพิการ อีกทั้งยังต้องสูญเสียฮูหยินรอง และบุตรสาวคนโตไปด้วย แน่นอนว่าในส่วนของสำนักเจี๋ยเอินก็เสียหายไม่แพ้กัน และเรื่องทั้งหมดนั้นเกิดจากการตายของคนเพียงคนเดียว เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถยอมความกันได้โดยง่าย ดังนั้นจึงได้มีตัวแทนของราชวงศ์มาเจรจาให้ส่งมอบตัวโจวหมิงเพื่อรับการลงโทษ ซึ่งหลิ่วป๋ายซื่อเองก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธแต่อย่างใด สิ่งที่ตอบกลับไปมีเพียง... 'เอาสิ แต่พวกท่านต้องไปพาคนมาเอ