หลังจากที่โจวหมิงกล่าวว่าจะออกไปส่งหวังซิ่นเจียก็ไม่ได้กลับเข้ามาหาเซินฝูอีก มีเพียงบ่าวของโจวหมิงเท่านั้นที่เข้ามาจัดการเรื่องที่นอนให้กับเซินฝู
ในคืนแรกที่ได้กลับมายังสำนักเจี๋ยเอิน เซินฝูแทบไม่อยากจะหลับไปด้วยซ้ำ เพราะเกรงว่านี่จะเป็นเพียงแค่ฝันหนึ่งตื่น
อีกทั้งยังคิดเรื่องที่ตนเองได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง โจวหมิงและหวังซิ่นเจียต้องรู้เงื่อนไขของมันอย่างแน่นอน แต่ในตอนนี้ถามหวังซิ่นเจียนั้นหวังซิ่นเจียไม่คิดจะตอบ ได้แต่บอกปัด
หากเป็นอย่างที่เซินฝูคิดเอาไว้ อาจจะเป็นโจวหมิงที่ทำเรื่องนี้ขึ้นมา...
แต่ด้วยวิธีใดกัน...
ในความเป็นจริงแล้ว การชุบชีวิตคนๆนหนึ่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ในทางปฏิบัติแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้ หากนั่นไม่ใช่การเรียกวิญญาณกลับมาเพื่อเอาไว้ใช้งาน
การกลับมาของเซินฝูนั้นเป็นการย้อนเวลา และกายเนื้อที่ได้รับก็ไม่ผิดเพี้ยนไปจากเซินฝูในตอนอายุสิบสองหนาว อีกทั้งยังเติบโตได้ตามวัย รวมถึงความทรงจำจากชาติก่อนด้วย
วิธีการใดกันที่โจวหมิงใช้เพื่อพาเซินฝูกลับมา สิ่งแลกเปลี่ยนคืออะไร...
เซินฝูนอนคิดเรื่องเหล่านั้นกระทั่งผล็อยหลับไป และตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อถูกรบกวนจากแสงนอกผ้าม่าน
ยอดเขาที่สองของสำนักเจี๋ยเอินสงบกว่ายอดเขาอื่นๆเพราะไม่มีลูกศิษย์คนอื่นนอกจากเซินฝู และบ่าวรับใช้สองคนที่ไม่ค่อยได้เห็นหน้าเท่าไหร่นัก
ในอนาคตอาจจะมีพ่อบ้านหยางเข้ามาช่วยงาน และคงมีลูกลิงทะโมนแวะเวียนมาบ่อยๆ ดังนั้นหลังจากนี้สักพักก็คงไม่สามารถหาบรรยากาศสงบๆเช่นนี้ได้อีก
เซินฝูนึกย้อนถึงเรื่องที่คิดก่อนเผลอหลับไปเมื่อคืน โจวหมิงกล่าวว่าจะเป็นผู้เล่าเรื่องนั้นเอง แต่ไม่ได้บอกว่าจะเล่าเมื่อไหร่ เซินฝูไม่สามารถอดทนรอได้ ดังนั้นวันนี้จึงคิดเอาไว้ว่าจะถามเรื่องนั้นให้กระจ่าง ไม่อย่างนั้นคงต้องใช้ชีวิตไปทั้งๆที่ยังรู้สึกค้างคา
เมื่อจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว เซินฝูก็ตรงไปที่เรือนรับรองของโจวหมิง เพราะคิดว่าคงเป็นที่เดียวที่สามารถไปนั่งพักผ่อนได้
เพราะศาลาชมทิวทัศน์ของยอดเขาที่สองนั้น ถูกโจวหมิงผ่าครึ่งไปแล้วเมื่อวาน กำลังรอคิวช่างไม้จากผู้อาวุโสสวีอยู่
และก็เป็นอย่างที่เซินฝูคิด เมื่อเดินมาถึงเรือนรับรองแล้วก็พบว่าโจวหมิงกำลังนั่งสนทนาอยู่กับหวังซิ่นเจีย เซินฝูคำนับคนทั้งคู่ก่อนจะเข้าไปนั่งลงที่ที่นั่งประจำของตน ราวกับว่าใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จนชิน
เซินฝูรู้สึกตื้นตันราวกับได้กลับมาหาครอบครัว เช่นเดียวกับโจวหมิงที่รู้แจ้งแล้วว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน
"เจ้าตื่นสาย"
"ขออภัยขอรับ"
โจวหมิงกล่าวยิ้มๆ เช่นเดียวกับเซินฝูที่กล่าวขออภัยด้วยรอยยิ้ม
ชีวิตก่อนก็เป็นเช่นนี้ เซินฝูนั้นรักการนอนยิ่งกว่าใครเพื่อน ยิ่งเมื่อได้เป็นผู้แข็งแกร่งแล้วก็ยิ่งนอนมากกว่าเดิม หากจะเห็นว่าขยับตัวก็มีแต่จะไปวิ่งเต้นตามคนตระกูลจ้าว ไม่ก็คนรักน่าชังอย่างเจิ้งซีเพ่ยนั่นแหละ
ดังนั้นคำกล่าวที่ว่า 'เจ้าตื่นสาย' ของโจวหมิงนั้น เป็นดั่งคำกล่าวอรุณสวัสดิ์ อีกทั้งยอดเขานี้เดิมที่ก็ไม่ได้มีผู้ใดมาคอยจับผิดมากมาย เซินฝูจะทำตัวอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดว่ากล่าว
ในเมื่อเจ้ายอดเขาอย่างโจวหมิงไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจเสียหน่อย ดังนั้นใครจะกล้า
"เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้าจะให้บ่าวยกสำรับมาให้"
โจวหมิงไม่มีท่าทีจะกล่าวเรื่องเมื่อวาน และเมื่อส่งสายตาไปหาหวังซิ่นเจีย กลายเป็นว่าหวังซิ่นเจียเองก็หลบสายตาเช่นกัน
หมายความว่าหากเซินฝูไม่เป็นผู้เริ่ม ก็จะไม่สนทนากันเรื่องนี้ใช่หรือไม่
เซินฝูถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ไม่ปิดบัง โจวหมิงยังคงรักษาท่าทีสงบนิ่งเอาไว้ได้ แต่หวังซิ่นเจียนั้นมีท่าทางล่อกแล่กออกมาอย่างเห็นได้ชัด โจวหมิงถึงกับต้องส่งเสียงด้วยความไม่พอใจ อีกทั้งยังด่าหวังซิ่นเจียทางสายตาอีกด้วย
"ท่านอาจารย์ขอรับ"
โจวหมิงแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการกล่าวถึงเรื่องนั้นแม้จะเป็นผู้กล่าวเองเมื่อวานว่าจะเป็นคนเล่า โจวหมิงไม่ได้คิดว่าจะเปิดเผยเรื่องราวเหล่านั้นรวดเร็วปานนี้
"ว่าอย่างไร?"
"เรื่องที่ข้าได้กลับมา..."
"กลับมาก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ?"
โจวหมิงไม่หันกลับมามองหน้าเซินฝูตรงๆด้วยซ้ำ ราวกับว่าเรื่องที่เซินฝูต้องการจะรับรู้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่น่านึกถึง
"อาหมิง"
หวังซิ่นเจียเห็นท่าทีดื้อดึงของโจวหมิงแล้วก็อ่อนอกอ่อนใจ เมื่อวานพูดเสียดิบดีว่าจะเป็นผู้เล่าเรื่องนี้เอง
"อย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา เล่าเถอะ"
อย่างที่หวังซิ่นเจียกล่าว เรื่องนี้เป็นเรื่องของเซินฝู เหตุใดเจ้าของเรื่องจะรับรู้ไม่ได้ แม้ว่าหวังซิ่นเจียจะรู้ดีว่าเพราะเหตุใดโจวหมิงจึงไม่อยากพูดถึงมันนัก
โจวหมิงสบตากับหวังซิ่นเจียอย่างดื้อดึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางจอกชาลงพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
"ก็ได้..."
.
.
.
'เป็นเพราะเจ้า จ้าวเซินฝูถึงได้คัมภีร์เล่มนั้นไป!!'
สำนักเจี๋ยเอินนั้นหลังจากที่จ้าวเซินฝูลักลอบขโมยคัมภีร์ศาสตร์ชั้นเซียนของสำนักลงจากยอดเขาก็หายตัวไม่มีใครพบเจอ
โจวหมิงผู้เป็นอาจารย์จึงต้องโดนลงโทษแทน
จ้าวเซินฝูนั้นลงจากยอดเขาไปแล้วกว่าสามเดือน ทุกคนพากันออกตามหาเรียกได้ว่าแทบพลิกแผ่นดิน แต่ไม่ว่าจะค้นหาอย่างไรก็ไม่พบแม้แต่ร่องรอยของจ้าวเซินฝู
จ้าวเซินฝูไม่ได้กลับไปที่จวนของตระกูลจ้าว และไม่ได้หลบอยู่ที่ตำหนักบูรพาของคนรักอย่างเจิ้งซีเพ่ย ทั้งสองเมื่อรู้ว่าเซินฝูหนีออกมาจากสำนักพร้อมกับของสำคัญก็เร่งออกตามหาเช่นกัน
อย่างที่รู้กันดีว่า 'คัมภีร์สิบศาสตรา' ของสำนักเจี๋ยเอินนั้น ถือเป็นวิทยายุทธที่เหลือชั้นกว่าศาสตร์แขนงใด โดยผู้ที่สามารถเรียนรู้สิ่งนี้ได้มีเพียงคนของสำนักเจี๋ยเอินเท่านั้น
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น คัมภีร์เล่มนั้นก็ยังเป็นที่ต้องการของคนอื่นๆ แม้ว่าจะติดเงื่อนไขหลักอย่างการเป็นศิษย์ของสำนักเจี๋ยเอิน
หากแต่คัมภีร์เล่มนี้ ถ้าได้ครอบครองคัมภีร์ ก็ราวกับได้ครอบครองเจี๋ยเอิน คัมภีร์เล่มนั้น ใช้ต่อรองให้ทั้งสำนักยอมศิโรราบได้อย่างแน่นอน มีเจี๋ยเอินอยู่ในมือ ไม่ว่าจะรบกับผู้ใดย่อมไม่วันพ่ายแพ้
นั่นคือจุดเริ่มต้นของการแย่งชิงคัมภีร์
เจิ้งซีเพ่ยต้องการคัมภีร์เล่มนั้นเพื่อเป็นแต้มต่อให้ตำแหน่งองค์รัชทายาทของตนเองนั้นมั่นคง ตัวของเจิ้งซีเพ่ยนั้นเดิมทีเป็นเพียงองค์ชายปลายแถวที่เกิดจากสนมขั้นผิน ไม่ได้มีอำนาจการต่อรองกับเหล่าขุนนาง หรือไม่ได้มียศสูงศักดิ์แต่เกิดเหมือนองค์ชายที่เกิดจากพระสนมชั้นสูง
แต่ที่เจิ้งซีเพ่ยได้ตำแหน่งนี้มา ย่อมเป็นเพราะมือที่เปื้อนเลือดของจ้าวเซินฝูผู้เป็นคนรัก
ในตอนนี้เป็นอดีตคนรัก...
หากจ้าวเซินฝูยอมเอาคัมภีร์นั้นมามอบให้กับเจิ้งซีเพ่ยตั้งแต่ทีแรกก็จบเรื่องแล้ว เจิ้งซีเพ่ยคงไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยตามหาเช่นนี้
ส่วนตระกูลจ้าวนั้นต้องการอำนาจการต่อรองกับราชวงศ์เจิ้ง การมีคัมภีร์เล่มนั้นในครอบครองก็นับว่าเป็นแต้มต่อให้ตระกูลจ้าวเช่นกัน แม้ว่าตอนนี้ตระกูลจ้าวจะเป็นตระกูลยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของแคว้นจินอยู่แล้วก็ตาม แต่เพราะความโลภมากของจ้าวจวิ้นซาน เขายังต้องการอำนาจมากกว่านี้
เรื่องราววุ่นวายดำเนินไปหลายต่อหลายเดือน สำนักเจี๋ยเอินเร่งตามหาจ้าวเซินฝูมาลงโทษ โดยที่โจวหมิงในตอนนั้นเอาแต่นอนซมทำอะไรไม่ได้ ทั้งๆที่เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนัก แต่ไม่สามารถสอนศิษย์ให้ดีได้ สิ่งนั้นราวกับเป็นตราบาปไม่รู้เลือนของโจวหมิง
ตระกูลจ้าวและราชวงศ์เจิ้งเองก็ไม่มีลดละ ตามหาจ้าวเซินฝูที่ได้ถือครองคัมภีร์นั่นแทบพลิกฟ้า พลิกแผ่นดินเช่นกัน
สุดท้ายแล้วจ้าวเซินฝูก็จนมุมด้วยความประมาท...
มือสังหารระดับสูงหลายคนพุ่งเข้าโจมตีจากหลายทิศทาง หากเป็นตอนปกติจ้าวเซินฝูคงสู้ได้ไม่คณามือ แต่เป็นเพราะจ้าวเซินฝูเลือกที่จะฝึกตนจากคัมภีร์ที่ขโมยมา เคล็ดวิชาที่ยังฝึกฝนไม่สำเร็จนั้น ทำให้ไม่สามารถต่อสู้ได้อย่างเต็มที่
แม้สุดท้ายแล้วฝ่ายมือสังหารจะถูกกำจัดจนหมดสิ้น แต่จ้าวเซินฝูนั้นก็มีสภาพที่สะบักสะบอมไม่แพ้กัน ดังนั้นแรงเฮือกสุดท้ายจึงคิดจะเอาไว้ปกป้องคัมภีร์เล่มนั้น
กระบี่เล่มงามของเซินฝูถูกส่งตรงกลับไปยังสำนักเจี๋ยเอินทันที พร้อมกับคำสั่งที่ว่าให้มอบคัมภีร์เล่มนี้ให้ถึงมือของโจวหมิง
ระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วยามกระบี่เล่มงามเดินทางถึงสำนักผ่ากลางวงประชุมของเหล่าผู้อาวุโส ตรงไปยังโจวหมิงที่นั่งอยู่มุมหนึ่งทำหน้าราวกับโลกจะแตก
หลังจากที่ไม่สามารถติดตามคัมภีร์เล่มนั้นกลับมาได้ เหล่าผู้อาวุโสมีมติจับตายจ้าวเซินฝู หากเจอที่ไหนก็ลงมือจัดการได้เลย ในยามปกติโจวหมิงก็คงจะพูดขัดอยู่บ้าง แต่ตอนนี้หมดแรงจะโต้แย้งให้กับศิษย์ไม่รักดีอย่างจ้าวเซินฝูแล้ว
กระทั่งได้เห็นคัมภีร์ล้ำค่าเล่มนั้นกลับมาสู่สำนักด้วยกระบี่ของผู้ทรยศ
'นั่นมัน...!'
'กระบี่ของจ้าวเซินฝู!'
'คัมภีร์เล่มนั้น!'
ในขณะที่ทุกคนแตกตื่นเรื่องคัมภีร์ศาสตร์ขั้นเซียนของสำนักนั้นกลับคืนสู่สำนักแล้ว แต่โจวหมิงแตกตื่นเรื่องที่จ้าวเซินฝูส่งกระบี่กลับมาเสียมากกว่า
ร่างสูงโปร่งลุกพรวดจากที่นั่งของตนเอง โยนคัมภีร์เล่มนั้นให้เจ้าสำนักอย่างหลิ่วป๋ายซื่อโดยไม่ใยดี ราวกับว่ามันไม่มีค่ามากพอที่จะให้ความสนใจ ทั้งๆที่คนนับพันตามหามันมากว่าสามเดือน หวังซิ่นเจียเห็นท่าทีตื่นตระหนกของสหายจึงได้ตามออกไปด้วย
กระบี่เล่มงามของจ้าวเซินฝูหลังเสร็จสิ้นภารกิจแล้วก็รีบดิ่งกลับไปหาเจ้าของอย่างรวดเร็ว
โดยทั่วไปแล้ว กระบี่นั้นมีจิตวิญญาณเป็นของตนเอง แม้ว่าส่วนใหญ่จะมีหน้าที่ฟาดฟันศัตรู หรือทำตามคำสั่งของเจ้าของ แต่ในตอนนี้ไม่เหมือนครั้งที่ผ่านๆมา โจวหมิงรับรู้ได้ว่าจิตวิญญาณของกระบี่เล่มนี้กำลังสั่นไหว
โจวหมิงไม่รอช้ารีบตามกระบี่เล่มนั้นไปอย่างรวดเร็ว หวังซิ่นเจียที่เห็นอย่างนั้นก็รีบตามไปด้วย และยังมีลูกศิษย์ของโจวหมิง และลูกศิษย์ของจ้าวเซินฝูบางส่วนตามมาด้วยเช่นกัน
กระบี่ของจ้าวเซินฝูมุ่งหน้าตรงไปยังที่ที่เจ้าของกระบี่อยู่ กลิ่นอายสุดท้ายที่จับได้คือที่ถ้ำลึกใต้รากไม้ แต่เมื่อไปถึง นอกจากศพของมือสังหารจำนวนมาก และแอ่งเลือดขนาดน้อยใหญ่กระจายอยู่หลายจุด ก็ไม่พบจ้าวเซินฝู
สภาพของถ้ำในตอนนี้ทำให้โจวหมิงอยู่ไม่ติดที่ มือสังหารจำนวนครึ่งร้อย จ้าวเซินฝูจะต้องเจ็บตัวไม่น้อยแน่นอน
สักพักกระบี่ของจ้าวเซินฝูพุ่งออกนอกถ้ำไปอีกทาง ทิศทางที่มันมุ่งหน้าไปคือเมืองหลวงแคว้นจิน โจวหมิงสั่งคนตามไปทันที หากมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงแคว้นจินแล้ว หากไม่ใช่วังบูรพาของคนรัก ย่อมเป็นจวนตระกูลจ้าวอย่างแน่นอน
กระบี่เล่มงามตรงดิ่งไปไปยังจวนตระกูลจ้าว ตอนนี้เป็นเวลาย่ำรุ่งแล้ว แต่รอบด้านยังไม่สว่างมากนัก เพียงพอให้มองเห็นรอบด้านได้อย่างเลือนลางเท่านั้น
หน้าประตูจวนตระกูลจ้าวมีร่างของคนๆหนึ่งยืนนิ่งอยู่ด้านหน้า โจวหมิงใจชื้นขึ้นมาไม่น้อยเมื่อคิดว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูจวนนั้นต้องเป็นจ้าวเซินฝูอย่างแน่นอน
กระบี่ของจ้าวเซินฝูมุ่งตรงไปยังร่างร่างนั้นก่อนผู้อื่น แต่คนไม่ได้เอื้อมมือคว้ากระบี่เอาไว้มันจึงตกลงบนพื้นเสียงดัง
'จ้าว... เซินฝู...'
รอยยิ้มบนหน้าที่แสดงถึงความโล่งใจของโจวหมิงกลายเป็นรอยยิ้มค้างด้วยความตกตะลึง เช่นเดียวกันกับคนอื่นๆที่ตามมา
'เซินฝู...'
โจวหมิงเอ่ยชื่อศิษย์รักเสียงแผ่วเมื่อได้มองภาพตรงหน้าอย่างชัดๆ
เมื่อครู่ที่เห็นว่าจ้าวเซินฝูยืนนิ่งอยู่หน้าจวนนั้น แท้จริงแล้วเป็นร่างของเซินฝูที่ถูกแขวนไว้ที่ป้ายตระกูลจ้าวต่างหาก...
โจวหมิงเอื้อมมือไปจับร่างไร้วิญญาณของจ้าวเซินฝูเอาไว้อย่างแผ่วเบา เนื้อตัวของลูกศิษย์คนโปรดยังอุ่นอยู่ราวกับสร้างความหวังให้โจวหมิง
เพียงแค่ดีดนิ้วๆเบาหนึ่งที ร่างของเซินฝูก็ตกลงในอ้อมกอดของผู้เป็นอาจารย์ ร่างนั้นยังมีบ่วงเชือกสีมอซอผูกอยู่ที่ลำคอเรียวระหง
'เซินฝู อาจารย์มารับเจ้ากลับแล้ว'
หวังซิ่นเจียถึงกับต้องเบือนหน้าหนี คนที่ตามมาล้วนเป็นคนรู้จักของจ้าวเซินฝูทั้งสิ้น ลูกศิษย์ของจ้าวเซินฝูหลายคนปล่อยโฮออกมาอย่างไม่นึกอายเมื่อเห็นสภาพของผู้เป็นอาจารย์
เช่นเดียวกันกับลูกศิษย์คนอื่นๆของโจวหมิงที่เศร้าโศกเสียใจไม่แพ้กันที่เห็นศิษย์พี่ของตนจากไปเช่นนี้ อีกทั้งโจวหมิงยังมีท่าทีไม่ยอมรับความจริงเช่นนั้นอีก
กำแพงของจวนตระกูลจ้าวถูกขีดเขียนไล่เรียงหนี้แค้นของจ้าวเซินฝูไว้เสียเต็มพื้นที่ แต่ในตอนนั้นโจวหมิงไม่ได้คิดสนใจแม้แต่น้อย เอาแต่พร่ำเรียกชื่อของลูกศิษย์ในอ้อมกอดราวกับคนเสียสติ
ภายหลังเหล่าผู้อาวุโสจากสำนักเจี๋ยเอินได้มาถึงจวนตระกูลจ้าว ทันได้เห็นสภาพน่าอดสูของสองอาจารย์ลูกศิษย์ถึงกับหน้าเสีย หลิ่วป๋ายซื่อทำท่าจะเดินเข้าไปหาโจวหมิงเพื่อถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่หวังซิ่นเจียห้ามเอาไว้ก่อน
โจวหมิงพร่ำเอ่ยชื่อจ้าวเซินฝูอยู่นาน กระทั่งฟ้าเริ่มสว่าง ผู้คนมากมายมารุมล้อมดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้าจวนตระกูลจ้าวอย่างสนอกสนใจ ร่างในอ้อมกอดของโจวหมิงเย็นลงเรื่อยๆจนไม่หลงเหลือความอบอุ่นแล้วไม่ว่าโจวหมิงจะตระกรองกอดลูกศิษย์สุดที่รักไว้แน่นมากเพียงใด
หวังซิ่นเจียเดินเข้าไปแตะไหล่สหายเบาๆ
จ้าวเซินฝูจากไปแล้ว...
เหลือเพียงร่างไร้วิญญาณเย็นเฉียบเอาไว้ให้ดูต่างหน้า รอยยิ้มของโจวหมิงเลือนหายไป พร้อมกับน้ำตาแห่งความเศร้าโศกค่อยๆหลั่งริน
เสียงสะอื้นของโจวหมิงค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆเหล่าศิษย์ในสำนักแม้จะรู้สึกเสียใจไม่ต่างกัน แต่ในตอนนี้ต่างพากันตีวงล้อมไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวของได้เห็นสภาพไม่น่าดูของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง
เสียงคร่ำครวญด้วยความเสียใจของโจวหมิงกรีดแทงลงในจิตใจของผู้ที่ได้ยิน เพียงแค่ได้ยินยังพลอยรู้สึกโศกเศร้าไปด้วย เช่นนั้นแล้วในใจของโจวหมิงนั้นจะแตกสลายมากเพียงใด
'อ๊ากกกก!!'
"นี่มัน..." "ข้าเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไรก็เลย..." หลังจากที่บอกเรื่องกระดานภารกิจให้บ่าวตัวน้อยทั้งสองรับรู้ไปแล้ว เซินฝูก็ไม่ได้ติดตามรับรู้อะไร เด็กทั้งสองคนก็ยังเข้าเรียนตามวิชาที่ทางสำนักกำหนดเอาไว้ไม่ขาด แม้ว่าทุกครั้งหลังจากเลิกเรียนแล้วจะชอบหายไปกันสองคนก็ตาม เซินฝูคิดว่าเด็กทั้งคู่คงจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในสำนักแล้ว จะไปหาประสบการณ์เล็กๆน้อยๆก็คงจะไม่เป็นไร กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปหนึ่งสัปดาห์ ก่อนหน้านั้นประมาณสองวันเซินฝูกล่าวกับทั้งคู่ว่า สัปดาห์หน้าจะได้ออกไปข้างนอก เหมือนเป็นวันหยุดเพื่อให้ศิษย์นอกได้ออกไปเปิดหูเปิดตา เสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อมองหน้ากันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ามีแผน แต่ในตอนนั้นเซินฝูไม่ได้มีความคิดแบบนี้แม้แต่น้อย สาบานเลยว่าไม่ได้คิดว่าบ่าวตัวน้อยทั้งคู่จะทำสิ่งที่เรียกว่าเป็นการสร้างเรื่องเช่นนี้ "บอกข้าทีว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของพวกเจ้า" "คุณชาย บางภารกิจถูกทิ้งไว้เป็นเดือนแล้วนะขอรับ"
"ทำได้หมดนี่เลยหรือขอรับ?" หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักเจี๋ยเอินสักพัก นอกจากการลงไปเรียนรวมแล้ว ก็มีภารกิจต่างๆให้เลือกทำเพื่อเก็บแต้มในยามว่าง และตอนนี้เซินฝูพร้อมทั้งบ่าวได้มายืนอยู่หน้ากระดานของกองกิจการเรียบร้อย "ทำเท่าที่ทำได้เถอะ อันไหนเกินความสามารถก็ไม่ต้องฝืน" "มีแต่งานง่ายๆทั้งนั้นเลยนะขอรับ" "หยิบไปทีละใบเล่า" แต้มที่จะได้รับนั้น ผกผันตามระดับของภารกิจ ซึ่งแต้มจะถูกบันทึกเอาไว้ในหยกพกของแต่ละคน หากภารกิจไหนง่ายๆ อย่างเก็บสมุนไพร หรือช่วยเก็บของเล็กๆน้อยๆก็จะได้ไม่เกินสิบแต้ม หรือหากเป็นการเข้าร่วมภารกิจเล็กๆน้อยๆของสำนักอย่างช่วยถือของ หรือกำลังเสริมก็จะได้แต้มขึ้นมามากหน่อย แต่หากเป็นภารกิจที่ต้องใช้ระยะเวลานานหน่อย หรือเป็นภารกิจต่อเนื่อง ก็จะได้แต้มมากขึ้นไปอีก อย่างในชาติก่อน เซินฝูดึงภารกิจปราบสัตว์อสูรที่ระรานไร่สวนของชาวบ้านได้แต้มมาตั้งสองร้อยแต้ม "แต่ดูเหมือนว่างานที่เป็นภารกิจของสำนักจะรับแค่คนมีประสบการณ์เท่านั้น..."
"เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้" เซินฝูนิ่งไปกับสิ่งที่ได้ยิน เรื่องราวหลังจากที่ตนเองตายไปแล้วเซินฝูไม่ได้รับรู้ ในความรู้สึกของเซินฝูนั้น เมื่อได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาเพียงชั่วครู่ที่เซินฝูรู้สึกนั้น แท้จริงแล้วยาวนานถึงสิบปีในโลกแห่งความเป็นจริง อีกทั้งยังมีคนต้องจมอยู่กับความทุกข์เพราะการตายของตนเองเป็นเหตุ "แต่มันก็ผ่านไปแล้ว เจ้าได้กลับมาเช่นนี้ก็ดีแล้ว" โจวหมิงหันมายิ้มให้ลูกศิษย์ของตนเองที่นั่งไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรดีด้วยความจริงใจ เซินฝูในตอนที่กลับมาในร่างของตนเองตอนอายุสิบสองหนาวนั้น คิดเพียงว่าเพราะตนเป็นลูกรักสวรรค์ เป็นเพราะสวรรค์เสียดายผู้มากความสามารถเช่นตนมีวาสนายิ่งใหญ่ได้ไม่นานจึงนึกเสียดาย ส่งตนกลับมาในร่างเดิมพร้อมกับความทรงจำในชีวิตก่อน เพื่อจะได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตตนเองได้ ไม่ได้รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว เป็นเพราะโจวหมิงที่ยอมแลกทั้งระดับพลังและอายุขัยไม่รู้เท่าไหร่ของตนเพื่อพาเซินฝูกลับมา
'หินเจ้าพังแน่นอน!' โจวหมิงไม่อาจรับได้ที่พลังของตนเองลดลงมามากกว่าครึ่ง พลังเท่านี้พอๆกับตอนที่ได้เข้าเป็นศิษย์ในของสำนักเจี๋ยเอินใหม่ๆเมื่อหลายสิบปีก่อน และกว่าจะสั่งสมปราณให้ได้พลังระดับราชันย์ไม่ใช่เรื่องง่าย โจวหมิงเคี่ยวเข็ญฝึกฝนด้วยตนเองอย่างยากลำบาก จู่ๆต้องมาเสียไปเพราะคัมภีร์ประหลาดเล่มนั้น 'ฟังก่อนได้หรือไม่' 'เป็นเจ้าจะเย็นอยู่หรือ!?' โจวหมิงในตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าไร้พลัง ระดับพลังเท่านี้แค่ต้องสู้กับสัตว์อสูรขั้นนภาก็เต็มกลืนแล้ว 'นั่งลง ข้าจะอธิบายให้ฟัง' โจวหมิงหลังจากที่ได้รับรู้ว่าระดับพลังของตนเองลดลงถึงเพียงนั้นก็อยู่ไม่สุข พยายามขอให้หวังซิ่นเจียพากลับไปยังหอคัมภีร์ของสำนักอีกรอบ หวังซิ่นเจียเห็นท่าทางของโจวหมิงเช่นนั้นจึงได้คิดว่า โจวหมิงคงลืมไปแล้วว่าการประกอบพิธีกรรมนั้น ต้องแลกกับอะไรจึงจะสำเร็จ ซึ่งในตอนแรกเจ้าตัวก็ดูไม่ได้เสียดายระดับพลังอะไรนั่นแม้แต่น้อย แต่ที่โวยวายสติแตก ทำหน้า
'หมายความว่าอย่างไร...' หลังจากที่ทำให้โจวหมิงสงบลงได้บ้างแล้ว หวังซิ่นเจียจึงได้เล่าเรื่องที่หลิ่วป๋ายซื่อและศิษย์คนอื่นๆนั้นไม่รู้จักจ้าวเซินฝูแม้แต่น้อย เรื่องที่หวังซิ่นเจียกล่าวนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องอื้อฉาวเมื่อสิบปีก่อนนั้นทุกคนในสำนักเจี๋ยเอินรับรู้เป็นอย่างดี และทุกคนย่อมต้องรู้จักจ้าวเซินฝูในฐานะตัวต้นเหตุอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่คนจะไม่รู้จัก โดยเฉพาะในยอดเขาที่สามแห่งนี้ โจวหมิงทำท่าไม่ยอมรับ หวังซิ่นเจียเองก็ได้ถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก ในทีแรกยังคิดว่าเป็นการกลั่นแกล้งเสียด้วยซ้ำ 'คัมภีร์นั่น.. เป็นคัมภีร์ชุบชีวิตจริงหรือ?' หวังซิ่นเจียเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้งแรกที่โจวหมิงเอาคัมภีร์เล่มนั้นมาใหดูก็มีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่ได้ใส่ใจ แต่ตอนนี้คัมภีร์เล่มนั้นกลายเป็นคัมภีร์เจ้าปัญหาไปเสียแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่พ่อบ้านหยางและจ้าวเซินฝูหายไปเฉยๆ แต่ดูเหมือนจะหายไปจากควา
โจวหมิงหนีกลับสำนักไปพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของจ้าวเซินฝูหลังจากที่อาละวาดจนพอใจ ทิ้งปัญหามากมายเอาไว้ให้ผู้อาวุโสที่เหลือ โดยเฉพาะหลิ่วป๋ายซื่อผู้เป็นเจ้าสำนัก ความเสียหายที่โจวหมิงทิ้งเอาไว้นั้นมากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องใดก่อน ทั้งความเสียหายของราชวงศ์เจิ้ง ที่ต้องสูญเสียทั้งฮ่องเต้ ฮองเฮาคู่บัลลังก์ รวมถึงองค์รัชทายาท เรียกได้ว่าภายในวุ่นวายไม่แพ้ภายนอก หรือจะเป็นความเสียหายของตระกูลจ้าว ประมุขตระกูลคนปัจจุบันกลายเป็นคนพิการ อีกทั้งยังต้องสูญเสียฮูหยินรอง และบุตรสาวคนโตไปด้วย แน่นอนว่าในส่วนของสำนักเจี๋ยเอินก็เสียหายไม่แพ้กัน และเรื่องทั้งหมดนั้นเกิดจากการตายของคนเพียงคนเดียว เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถยอมความกันได้โดยง่าย ดังนั้นจึงได้มีตัวแทนของราชวงศ์มาเจรจาให้ส่งมอบตัวโจวหมิงเพื่อรับการลงโทษ ซึ่งหลิ่วป๋ายซื่อเองก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธแต่อย่างใด สิ่งที่ตอบกลับไปมีเพียง... 'เอาสิ แต่พวกท่านต้องไปพาคนมาเอ