“ยาถอนพิษมีดอกพลับพลึงแมงมุมดำพันปี บัวหยกหิมะพันปี เห็ดหลินจือเลือด เลือดของอสรพิษเกล็ดเหมันต์เก้าหยด ตอนนี้สิ่งที่ขาดไปคือ ดอกพลับพลึงแมงมุมดำพันปีกับบัวหยกหิมะพันปีเจ้าค่ะ”
หลี่อิงเอ่ยขึ้นน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับมองหน้าทุกคนที่อยู่ตรงนี้ไปด้วย
“ได้อย่างไร…” หลงฝูหยางเคล้นเสียงของตนเองออกมาได้ในที่สุด เมื่อฟังที่หญิงสาวเอ่ยมา
“เหตุใดจึงไม่ได้เล่า” หลี่อิงถามขึ้นอย่างสงสัย ถึงแม้สิ่งของเหล่านี้จะหาได้ยากก็จริงแต่นางก็มีมันอยู่แล้ว
“สิ่งที่หาได้ยากยิ่ง คือเลือดของอสรพิษเกล็ดเหมันต์ เจ้า…. มีมันอยู่หรือ”
ชายหนุ่มถามขึ้นอย่างไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินว่าหญิงสาวจะสามารถหามันมาได้
“ข้าจะมีมันหรือไม่ นั้นไม่สำคัญเท่ากับท่าน ยินดีเปิดเผยทุกอย่างที่ท่านรู้ ให้พวกเราฟังได้หรือไม่ ถือว่านี้เป็นของแลกเปลี่ยนก็ได้” หลี่อิงหันไปกล่าวกับชายหนุ่ม
“ของแลกเปลี่ยนนี้ข้าคงไม่กล้ารับ หากทุกอย่างเป็นเพียงคำลวง ข้าไม่ยินดีที่จะเสี่ยงกับอะไรทั้งนั้น”
ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเย็นชา ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าสัตว์ร้ายตนนั้น ไม่สามารถหามันได้ง่าย ๆ เพียงแค่ได้สบตากับมัน คนผู้นั้นก็ได้ก้าวเท้าเข้าสู้ปรโลกแล้ว
“ข้าไม่ขอให้ท่านเชื่อ แต่จะให้ท่านเห็นกับตาตนเอง นี้ถือเป็นไพ่ลับสูงสุดที่พวกเรามี หากความลับนี้หลุดรอดออกไป พวกเราพร้อมที่จะล่าสังหารท่านแทนอย่างแน่นอน”
หลี่อิงเอ่ยอย่างเย็นชา ร่างเล็กของจางหยวนเพ่ยเดินตรงไปที่เตียง ก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งขอบเตียงข้างชายหนุ่ม ริมฝีปากเล็กจิ้มลิ้มแบะออกราวกับจะร้องไห้ ก่อนจะยื่นแขนขวาให้ชายหนุ่ม
หลงฝูหยางมองการกระทำนั้นอย่างไม่เข้าใจนัก ก่อนจะเห็นมือเล็กถกแขนเสื้อขึ้น จนเห็นกำไลสีขาวนวลวงหนึ่ง ใบหน้าเล็กหันหนีทั้งยังหลับตาปี๋ไม่ยอมมอง
“…..”
ชายหนุ่มมองการกระทำนั้นอย่างเงียบเชียบ ก่อนที่ดวงตาคมจะต้องเบิกกว้างขึ้น เมื่อกำไลวงเล็กแปรเปลี่ยนเป็นงูน้อยสีขาวปลอด เลื้อยขึ้นไปตามแขนเล็กก่อนจะหยุดที่แก้มกลม ปลายลิ้นสองแฉกแตะลงที่แก้มนั้นอย่างหยอกล้อ
“อ้ากก!!!”
จางหยวนเพ่ยร้องออกมาแทบสิ้นสติ ก่อนจะนิ่งค้างไปทั้งอย่างนั้น ตอนที่เป็นกำไลนั่น เจ้าตัวยังพอทำเป็นลืมไปได้ว่ามันคืองู แต่ตอนนี้มันเลื้อยไปมาอยู่บนตัว ทำให้คนที่กลัวงูสุดขีดถึงกับสติหลุดลอย
“นี่….” ชายหนุ่มเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรเช่นกัน เซียวไป๋ละหัวออกจากแก้มกลมนั้น แล้วหันไปมองชายหนุ่มทันที
ดวงตาสีทับทิมสุกสกาว ลำตัวขาวปลอด อีกทั้งหลงฝูหยางยังรู้สึกถึงกลิ่นอายเย็นเยือกจากมันได้อีกด้วย
เจ้าตัวน้อย มองหน้าชายหนุ่มอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเลื้อยเข้าไปหา มือหนายื่นรอรับอยู่แล้ว เซียวไป๋จึงเลื้อยพันขึ้นไปตามแขนแกร่ง ก่อนจะหยุดอยู่ที่ใบหูแล้วขดตัวกลายเป็นต่างหูครอบทั้งใบหูของชายหนุ่มเอาไว้อย่างนั้น จนทุกคนมองอย่างนิ่งอึ้ง
“เหตุใด…”
หลี่อิงได้แต่ชี้นิ้วไปที่สัตว์เลี้ยงตัวน้อยของตนเอง เพราะเคล้นหาคำพูดไม่ออก
“งูตัวนี้”
ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงเข้มถึงที่มาของมัน ทั้งที่ก็พอจะเดาได้แล้ว
“อืม ตามที่ท่านเข้าใจ”
หลี่อิงบอกหน้าบึ้งเล็กน้อย เมื่อเห็นเจ้างูไม่รักดีเลื้อยไปอยู่กับชายหนุ่มอย่างว่าง่าย และไม่มีท่าทีว่าจะกลับมาด้วย
“แล้วเห็ดหลินจือ”
หลงฝูหยางยังคงมีข้อสงสัยที่ต้องการไขให้กระจาง
“ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า” หลี่อิงถามกลับแฝงความนัยอย่างชัดเจนแต่กลับไม่ยอมพูดมันออกมาโดยตรง
“พวกเจ้าเป็นใครกันแน่น” หลงฝูหยางเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อที่สิ่งได้ยินนัก ของที่คนเหล่านี้ได้ครอบครอง หากหลุดรอดออกไป มีแต่จะนำภัยมาสู่ตนทั้งนั้น เว้นเสียแต่ว่าจะมั่นใจมากพอ ว่าไม่มีใครกล้าแย่งชิงของจากมือตนไป
“ท่านไม่ต้องห่วงพวกข้าหรอก แค่มีคุณชายจาง จางหยวนเพ่ย ก็ไม่มีใครกล้าคิดสั้นแล้ว ไหนจะเจ้าตัวน้อยที่อยู่กับนั้นอีก”
หวังชิงเฟิงกล่าวขึ้นพร้อมกับมองร่างเล็กที่ยังนิ่งค้างอยู่ ก็ได้แต่ส่ายหน้า เก่งกาจทุกอย่างแต่กับกลัวสัตว์เลื้อยคลานพวกนี้
“พวกท่านเชื่อใจข้าหรือ” น้ำเสียงนิ่งเรียบแฝงความหมายเป็นนัยชัดเจน สายตาที่มองทุกคนนั้นนิ่งสงบจริงจัง
“ไม่” หวังชิงเฟิงเอ่ยตอบทันทีอย่างไม่ลังเล
“เอ่อ เอาเป็นว่า พวกเราไม่ได้ไว้ใจท่าน หากแต่คิดว่าท่านเอง ก็คงเป็นคนที่มีคุณธรรมพอตัว อีกอย่าง ท่านจะไม่แก้แค้นให้ผู้มีคุณเลยหรือ ทั้งที่พวกเขาต้องมาตายเพราะท่าน ทำครอบครัวของเด็กสองคนพังพินาศในคืนเดียว” หลี่อิงเอ่ยถามน้ำเสียงแฝงความเวทนาสงสาร
“พวกท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใด” ในที่สุดชายหนุ่มก็จำยอมกับทุกอย่างที่ถูกยกขึ้นมาอ้าง
“การฆ่าล้างตระกูลเฟยมีจุดน่าสงสัยหลายอย่าง เพียงลำพังน้องชายท่าน ไม่มีกำลังมากพอที่จะจ้างกลุ่มนักฆ่าเงาจันทร์ได้แน่ ต้องมีคนอื่นอยู่เบื้องหลังอีก แล้วก็นะ ตระกูลเฟยเป็นตระกูลหมอที่รักษาคนมามากมาย อีกทั้งคนในยุทธภพที่ติดค้างหนี้ชีวิตก็มีไม่น้อย หากจะฆ่าต้องมั่นใจว่าจะไม่มีใครสาวไปถึงตัวได้ เพื่อป้องกันการแก้แค้น แต่นี่กลับทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้สืบหาได้ไม่ยาก ข้าว่ามันแปลก” จางหยวนเพ่ยที่ดึงสติกลับมาได้แล้วเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
หากมองในหลายมุมหน่อย จะเห็นถึงความไม่สมเหตุสมผลที่ต้องฆ่าล้างตระกูลเฟย หากโกรธแค้นที่รักษาพี่ชายก็ไม่น่าถึงกลับจะต้องฆ่ากันล้างตระกูลเช่นนี้ อีกอย่าง หลงจ้าวอินต้องรู้ว่าตระกูลเฟยเป็นหมอที่รักษาผู้คนมามากมาย เขาต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมาด้วย
อีกทั้งร่องรอยการจ้างวานนักฆ่าที่ควรจะเป็นความลับ กลับถูกสืบหาได้อย่างง่ายดายราวกับจงใจ ทั้งนักฆ่าที่ส่งมาก็ไม่ใช่ระดับหัวหน้า ทั้งที่การฆ่าล้างตระกูลถือเป็นงานใหญ่ ที่ต้องรอบคอบและมั่นใจว่าจะสำเร็จ
“หลงจ้าวอินอาจเป็นเพียงเบี้ยหมากเท่านั้นหรือ” เมื่อลองคิดตามที่ร่างเล็กพูด ก็เห็นจะเป็นเช่นนั้นจริง เพราะปกติแล้ว ชายหนุ่มก็ปะทะกับคนที่น้องชายตนเองจ้างมาอยู่บ่อยครั้ง ทั้งยังได้รับความช่วยเหลือจากสหายในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่เคยมีเหตุที่หลงจ้าวอินติดตามฆ่าพวกเขาสักครั้ง จนกระทั่งคนที่รักษาเป็นตระกูลเฟย
“แก้แค้นตระกูลเฟยโดยใช้น้องชายประมุขหลงเป็นฉากบังหน้าหรือเจ้าคะ” หญิงสาวถามขึ้นเมื่อเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้บาง
“ทั้งใช่และก็ไม่” จางหยวนเพ่ยตอบ
“อย่างไรเจ้าคะ” หลี่อิงไม่เข้าในสั่งที่จางหยวนเพ่ยต้องการจะบอกเลยสักนิด
“ข้าก็ไม่รู้ แต่ความรู้สึกบอกข้าว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น”
ร่างเล็กถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนี้เป็นคำพูดได้อย่างไร
“เอาเถอะ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญ คือรักษาประมุขหลงก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน”
หวังชิงเฟิงเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ ดึงทุกคนให้กลับมาสนสิ่งที่ต้องทำตรงหน้าก่อน
“ก็จริง” จางหยวนเพ่ยเห็นด้วย ก่อนจะมองคนตรงหน้าอย่างสำรวจอีกครั้ง ดวงตากลมโตสุกสกาวสะดุดเข้าที่ใบหูด้านขวาของชายหนุ่ม จนต้องกระโดดลงจากเตียงอย่างไว
“มันอยู่เช่นนั้น ท่านก็ยังจะกลัวอีกหรือเจ้าคะ” หลี่อิงเอ่ยถามพร้อมกับยิ้มขำ เมื่อเห็นใบหน้าตื่นตระหนกของร่างเล็ก
“แล้วเหตุใดมันไปอยู่ตรงนั้นเล่า” เสียงเล็กเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“ข้าก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“เฮ้อ เลิกสนใจเซียวไป๋แล้วคิดหายาถอนพิษก่อนดีหรือไม่” หวังชิงเฟิงได้แต่ส่ายหน้ากับความไปเรื่อยของทั้งคู่
“แหะ แหะ” หลี่อิงหัวเราะแห้งเมื่อถูกคนรักเอ่ยปรามขึ้น ก่อนจะกลับเข้าเรื่องที่ต้องทำตอนนี้
“หากท่านมีเห็ดหลินจือเลือดและก็เจ้าตัวนี้อยู่ กับข้าเองก็มีดอกพลับพลึงแมงมุมดำพันปี ตอนนี้เราเหลือแค่บัวหยกหิมะพันปี”
หลงฝูหยางเอ่ยขึ้นเสียงเรียบก่อนจะมองสบตากับหญิงสาว
“เหลือตัวยาอีกหนึ่งตัวอย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่น่าจะใช่เรื่องยากนะเจ้าคะ”
หลี่อิงเอ่ยขึ้นเมื่อรู้ว่าตอนนี้พวกเข้าเหลือสนุมไพรอีกเพียงแค่ตัวเดียวที่จะต้องตามหา
“ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยต่างหาก” จางหยวนเพ่ยเอ่ยขัดขึ้นเสียงเครียด
“อย่างไรเจ้าคะ” หลี่อิงถามอย่างฉงน
“บัวหยกหิมะ จะมีแค่ที่หุบเขาหิมะหยก ความหนาวเย็นของที่นั้น ต่อให้เป็นผู้ที่มีวรยุทธและกำลังภายในล้ำลึกเพียงใด ก็อยู่ได้ไม่เกินเจ็ดวัน” ร่างเล็กเอ่ยแถลงไขให้หญิงสาวได้รู้
“เพราะเหตุใดเจ้าคะ” หลี่อิงถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก ว่าเพราะเหตุใดจึงมีเวลาจำกัดในหุบเขา
“หลังจากเจ็ดวัน หากยังไม่สามารถออกจากภูเขาหิมะหยกได้ ร่างกายจะค่อย ๆ ถูกความหนาวเย็นของที่นั้นกัดกิน อีกทั้งกำลังภายในก็จะถูกลดทอนลงไปเรื่อย ๆ ด้วย”
เสียงทุ้มเข้มของคนเจ็บเอ่ยขึ้น เพราะเขาสืบเรื่องนี้มาจนกระจ่างแล้ว อีกอย่างสถานที่แห่งนั้นได้ชื่อว่ามีอันตรายอยู่รอบด้านทั้งสัตว์ร้าย สมุนไพรที่มีพิษ และคนที่คอยจ้องจะแย่งชิงสิ่งที่ได้มาจากหุบเขานั้น
“เป็นเช่นนี้ แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี” หลี่อิงหันไปถามจางหยวนเพ่ยอย่างเป็นกังวล
“ตอนนี้ก็คงต้องรอเฟยเทียนเสียก่อน ว่าจะหาทางระงับพิษเอาไว้ได้มากน้อยแค่ไหน” จางหยวนเพ่ยเอ่ยบอก
“ท่านถูกพิษมานานแค่ไหนแล้วเจ้าคะ” หลี่อิงหันไปถามคนบนเตียง
“สองปี” หลงฝูหยางตอบเสียงเย็น
พิเศษส่งท้ายเช้าอันสดใสมาเยือน หลงฝูหยางตื่นมาด้วยหน้าตาสดใสทั้งยังอารมณ์ดีไม่น้อย มองคนที่นอนทับตนเองอยู่ก็ได้แต่ยิ้มอย่างมีความสุข“เพ่ยเพ่ย” เสียงทุ่มเข้มเอ่ยเรียกร่างบางเสียงเบาราวกับกำลังหยอกล้อ“อืม” จางหยวนเพ่ยที่ถูกรบกวนส่ายหน้าไปมากับอกของหลงฝูหยางก่อนจะหลับลงไปอีกครั้ง“หึหึ” เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูนี้คงมีแต่จางหยวนเพ่ยเท่านั้นที่ได้รับมัน เมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ยอมตื่นง่าย ๆ หลงฝูหยางก็ไม่คิดจะก่อกวนต่อ แขนแกร่งโอบคนบนตัวเอาไว้หลวม ๆ มือหนาลูบแผ่นหลังบางเป็นการกล่อมไปด้วย“อืม” เสียงครางแผ่วอย่างพอใจดังขึ้นให้ได้ยินจนอดเอ็นดูไม่ได้ ริมฝีปากหนาจึงกดจูบเบา ๆ ที่กลุ่มผมดำนุ่มนั้นหนึ่งทีในช่วงสายของวัน หลี่อิงกับเฟยเทียนจึงแวะมาดูอาการหลงฝูหยางอีกครั้งหลังจากที่ตอนแรกตั้งใจจะมาตั้งแต่เช้าแล้วแต่กลับถูกห้ามเอาไว้เสียก่อน ในตอนนั้นยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นแต่พอมาเห็นภาพตรงหน้าแล้วก็อยากจะเดินกลับเรือนเสียเดี๋ยวนั้น“นี้ใจคอพวกท่านไม่คิดจะลุกขึ้นมาต้อนรับแขกหน่อยหรือเจ้าคะ”หลี่อิงเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยใจ เมื่อเดินเข้ามาภายในเรือนแล้วพบว่าทั้งสองคนยังนอนกอดกันกลมไม่ปล่อ
งานเทศกาลหยวนเซียวที่คึกคักไปด้วยผู้คน สองร่างในชุดสีแดงดำเดินเคียงกันอย่างมีความสุข สองมือผสานกันเอาไว้แน่นอย่างไม่เกรงสายตาใคร หนึ่งงดงามหนึ่งคมคายเป็นเป้าสายตาของผู้คนเสียเหลือเกินแต่ก็มิได้รู้สึกแปลกตาแต่อย่างไรเพราะก็มีแบบนี้ให้เห็นอยู่เนื่อง ๆ อีกทั้งขุนนางบางคนยังมีฮูหยินรองหรืออนุที่เป็นบุรุษด้วย“เจ้าเคยมาเดินงานเทศกาลหยวนเซียวบ้างหรือไม่” จางหยวนเพ่ยเอ่ยถามคนที่จับจูงมือกันอยู่“ไม่เคย” หลงฝูหยางส่ายหน้าก่อนจะหันมาตอบร่างเพรียวบางด้านข้าง“แล้วมาที่นี่บ่อยหรือไม่ จำได้ว่าตอนนั้นที่เจอกันก็เป็นที่ต้าถงนี้” จางหยวนเพ่ยยังคงถามอีกต่อเรื่อย ๆ“ไม่บ่อยนัก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอยู่ที่พรรคเป็นหลักหรือไม่ก็ไปที่อื่นเสียมากกว่าที่ต้าถง แต่เมื่อสองปีก่อนปรากฎสมุนไพรหายากขึ้นเลยเข้ามาที่นี่บ่อยขึ้น”“หืม”“โรงประมูลชิงหลงนั้นอย่างไร” หลงฝูหยางเอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ เมื่อเห็นสีหน้าฉงนของจางหยวนเพ่ย“เอ๋ ของเจ้าหรือ” ร่างบางเอี้ยงคอถามอย่างน่ามอง ดวงตาใสแวววาวอย่างตื่นเต้น“ใช่ ให้เว่ยเหลียงเป็นคนดูแล” หลงฝูหยางไขข้อกระจ่างให้ร่างบาง“ถ้านังหนูหลี่อิงรู้ว่าท่านเป็นเจ้าของคงโดนป่วนแน่” จางหยวนเพ่ยเอ
รุ่งเช้ามาเยือนเหล่าศิษย์ทั้งหลายผู้เป็นเด็กดีทำตัวเป็นห่วงอาจารย์ผู้เป็นที่รักยิ่งมายืนรออยู่หน้าเรือนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคนจนกระทั่ง“ข้าง่วง พวกเจ้ากลับไปเลยไม่ต้องมาก่อกวนข้า” เสียงทุ้มนุ่มลอยออกมาจากในเรือนไม้แต่กลับไม่เห็นตัวคนจนเหล่าเอ่ยแซวกันเป็นแถบ“แม้อาจารย์ ผู้ชายมาเยือนเรือนลูกศิษย์ถึงกับไม่มีความหมายเลยหรือขอรับ” หวังเลี่ยงรุ่ยเอ่ยน้ำเสียงหยอกเย้าผู้เป็นอาจารย์จากนอกเรือน“ไปไกล ๆ เลยเจ้าเด็กพวกนี้”“หึหึ ขอท่านประมุขอย่าหนักมือนักเล่า” หลิวหยางเอ่ยขึ้นกั่วเสียงหัวเราะชอบใจก่อนจะพากันสลายตัวไปทำหน้าที่ของตนเองกลับมาภายในเรือนตอนนี้ร่างเพรียวบางของจางหยวนเพ่ยกำลังนอนทับอกของหลงฝูหยางอยู่ใบหน้าคมสวนงอง้ำอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อถูกก่อกวนตั้งแต่เช้าทั้งที่พึ่งได้นอนไปเพียงนิดเดียว“ถ้าง่วงก็หลับต่ออีกหน่อยเถอะ” หลงฝูหยางเอ่ยเสียงนุ่มทั้งยังลูบแผ่นหลังเนียนเป็นการกล่อมอีกคน“ไม่เอา ข้าอยากคุยกับเจ้ามากกว่า” จางหยวนเพ่ยเอ่ยเสียงอ่อยนิ้วเรียวลูบไล้ไปบนแผ่นอกชายหนุ่มเล่นอย่างไม่รู้จะทำอันไร“เรื่องของเราหรือ” หลงฝูหยางก้มหน้าลงมาถามเสียงแผ่ว“อืม”“ว่ามาเถอะ ข้าเชื่อฟังท
หนึ่งเดือนต่อมาเรื่องที่อินจางเหว่ยได้ก่อเอาไว้ถูกชำระความเรียบร้อยแล้ว จ้าวจางเว่ยและหลงจ้าวอินจบชีวิตตนเองลงในหอลงทัณฑ์ ส่วนอินจางเหว่ยนั้นหลงฝูหยางไม่ยอมให้อีกคนตายง่ายดายถึงเพื่อนั้น เขาถูกขังเอาไว้ในส่วนพิเศษในหอลงทัณฑ์ตรึงร่างด้วยโซ่ตรวนไม่ให้คิดฆ่าตัวตาย ให้ทดทุกข์ทรมานกับพิษที่ได้รับรวมถึงพิษที่เจ้าตัวปรุงขึ้นอย่างเพลิงผลาญฤทัยเก้าสุริยันจนกว่าจะตายจากมันไปข้างหนึ่งเรื่องที่ต้องสะสางก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ที่นี่ก็คงเหลือในเรื่องของหัวใจที่ยังไม่มีความกระจ่างอะไรเลย และตอนนี้บรรยากาศภายในเรือนพักของหลงฝูหยางนั้น ช่างชวนให้คนที่อยู่ด้วย อยากจะหนีออกไปเสียจริง แต่ก็ทำไม่ได้“เอ่อ ท่านประมุขขอรับ ข้าว่าถ้าไม่มีใจจะอ่าน ไป ไป ที่นี่อยากไปดีหรือไม่ขอรับ” จางเฉินเอ่ยขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนจะได้รับสายตาคมที่ตะวัดมองมาจนเจ้าตัวสะดุ้งโหยง“ข้าเห็นด้วยกับจางเฉินนะขอรับ ไปหาสักหน่อยก็ไม่น่าจะเป็นอะไรไม่ใช่หรือ ดีกว่านั่งจมอยู่อย่างนี้แล้วตนเองไม่มีความสุขนะขอรับ” จางหลินเองก็เห็นด้วยกับความคิดของจางเฉิน ตั้งแต่ที่อีกคนกลับไปหลังจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว ผู้เป็นนายของพวกเขาก็เอาแต่นั้งท
“ข้าจะรับเอาไว้เอง และจะให้เขาชดใช้อย่างสาสม” หลงฝูหยางกล่าวให้คำมั่น หวังเลี่ยงรุ่ยจึงหันไปมองศิษย์น้องของตนเองเมื่อเห็นแววตาของทุกคนแล้ว เขาจึงหันกลับมาหาหลงฝูหยาง“ได้ พวกข้าจะให้ท่านเป็นคนจัดการ”ปึ้ง!ร่างของอินจางเหว่ยถูกเหวี่ยงไปที่ปลายเท้าของหลงฝูหยางทันทีด้วยน้ำมือของจางหยวนเพ่ย นั้นยิ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับฝ่ายของอินจางเหว่ยมากยิ่งขึ้น“พวกเจ้าอยากรู้ใช่หรือไม่ ว่าข้าเป็นใคร นามของข้าคือ หยวนเพ่ย แช่ จาง ผู้ที่เคยท่องไปทุกที่แล้วในยุทธภพนี้ ชื่อเสียงมากมายที่ข้าได้รับ ข้าล้วนไม่เคยหลงในอำนาจของมัน แล้วเจ้าเป็นใคร อินจางเหว่ย ถึงได้คิดจะขึ้นเป็นใหญ่ควบคุมทั้งยุทธภพได้” สายตาคมสวยปรายมองอินจางเหว่ยก่อน จะเชิดขึ้นอย่างเย่อหยิ่งราวกับมองมดปลวกก็มิปาน“เป็นไปไม่ได้ คนผู้นั้นเป็นใคร ใช่คนที่เจ้าจะเอามาล่อเล่นได้หรือ”อินจางเหว่ยกล่าวอย่างเหยียดหยัน ที่อีกคนกล้ายกตนขึ้นเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงดังคนผู้นั้น“ข้าเป็นพยานได้ นั้นคือ จางหยวนเพ่ย ตัวจริงไม่ผิดแน่” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นแต่กลับไม่เห็นตัวคนพูด กำลังภายในมากมายที่กดทับอยู่เหนือบริเวณนี้ บ่งบอกได้เป็นอย่างดี ว่าเป็นผู้มีกำลังภายใ
ในขณะที่พวกเขากำลังจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ตรงหน้า คนกลุ่มหนึ่งก็ได้ทำการเก็บกวาดศัตรูอย่างเงียบเชียบก่อนจะส่งคนของตนเองเข้ามาแทนจนที่สุดทุกอย่างก็พร้อมแล้วจางหยวนเพ่ยได้รับสัญญาณจากเหล่าลูกศิษย์แล้วจึงมองสบตากับหลงฝูหยางที่เล่นถ่วงเวลาอยู่กับหลงจ้าวอิน ร่างสูงรับรู้ได้ทันทีก่อนจะปิดจบฉากการต่อสู้นี้ปลายกระบี่แหลมคมชี้ไปที่ร่างสูงโปร่งของหลงจ้าวอินก่อนจะเปลี่ยนเป็นตะวัดครึ้งวงกลมแฝงกำลังภายในเต็มเปี่ยม อินจางเหว่ยที่เห็นท่าไม่ดีรีบเข้าช่วยบุตรชายทันที แต่ก็ยังต้านพลังของหลงฝูหยางเอาไม่ไม่อยู่สองพ่อลูกกระเด็นไถลไปกับพื้นก่อนจะกระอักเลือดออกมา อาการบาดเจ็บของอินจางเหว่ยนั้นไม่หนักหนานักเพราะก็เป็นผู้ที่มีกำลังภายในสูงส่งผู้หนึ่ง จึงพอป้องกันตนเองเอาไว้ได้ แต่กับหลงจ้าวอินนั้นไม่ใช่ร่างกายที่แสนเจ็บปวดรวดราวบ่งบอกถึงอาการบาดเจ็บที่ทำลายลึกถึงตันเถียน ร่างสูงโปร่งนอนงอตัวกอดตนเองแน่นแค่ขยับเพียงนิดก็เจ็บปวดทรมานเกินจะทานทน เสียงคำรามต่ำในลำคอนั้นแฝงความมายินยอมอยู่ด้วยหากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ในขณะเดี๋ยวไป๋ซีหมิงก็สลัดออกจากการควบคุ้มมาได้อย่างง่ายดาย“เป็นไปไม่ได้ เจ้าจะมีกำลังภายในถึงเพียง
“ยังไม่ได้รับสัญญาณเลย ท่านก็ใจร้อนเกินไป” จางหยวนเพ่ยเอ่ยอย่างเหนื่อยใจกับความใจร้อนของคนข้างกาย“ถ้าให้รอสัญญาณแล้วต้องมันแตะต้องท่าน ข้าจัดการเองง่ายกว่า”หลงฝูหยางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ยิ่ง ใบหน้าคมบูดบึ้งอย่างไม่พอใจที่ร่างบางปล่อยให้คนอื่นเข้าใกล้ถึงเพียงนี้ ก่อนจะตวัดตาคมมองหลงจ้าวอินอย่างไม่พอใจ“นี้พวกเจ้า หลอกข้าหรือ” อินจางเหว่ยเอ่ยเสียงลอดฟันอย่างเจ็บใจที่หลงกลชายหนุ่ม“ข้าหลอกท่านหรือ ท่านชะล่าใจเองต่างหาก พิษที่ท่านวาง ท่านไม่ได้ตรวจสอบหรือว่ามันออกฤทธิ์เช่นไร” จางหยวนเพ่ยเอ่ยถามขึ้น“นี้…” อินจางเหว่ยถึงกับเอ่ยอันใดไม่ออก เพราะคิดว่านั้นอาจเป็นอาการข้างเคียงของพิษจึงไม่ได้เอะใจแต่อย่างไร เพราะฤทธิ์ของมันเองมีผลกับกำลังภายในทำให้เข้าใจไปเช่นนั้น“เฮ้อ ที่กำลังภายในพวกเราปั่นป่วนนั้น ต้องโทษลูกศิษย์ข้าเอง ทำยาเพิ่มกำลังภายในรอบแรก ข้าก็กลายเด็กสิบขวบ รอบสองยังทำเอากำลังภายในปั่นป่วนจนควบคุมไม่ได้ ต้องพักเอาแรงกันถึงสองวันเลยทีเดียว” จางหยวนเพ่ยเอ่ยขึ้นโดยเน้นคำว่าเด็กสิบขวบอย่างชัดเจน“!!! ” หน้าของอินจางเหว่ยตอนนี้นั้นช่างไม่น่าดูเอาเสียเลย สายตาที่มองมาราวกับจะฉีกร่างพวกเ
เรือนพักหลงฝูหยางที่ตอนนี้มีการดูแลอย่างเข้มงวดโดยคนของอินจางเหว่ย หากไม่ได้รับอนุญาตจากชายผู้นั้นก็ไม่มีใครสามารถผ่านเข้าไปได้แม้แต่คนเดียว“ข้าเข้าไม่ได้ หมายความว่าอย่างไร” จางหลินเอ่ยขึ้นอย่างฉงน เมื่อออกไปทำธุระด้านนอกมาครึ่งวันแต่พอจะกลับเข้าเรือนพักของผู้เป็นนายกลับไม่สามารถเข้าไปได้“ไม่มีคำสั่งของผู้อาวุโสอินจางเหว่ย ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเข้าไปได้” คนเฝ้าประตูเอ่ยขึ้นเสียงเข้มใบหน้าเรียบนิ่งเย็นชายิ่ง“แต่ข้าเป็นคนสนิทที่ดูแลท่านประมุขกับฮูหยิน เหตุใดจึงจะเข้าไปไม่ได้”จางหลินเอ่ยอย่างไม่พอใจที่ถูกปฏิเสธเช่นนี้ทั้งที่ตนเป็นคนของท่านประมุขโดยตรง“ไม่ได้ก็คือไม่ได้” ชายผู้นั้นยังคงยืนยันคำเดิม จนจางหลินแสดงสีหน้าไม่พอใจขึ้นมา“จางหลิน” จู่ ๆ ก็มีเสียงเรียกมาจากด้านหลัง เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นจางเฉินนั้นเองที่เดินเข้ามาก่อนจะหยุดอยู่ข้างกัน“อาเฉิน นี้หมายความว่าอย่างไร เหตุใดข้าถึงเข้าไปในเรือนท่านประมุขไม่ได้” ชายหนุ่มรีบเอ่ยถามสหายทันที“เจ้าตามข้ามานี้” จางเฉินลากสหายออกไปจากตรงนั้นทันทีโดยไม่ได้หันกลับไม่มองสักนิดว่ามีใครคนหนึ่งแอบยิ้มมุมปากอย่างพอใจเมื่อออกมาไกลพอสมควรแล้
ในที่สุดวันงานแต่งก็มาถึง ทุกอย่างค่อยข้างเป็นไปอย่างเรียบร้อยเนื่องจากอินจางเหว่ยวางทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว เรื่องสีผมที่เปลี่ยนไปของจางหยวนเพ่ย หลงฝูหยางได้อธิบายกับทุกคนแล้วว่าเป็นเพราะทั้งคู่ได้ทำพันธะสัญญาคู่บำเพ็ญกันแล้วเส้นผมของอีกคนจึงกลายเป็นสีดำเพราะกำลังภายในที่เสริมกันของพวกเขาหลงฝูหยางและจางหยวนเพ่ยอยู่ในขุดสีแดงเข้มเรียบง่ายปักด้วยด้ายสีทองงดงามยิ่ง พิธีจัดอย่างเรียบง่ายไม่ได้เคร่งครัดอันใด ทางฝั่งเจ้าสาวนั้นเป็นหวังชิงเฟิงที่เดินทางมาใบหน้าคมคายสวมหน้ากากเงินแกะสละลวดลายอสรพิษงดงามปิดบังใบหน้าส่วนบนเอาไว้ ทำให้ดูลึกลับน่าค้นหาอย่างยิ่ง“เอ่อ สวมหน้ากากเช่นนี้จะดีหรือ” อินจางเหว่ยเอ่ยขึ้นขอความเห็นจากร่างบาง“พี่ชายข้าคนนี้ ไม่สะดวกที่จะเปิดเผยหน้าตาให้ได้เห็นเจ้าค่ะ แม้แต่ข้าก็น้อยครั้งนักที่จะได้พูดคุยแบบเห็นหน้าเขา” จางหยวนเพ่ยเอ่ยเสียงนุ่มพร้อมรอยยิ้มบาง“เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ” อินจางเหว่ยรับคำอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเหตุใดต้องปิดบังหน้าตาด้วยเล่า“อย่างถือสาพี่ชายข้าเลยเจ้าค่ะ” “เช่นนั้นก็เริ่มพิธีกันเถอะได้ฤกษ์ยามแล้ว” อินจางเหว่ยเอ่ยขึ้นแม้จะคาใจเรื่องนี้อยู่ไม่น้อ