LOGINเดินลัดเลาะจนมาถึงตรอกที่หญิงชรากล่าวถึง ตรงบริเวณนี้ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านมากนัก เซียวอันหนิงมองตรงไปเห็นร้านเครื่องประดับตั้งแผงขายอยู่ ลูกค้าไม่ค่อยมีนักหากแต่ผู้ขายกลับดูขัดตากันเล็กน้อย ผู้ขายเป็นบุรุษ ส่วนสูงปานกลาง ลักษณะทางกายไม่อ้วนผอมชัดเจน ใบหน้ามีลักษณะสื่อว่าเป็นคนใจซื่อ แววตาไม่เจ้าเล่ห์แสนกล ผิวพรรณออกเข้ม เมื่อคนลักษณะเช่นนี้มาขายเครื่องประดับจึงดูแปลกไปเสียหน่อย หญิงสาวมองไปก่อนคิดได้ว่าหากนางสามารถขายเครื่องประดับพวกนี้ได้สักชิ้นคงมีส่วนแบ่งพอให้ใช้ชีวิตไปหลายวัน เนื่องจากเครื่องประดับงดงามหากแต่ผู้ค้าทำให้ดูขัดตาจึงมีลูกค้าน้อยตามไปด้วย
เถ้าแก่ซ่งนั่งมองเครื่องประดับตนเองซึ่งขายไม่ออกเท่าที่ควร พวกมันงดงามทว่าไม่มีผู้ใดอยากครอบครองพวกมันเลย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงได้ปิดร้านแทนเป็นแน่แท้ เขาขาดทุนมาหลายเดือนแล้ว สถานะทางการเงินเปลี่ยนไปพอสมควร จากมีลูกจ้างก็ต้องมานั่งขายเอง จนตอนนี้ผ่านมาเป็นเดือนยังขายไม่ได้สักชิ้นเดียว ห่วงก็แต่บุตรสาวผู้มีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เจ็บป่วยบ่อยกระเสาะกระแส ถ้าเขาไม่สามารถฟื้นฟูกิจการอันเป็นมรดกตกทอดนี้ได้ ภายภาคหน้าถ้าบุตรสาวออกเรือนคงเป็นที่ดูถูกของบ้านสามีเนื่องจากสินเดิมไม่มี ชีวิตสตรีซึ่งป่วยง่ายอยู่แล้วคงยิ่งแย่ไปกว่าเดิม
เซียวอันหนิงเพ่งมองอยู่นาน เพียงชั่วระยะเวลากระพริบตาครั้งหนึ่งพลันเห็นเค้าลางความกลุ้มใจ รอยยิ้มมุมปากถูกจุดติดทันใด นางตัดสินใจเดินเข้าไปหา สีหน้าแววตาเปลี่ยนเป็นอ่อนหวานทันทีรอยยิ้มการค้าที่จะนำมาใช้บ่อย ๆ ยามไปเจรจาการรับงานแปลภาษาในโลกเดิม
“ขออภัยเจ้าค่ะเถ้าแก่ ข้าน้อยนามเซียวอันหนิง เห็นท่านขายเครื่องประดับอยู่นานหลายวันแล้วอยากได้คำชี้แนะจากท่าน หากแต่ข้าเองก็มีข้อเสนอเช่นกัน ท่านพอรับฟังข้าน้อยได้หรือไม่?”
เถ้าแก่ซ่งเงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตาพินิจเจ้าของน้ำเสียงหวานใสราวกระดิ่ง เขามีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยกับการที่จู่ ๆ มีคนมายื่นข้อเสนอ แต่ในเมื่อตอนนี้เขาไร้ทางเลือก ลองฟังสักหน่อยคงไม่เสียหลายเท่าใด
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าว่ามาสิ สิ่งใดคือข้อเสนอของเจ้า หากเจ้าสามารถขายเครื่องประดับเหล่านี้ได้ ข้าย่อมมีส่วนแบ่งให้อย่างแน่นอน”
นางดูเยาว์เกินกว่าจะรู้วิธีขาย แต่หากทำได้อย่างไรก็มีประโยชน์ เอาเถิด ในเมื่อโชคชะตาเล่นตลกกับเขามานาน ยอมทนให้เล่นต่ออีกสักหนจะเป็นอันใดไป
เซียวอันหนิงแปลกใจกับการยอมรับข้อแลกเปลี่ยนของเขาอย่างง่าย ๆ ทั้งที่ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำแต่ยังยอมรับฟัง หากเป็นผู้อื่นคงมองนางเป็นมิจฉาชีพไปนานแล้ว
“อืม...ข้อเสนอของข้าคือ ไม่ว่าข้าจะพูดอะไรขอแค่เถ้าแก่ไม่คัดค้าน นี่คือข้อเสนอของข้าเจ้าค่ะ”
“เรื่องนี้ย่อมไม่มีปัญหา ขอเพียงไม่ทำให้ข้าเสื่อมเสียชื่อเสียงก็เพียงพอ”
“ข้าไม่ทำให้ท่านต้องเดือดร้อนแน่นอนเจ้าค่ะ ขอเพียงท่านวางใจท่านต้องขายเครื่องประดับเหล่านี้ได้แน่นอนเจ้าค่ะ"
เจ้าของเรือนร่างแบบบางรับปากด้วยความมั่นใจ เนื่องจากสิ่งที่นางจะบอกเขาต่อจากนี้มันคือเรื่องอันไม่สามารถพิสูจน์ได้ การตลาดซึ่งมีผลต่อจิตใจผู้คนได้อย่างชะงัดมาทุกยุคทุกสมัยไม่เคยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง มักมักตั้งอยู่บนความเชื่อเสมอ และเมื่อไหร่ที่คนในพื้นที่นั้น ๆ มีความเชื่อต่อสิ่งนั้น ต่อให้เสนอขายอะไรไปพวกเขาก็จะซื้อเพราะมันเชื่อมโยงกับจิตใจอย่างแยกไม่ออกนั่นเอง
สิ่งนี้พิสูจน์ด้วยคำอธิบายอาจทำได้ยาก ไม่สู้แสดงให้เห็นไปเลยอาจดีกว่า
หลังจากตกลงกับเถ้าแก่ซ่งจนเรียบร้อย จึงหันมาสนใจกับเครื่องประดับซึ่งวางเรียงรายไม่เป็นระเบียบ มันมีทั้งสร้อยคอ กำไลข้อมือ ปิ่นปักผมซึ่งงดงามไม่น้อย ตัวสร้อยคอมีสายสร้อยแบบสี่เสา ตัวจี้มีพลอยเม็ดเล็กเจียระไนจนส่องแสงแวววาวล่อตาคน มันถูกวางล้อมทับทิมสีแดงเลือดนกทรงหยดน้ำซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า องค์ประกอบทั้งหมดส่งผลให้สร้อยเส้นนี้มีความเปล่งประกายคล้ายดวงดาวบนฟ้าที่มีดวงดาวเล็ก ๆ โอบล้อมอยู่รอบ ๆ ดวงจันทร์
ส่วนกำไลข้อมือถูกถักด้วยเส้นทองคล้ายเถาวัลย์พันเกลียว มีพลอยหลากสีเม็ดเล็กสอดไปตามเถาวัลย์จนดูเหมือนหิ่งห้อยในยามราตรีซึ่งมีส่องแสงในยามค่ำคืน และสุดท้ายคือ ปิ่นปักผม มันถูกขึ้นรูปเป็นดอกมู่ตาน (ดอกโบตั๋น) กลีบดอกมีลักษณะอ่อนช้อยสวยงาม ยามกระทบแสงแดดสะท้อนความแวววาวน่าหลงใหล ดอกมู่ตานมีความหมายสื่อถึงความมั่งคั่ง ร่ำรวย เกียรติยศและความสง่างาม จึงทำให้มีความนิยมมากในการมาทำเป็นเครื่องประดับ
เนื่องจากถูกวางกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบทำให้นางต้องจัดระเบียบให้มันอีกครั้ง สิ่งใดวางไว้ข้างหลังได้ก็วาง สิ่งไหนควรนำมาวางให้เด่นก็รีบจัดองค์ประกอบ ข้อดีของเครื่องประดับร้านนี้คือของในร้านงามทุกชิ้นแต่วางกระจายจนความงามกลบกันไปหมดทำให้ไม่มีชิ้นไหนโดดเด่นเลยสักเพียงชิ้น
เมื่อจัดเรียงจนเรียบร้อย การขายฉบับเซียวอันหนิงก็ได้เริ่มต้นขึ้น
“เร่เข้ามาจ้า! เร่เข้ามา เครื่องประดับผ่านการปลุกเสกจากนักพรตผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในแคว้นจ้าวได้ถูกนำมาขายที่นี่เป็นที่แรก หากพลาดจะไม่มีขายอีกนาน ผู้ใดอยากได้โชคจงเลี้ยวมาที่ร้าน ผู้ใดพอใจกับชีวิตตนจงหลีกทาง แต่หากสนใจก็มาถามก่อนได้จ้า!”
เสียงหวานใสตะโกนดัง เจตนาทำไปเพื่อเรียกร้องความสนใจของชาวบ้านความอายอย่าได้ถามหาในเวลาเช่นนี้ การเอาตัวรอดสำคัญกว่า หากนางมองไม่ผิดอีกไม่นานความเชื่อของชาวบ้านจะลุกฮือและมาซื้อเครื่องประดับพวกนี้อย่างแน่นอน เถ้าแก่ซ่งกระพริบตามองปริบ ๆ ใจหนึ่งอยากรู้ว่านางขายได้จริงหรือไม่จากวิธีการนี้ อีกใจหนึ่งแสนสงสัยว่ามีนักพรตแวะมาปลุกเสกเครื่องประดับร้านตนตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เมื่อรับปากไปแล้วว่าจะดูเฉย ๆ จึงต้องนั่งนิ่งมองดูไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา
ซึ่งทางชาวบ้านเมื่อได้ยินคำกล่าวอ้างนั้นพลันเริ่มหันมาสนใจ บางคนหยุดดู บางคนหันมามองแต่ยังไม่มีผู้ใดเข้ามาในร้าน หลังประกาศซ้ำไปอีกสองสามครั้งก็ได้มีสตรีนางหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน
‘ฉินอี้เหมย’ ได้หยุดดูว่าเสียงหวานใสมาจากตรงที่ใด หากแต่สิ่งที่ทำให้นางสนใจคือคำกล่าวที่ว่าเครื่องประดับผ่านการการปลุกเสกจากนักพรต นางสนใจและใคร่รู้ว่ามันจริงหรือไม่ ต่อให้มีเครื่องประดับมากมายอันได้มาจากความรักของบิดาผู้เป็นนายอำเภอ ทว่าเครื่องประดับผ่านการปลุกเสกเช่นนี้กลับไม่เคยมีเลย หากว่ามันสามารถทำได้จริง นางไปอ้อนบิดามารดาสักครั้งสองครั้งพวกเขาก็ใจอ่อนแล้ว ดังนั้นจึงไม่เคยสนใจมูลค่าของสิ่งที่ตัวเองอยากได้เลยสักครั้ง นางเป็นผู้มีใบหน้าอ่อนหวานราวลูกพลับ นัยน์ตางามมีความซุกซน ทว่ากลับดื้อดึงสุดหัวใจจากการตามใจของครอบครัวจนน่าจับมาตีสักทีสองที
ทางเซียวอันหนิงเห็นลูกค้าคนแรกเดินเข้ามาเป็นแม่นางน้อย หน้าตาน่ารัก อายุไม่น่าเกินสิบหกปีเพราะอีกฝ่ายรวบผมขึ้นครึ่งหัว ปักปิ่นด้วยทองคำแกะเป็นดอกโม่ลี่ฮวา (ดอกมะลิ) รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นตามค่านิยมในยุคนี้ ซึ่งมักนิยมสตรีผอมบางจนแทบปลิวไปตามลม มองจากเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วลูกค้ารายนี้คงมีเงินไม่น้อย นางสวมชุดฮั่นฝูสีชมพูอ่อน เกาะอกด้านใน ปล่อยลงมากรอมเท้า มีผ้าโปร่งบางสวมทับปักด้วยลายดอกเหมยกุ้ยฮวาสีแดงก่ำ (ดอกกุหลาบ)
เมื่อได้เห็นลูกค้าคนแรก จึงได้ยิ้มหวานให้ลูกค้ารายแรกที่ดูด้วยตาก็รู้ว่ามีเงินให้นางปะเหลาะเอาเงินมากมาย
“เชิญเจ้าค่ะคุณหนู เลือกได้ตามใจชอบเลยเจ้าค่ะ เครื่องประดับทุกชิ้นล้วนมีที่มา หากท่านต้องการทราบ ข้าน้อยย่อมยินดีอธิบายว่าชิ้นใดมีความหมายถึงสิ่งมงคลส่งเสริมได้ในเรื่องใดบ้างเจ้าค่ะ”
ฉินอี้เหมยเดินมาหยิบสร้อยคอซึ่งถูกจัดวางโดดเด่นเป็นสง่ากว่าเครื่องประดับชิ้นอื่น นัยน์ตาซุกซนมองสบเซียวอันหนิง ถามด้วยน้ำเสียงติดเอาแต่ใจ
“ที่เจ้าว่าเครื่องประดับเหล่านี้มีการปลุกเสกจากนักพรตนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่”
เซียวอันหนิงมองข้ามกิริยาถือตัว ขอเพียงขายได้ ที่เหลือล้วนไม่ใส่ใจ
“ล้วนเป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ ชิ้นที่คูณหนูหยิบขึ้นมาช่วยส่งเสริมด้านความรักเจ้าค่ะ กว่าพวกข้าจะได้มา ช่างยากลำบากยิ่งนักเพราะท่านนักพรตไม่ค่อยอยู่ตรงที่ใดเนิ่นนาน ท่านชอบท่องเที่ยวไปเรื่อย ๆ อีกทั้งยังเร้นกายจากผู้คน พวกข้าพยายามเพื่อเฟ้นหาสิ่งที่ดีที่สุดมาให้แก่ลูกค้า อาจเพราะว่าตามอยู่นานหลายเดือน ในที่สุดท่านนักพรตก็ใจอ่อนยอมปลุกเสกให้ นับว่าโชคดีนักที่ไปเจอท่านนักพรตตอนอยู่แคว้นจ้าวพอดีเลยกลับมาที่นี่ได้อย่างไม่ลำบากยากเย็นนักเจ้าค่ะ”
นางพูดไปเรื่อยด้วยหน้าตาน่าเชื่อถือ สิ่งหนึ่งที่แน่ใจคือผู้คนในยุคสมัยนี้แยกกันอยู่เป็นกลุ่มและแบ่งแยกชนชั้น และคนชั้นสูงมักมีความเชื่อเรื่องศาสตร์ เหล่านี้กันค่อนข้างมาก ดังนั้นถ้าใครถามว่าแคว้นจ้าวอยู่ตรงไหนก็แค่บอกไปว่าไกลจากแคว้นเหลียวมากนัก เพียงเท่านี้ก็น่าเชื่อถือแล้ว ไม่มีผู้ใดยอมจัดจ้างหาคนไปค้นหาว่าแคว้นจ้าวนี่มันมีอยู่จริงไหมเพียงเพราะอยากแน่ใจในตัวเครื่องประดับ
บุตรีนายอำเภอเม้มริมฝีปาก ใช้นิ้วแตะดูตัวสร้อยแสนงดงามพลันถามด้วยความสนใจ “เช่นนั้นแล้ว...สร้อยทับทิมเส้นนี้ ราคาเท่าใดเล่า”
“สร้อยเส้นนี้ ราคาห้าตำลึงเงินเจ้าค่ะ” นางบอกราคาไปมั่ว ๆ โดยไม่ทันได้นึกว่ามันแพงแค่ไหนสำหรับผู้ฟัง
ทางฉินอี้เหมยได้ยินแบบนั้นพลันสะดุ้ง นางได้ค่าใช้จ่ายส่วนตัวจากบิดามารดาเดือนละสิบตำลึงเงินและยังถูกใช้จ่ายออกไปบ้างแล้ว ตอนนี้จึงเหลือห้าตำลึงเงินพอดิบพอดี แม้สามารถไปร้องขอเอาเพิ่มจากครอบครัวได้แต่ราคาขนาดนี้ก็ยังแพงเกินไปอยู่ดี
“เหตุใดจึงแพงเช่นนี้เล่า ราคาห้าตำลึงเงินไม่ใช่เงินน้อย ๆ เลยนะ”
“สร้อยเส้นนี้มีทับทิมล้อมด้วยพลอยเม็ดเล็ก ๆ หากคุณหนูได้สวมใส่จะต้องงดงามมากแน่ ๆ เลยเจ้าค่ะ อีกทั้งมันยังถูกปลุกเสกมาด้วยจะช่วยให้ท่านมีโพธิสัตว์คุ้มครอง ประสบความสำเร็จในความรักด้วยนะเจ้าคะ”
ในยุคสมัยที่การแต่งงานเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเท่าชีวิต ใช้กลวิธีนี้ย่อมได้ผล ขอเพียงแค่แม่นางน้อยตรงหน้าไม่ได้มีชายคนไหนคบหาอยู่แล้ว อย่างไรคำพูดย่อมไปสะกิดใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
ฉินอี้เหมยลังเลใจ ราคาแพงจนน่าขยาดหากแต่สรรพคุณของมันกลับฟังแล้วให้ความรู้สึกว่าคุ้มค่า
เอาเถิด อย่างไรบิดามารดาก็จ่ายให้นางได้อยู่แล้ว ซื้อไปสักเส้นมันจะสักเท่าไหร่กันเชียวเล่า?
“ตกลง เช่นนั้นข้าเอาสร้อยเส้นนี้ก็แล้วกัน”
เงินห้าตำลึงเงินถูกวางในมือพร้อมกับสีหน้าพึงพอใจของลูกค้า เถ้าแก่ซ่งถึงกับตกตะลึง ไม่คิดว่าจะสามารถขายเครื่องประดับในราคานั้นได้จริง ๆ
เมื่อมีคนซื้อชิ้นแรกไปแล้ว หลังจากนั้นก็มีชาวบ้านเริ่มทยอยเดินเข้ามา จนผ่านไปสองชั่วยาม สินค้าพร่องไปมากอีกทั้งนี่ก็ใกล้เย็นแล้วคงต้องปิดร้านเสียที
เซียวอันหนิงพอใจกับผลประกอบการมากถึงจะเสียงแหบแห้งไปบ้าง เพราะนางได้เงินจากลูกค้ามาถึงสิบตำลึงทองกับอีกห้าตำลึงเงิน
เถ้าแก่ซ่งมองเงินในมือแล้วรู้สึกตัวเบา นานมากแล้วที่ไม่ได้จับเงินจำนวนมากขนาดนี้ หากมีเงินขนาดนี้แล้วคงสามารถซื้อยาดี ๆ ให้บุตรสาวได้อย่างไม่ยากเย็น เขาเงยหน้ามองนางด้วยแววตาซาบซึ้งใจ นึกขอบคุณสวรรค์ผู้ส่งแม่นางคนนี้มาช่วยตน
“แม่นางเซียว วันนี้ขายได้สิบตำลึงทองกับห้าตำลึงเงิน ข้าจะแบ่งให้เจ้าหนึ่งตำลึงทองกับห้าตำลึงเงิน จำนวนเท่านี้เจ้าพอใจหรือไม่”
เถ้าแก่ซ่งคิดว่าจำนวนเงินที่แบ่งให้นางนั้นยุติธรรมแล้ว หากไม่ได้นางคงไม่สามารถขายเครื่องประดับได้จำนวนมากเท่านี้
เซียวอันหนิงยื่นมือไปรับส่วนแบ่งจากเขา นางไม่รู้หรอกว่าจำนวนเงินนี้มากมายขนาดไหน แต่จากท่าทางของเถ้าแก่มันคงมากมายทีเดียว และส่วนแบ่งที่ได้ก็น่าจะมากพอให้ใช้ชีวิตอย่างไม่ลำบากไปสักพัก
“ขอบคุณเจ้าค่ะ วันนี้ข้าเจอท่าน ถือว่าเป็นโชคดีของข้าเช่นกัน” รับเงินมาอย่างดีใจไม่คิดว่าในยุคโบราณเช่นนี้หาเงินทองได้ง่ายเสียจริง คงไม่ได้อดตายแน่นอน
ภายในจวนตระกูลหลี่ บัดนี้เกิดความวุ่นวาย บ่าวไพร่ในจวนวิ่งเข้าออกเรือนฮูหยินน้อย นางปวดท้องคลอดตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง หมอทำคลอดถูกตามมาถึงสามคน พวกเขากำลังพยายามทำคลอดให้ฮูหยินน้อยด้วยความระมัดระวัง รู้ดีว่าห้ามเกิดความผิดพลาดโดยเด็ดขาด หากฮูหยินน้อยเป็นอะไรไป ทั้งสามชีวิตคงได้ปลิดปลิวตามไปด้วยอย่างแน่นอน “ฮูหยินท่านเบ่งอีกนิดเจ้าค่ะ” ร่างอุ้ยอ้ายกลั้นใจกดความเจ็บปวด เพิ่มลมหายใจเพื่อออกแรงจะคลอดให้ได้ ไม่คิดว่าการคลอดจะเจ็บปวดแทบขาดใจเช่นนี้ เหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า เสียงหวานกรีดร้องด้วยความรู้สึกเจ็บปวดเป็นระลอกยามมีการบีบตัวของช่องท้องและช่องคลอดจึงต้องผ่อนลมหายใจเป็นระยะ บ่าวในจวนวิ่งยกน้ำ คอยเอายาต้มมาเปลี่ยน เตรียมยกน้ำแกงนกพิราบเพื่อให้ฮูหยินน้อยซดจะได้มีเรี่ยวแรง หลี่จิ้งหานเดินไปมาด้วยความกังวล เสียงภรรยาร้องด้วยความเจ็บปวดดังหลายชั่วยามทำให้เจ็บปวดใจ นึกโทษตัวเองอย่างมากว่าไม่น่าคิดมีบุตรเลย ถ้าย้อนเวลาไปได้จะไม่ให้ภรรยาตั้งครรภ์โดยเด็ดขาด หลี่ลี่ฮวาก็ไม่ต่างกัน นางเป็นห่วงสหาย ด้วยยุคนี้ความเจริญทางการแพทย์ต่ำมาก สตรีเสียชีวิตจากการตั้งครร
ภายในเรือนตอนนี้มีร่างของฮูหยินน้อยนอนทอดกายซีดเซียวอยู่ ด้วยอาเจียนมาตลอดหลายวันจึงต้องตามหมอมาดูอาการว่าเจ็บป่วบหรือไม่ เซียวอันหนิงรู้สึกว่าอาจตั้งครรภ์ก็เป็นได้ ประจำเดือนขาดไปสองเดือนแล้ว นางไม่ได้คุมกำเนิดมาสักพักแล้วและสามีก็มิเคยว่างเว้นต่อเรื่องนั้นเลยสักวัน จึงมีโอกาสจะตั้งครรภ์ได้สูงทีเดียว “ขอแสดงความยินดีกับท่านราชครูด้วย ฮูหยินตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว” หมอชราประจำตระกูลจับชีพจรฮูหยินน้อย พบว่าเป็นชีพจรมงคลแต่ก็ยังไม่แน่ใจนักว่ามีหนึ่งหรือสองคน คงต้องตรวจอีกครั้งเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น ซึ่งหลี่จิ้งหานพอรู้แบบนั้นก็แทบถลาไปหาภรรยาด้วยความดีใจ “ให้รางวัลท่านหมอ ซุนจางส่งท่านหมอกลับจวน น้องหญิง เราจะมีเจ้าก้อนแป้งกันแล้วนะ” โซ่ทองคล้องใจที่จะทำให้นางอยู่กับเขาตลอดไป ในที่สุดก็มาเสียที “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่ดีใจมากหรือเจ้าคะ” “พี่ย่อมดีใจเพราะเป็นลูกของเราสองคน” เดิมทีหลี่จิ้งหานมิได้ต้องการมีบุตร แต่เมื่อยามนี้การมีบุตรคือพันธะอันทรงพลังเพียงอย่างเดียวซึ่งพอให้วางใจได้ว่านางจะไม่หนีหน้าหายไป เ
“ท่านพี่ ข้าว่าท่านอาจารย์ต้องรู้ว่าข้าไม่ใช่คนในยุคนี้ แล้วท่านอ้อนวอนอะไรหรือเจ้าคะ” หลี่จิ้งหานคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่เกิดในความฝัน ภาพก่อนสิ้นใจในโลกก่อน มีจิตใจมุ่งมั่นแต่จะตามหาเซียวอันหนิงจึงนำพานางมาหาเขาซึ่งเป็นการย้อนเวลามานับพันปีเลยทีเดียว “พี่ฝันถึงเรื่องหนึ่ง ในโลกที่จากมาเหมือนกับว่าจะชื่อฮ่าวหยวน หลังจากเสียชีวิตในโลกก่อนถึงได้มาเกิดใหม่ที่นี่ รูปลักษณ์ก็ไม่เหมือนเดิม เจ้าจึงจำพี่มิได้” “ท่านพี่ คือ รุ่นพี่ฮ่าวหยวนหรืือเจ้าครุ่นพี่ฮ่าวหยวนหรือเจ้ “ใช่ หลังจากโดนชนพี่ก็อ้อนวอนต่อสวรรค์ว่าถ้าชาติหน้ามีจริงขอให้ได้เจอเจ้าอีกครั้ง” “แล้วท่านพี่จำข้าไม่ได้หรือ ในเมื่อท่านพี่คือฮ่าวหยวน เราทั้งคู่เคยเจอกันมาก่อน ไม่มีทางที่จะลืมไปได้ง่าย ๆ นะ” “ข้ามาเกิดใหม่ ไม่มีความทรงจำเดิมเหลืออยู่ แต่กลับรู้สึกรักเจ้าตั้งแรกเห็น หวงแหนจนแทบบ้า ก็เคยสงสัยว่าทำไมถึงมีความรู้สึกเช่นนี้กับเจ้า” “เป็นเช่นนั้น ท่าน- ท่านบอกว่าตามหาข้าหรือ” “ใช่ พี่ตามหาเจ้ามาตลอด ตั้งแต่เจ้าจากไปก็ตามหาทุกที่แต่ไม่เจอ จนส
องค์ชายหม่าซานเปียวในนามพ่อค้ามารับของที่สั่งเอาไว้บริเวณหน้าร้านของเซียวอันหนิงเมื่อครบตามกำหนดสามวัน สินค้าทั้งหมดมีราว ๆ สองเกวียน มูลค่าถึงห้าพันตำลึงทองเลยทีเดียว “คุณชายนำสินค้ามากมายเหล่านี้ไปขายที่ใดหรือเจ้าคะ” เซียวอันหนิงถามเพราะสินค้าที่นำมามันเยอะจริง ๆ ด้วยเป็นสินค้าที่ขายให้เป็นสตรีเป็นส่วนใหญ่จึงยิ่งสงสัยอย่างสมุนไพรยังพอเข้าใจได้แต่พวกเครื่องหอมอื่นใดดูจะเกินความเข้าใจของนางไปมากทีเดียว “ข้ามีร้านค้ามากมาย สามารถเอาสินค้าไปลงได้ทุกที่ ถ้าสินค้าขายดีจะมาติดต่ออีกครั้ง” หม่าซานเปียวไม่ได้โกหก พระองค์มีร้านค้ามากมายในมือจริง ๆ ในแคว้นเหลียง สินค้าเพียงเท่านี้แจกจ่ายไปไม่นานก็มีที่ให้ขายแล้ว เซียวอันหนิงได้ยินเช่นนั้นมีหรือจะไม่ดีใจ นางรีบยิ้มให้เขาก่อนพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้ายินดีเสมอเจ้าค่ะ” องค์ชายหม่าซานเปียวเห็นแล้วยิ่งชอบมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่รู้ดีว่าไม่สามารถทำอะไรได้ ถ้าพระองค์ดึงดันคงเกิดการบาดหมางระหว่างสองแคว้น เมื่อสามีของนางเป็นราชครูที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องมองสีหน้า เสด็จพ่อก็คงไม่เห็นด้วยแน่นอนถึงนาง
หลังจากถูกแคว้นเหลียวปฏิเสธ องค์ชายครุ่นคิดถึงการไปเยือนแคว้นเหลียวอย่างเงียบ ๆ มีข่าวว่าสตรีผู้หนึ่งช่างเก่งกาจ สามารถรักษาคนป่วยได้ทุกโรค มีสมุนไพรมากมายเหมือนกับว่าใช้ไม่มีวันหมด นางแต่งงานกับท่านราชครูของแคว้นแต่ยังไม่มีบุตรธิดา ตอนนี้ร้านค้าที่นางเปิดก็รุ่งเรืองจนเป็นที่กล่าวขานจนสะพัดไกลถึงแคว้นเหลียง นั่นจึงยิ่งทำให้ต้องการรู้จักสตรีผู้นี้ยิ่งนักว่าจะเก่งกาจสมคำร่ำลือหรือไม่ เขาต้องการเห็นหน้านางสักครั้ง และการปฏิเสธครั้งนั้นก็เป็นความคิดของนางเช่นกัน ข้อความการต่อรองช่างฉลาดเสียจริง ยังไม่เคยมีผู้ใดกล้าขัดความต้องการขององค์ชายได้ สตรีผู้นี้ช่างเก่งกล้าเสียจริง ร่างบางไปร้านค้าเฉกเช่นทุกวัน วันนี้ได้มากับซิ่วอี้เพียงสองคนเพื่อมาดูว่ามีสิ่งใดขายหมดไปแล้ว ชาดที่นำออกมาขายก็ขายดีเข่นกัน นางสอนคนดูแลเสมอให้จดจำว่าสีไหนเหมาะสมกับใบหน้าสตรีแบบใด เมื่อทาชาดออกมาแล้วจะยิ่งส่งให้ใบหน้าสตรีผู้นั้นงดงามยิ่งขึ้น สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้จะทำให้ลูกค้าประทับใจมากขึ้น ร่างสูงกำยำ ใบหน้าหล่อเหลาสมกับเป็นราชนิกูล แต่งกายเหมือนคุณชายทั่วไปในเมืองหลวงนั่นก็คืออง
“รุ่นพี่คะ เอ่อ น้ำค่ะ เหนื่อยไหมคะ” “เมื่อไหร่คุณถึงจะเลิกตามตอแยผมเสียที ผมบอกแล้วไงว่าไม่ชอบ” “รุ่นพี่โกรธเหรอคะ ขอโทษนะคะ ฉันแค่...เป็นห่วง” “ไม่ได้โกรธแต่รำคาญ เข้าใจไหม คุณมาตามตอแยผมสามปีแล้ว ถึงไม่มีใคร ผมก็ไม่มีทางชอบคุณ” ภาพในความฝันมีบุรุษและสตรียืนพูดคุยกัน แต่ชายผู้นั้นไม่ได้ชอบสตรีซึ่งคอยตามตอแย ภาพได้ตัดมาตอนสตรีผู้มีใบหน้าเหมือนกับภรรยาวิ่งร้องไห้ออกไปด้วยความเสียใจกับคำพูดทำลายน้ำใจ ต่อมาภาพตัดไปอีกครั้งกลายเป็นภาพของชายผู้นั้นเฝ้าตามหาสตรีนางนั้น ภาพเปลี่ยนไปอีกครั้งทว่าคราวนี้เขาถูกสิ่งที่วิ่งมาด้วยความเร็วพุ่งชนจนร่างกระเด็น ก่อนสิ้นใจได้เอ่ยชื่อ เซียวอันหนิง เหตุใดชายผู้นั้นถึงใฝ่หาสตรีที่ตนเองขับไล่ไสส่งไปเล่า ไม่เข้าใจเลย ทว่าภาพต่อมากลับน่าตกใจยิ่งกว่า ชายผู้นั้นได้มาเกิดเป็นคุณชายตระกูลหลี่ และภาพชีวิตในวัยเยาว์ของเขาก็ผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน ฉับพลันหลี่จิ้งหานสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมเหงื่อโทรมกาย หากในฝันนั่นเป็นความจริง ก็หมายความว่าชายผู้นั้นคือเขาเอง และภรรยาในตอนนี้คือสตร







