 LOGIN
LOGIN
บทที่ 1
ข้ามมิติมาแบบไม่รู้ตัว
แสงตะวันยามเช้าทอประกายสีทองอ่อน ความอบอุ่นจากดวงอาทิตย์แผ่กระจายทั่วหมู่บ้าน ‘ธาราใส’
ผู้คนเริ่มตื่นนอนเพื่อเริ่มวิถีชีวิตและการทำงาน บางครอบครัวแบกจอบแบกเสียมเข้าไปทำไร่ตามวิสัยปกติ บางครอบครัวพากันลุกขึ้นมาทำอาหาร ควันจากการทำอาหารลอยอบอวลส่งกลิ่นหอมจากปล่องควัน ล่องลอยไปตามลมเชิญชวนทุกผู้คนให้น้ำลายสอ เสียงจากวิถีชีวิตอันเริ่มดำเนินไปเป็นเหตุให้ความสงบถูกความวุ่นวายเริ่มแสดงตัว
ณ บ้านร้างแห่งหนึ่งในหมู่บ้านซึ่งห่างไกลจากบ้านชาวบ้าน...
ตัวบ้านค่อนข้างทรุดโทรมเนื่องจากไร้ซึ่งคนเข้ามาอยู่อาศัยนานหลายปี ภายในบ้านมีหญิงสาวผู้หนึ่งนอนอยู่บนเตียงไม้เก่า ๆ ภายในกระท่อมมีกลิ่นอับชื้นโชยมาเป็นเหตุให้ร่างบางซึ่งนอนอยู่บนเตียงไม้ค่อย ๆ รู้สึกตัว นางมีอาการสะลึมสะลือเล็กน้อย มองไปรอบ ๆ พลันรู้สึกประหลาดกับบรรยากาศไม่คุ้นเคย สิ่งแรกที่มองเห็นเป็นหลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผา มีรอยแตกร้าว อีกทั้งยังมีแสงเล็ดลอดเข้ามาราวกับประกาศศักดาความผุพังของมัน ยามกวาดสายตาไปรอบ ๆ นางเห็นผนังของตัวบ้านแสนเก่าคร่ำครึ แม้แต่อิฐยังมีรอยแตกร้าว หยากไย่พาดไขว้ไปมาทุกหนแห่งอันเป็นมุมอับ โดยรวมแล้วสถานที่ที่นางมานอนมึนงงอยู่นั้นช่างมีบรรยากาศน่าหวาดหวั่นเหลือเกิน
นางยังรู้สึกงุนงงกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ ในความทรงจำได้ความว่ากำลังนั่งทำงานที่ได้รับมา มันเป็นงานแปลเอกสารและพึ่งทำสำเร็จไปเพียงสองงานเท่านั้น ด้วยว่าร่างกายมาถึงขีดสุดแล้วนางจึงฟุบหลับตรงโต๊ะทำงานเสีย หวังว่าให้มีแรงจะได้ทำงานต่อ...
ทว่าพอตื่นขึ้นมาทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป มือเรียวงามดังไม้เหลาเสยผมท่าทางมึนงง จับต้นชนปลายไม่ถูกนัก
ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า?
‘เซียวอันหนิง’ หญิงสาวจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด (ช่วง ค.ศ. 2001 - 2100) เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยและเพื่อเลี้ยงปากท้องจึงมีทำอาชีพเสริมรับงานแปลภาษา หากเป็นช่วงปิดเทอมก็จะไปรับสอนพิเศษให้กับเด็ก ๆ ด้วยความเป็นคนงามตามธรรมชาติ มีผมยาวสลวยสีนิลยาวถึงกลางหลังตัดกับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้มีเสน่ห์มากขึ้นอย่างยิ่งยวด ยิ่งประกอบกับจมูกโด่งเป็นธรรมชาติ ปากเป็นกระจับ ทุกสิ่งล้วนแต่ออกมางามทั้งสิ้น ตอนแรกว่างามล้ำพอรวมกันยิ่งงามจับตา มีคนมาเกี้ยวพาเสียหลายคน ทว่าชีวิตมักทำแต่งานเลยทำให้ไม่เคยสานสัมพันธ์กับใครสักคนอย่างจริงจังแม้แต่คนเดียว
“ที่นี่ที่ไหน...?”
ริมฝีปากกระจับซีดพึมพำออกมา น้ำเสียงหวานเสนาะสื่อชัดว่างุนงง นางพยายามลุกขึ้นจากเตียงไม้ที่นอนอยู่ก่อนก้าวเดินไปเปิดประตู ซึ่งเจ้าประตูนี่ก็แสนรันทดเพราะทั้งเก่าทั้งทรุดโทรมจนคิดว่าหากจับแรงเกินไปมันจะหลุดหล่นออกมาหรือไม่ เมื่อเดินออกมาถึงหน้าบ้านมองไปรอบ ๆ ถึงได้รู้ว่าที่ที่ตัวเองยืนอยู่ตอนนี้เป็นเนินเขาเตี้ย ๆ มองลงไปข้างล่างเห็นบ้านเรือนเรียงราย บ้างกระจาย บ้างกระจุก ดูไม่ค่อยเป็นระเบียบนัก อีกทั้งชาวบ้านยังแต่งตัวแปลก ๆ เป็นแบบจีนสมัยโบราณ หากแต่จะเป็นยุคสมัยไหนนั้นไม่ระบุได้เช่นกัน
ประหลาดไปหมดตั้งแต่ตำแหน่งที่ตั้งไปจนถึงเสื้อผ้า ไม่อยากนึกเลยว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหน
เซียวอันหนิงกำลังคิดถึงความเป็นไปได้อันแสนไร้สาระ แต่เมื่อประกอบกับหลาย ๆ อย่างตรงหน้าพลันอดคิดไม่ได้
‘หรือเราจะทะลุมิติมาในยุคโบราณ เหมือนที่เคยอ่านในนิยาย’
นางสะดุ้ง เพราะหากเป็นจริงก็ชัดเจนแล้วว่าคงอยู่แบบนี้ไม่ได้ ต้องทำอะไรสักอย่าง ทว่าดูจากสภาพตัวนางในตอนนี้แล้วช่างน่าหนักใจเนื่องจากเสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบที่กำลังเป็นที่นิยมในตอนนี้ ซึ่งไม่ได้กลมกลืนไปกับคนที่นี่ จากที่นางมองว่าพวกเขาแปลกคงได้สลับขั้วกันเป็นแน่...
เซียวอันหนิงถอนหายใจ อย่างไรก็ต้องหาทางก่อน อย่างแรกเริ่มจากหาชุดที่คนยุคสมัยนี้ใส่กัน หากแต่จะหาจากไหนนั้นยังสุดจะรู้
‘เฮ้อ เอาเถอะ เดินไปเดี๋ยวคงได้เจอ’
ร่างบางเริ่มเดินลัดเลาะเพื่อลงไปหมู่บ้าน หลังสอดส่องท่าทางดูน่าสงสัยจึงเห็นว่ามีชาวบ้านตากเสื้อผ้าเอาไว้ แม้ปกตินางเป็นผู้มีคุณธรรมแต่ตอนนี้จำต้องโยนศีลธรรมทิ้งไปก่อน เซียวอันหนิงค่อย ๆ แอบย่องไปเอาเสื้อผ้าของชาวบ้านผู้ถูกเลือก หลังเฟ้นเอาชุดที่แห้งที่สุดจึงรีบวิ่งไปตามทางเพื่อไม่ให้โดนจับได้ หลังลัดเลาะมาตามทางจนกลับมาที่บ้านผุพังน่าเวทนา นางก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที แม้ใส่ผิด ๆ ถูก ๆ เก้ ๆ กัง ๆ ไปสักหน่อยแต่เมื่อจัดให้ดีก็ออกมางามได้ อาจเพราะมีหน้าตาเช่นนี้ช่วยด้วยกระมัง
เซียวอันหนิงยกมือพนมขึ้น ขอโทษเจ้าของเสื้อผ้า รู้ดีว่าสิ่งนี้เป็นของมีราคาค่างวดสำหรับขาวบ้านทั่วไปที่หาเช้ากินค่ำ หากแต่นางเดินเริงร่าออกไปด้วยเสื้อผ้าแบบเดิม เกรงว่านอกจากจะถูกนินทาว่าร้ายแล้วอาจได้ข้าวของลอยมาปะทะเพราะมองว่าแปลกตาอย่างแน่นอน
เสื้อผ้าที่ใส่อยู่เป็นสีกรมท่า ถึงเก่าไปเสียหน่อย ปะชุนไปเสียมาก สีซีดไปเสียเยอะ แต่....เอาเถอะ คนเราไม่ควรดูกันที่ภายนอกอยู่แล้ว แก้ขัดได้ย่อมดีกว่าไม่มีอะไรเลย
เซียวอันหนิงเริ่มสำรวจความแตกต่างของยุคสมัย สิ่งที่ง่ายที่สุดในการเริ่มสังเกตคือเครื่องแต่งกาย ชุดที่นางใส่มีลักษณะทับกันหลายชั้น มีชั้นในหนึ่งชั้น มีทับชั้นที่สองคาดด้วยผ้าซึ่งก็ไม่ทราบว่าจริง ๆ ต้องมัดอย่างไร ส่วนชั้นที่สามเป็นชั้นสุดท้าย ลักษณะคล้ายเสื้อคลุมหากแต่ดูไม่หนาเท่า อาจเพราะนี่เป็นเสื้อผ้าของชาวบ้านจึงไม่หรูหรานุ่มนวลชวนให้อบอุ่นนักก็เป็นได้ ความโชคดีอีกอย่างหนึ่งคืออากาศในยุคโบราณยังไม่เสียไป มีอากาศสดชื่น ถึงร้อนก็ยังร้อนไม่มาก ทว่าพอมาคิดมุมกลับ แปลว่าในช่วงฤดูหนาวก็อาจเป็นเหตุให้คนล้มตายได้มากมายเช่นกัน ยิ่งในยุคสมัยที่เทคโนโลยีเข้าไม่ถึงแบบนี้ โอกาสตายมีมากกว่ารอดเสียอีก
ตามความรู้ซึ่งเคยหาดูในตอนทำงาน หากจำไม่ผิดในยุคนี้เริ่มมีการเผาถ่านกันบ้างแล้วทว่ายังไม่แพร่หลายนัก มีใช้กันเฉพาะคนมีฐานะดี ส่วนชาวบ้านทั่วไปต้องเก็บฟืนเตรียมไว้ใช้ในฤดูหนาว
เซียวอันหนิงลูบใบหน้าท่าทางครุ่นคิด ตอนนี้คิดไปเรื่อยมีแต่เปล่าประโยชน์สู้ลงไปถามเลยให้มันรู้เรื่องยังดีเสียกว่า จึงสาวเท้าก้าวลงไปด้านล่างอีกครั้ง บอกลาข้าวของอันตามติดตัวมาด้วยความอาลัย อย่างไรเสียทุกอย่างก็ต้องเป็นไป การตัดใจเริ่มต้นใหม่ได้ไวย่อมเป็นข้อดี
อย่างน้อยหากสอบถามแล้วได้ความ นางก็ยังทราบว่าต้องอย่างไรต่อไป ควรใช้ชีวิตยังไงต่อ ไม่รู้เหนือรู้ใต้เลยแบบนี้มีแววได้ตายก่อนรอด ไม่ดีเท่าไหร่
เซียวอันหนิงเดินกลับทางเดิม ตัดสินใจละทิ้งชีวิตเก่าเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ จริงอยู่ว่าชีวิตเก่านั้นสุขสบายกว่ามาก ทว่าในเมื่อไม่สามารถกลับคืนสู่ถิ่นเดิมได้ก็ต้องอยู่กับถิ่นใหม่นี้ให้ดี หลังผ่านไปไม่นานนางจึงเดินลงถึงข้างล่าง ไม่ห่างกันนักมีชาวบ้านที่ไม่ได้ออกไปทำงานกำลังจับกลุ่มสนทนา นางมองวิถีชนบทซึ่งไม่มีโอกาสได้เห็นบ่อยนักเนื่องจากวิถีชีวิตของคนยุคปัจจุบันกับที่ตั้งของเมืองไม่ค่อยมีคนสุงสิงกันมากนัก การมาเจอชาวบ้านอยู่รวมกันเพื่อจับกลุ่มพูดคุยสารพัดจึงทำให้นางเก้อกระดากทำตัวไม่ถูกชั่วขณะ บางคนหันมามองเนื่องจากมีความรู้สึกแปลกหน้าทว่าหญิงสาวพยายามไม่สนใจรีบเดินออกไป นางเดินมาเรื่อย ๆ จนเจอทางแยกซึ่งมีทั้งทางตรงเดินไปได้กับอีกทางคือเลี้ยวขวา สองขาหยุดก้าวต่อ กำลังชั่งใจว่าควรไปต่อโดยการอาศัยสัญชาติญาณหรืออ้าปากถามเจ้าถิ่น หลังไตร่ตรองอยู่สักพักก็ได้มีชาวบ้านคนหนึ่งเดินผ่านนางไป แต่เมื่อมองย้อนกลับมาเห็นสีหน้าของเซียวอันหนิงจึงเดินย้อนกลับมา นางเป็นหญิงชรารูปร่างผอมบาง มือหนึ่งถือไม้เท้า อีกมือหนึ่งไขว้ไว้ที่หลัง แผ่นหลังโค้งงอเล็กน้อย สีหน้าท่าทางดูเป็นหญิงชราที่มีจิตใจดี คงจะเข้าถึงง่ายสมกับวิถีชีวิตในชนบทอย่างยิ่ง
เซียวอันหนิงเห็นแบบนั้นคิดว่าอีกฝ่ายดูสามารถไถ่ถามได้จึงยิ้มให้ก่อนเอ่ยปากก่อนหญิงชรามาถึงตัว
“ขออภัยนะเจ้าคะ ท่านยาย...ข้าเพิ่งผ่านมาทางนี้ ไม่รู้ว่าหมู่บ้านนี้คือที่ไหน อยู่ในแคว้นใด ท่านยายพอบอกข้าได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“เจ้าเป็นคนต่างถิ่นหรือ? แต่เอาเถอะ...ที่นี่คือหมู่บ้านธาราใสตั้งอยู่ในแคว้นเหลียว” หญิงชราเว้นวรรคมองซ้ายขวา คิดว่าเซียวอันหนิงคงอยากเดินทางไปที่อื่นจึงถามเพิ่มเติม “เจ้าจะไปที่ใดเล่า”
“ข้ากำลังคิดเดินทางไปเมืองหลวง หากแต่ต้องหาที่พักอยู่ก่อนสักสามสี่คืนเจ้าค่ะ” นางว่าไปตามตรง อย่างไรการออกเดินทางไปเลยโดยที่ไม่รู้อะไรไม่ใช่เรื่องฉลาดนัก การอยู่ร่วมกับชาวบ้านเพื่อเรียนรู้วิธีการวางตัว การพูดคุย รวมไปถึงสกุลเงินกับเรื่องพื้นฐานอื่น ๆ เป็นเรื่องจำเป็น หากไปที่อื่นจะได้ไม่โดนหลอก ยิ่งตอนนี้มาโดยไม่รู้และไม่มีอะไรสักอย่างกระทั่งเสื้อผ้ายังต้องลักลอบแอบเอาของเขามา การให้เวลาตนสักสามสี่วันก่อนเดินทางจึงดูปลอดภัยกว่ามาก
หญิงชรายิ้มรับก่อนบอกน้ำเสียงใจดี จากคำพูดคำจาและกิริยา นางคงเป็นคนต่างถิ่นจริง ๆ “อ๋อ...ถ้าเจ้าหาที่พักก็เลี้ยวขวาแล้วตรงไป พอเจอตลาดเล็ก ๆ ให้เดินไปตรงตรอกเล็ก ๆ ภายในนั้นมีโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ อยู่ ราคาไม่เท่าไหร่คงพอให้พักได้สักสามสี่คืนอย่างไม่มีปัญหา”
เซียวอันหนิงมองตามที่หญิงชราบอก พบว่าทางไปโรงเตี๊ยมไม่ได้ไปยากเสียเท่าไหร่จึงก้มศีรษะขอบคุณอย่างอ่อนน้อมโดยทันที “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านยาย ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ”
หญิงชรามองตามเรือนร่างเพรียวบาง ถึงแม้ใส่ชุดเก่าไปเสียหน่อยทว่าดูแล้วมีรูปโฉมสะคราญ เหตุใดจึงเดินทางผู้เดียวแบบนี้ มาคิดให้ดีช่างอันตรายยิ่งนัก
ทางด้านเซียวอันหนิงเดินไปตามทางที่หญิงชราว่าไว้ ไม่นานจึงเจอตลาดซึ่งมีผู้คนพลุกพล่าน ร้านรวงเปิดแผงลอยเป็นอาหารเสียส่วนมาก ไม่ห่างกันนักมีชาวบ้านนำผักป่ามาขาย ส่วนร้านบะหมี่นั้นกระจายอยู่ทั่วไปหลายร้าน มีลูกค้านั่งกระจายอยู่สองสามโต๊ะ กลิ่นน้ำซุปลอยมาตามลมดึงดูดใจนางยิ่งนัก มองเลยไปพบเด็ก ๆ ในชุดผ้าเนื้อหยาบกำลังต่อแถวซื้อถังหูลู่ซึ่งเป็นผลไม้เคลือบน้ำตาลแต่อาจไม่ได้ดูฉูดฉาดเท่ายุคสมัยของนางเท่านั้น
นางมองดูสภาพแวดล้อมรอบตัวแล้วรู้สึกเหมือนเป็นคนนอก...
ดวงตางดงามเพ่งมองไปทั่ว กำลังมองหาลู่ทางเพื่อทำเงิน นางย้อนกลับมาในยุคสมัยที่ตัวเองไม่รู้จัก เรียนรู้วิถีใหม่ทุกอย่างตั้งแต่แรก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้กลับโลกเดิมไหม ที่ที่จากมายังถือว่านางมีตัวตนอยู่หรือไม่ ทว่าก็ดูซับซ้อนมากขึ้นไปอีกเมื่อนางมาที่นี่ด้วยร่างกายตัวเองหาใช่จู่ ๆ ไปตื่นในร่างผู้ใดก็ไม่ทราบ ตามหลักต้องบอกว่าเป็นบุคคลสาบสูญน่าจะถูกต้องกว่า

บทที่ 2ค้นพบ มิติวิเศษหลังจากแยกย้ายกับจากเถ้าแก่ซ่ง สิ่งหนึ่งที่นางพบคือไม่ว่าเดินไปที่ใดก็มักเป็นที่สะดุดตาของผู้พบเห็น ด้วยรูปร่างสะโอดสะองสมส่วนไปเสียหมดล้วนแต่ดึงดูดสายตาจากทั่วสารทิศให้มองมาหากแต่นางมิได้สนใจนัก คนงามรีบเดินไปหาโรงเตี๊ยมซึ่งถามจากหญิงชรา เนื่องจากตอนนี้ทั้งหิวและอยากพักผ่อนมากเหลือเกิน ขณะกำลังเดินไปตามทาง ในหัวคิดวิเคราะห์จากประสบการณ์การอ่านนิยายว่าค่าเงินในยุคนี้มีค่าเท่าใด จำนวนอัฐที่ได้มาจะสามารถอยู่ได้หลายวันหรือเปล่าเถ้าแก่ซ่งได้ไปสิบเหรียญทองกับอีกห้าเหรียญเงิน เขาดูดีใจมากเพียงนั้นเป็นไปได้ว่าจำนวนเงินคงมิใช่น้อยเป็นแน่เมื่อลองเปรียบเทียบค่าเงินที่พอจะจำได้ พลันรู้สึกได้ว่าเงินนั้นคงเยอะพอสมควรเลยทีเดียวกลิ่นน้ำซุปที่ลอยมาตามลมดึงความสนใจจากเซียวอันหนิงแทบทันที ตอนนี้ร่างกายทั้งหิวโหยอ่อนล้า เพียงกลิ่นน้ำซุปหอมที่ลอยมาตามลมมันก็แทบทำให้น้ำลายสอเสียแล้ว นางเริ่มมองหาที่มาของกลิ่นน้ำซุปว่าอยู่ตรงที่ใด อย่างน้อยก่อนไปโรงเตี๊ยมได้กินบะหมี่ผักสักชามก็ยังดี นางไม่อยากเสี่ยงไปโรงเตี๊ยมแล้วไม่มีอะไรกินต้องนอนทนหิวไปทั้งอย่างนั้น หลังจากมองซ้ายขวาอยู่หลายคร
ข้ามมิติมาแบบไม่รู้ตัว(ตอนปลาย)ยามซื่อ (ยามมะเส็ง คือช่วงเวลา 09:00 – 10:59 น.)นางเดินลัดเลาะจนมาถึงตรอกที่หญิงชรากล่าวถึง ตรงบริเวณนี้ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านมากนัก เซียวอันหนิงมองตรงไปเห็นร้านเครื่องประดับตั้งแผงขายอยู่ ลูกค้าไม่ค่อยมีนักหากแต่ผู้ขายกลับดูขัดตากันเล็กน้อย ผู้ขายเป็นบุรุษ ส่วนสูงปานกลาง ลักษณะทางกายไม่อ้วนผอมชัดเจน ใบหน้ามีลักษณะสื่อว่าเป็นคนใจซื่อ แววตาไม่เจ้าเล่ห์แสนกล ผิวพรรณออกเข้ม เมื่อคนลักษณะเช่นนี้มาขายเครื่องประดับจึงดูแปลกไปเสียหน่อย หญิงสาวมองไปก่อนคิดได้ว่าหากนางสามารถขายเครื่องประดับพวกนี้ได้สักชิ้นคงมีส่วนแบ่งพอให้ใช้ชีวิตไปหลายวัน เนื่องจากเครื่องประดับงดงามหากแต่ผู้ค้าทำให้ดูขัดตาจึงมีลูกค้าน้อยตามไปด้วยเถ้าแก่ซ่งนั่งมองเครื่องประดับตนเองซึ่งขายไม่ออกเท่าที่ควร พวกมันงดงามทว่าไม่มีผู้ใดอยากครอบครองพวกมันเลย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงได้ปิดร้านแทนเป็นแน่แท้ เขาขาดทุนมาหลายเดือนแล้ว สถานะทางการเงินเปลี่ยนไปพอสมควร จากมีลูกจ้างก็ต้องมานั่งขายเอง จนตอนนี้ผ่านมาเป็นเดือนยังขายไม่ได้สักชิ้นเดียว ห่วงก็แต่บุตรสาวผู้มีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เจ็บป่วยบ่อยกระเสาะกระแส
บทที่ 1ข้ามมิติมาแบบไม่รู้ตัวแสงตะวันยามเช้าทอประกายสีทองอ่อน ความอบอุ่นจากดวงอาทิตย์แผ่กระจายทั่วหมู่บ้าน ‘ธาราใส’ผู้คนเริ่มตื่นนอนเพื่อเริ่มวิถีชีวิตและการทำงาน บางครอบครัวแบกจอบแบกเสียมเข้าไปทำไร่ตามวิสัยปกติ บางครอบครัวพากันลุกขึ้นมาทำอาหาร ควันจากการทำอาหารลอยอบอวลส่งกลิ่นหอมจากปล่องควัน ล่องลอยไปตามลมเชิญชวนทุกผู้คนให้น้ำลายสอ เสียงจากวิถีชีวิตอันเริ่มดำเนินไปเป็นเหตุให้ความสงบถูกความวุ่นวายเริ่มแสดงตัวณ บ้านร้างแห่งหนึ่งในหมู่บ้านซึ่งห่างไกลจากบ้านชาวบ้าน...ตัวบ้านค่อนข้างทรุดโทรมเนื่องจากไร้ซึ่งคนเข้ามาอยู่อาศัยนานหลายปี ภายในบ้านมีหญิงสาวผู้หนึ่งนอนอยู่บนเตียงไม้เก่า ๆ ภายในกระท่อมมีกลิ่นอับชื้นโชยมาเป็นเหตุให้ร่างบางซึ่งนอนอยู่บนเตียงไม้ค่อย ๆ รู้สึกตัว นางมีอาการสะลึมสะลือเล็กน้อย มองไปรอบ ๆ พลันรู้สึกประหลาดกับบรรยากาศไม่คุ้นเคย สิ่งแรกที่มองเห็นเป็นหลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผา มีรอยแตกร้าว อีกทั้งยังมีแสงเล็ดลอดเข้ามาราวกับประกาศศักดาความผุพังของมัน ยามกวาดสายตาไปรอบ ๆ นางเห็นผนังของตัวบ้านแสนเก่าคร่ำครึ แม้แต่อิฐยังมีรอยแตกร้าว หยากไย่พาดไขว้ไปมาทุกหนแห่งอันเป็นมุมอ








