อวิ๋นฝูหลิงข่มความปลื้มปีติในใจไว้ แสร้งทำท่าทางจงเกลียดจงชังตาม แล้วเสนอความคิดว่าออกมาว่า “เขาจะขึ้นราคา พวกเราจะไม่ซื้อก็ได้นี่เจ้าคะ!”“ใช่ว่าราชวศ์ต้าฉีจะมีแค่สกุลเซี่ยของพวกเขาสกุลเดียวเสียหน่อยที่มียาสมุนไพร!”“หรือว่าพวกเราจะยอมถูกสกุลเซี่ยบีบคั้นอยู่แบบนี้ พวกเขาจะขึ้นราคายาสมุนไพรอย่างไรก็ได้อย่างนั้นหรือ?”นายท่านเจิ้งถอนหายใจเบา ๆ พลางว่า “ใช่ว่าพวกเราจะไม่เคยคิดเช่นนี้?”“แต่ใครใช้ให้สกุลเซี่ยเป็นโรงโอสถที่ใหญ่ที่สุดในต้าฉีเล่า?”“สกุลเซี่ยเป็นคนปลูกยาสมุนไพรเองทุกตัว ไม่ว่าพวกเราจะต้องการเท่าไร พวกเขาก็เอาออกมาให้พวกเราได้”“โรงโอสถอื่น ๆ ส่วนมากก็ได้ยาสมุนไพรมาจากนักเก็บสมุนไพรทั้งนั้น”“ซึ่งยาสมุนไพรจากนักเก็บสมุนไพรก็เก็บมาจากในป่าในเขาทั้งนั้น แน่นอนว่าจำนวนของพวกเขาเทียบกับของสกุลเซี่ยไม่ติดเลย”“หากพึ่งพิงเพียงแต่นักเก็บสมุนไพรเหล่านี้ ยาสมุนไพรในร้านค้ายาของพวกเราก็ไม่มีทางพอใช้หรอก!”นายท่านอู๋และคนอื่น ๆ พากันพยักหน้าตาม ต่างคนต่างแย่งกันพูดกันยกใหญ่พวกเขาเองก็ไม่อยากถูกสกุลเซี่ยบีบเช่นกัน และยิ่งไม่อยากให้สกุลเซี่ยเป็นคนกำหนดราคายาสมุนไพรทว่าหากไม่ซ
วันต่อมา อวิ๋นฝูหลิงจึงหยิบห่อผ้าหลายห่อไปหาพวกนายท่านเจิ้ง“นี่คือยาสมุนไพรที่ปลูกขึ้นในสวนสมุนไพรที่ข้าพูดถึงเมื่อวาน”อวิ๋นฝูหลิงเปิดห่อผ้าแต่ละห่อออก เรียกให้พวกนายท่านเจิ้งเข้ามาตรวจสอบของทันทีที่ห่อผ้าเปิดออก กลิ่นยาหอม ๆ ก็อบอวลไปทั่วทั้งห้องภายในชั่วพริบตาพวกนายท่านเจิ้งคลุกคลีอยู่กับยาสมุนไพรตลอดทั้งปี การพินิจว่ายาสมุนไพรมีคุณภาพดีหรือเลวนั้นบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้ตามอง เพียงแค่สูดกลิ่นก็ตัดสินได้แล้วทันทีที่ได้กลิ่นหอมของยาที่ลอยอยู่ในห้อง ดวงตาของนายท่านเจิ้งและคนอื่น ๆ อีกอดเปล่งประกายขึ้นมาไม่ได้พวกเขารีบก้าวเท้าเข้าไปห้อมล้อมมุงดูสมุนไพรในห่อผ้าหลายห่อที่อวิ๋นฝูหลิงนำมาอวิ๋นฝูหลิงนำยาสมุนไพรมาหลากหลายชนิด รวม ๆ กันแล้วอย่างน้อยก็มีถึงยี่สิบชนิดหลังจากที่นายท่านเจิ้งและคนอื่น ๆ ได้ตรวจดูแล้ว ความประหลาดใจในดวงตาก็เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ คุณภาพของยาสมุนไพรเหล่านี้ไม่ด้อยไปกว่าสกุลเซี่ยเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีหลากหลายชนิดนายท่านอู๋หยิบตังเซียมขึ้นมาหนึ่งกำมือ กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนสั่นเครือว่า “แม่นางอวิ๋น ยาสมุนไพรที่เจ้านำมาเหล่านี้ ล้วนปลูกขึ้นมาเอ
อันที่จริงสมุนไพรที่ปลูกอยู่ในสวนสมุนไพรด้านในมิติของอวิ๋นฝูหลิงพวกนั้นมีคุณภาพดีเกินไปหากนำสมุนไพรที่เติบโตอยู่ในสวนสมุนไพรด้านในมิติออกมาให้ดูเป็นตัวอย่าง แต่สมุนไพรที่นำส่งกลับเป็นสมุนไพรที่เติบโตอยู่ในสวนสมุนไพรที่เจียงโจวและชานเมืองเมืองหลวงทั้งสองที่นี้ คุณภาพสมุนไพรของทั้งสองแห่งนี้ย่อมด้อยกว่าแน่นอนหากคุณภาพสมุนไพรตอนที่นำส่งคุณภาพดีกว่าของตัวอย่างเช่นนั้นก็ถือว่าดีนักทว่าใจของอวิ๋นฝูหลิงนั้นชัดแจ้งดีว่า สมุนไพรที่เติบโตในสวนสมุนไพรทั้งสองแห่งของเจียงโจวและชานเมืองเมืองหลวงนั้นจักต้องเทียบสมุนไพรในมิติไม่ติดแน่นอนหากนำสมุนไพรของสวนในมิติออกมาขาย อวิ๋นฝูหลิงย่อมทำใจไม่ได้ได้แน่สมุนไพรของสวนสมุนไพรในมิติของนางเหล่านั้น นางเก็บไว้เพื่อปรุงยาแก่ตัวเอง ไม่มีทางนำสมุนไพรที่เติบโตอยู่ในสวนด้านในมิติออกมาเผยแพร่ต่อหน้าผู้คนแน่นอนดังนั้นอวิ๋นฝูหลิงจึงเลือกซื้อสมุนไพรจากท้องตลาดจำนวนหนึ่งมาใช้ในสำนักช่วยชีพเป็นการชั่วคราวกระทั่งนายท่านอู๋และคนอื่น ๆ ได้สติกลับมา นายท่านเจิ้งก็เริ่มหารือเรื่องจัดซื้อสมุนไพรกับอวิ๋นฝูหลิงอยู่ข้าง ๆ เป็นที่เรียบร้อยนายท่านอู๋ลอบด่านายท่านเจิ
หลังจากอวิ๋นฝูหลิงหารือตกลงร่วมมือกับนายท่านเจิ้งและคนอื่น ๆ เรียบร้อยแล้ว ก็พูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อย จึงกล่าวขอตัวลาหลังออกมาจากเรือนรับรอง นางจึงเดินเลียบไปตามทางเล็ก ๆ ที่ห้อมล้อมไปด้วยดอกไม้และต้นไม้ได้ไกลระยะหนึ่ง ก็เห็นว่าด้านในศาลาริมทางมีเหล่าท่านหมอชราผู้มีผมและหนวดเคราสีขาวดอกเลากำลังถกเถียงอะไรบางอย่าง ทั้งยังถกเถียงกันจนหน้าดำหน้าแดงไปหมดอวิ๋นฝูหลิงชะงักฝีเท้าเล็กน้อย ขณะที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะทำเป็นไม่เห็น มุ่งหน้าเดินต่อไปหรือเข้าไปฟังสักและไกล่เกลี่ยสักหน่อยดีเพราะถึงอย่างไรแล้ว นางในฐานะที่เป็นเจ้าภาพการประชุม หากมีหมอบางคนเกิดก่อเรื่องขึ้นมาในอวิ๋นเทียนเยวี่ยน ต้องมิเป็นการดีแน่ท้ายที่สุด นางก็จำต้องออกหน้าไปไกล่เกลี่ยทว่ายังไม่ทันที่อวิ๋นฝูหลิงจะตัดสินใจ นางก็ถูกคนตะโกนเรียกไว้ก่อน“แม่นางอวิ๋น!”นางมองไปตามเสียง คาดไม่ถึงว่าคนที่ตะโกนเรียกนางไว้จะเป็นเฉิงชงรองเจ้าสำนักหมอหลวงฝ่ายซ้ายครั้นเห็นว่าอวิ๋นฝูหลิงมองไป เฉิงชงก็รีบออกมาจากศาลาทันที เขาหยุดอยู่ห่างจากอวิ๋นฝูหลิงสามถึงสี่ก้าว แล้วประสานมือคำนับนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพยิ่งว่า“พวกเรากำลังถกกันเรื่
ทว่าวิธีการผ่าท้องนั้นอันตรายมากเหลือเกิน นับแต่อดีตจวบจนบัดนี้ ก็มีเพียงอวิ๋นฝูหลิงคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้ยิ่งไปกว่านั้นการผ่าตัดเมื่อก่อนของอวิ๋นฝูหลิงก็ได้พูดอย่างชัดแจ้งไว้ล่วงหน้าแล้วว่า วิธีการผ่าท้องนี้นางมิได้มีความมั่นใจเต็มที่มากนัก มีความมั่นใจเพียงห้าส่วนเท่านั้นดังนั้นการที่คุณชายน้อยสกุลลู่กับฮูหยินน้อยสู่สามารถมีชีวิตรอดมาได้ นอกจากอวิ๋นฝูหลิงจะเหนือชั้นทางฝีมือการแพทย์แล้ว เกรงว่ายังต้องพึ่งโชคอีกเล็กน้อยหลาย ๆ คนจึงโต้เถียงกันทางหนึ่งคิดว่าการผ่าท้องนั้นสุ่มเสี่ยงเกินไป ไม่อาจเอาชีวิตของผู้ป่วยไปเสี่ยงอันตรายด้วย ส่วนอีกทางก็คิดว่าโรคฝีลำไส้เฉียบพลันนี้เป็นโรคร้ายแรง ใช้ยาก็จะเห็นฤทธิ์ช้าไป บางทียังไม่ทันรอให้ยาออกฤทธิ์ คนก็สิ้นลมเพราะความเจ็บปวดไปเสียก่อนระหว่างที่โอกาสที่จะรอดชีวิตเลือนราง สู้ต่อให้ไร้ซึ่งความหวังแต่ก็ยังพยายามเต็มที่เสียดีกว่าแม้ผ่าท้องจะมีอันตราย ทว่าจะดีร้ายอย่างไรก็ยังมีความหวังที่จะรักษาให้หายขาดได้ถึงครึ่งเชียวนะ!แล้วบัดนี้ก็ได้พบกับอวิ๋นฝูหลิงผู้เป็นเจ้าของหัวเรื่อง ในฐานะที่เป็นหมอที่ผ่าท้องคนไข้ และคนไข้ยังมีชีวิตรอดอยู่ต่อมา
ทันทีที่เฉิงชงคิดได้เช่นนั้น ก็รีบประสานมือคารวะอวิ๋นฝูหลิง กล่าวขอคำชี้แนะด้วยสีหน้าท่าทางถ่อมตัวว่า“เป็นจริงอย่างที่แม่นางอวิ๋นว่า หากพบโรคฝีลำไส้ชนิดเฉียบพลัน นอกจากผ่าท้องตัดลำไส้ตายออก ก็ไม่มีหนทางที่ดีกว่านี้แล้ว” “เพียงแต่ทันทีที่ผ่าท้อง คนป่วยจะไข้ขึ้นสูงไม่ลด บาดแผลบวมแดงและเป็นหนอน ต่อมาก็สิ้นลมหายใจ”“มีเพียงคนไข้สองรายที่แม่นางอวิ๋นผ่าท้องให้เท่านั้น ที่ยังมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้”“โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผ่าท้องเอาเด็กออกให้ฮูหยินน้อยจวนแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดิน แม่นางอวิ๋นนับว่าเป็นคนแรกตั้งแต่อดีตจนถึงบัดนี้เลยเชียว”“ไม่ทราบว่าแม่นางอวิ๋นมีเคล็ดลับอะไรอยู่ในมือหรือไม่ ที่เกี่ยวข้องกับส่วนสำคัญที่รักษาชีวิตไว้ได้?”คำถามนี้ของเฉิงชงเรียกได้ว่าช่างไม่รู้จักมารยาทเอาเสียเลยต่อให้เป็นท่านหมอที่มีชื่อเสียงเล็กน้อย มีใครบ้างที่ไม่มีศาสตร์ลับอยู่ในมือสักอย่างสองอย่าง?ศาสตร์ลับนี้เป็นพื้นฐานในการตั้งตัวของพวกเขา และเป็นเชื้อไฟที่ไม่มีวันหมดแก่ชนรุ่นหลังของตระกูลต้องกุมศาสตร์ลับของตระกูลตนไว้ให้แน่น ศาสตร์ลับของตระกูลอื่นก็ต้องคอยถ่างตารอโอกาสได้ยลสักหนทุกคนล้วนมีความคิดอย
ขณะที่เฉิงชงกำลังกางหูรอฟังอยู่นั้น ใครจะคาดคิดว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับพูดออกมาว่า “แต่ว่าส่วนสำคัญนี้ มิใช่ว่าเมื่อครู่นี้ข้าได้พูดให้ทุกท่านฟังไปแล้วหรอกหรือ!”หลังจากอวิ๋นฝูหลิงพูดเช่นนั้นออกไป ก็เปลี่ยนไปหัวเราะเสียงเย็น มองเฉิงชงแล้วกล่าวว่า “ได้ยินว่าท่านหมอหลวงเฉิงมีศาสตร์ลับรักษาอาการแก้ไปที่สืบทอดต่อกันมาของตระกูลจาง มิลองนำมาให้ทุกท่านได้ศึกษาดูสักหน่อยหรือเจ้าคะ?”เฉิงชงได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าพลันแข็งค้างไปในชั่วพริบตา ริมฝีปากสั่นระริกพูดอะไรไม่ออกดวงตาของอวิ๋นฝูหลิงกวาดมองไปยังคนอื่น ๆ ที่เหลือครั้นท่านหมอทั้งหลายในศาลานี้สบเข้ากับดวงตาของนาง ก็พากันก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตานางตรง ๆ“ข้ายังมีธุระอื่น ต้องขอตัวก่อน”อวิ๋นฝูหลิงหัวเราะเสียงเย็น หลังพูดออกไปเช่นนั้นก็ลุกขึ้นยืน แล้วค่อย ๆ เดินจากไปทิ้งให้คนที่อยู่ในศาลาได้แต่มองหน้ากันไปมาผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดก็มีคนเอ่ยปากขึ้นมาก่อน ราวกับต้องการจะทำลายบรรยากาศอึดอัดนี้ไป “จุดสำคัญที่แม่นางอวิ๋นพูดถึงว่าบอกกับพวกเราแล้วนั้น คืออันใดกัน?”คนอื่น ๆ ก็รีบทบทวนความทรงจำกันทันทีหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ก็มีคนพูดออกมาว่า “หากข้าจ
เมื่อครู่ตอนถกเถียงเรื่องฝีลำไส้ อวิ๋นฝูหลิงได้พูดอย่างชัดเจนแล้ว ถ้าหากผ่าท้อง สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาความสะอาด ไม่ให้บาดแผลติดเชื้อนางชี้แนะถึงขั้นนี้ มันก็เพียงพอแล้วส่วนทำอย่างไรไม่ให้บาดแผลติดเชื้อ ย่อมเป็นเพราะนางมียา อีกทั้งยังเป็นยาในมิติที่เติมน้ำพุวิญญาณแต่นางไม่มีทางพูดเรื่องเหล่านี้!นอกจากนี้ทำไมนางต้องบอกพวกเฉิงชง?แต่ว่าเฉิงชงคนนั้นก็ตาไม่ถึงจริงๆเขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงกล้ามาถามสูตรลับกับนางโดยตรง?อาศัยที่เขาหน้าด้านมากพอหรือ?เดิมทีอวิ๋นฝูหลิงก็ไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับเฉิงชงอยู่แล้ว หลังจากผ่านเรื่องนี้ ยิ่งไม่ชอบเขาแล้วนางพ่นลมออกจากปากเบาๆ ตั้งใจจะปัดเรื่องที่ไม่สบอารมณ์เหล่านี้ทิ้งไปให้หมด ใครจะรู้ว่านางเพิ่งเดินไปได้สองก้าว จู่ๆ ก็มีความคิดที่แปลกประหลาดแวบเข้ามาในสมองนางนึกถึงคดีคนหายที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงเมื่อไม่นานมานี้ผู้หญิงที่หายตัวไปเหล่านั้น มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือพวกนางล้วนเป็นผู้หญิงตั้งครรภ์ใครจะยอมลำบากไปลักพาตัวผู้หญิงตั้งครรภ์โดยเฉพาะ?ไม่ว่าจะเพื่อเงินหรือเรื่องทางเพศ ผู้หญิงตั้งครรภ์ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดแน
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปจากจุดพักแรมของทางการนี้ยามนี้คนผู้นั้นซึ่งคิดจะหลบหนีออกจากจุดพักแรมถูกจับตัวอยู่ และถูกทหารลาดตระเวนโยนมาไว้ตรงหน้าเซียวจิ่งอี้แล้ว เหล่าทหารองครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเวินเจา จำคนผู้นั้นได้ทันทีว่าเป็นสตรีผู้นั้นซึ่งมาส่งอาหารก่อนหน้านี้เมื่อเอาเรื่องราวมารวมเข้าด้วยกัน ก็รู้ได้ว่านางจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษเวินเจาเป็นแน่เซียวจิ่งอี้ลูบแหวนหยกบนมือ สายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา“เหตุใดเจ้าต้องวางยาพิษด้วย?”“ในจุดพักแรมยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าอีกหรือไม่?”สตรีผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะ โดยไม่ได้ตอบคำถามเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้นก็มิได้โกรธ และออกคำสั่งว่า “ไปพาตัวทุกคนในจุดพักแรมแห่งนี้มา ตรวจสอบพื้นเพของสตรีผู้นี้ให้ละเอียด จับตัวทั้งครอบครัวของนางมาให้หมด!”มีผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามคำสั่งทันทีเซียวจิ่งอี้สังเกตการแสดงออกของสตรีผู้นั้น ทว่ากลับเห็นว่าการแสดงออกของนางไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ยามที่ได้ยินเซียวจิ่งอี้บอกว่าจะจับทั้งครอบครัวของนางมา ก็ยังไม่แม้แต่จะขยับคิ้วแววตาของเซียวจิ่งอ
รอบด้านรถคุมตัวนักโทษมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่สิบกว่าคน ทหารองครักษ์เรียกได้ว่าเข้มงวดมากทันทีที่มีคนเข้ามาใกล้ พวกทหารองครักษ์ก็ตะโกนออกไปอย่างระแวดระวัง “ใคร?”หญิงที่มาส่งอาหารราวกับถูกเสียงตะโกนทำให้ตกใจ และพูดอย่างสั่นเทาทันที “ใต้...ใต้เท้า ข้าน้อยเป็น...เป็นคนที่มาส่งอาหารเจ้าค่ะ...”เหล่าทหารองครักษ์มองบะหมี่บนถาดในมือนาง สีหน้าจึงเพิ่งอ่อนลงหลายส่วนหนึ่งในนั้นโบกมือ “เข้ามา”หญิงส่งอาหารผู้นั้นจึงเพิ่งก้าวไปด้านหน้า ถือบะหมี่ไปยังรถคุมตัวนักโทษคาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ยังมิทันได้ไปตรงหน้ารถคุมตัวนักโทษ ก็ถูกคนขวางทางไว้ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งถือเข็มเงินไว้ในมือ แสดงท่าทีว่าจะทดสอบพิษในบะหมี่เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นเช่นนี้ แววตาก็เกิดประกายวาบผ่านเล็กน้อยผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ลดสายตาลงอย่างรวดเร็ว และปกปิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไว้ทหารองครักษ์ใช้เข็มเงินทดสอบในบะหมี่ เมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยนสี จึงเพิ่งพยักหน้าให้คนด้านข้างเล็กน้อยคนผู้นั้นก้าวมาด้านหน้ารับบะหมี่ไปทันที และกล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เจ้าไปได้แล้ว”หญิงผู้นั้นสะดุ้งก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว
ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั
จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ
อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า
ท่านหมอในสำนักผิงอันต่างมองไปที่ตำราแพทย์ในมือหางซานสุ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายนั่นเป็นถึงตำราแพทย์ที่บันทึกศาสตร์ฝังเข็มและเทียบยาสำหรับการรักษาผู้ป่วยเสพติดขี้ผึ้งทองเชียวนะโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นผู้เขียนตำราเล่มนี้ด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันมานี้ ท่านหมอในเมืองจินโจวถือว่าได้เปิดหูเปิดตารับรู้ถึงฝีมือการแพทย์อันสูงส่งของอวิ๋นฝูหลิงแล้วยามหารือเรื่องการรักษาผู้ป่วยติดขี้ผึ้งทอง นางก็มักจะหาแนวทางสำหรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดออกมาเสมอทักษะฝังเข็มล้ำเลิศ เทียบยาก็ล้ำลึกพิสดาร แม้จะเป็นท่านหมออาวุโสที่สั่งสมประสบการณ์มานานก็ยังมีบ้างที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอหญิงอ่อนวัยที่อายุเพิ่งยี่สิบปีมีท่านหมอในเมืองจินโจวบางคนที่รู้สึกว่า การที่อวิ๋นฝูหลิงมีชื่อเสียงเลื่องลือนั้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะรัศมีอันมีติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยนางถือกำเนิดในสกุลอวิ๋นเท่านั้น นางถึงได้มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพอยู่บ้างในแวดวงแพทย์เช่นนี้ทว่าใครจะไปรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับใช้ฝีมือการแพทย์ของตัวเองมาตบหน้า สอนเป็นบทเรียนให้พวกเขาอย่างดีหลังได้รู้ซึ้งถึงฝีมือการแพทย์ของ
ขุนนางที่ถูกส่งมาใหม่เหล่านี้ ต่างทยอยเดินทางมาถึงจินโจวกันแล้วในช่วงไม่กี่วันมานี้ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง งานบริหารราชการและบริหารกองทัพของจินโจวล้วนมีเซียวจิ่งอี้รับผิดชอบชั่วคราวบัดนี้ขุนนางชุดใหม่มาถึงแล้ว แน่นอนว่าเซียวจิ่งอี้ย่อมเริ่มมอบหมายงานแก่พวกเขา คืนอำนาจบริหารราชการและกองทัพของจินโจวให้ขุนนางที่เหมาะสมจากความหมั่นเพียรและการจัดระเบียบของเซียวจิ่งอี้ งานบริหารราชการในเมืองจินโจวจึงได้รับการจัดระเบียบเป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว ขอแค่เหล่าขุนนางที่มารับหน้าที่นี้ต่อไปมัวแต่กินดื่ม ไม่ทำการงาน ก็สามารถบริหารปกครองเมืองจินโจวได้ และฟื้นฟูให้จินโจวรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้สิ่งเดียวที่ทำให้เซียวจิ่งอี้ไม่สบอารมณ์และปวดหัวก็คือ จวบจนบัดนี้ยังไม่อาจจับกุมตัวราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นได้ไม่ว่าจะค้นหาไปทั่วเมือง หรือใช้เวินเจาเป็นเหยื่อล่อ ล้วนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นอีกทั้งประตูเมืองจินโจวก็ไม่อาจปิด ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าออกได้เป็นเวลานานได้แม้ว่าประชาชนจะไม่กล้ามีปากเสียง แต่การชดเชยเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันก็นับว่าเป็นปัญหานอกจากนี้ประ