“น้องชาย เครื่องเสวยเช้าท่านอ๋อง พี่สาวรบกวนเจ้านำเข้าไปข้างในให้ด้วย เสี่ยวป๋อไม่รอช้ารีบรับเครื่องเสวย จากมือของเจิ้งเหมย
“ให้นางนำเข้ามา”
สั่งเสียงเฉียบขาดเหมือนกับตั้งใจฟังอยู่หลังประตูนั่น
เสี่ยวป๋อดันถาดเครื่องเสวยส่งคืนเจิ้งเหมยอย่างรวดเร็ว พยักพเยิดให้เจิ้งเหมยเข้าไปเร็วๆ เพื่อความปลอดภัยตัวเองกลับวิ่งออกจากตรงนั้นไปทันที
เจิ้งเหมยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วผลักประตูเข้าไป ชนเอาร่างใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าประตูเข้าเต็มแรงข้าวต้มร้อนๆ หกราดเสื้อผ้าของจินเฉิงอู่จนเปรอะเปื้อน เจิ้งเหมยถลาเข้าปัดเสื้อที่เลอะจนใบหน้าใสชนเอากับใบหน้าคมเข้มของท่านอ๋องอย่างไม่ทันระวัง จินเฉิงอู่จับมือบางไว้แน่นจนเจิ้งเหมยรู้สึกเจ็บ สายตาคมดุดันจ้องมอง คุกเข่าลงกระแทกพื้นอย่างแรงด้วยความเคยชิน จนรู้สึกเจ็บที่หัวเข่า แต่ก็กัดฟัน ข่มความเจ็บปวด
“ท่านอ๋องโปรดอภัย”
จินเฉิงอู่ส่ายหน้าปัดเศษข้าวต้มที่เลอะเสื้อ ดีที่เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่มีหลายชั้นถอดเสื้อคลุมออก คังซื่อฮั่นกับเสี่ยวป๋อวิ่งมาพอดี เสี่ยวป๋อรีบไปรับเสื้อคลุมมาถือไว้ด้วยใบหน้าหวาดกลัว เจิ้งเหมยก้มหน้านิ่ง
“ท่านอ๋องเสี่ยวป๋อไปสั่งห้องเครื่องนำเครื่องเสวยมาใหม่”
“รึวันนี้ข้าต้องทนแขวนท้องรอไปเรื่อยๆ ”
เสี่ยวป๋อก้มลงเก็บของที่หกแล้ววิ่งหายไปทางห้องเครื่อง
คังซื่อฮั่น ย่อตัวลงก้มมองใบหน้าสำนึกผิดปนเศร้าสร้อยของเจิ้งเหมยแล้วก็ดึงแขนเจิ้งเหมยให้ลุกขึ้น แต่นางกลับไม่ยอมลุก
“คุกเข่า สามชั่วยาม”
สะบัดตัวเข้าห้องไป คังซื่อฮั่นเดินตามเข้าไปข้างใน
“ท่านอ๋องนางร่างกายบอบบาง แล้วยังจะเพิ่งหายจากแผลที่ถูกโบย ไม่ใจดำไปหน่อยหรือหากจะให้นางรับโทษ”
ออกอาการโมโหจนอีกคนรู้สึกไม่ปกติคังซื่อฮั่นไม่ใช่คนพูดมาก
“เจ้า กลายเป็นพวกนางไปเสียตั้งแต่เมื่อไหร่หรือว่าถูกเจิ้งเหวยพ่อของนางซื้อตัวไปเสียแล้ว จึงเห็นอกเห็นใจนางเพียงนี้”
คังซื่อฮั่นเดินไปยืนริมหน้าต่าง
“ท่านอ๋องนางเพียงแค่หญิงบอบบาง ไร้ภัยคุกคาม”
แก้ตัวแทนเจิ้งเหมย
“เช่นไรถึงเรียกไร้ภัยคุกคาม นางทำให้เจ้ากับข้าต้องมานั่งทะเลาะกันเพราะเรื่องของนาง นับว่านางมีความสามารถในการโน้มน้าวเจ้าได้ไม่น้อย”
คังซื่อฮั่นถอนหายใจ เสี่ยวป๋อน้ำเครื่องเสวยอีกชุดมาถึง หยุดมองเจิ้งเหมย ก่อนจะขยิบตาให้เหมือนจะบอกว่าไม่ต้องห่วง เพียงอึดใจเดียวชายาเอกโยวเสวียนก็เดินเข้ามาบ้าง
“ลุกขึ้น”
สั่งเจิ้งเหมย ให้ลุกก่อนจะพยักหน้าให้ออกจากตรงนั้นไป เจิ้งเหมยเดินกะเผลกด้วยยังปวดหัวเข่าแต่ก็พยายามเดินให้เป็นปกติที่สุด
“ท่านอ๋องโมโหแต่เช้าทำลายสุขภาพ โยวเสวียนปวดศีรษะนิดหน่อยจึงไม่ได้ ส่งเครื่องเสวย”
นั่งลงข้างๆ ใช้ตะเกียบคีบอาหารวางบนถ้วยข้าวอย่างเอาใจ คังซื่อฮั่นถอยออกมา รีบตามเจิ้งเหมยไป
“ช่างเถอะ ข้าไม่ได้เป็นอะไรเพียงแค่เปรอะเปื้อนนิดหน่อย”โยวเสวียนยิ้ม
“ท่านอ๋องพูดเช่นนี้ได้นับว่าดีไม่น้อย นางอย่างไรก็เป็นถึงบุตรสาวใต้เท้าเจิ้ง”
อ๋องห้าเพียงแค่ยิ้มๆไม่เอ่ยคำใด
สำหรับโยวเสวียนเพียงแค่ไม่อยากให้นางมานั่งให้จินเฉิงอู่มองหน้าสวยสดใสจนติดตราตรึงใจอยู่ถึงสามชั่วยาม
คังซื่อฮั่นตามมาทัน มองเจิ้งเหมยที่เดินกะเผลกด้วยความชั่งใจ คว้าแขนเล็กไว้ แล้วช้อนร่างบางมาอุ้มไว้แนบอก เจิ้งเหมยตกใจไม่น้อย
“อย่าดิ้น เจ้าเจ็บอยู่ไม่ใช่หรือข้าพา ….กลับที่พักเอง”
สาวเท้ายาวๆ ไปยังห้องพักของเจิ้งเหมย วางร่างเล็กลงบนเก้าอี้เหยียดขาของเจิ้งเหมยออกเบาๆ เจิ้งเหมยหดขาหนี
“ข้านวดให้”
“เกรงใจแล้วท่านองครักษ์เจิ้งเหมยแค่สาวใช้ต่ำต้อย ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”
ปลายเสียงเศร้าสร้อย
“เสี่ยวเหมยข้าเองก็ไร้พ่อขาดแม่ อาศัยในจวนท่านอ๋องโดยไร้ญาติขาดมิตรเช่นกัน”
ล้วงหยิบยา ดึงชายผ้าขึ้น ทายาที่หัวเข่าก่อนจะนวดเบาๆเจิ้งเหมยมองสบตาแล้วก็หันหน้าหนี คังซื่อฮั่นอมยิ้ม
“แผลที่หลังของเจ้า..หายดีหรือยัง”
เจิ้งเหมยพยักหน้ายิ้มๆ
“ยานั่น ฝ่าบาทประทานมาให้ ท่านอ๋องให้ข้านำมาให้เจ้าแต่พระชายากำลังจะมาเยี่ยมเจ้าข้าจึงฝากยานั้นมา”
เจิ้งเหมยขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดเพียงแต่เก็บเรื่องราวที่รับรู้ไว้ในใจ ในเมื่อยาที่ย่าหนานทาให้ทุกคืนเป็นยา สมุนไพรที่ย่าหนานขอแบ่งมาจาก ท่านหมอที่ตลาด
“เฉิงเจินควรไปรอพบฟูจินที่ด้านหน้าประตูวัง ส่วนพวกท่านสองคน ข้าหลายวันมานี้อ่านฎีกาจนปวดเมื่อย ตำหนักใหญ่เงียบเหงาหลายวันเราสามคนร่ำสุราผูกสัมพันเช่นเก่าก่อน”เหลียงซานป๋ออมยิ้ม“ไท่จือท่านอย่าทำพลาดอีกนะ ฝ่าบาทอุตส่าห์ลงมือเองเพียงนี้”เฉิงเจินประสานมือตรงหน้าอมยิ้มแก้มปริ“ข้าลาทุกท่าน รับรองด้วยการฝึกปรือจากเสด็จพ่อท่านอาทั้งสอง เฉิงเจินไม่มีทางทำให้ผิดหวังแน่”คนทั้งหมดส่ายหน้าไปมาประตูวัง จินเฉิงเจินเดินวนไปเวียนมาราวกับเสือติดจั่นเสียงฝีเท้าม้าควบตะบึงมาแต่ไกล จึงยิ้มได้ ฟูจินดึงบังเหียนม้าให้หยุดตรงหน้า“ไท่จือท่าน ฝ่าบาทมีเรื่องใดกันจึงบัญชาฟูจินกลับเข้าวังหลวงโดยเร็วหรือว่าฮองเฮา”สีหน้าร้อนรนเฉิงเจินยิ้มคว้าข้อมือบางกระชากลงจากหลังม้า ช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขน“ไท่จือ อย่าทำแบบนี้ ฟูจินมิใช่เด็กๆแล้วและเราสองคนก็โตกันแล้ว”“เราสองคนโตแล้วจึงเหมาะที่จะสร้างครอบครัว”ฟูจินขมวดคิ้ว“ปล่อยฟูจินก่อนเจ้าค่ะ”ดิ้นรนในอ้อมแขนแข็งแรง“ข้ารึ เป็นทุกข์อยู่เสียนานกลัวว่าเสด็จพ่อเสด็จแม่จะ กีดกันแต่มาวันนี้ทั้งสองพระองค์ไม่ใช่แค่ไม่กีดกันยังส่งเสริมข้ากับเจ้า”ส่งฟูจินขึ้นบนหลังม้ากระโดดข
“ฟูจินรับบัญชาฮองเฮาสิ่งที่ฮองเฮาเลือกให้ล้วนดีที่สุดแล้วสำหรับฟูจิน”น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวทว่าเศร้าสร้อย เจิ้งเหมยยิ้มฟูจินมักว่าง่ายเสมอ“เฉิงเจินกำลังจะแต่งไท่จือเฟยเจ้าเองคงเหงาและใจหายข้าจึงตั้งใจให้เจ้าแต่งกับบุตรชายแม่ทัพเว่ย เสียพร้อมกันจัดงานมงคลขึ้นพร้อมกัน”ฟูจินยิ้มเศร้าๆ“ฟูจิน ไยจึงมีสีหน้าเศร้าสร้อยเพียงนั้น หากไม่เต็มใจ ข้าจึงไม่บังคับเจ้า"ฟูจินย่อกายลงงดงาม"สิ่งที่ฮองเฮาเลือกให้ล้วนดีที่สุดแล้ว ทุกคนต่างมีหน้าที่ของตัวเองฟูจินเกิดมาก็ได้รับความเมตตาจากฝ่าบาทและฮองเฮาอยู่สุขสบายเหมือนองค์หญิงเรื่องใดที่เป็นหน้าที่พึงกระทำเพื่อตอบแทนคุณ”เจิ้งเหมยโอบกอดฟูจินอย่างอ่อนโยน“ข้าไม่เคยคิดว่าเป็นบุญคุณที่มีเจ้าเป็น ดังลูกสาวคังฟูจินหากมีสิ่งใดที่เจ้า หนักใจ บอกกับข้ามาเถิด” ลูบหลังไหล่ให้ ฟูจินสะอื้นเบาๆ เจิ้งเหมยผลักร่างของฟูจินถอยห่างสบตาค้นหาความจริงในดวงตาสีโศกยามเย็นย่ำจินเฉิงเจินเร่งฝีเท้ามายังตำหนักชิงหนิงกงเหลือบแลหาฟูจินแต่ไม่พบนาง“เสด็จแม่”เจิ้งเหมยเงยหน้าขึ้นจากการเย็บถุงหอม“มาแล้วหรือให้ใครตามตั้งแต่บ่ายเพิ่งจะมาถึง ไม่เห็นว่าการพบแม่สำคัญหรือไร คงต้องพูดเรื่องกา
พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เจิ้งเหมยอมยิ้ม ไท่จือมองฟูจินด้วยสายตาเจ็บซ้ำ“ฟูจินอายุน้อยกว่าเจ้า นางยังเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ ไท่จือลูกเองก็น่าจะเข้าใจ ตอนนี้เองไท่จือก็ไม่ได้มีผู้ใดในใจมิใช่หรือ อย่างนั้นหากได้พบองค์หญิงปี่เหยาเจ้าอาจเปลี่ยนใจก็ได้” ไท่จือแม้จะขัดใจเพียงใดแต่ก็ไม่อาจโต้แย้ง นึกน้อยใจฟูจินที่ไม่ช่วยเขาแล้วยังเข้าข้างเจิ้งเหมยที่เป็นมารดาอีก“ ให้เสด็จแม่รู้ไว้ด้วยเถิดว่าลูกไม่เคยจะเต็มใจที่จะแต่งไท่จือเฟยตามที่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่เห็นสมควร ลูกต้องการที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง และเลือกเองเพียงลำพังลูกพูดเพียงแค่นี้ ลูกทูลลา” ขยับตัวลุกขึ้น เหลือบมองฟูจิน สิ่งที่ฟูจินเห็นในนั้นคือแววน้อยใจ ที่ทำเอาฟูจินโศกสลดไม่แพ้กันเจิ้งเหมยส่ายหน้าช้าๆ"ยังทำตัวเหมือนองค์ชายน้อยไม่เปลี่ยน"ฟูจินแสร้งขบขันทางเดินทอดยาว ฟูจินตั้งใจออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ที่เศร้าหมองหาสาเหตุไม่ได้ เดินเรื่อยไปตามทาง ดวงอาทิตย์อัสดงไปแล้วภาพความทรงจำเก่าๆ ที่เคยวิ่งเล่นอยู่บริเวณนี้กับเฉิงเจิน เสียงหัวเราสอดประสาน พลันร่างอ้วนป้อมของฟูจินก็ล้มลงไปกองกับพื้น"บอกแล้วอย่างไรอย่าวิ่งตาม เห็นไหมบา
มิอาจพูดว่ารักฟูจิน จัดการหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบเรียบร้อย ฮองเฮานั่งอยู่บนแท่นนั่งอดไม่ได้ที่จะขยับตัวเข้าใกล้“ฟูจินนวดให้ไหมเพคะ”เจิ้งเหมยในวัยกลางคนทว่าใบหน้ากลับงดงามอ่อนกว่าวัย ยิ้มน้อยๆ“ไม่มีครั้งไหนที่ข้าจะปฏิเสธมีเจ้าเพียงผู้เดียวฟูจินที่นวดได้ถูกใจข้าเหลือเกิน”ฟูจินยิ้มหวาน ออดอ้อนซบหน้าลงบนตักกว้าง“ฮองเฮาเมตตาฟูจิน จนฟูจิน ไม่เคยโหยหาความรักจากมารดาทั้งๆ ที่ ไม่เคยมีมารดากับเขา”เจิ้งเหมยลูบศีรษะเบาเบาจะไม่เมตตาได้อย่างไรก็ในเมื่อคังซื่อฮั่น หอบเอาห่อผ้าที่มีทารกน้อยมา ยื่นส่งให้ตรงหน้าจินเฉิงอู่พร้อมกับ พูดเพียงสั้นๆว่าดูแลเขาแทนข้าด้วย ใบหน้าน้อยๆ ริมฝีปากแดงระเรื่อดวงตากลมใส ที่ยัดนิ้วโป้งเข้าไปดูดด้วยความหิว แก้มป่องใสดวงตาพิสุทธิ์ใครกันจะไม่หลงใหลนาง องค์ชายน้อยชะโงกหน้ามอง ฟูจินด้วยแววตาสงนฉนเท่ห์“ท่านแม่ น้องข้าใช่หรือไม่”เจิ้งเหมยยิ้มกอดองค์ชายไว้ในอ้อมแขน“ นางเป็นน้องสาวของเจ้า”จินเฉิงอู่ตอบขึ้นเบาๆ คังซื่อฮั่นเดินจากไปไม่แม้แต่จะหันมามอง ด้วยอะไรเจิ้งเหมยรู้ดี เขาตัดใจกับทารกน้อยคนนี้ไม่ได้ หากหันกลับมามอง เห็นทีต้องอุ้มนางกลับไปเร่ร่อนเช่นเดียวกับเขา“เฉิ
จินเฉิงเจิน ในวัย18ปีใบหน้าหล่อเหลา ซึ่งเป็นการผสมผสานอย่างลงตัวของ จินเฉิงอู่และเจิ้งเหมย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มทว่าอ่อนโยน ริมฝีปากสีชมพูเหมือนหญิงสาวก็ไม่ปาน ยืนมองทุ่งหญ้าเขียวขจีงานเลี้ยงฉลองวันครบรอบการขึ้นครองราชย์ของจินเฉิงอู่กับตำแหน่งไท่จือที่จินเฉิงเจินจะถูกแต่งตั้งในวันนี้สายตาคมทอดมองไปไกล เรื่องราวที่ผ่านมามากมายให้ระลึกถึง ในโลกนี้จะมีใครรักและภักดีต่อกันได้เท่าพ่อกับแม่ของเขากันอีก จินเฉิงอู่ไม่ยอมมีสนมนางใน แม้จะมีเขาเป็นโอรสเพียงคนเดียว ก็ไม่เคยร่ำร้องอยากจะมีหญิงอื่นเพิ่มพูน เช่นไรเขาถึงจะรักใครสักคนให้ได้เท่ากับที่จินเฉิงอู่รักเสด็จแม่เจิ้งเหมยของเขา ใบหญ้าสีเขียวขจีลู่ลมน่ามอง เสื้อคลุมถูกถอดออกคลุมให้ฟูจินรวบผมยาวสลวยสอดเสื้อคลุมเข้าไปใต้ไรผม ใบหน้างดงามดวงตาเศร้าสร้อยไม่ต่างจากสายตา ของคังซื่อฮั่น ดวงหน้าผุดผาดริมฝีปากบางใสน่าสัมผัสจนคนมองต้องเผลอขบเม้มฝีปากตัวเอง“ไม่ต้องแล้ว ฟูจินไม่ได้หนาวขนาดนั้นอากาศเย็นสบายดี”เลิกคิ้วสูงยิ้มบางๆ“เจ้ายังเป็นน้องเล็กของข้าอยู่ เมื่อใดที่แต่งออกไปจึงค่อยมาแข็งข้อกับข้า”กระชับเสื้อคลุมให้อย่างอ่อนโยน“ไปเถอะสายมากแล้วใกล้ได้เวลา
ใบหน้าเรียบเฉยทว่าใจกลับสั่นไหว คังซื่อฮั่นแปลกใจว่าตัวเขาเป็นอะไรไปกันแน่ ในเมื่อกับเจิ้งเหมยมีเพียงความรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่ต้องใกล้ชิดได้ห่วงใยและคอยปกป้อง แต่กลับรู้สึกเป็นสุขเมื่อเจิ้งเหมยมีรอยยิ้มและดีใจเมื่อเจิ้งเหมยมีความสุขซึ่งเขาคิดว่ามันคือความรัก แล้วแบบนี้เล่าคืออะไรกันทำไมรู้สึกว่าไม่อาจห้ามใจ กับความซุกซนของอี้หลิน“พอใจหรือยัง”อี้หลิน เงื้อมือตั้งจะจะฟาดลงบนใบหน้าของคังซื่อฮั่นแก้เขิน คังซื่อฮั่นใช้ความไวคว้าข้อมือไว้ยิ้มยียวน“วันพรุ่งนี้ข้าจะรับบัญชาฝ่าบาทรั้งอยู่ที่นี่แล้วก็ตกลงใจที่จะรับเจ้าเป็นภรรยาตามที่เจ้าต้องการ” อี้หลิน ไม่กล้าสบตาก้มหน้ามองแผงอกกว้าง“ใครจะแต่งกับท่านกัน”“อ้าวเจ้าพูดเองว่าฝ่าบาทประทานสมรส ห้ามข้าเฉยชาใส่เจ้าแล้วยัง ...มาลวนลามข้าก่อน พอข้าเอาคืนกลับทำท่าทีไม่พอใจเสียอย่างนั้นเจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่”จมูกรั้นเชิดหยิ่ง“ข้าก็ไม่เห็นจะง้อท่านเลยไม่แต่งก็ได้”ก้าวขากำลังจะออกจากห้องไปคังซื่อฮั่นรวบเอวบางจากด้านหลัง ฉวยโอกาสกอดไว้แน่น“ไม่ทันแล้ว หากเจ้ารู้จักข้าดี ก็จะรู้ว่าคนอย่างคังซื่อฮั่นยึดมั่นคำสัจเพียงใดพูดคำไหนคำนั้นไม่มีเปลี่ยนใจ เ