LOGINไม่รู้ว่าหลับไปนานเพียงใด แต่เมื่อหลิงเซียวรู้สึกตัวขึ้นมา ความรู้สึกแรกก็เหมือนถูกกระชากขึ้นจากบ่อน้ำแข็งแล้วโยนลงถนน ก่อนถูกรถม้าพุ่งชนซ้ำ ความเจ็บปวดแล่นตั้งแต่ปลายเท้าถึงท้ายทอย แค่ขยับนิ้วก็ปวดราวถูกเข็มหลายร้อยเล่มพร้อมกัน นางกัดฟันแน่น พยายามดันกายขึ้นเล็กน้อย แต่เพียงเสี้ยวลมหายใจ ความปวดก็แล่นจนตาพร่า
“นี่ข้า…ถูกรถม้าทับมาหรือ?” เสียงเบาหวิวหลุดออกจากริมฝีปากซีด ก่อนภาพค่ำคืนเข้าหอจะแล่นกลับเข้ามา หรือเมื่อคืน…บุรุษผู้นั้นตั้งใจทุบกระดูกนางให้แหลก?
แค่คิดถึงใบหน้าเขา แก้มของหลิงเซียวก็ร้อนวูบ ทั้งโกรธ ทั้งอับอาย ทั้งอยากสาปแช่งให้เป็นหมันสามวันสามคืน มือไม้ของสวีเฟิ่งเยี่ยนหนักราวศิลาก้อนใหญ่ แรงมากราวกับกระบือไม่มีคำว่าอ่อนโยนจริงดังที่เขาบอกแต่แรก ไหนจะสายตาคมราวจะกลืนร่างนางทั้งตัว ชวนให้นางขนลุก
เขารู้เต็มอกว่านางไม่ประสีประสา แต่ยังไม่ออมมือสักนิดเดียว คำว่าอำมหิตสำหรับสามีนางยังน้อยไม่ นอนสาปแช่งเฟิ่งเยี่ยนอีกครู่หลิงเซียวจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเต็มที่ แสงแดดยามบ่ายสาดเข้ามาจนต้องหรี่ตา
…ยามบ่าย?!
หัวใจหลิงเซียวกระตุกวาบทันทีนี่นางตื่นสายตั้งแต่วันแรกที่เป็นสะใภ้จวนติ้งถิงโหวเชียวหรือ? นางควรยกน้ำชาและคารวะผู้อาวุโสตั้งแต่ยามเหม่า แต่ตอนนี้ตะวันลอยขึ้นไปกลางฟ้าแล้ว!
“สวีเฟิ่งเยี่ยน…ท่านมันอำมหิตนัก!”
นางกัดฟันแน่น กุมขมับอย่างสิ้นหวัง ทั้งร้อนใจ ทั้งแค้นจนหน้าแดงเถือก ไหนจะความระบมทั่วกายเหมือนถูกฝึกทหารทั้งคืน ไหนจะต้องเตรียมเผชิญผู้อาวุโสพร้อมคำถามทั้งหลาย…
เพราะสามีผู้นั้นแท้ ๆ!
นางลองยันตัวขึ้นอีกครั้ง แต่บั้นเอวเจ็บจนต้องกัดริมฝีปาก น้ำตาซึมอย่างห้ามไม่อยู่ชีวิตในเรือนแม่ทัพสวี…เพิ่งเริ่ม นางก็แทบสิ้นชีพแล้ว!
“คงคิดจะให้ข้าอยู่ไม่ราบรื่นตั้งแต่วันแรกสินะ” นางพึมพำอย่างเจ็บแค้น
“คิดผิดแล้วเฟิ่งเยี่ยนหลิงเซียวคนนี้ไม่ใช่สตรีอ่อนแอเช่นนั้น”
เพราะหากนางอ่อนแอไฉนเลยจะมีชีวิตในอารามเมี่ยวถังมาตลอดเก้าปี แรกเริ่มนางอยากอยู่ดี ๆ กับสวีเฟิ่งฉีด้วยซ้ำ แต่พอเริ่มต้น เขากลับกลั่นแกล้งนางเช่นนี้เห็นทีนางต้องปรับแผนชีวิตคู่ของตนเองใหม่
“สารเลว ต่ำช้า อำมหิต จิตใจทมิฬ…อยู่ดี ๆ ไม่ชอบ อย่างนั้นก็อย่าหาว่าหลิงเซียวคนนี้เป็นสตรีใจร้ายก็แล้วกัน สวีเฟิ่งเยี่ยน!”
เพิ่งสบถจบ เสียงฝีเท้าก็ดังใกล้เข้ามา นางรีบดึงผ้าห่มคลุมหน้าอก เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พยายามข่มความปวดเมื่อยทั้งกายซึ่งแทบทำไม่ได้ ก็พอดีกับเสียงประตูเปิดออกอย่างนุ่มนวล
แอ๊ด...
กุ้ยอิงเดินนำเข้ามา ร่างบอบบาง ผิวขาวราวหิมะ ใบหน้าเรียบร้อย ดวงตานุ่มละมุนดั่งพี่สาวใจดี ทุกกิริยาดูสุขุมจนชวนวางใจมาตั้งแต่เมื่อวาน
ด้านหลังเป็นเด็กหญิงวัยเริ่มสาว รูปร่างผอมบางจนลมแรง ๆ อาจพัดปลิว ใบหน้าขาวซีด ก้มหน้าจนคางแทบชิดอก
อีกคนหนึ่งยืนตัวตรง ดวงตากลมโตประกายสดใส ขยับมือเท้าไม่หยุด รอยยิ้มกว้างจนเกือบล้นหน้า ใบหน้าดูอ่อนกว่าอายุ แต่รูปร่างกลับโตกว่ากุ้ยอิงที่อายุสิบสี่เสียอีก
ทั้งสามเดินเข้ามาพร้อมกัน ทว่าทุกคนประหม่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะยังไม่รู้ว่านายหญิงใหม่เป็นคนเช่นไร
หลิงเซียวนั้นรู้ดีว่าใต้ผ้าห่มตนไม่มีอาภรณ์ติดกายสักชิ้นก็เกือบจะร้องไห้ด้วยความอับอายออกมาแต่บังเอิญนางร้องไห้ไม่เก่งเลยไม่ขายหน้าแต่เช้าแต่นางห้ามสองแก้มไม่ให้ร้อนผ่าวได้จริงๆ
กุ้ยอิงย่อกาย เอ่ยเบา ๆ “ฮูหยินเจ้าค่ะท่านแม่ทัพสั่งให้พ่อบ้านลู่เค่อจัดหาสาวใช้มาเพิ่มให้รับใช้ฮูหยินเจ้าค่ะ พวกนางอายุสิบสองกับสิบสาม…ขอฮูหยินตั้งชื่อให้ด้วยเจ้าค่ะ”
หลิงเซียวหัวหมุน นางยังไม่ล้างหน้า ยังไม่แต่งตัว ช่วงล่างก็เจ็บจนขยับแทบไม่ได้ แต่ต้องมาตั้งชื่อสาวใช้?!
‘สามีชั่วผู้นั้นไม่ให้ข้าตั้งตัวเลยใช่หรือไม่!’ นางโวยวายในใจ แต่ภายนอกทำได้เพียงพยักหน้าเล็กน้อยและจัดสีหน้าสงบ นุ่มนวล งดงามราวเพื่อให้เหมาะสมกับฐานะของนายหญิงแห่งเรือนเหลียนฮัว
แม้สีหน้าของนางยังซีดเซียวคล้ายซากศพก็ตาม แต่นางยังฝืนควบคุมกิริยาสง่างาม ก่อนเอ่ยเสียงอ่อนโยน“เช่นนั้นเด็กสาวอายุสิบสองให้ชื่อกุ้ยหนิง ส่วนอีกคนชื่อกุ้ยชิงก็แล้วกัน”
สองเด็กสาวรีบคุกเข่าโขกศีรษะ ขอบคุณทันที “ขอบคุณฮูหยินที่เมตตาเจ้าค่ะ!”
กุ้ยอิงเงยหน้าขึ้น ดวงตานุ่มลึก “นับแต่นี้ พวกเราจะรับใช้ฮูหยินด้วยความภักดีสุดชีวิตเจ้าค่ะ”
หลิงเซียวมองทั้งสามตามลำดับ กุ้ยอิง แม้อายุน้อยกว่านางสองปี แต่ดูไว้ใจได้ที่สุดในเรือนนี้ กุ้ยหนิงน่ารักน่าเอ็นดูตามวัย ส่วนกุ้ยชิงร่างอวบอั๋น แววตาจริงใจแต่คงใช้แรงงานดียิ่ง
…เพียงมีพวกนางทั้งสามคนนี้ เรือนเหลียนฮัวก็ดูน่ากลัวน้อยลงทันตา
แต่ยังไม่ทันได้พักหายใจ หลิงเซียวก็แทบกรีดร้องออกมาอย่างเสียกิริยาเสียแล้วยังดีนางมีสติรีบกลืนเสียงร้องลงท้องได้ทัน หลังจากกุ้ยอิงแจ้งว่า ตอนนี้คือช่วงบ่ายของวันที่สองหลังงานแต่งมิใช่วันแรกอย่างที่นางเข้าใจ!
“เจ้าว่าอะไรนะกุ้ยอิง?” น้ำเสียงนางหลุดสูงต่อให้พยายามควบคุมกิริยาอย่างไรก็อดไม่ได้จริงๆ นางตกใจจนผมจะร่วงหมดศีรษะแล้วจริงๆ
“บ่าวบอกว่าบัดนี้คือยามเว่ยของวันที่สองหลังงานแต่งแล้วเจ้าค่ะ แต่ฮูหยินไม่ต้องกังวล ท่านโหวมีค่ำสั่งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานว่าให้ท่านพักอีกสองวันก่อนค่อยไปยกน้ำชาและคารวะผู้อาวุโสตามธรรมเนียม”
กู้หลิงเซียวชะงักค้าง…เรียบร้อยแล้ว ชีวิตสะใภ้ใหม่ของนางพังตั้งแต่ยังไม่เริ่มแต่จะคร่ำครวญก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ผ่านไปแล้วก็ต้องปล่อยให้ผ่านไป พรุ่งนี้ค่อยตั้งหลักใหม่ก็แล้วกัน
“ช่างเถอะ” นางเอ่ยเบา ๆ ถอนหายใจแผ่ว “ข้าอยากอาบน้ำ…แล้วก็กินข้าว”
กองทัพยังต้องเดินด้วยท้อง ชีวิตสะใภ้ใหม่ก็เช่นกัน ต้องอาบน้ำกับกินข้าวก่อน ค่อยคิดแผนต่อไป
สามสาวใช้ขานรับทันที กุ้ยชิงวิ่งไปต้มน้ำเร็วปรื๋อ กุ้ยหนิงจัดเตรียมอาภรณ์อย่างตั้งใจ ส่วนกุ้ยอิงก้าวออกไปสั่งครัวให้จัดสำรับดี ๆ มาให้ฮูหยินใหม่
หลิงเซียวมองทั้งสามคนเงียบ ๆ ก่อนถอนหายใจ เด็กกลุ่มนี้…อย่างน้อยก็ดูไม่มีพิษภัย ไม่เหมือนสาวใช้ในจวนกู้ที่ล้วนเป็นคนของท่านย่ากับมารดาเลี้ยงของนาง
แต่คิดอีกทีตอนนี้ในชีวิตไม่มีใครร้ายกาจเท่าสามีแม่ทัพผู้นั้น ไม่ว่าจะเจ้าอารามเมี่ยวถัง ท่านพ่อ ท่านย่า หรือมารดาเลี้ยงมหาภัยของนาง!
ไม่นาน น้ำอุ่นก็ถูกยกเข้ามา กุ้ยอิงค่อย ๆ พยุงนางลุกจากเตียง มือเบาราวกลัวนางแตกสลาย
“ระวังนะเจ้าค่ะ ฮูหยิน”
กุ้ยหนิงก้มหน้าจัดผ้าและรินน้ำสมุนไพรให้แช่ ส่วนกุ้ยชิงยื่นผ้าเช็ดตัวให้พร้อมรอยยิ้มสดใสจนบรรยากาศทั้งห้องสว่างขึ้น
เมื่อลงแช่น้ำอุ่น ความระบมที่เสียดแทงทั่วร่างค่อย ๆ ผ่อนเบาไปทีละน้อย พอใส่อาภรณ์ผ้าแพรเนื้อดีและนั่งหน้ากระจกให้กุ้ยอิงหวีผมให้ หลิงเซียวก็รู้สึกเหมือนตัวเองค่อย ๆ กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
หลังจากนั้นสำรับมื้อแรกก็ถูกยกมา ข้าวสวยร้อน ผักตุ๋น ไก่นึ่งสมุนไพร และชาร้อนกลิ่นอ่อน ๆ หลิงเซียวคีบกับข้าวเข้าปากช้า ๆ รสชาติอุ่นละมุนไล่ความอ่อนแรงจากคืนเข้าหอออกไปจนหมดสิ้น
นางมองเรือนเหลียนฮัวที่สะอาด สงบงาม บ่าวไพร่ชายหญิงรวมสิบห้าคน และสามสาวใช้ที่ดูซื่อและนิสัยดี ไม่มีพิษภัย
‘ต่อไป…ที่แห่งนี้คือบ้านของข้าสินะ’
นางวางตะเกียบลงอย่างสง่างาม แม้สามีจะเริ่มต้นด้วยการสั่งสอนในม่านมุ้งอย่างป่าเถื่อน แล้วยังกระหน่ำกลั่นแกล้งไม่ปลุกให้นางไปคารวะผู้อาวุโสจนเกิดเรื่อง แต่นางรู้แน่ว่าชีวิตในฐานะหลานสะใภ้คนโตแห่งจวนติ้งถิงโหวจะไม่ง่ายแน่
ทว่าหลิงเซียวจะไม่ถอยอีกแน่ ก็นางเลือกแล้วย่อมต้องก้าวไปข้างหน้า จะสู้ จะไม่เป็นเหยื่อ ไม่ว่าจะเป็นสามีหรือญาติสายรองใด ๆ ในจวนนี้ หรือหากไม่ไหวนางก็แค่ขอหนังสือหย่ามันจะไปยากอันใด
แต่ก่อนจะหย่านางต้องยืนหยัดในฐานะ นายหญิงเรือนเหลียนฮัว อย่างสง่างามให้ถึงที่สุดก่อน เพราะสำหรับนางหากยังไม่เต็มที่สุดทนนางไม่มีวัยท้อถอยแน่
ตอนที่ 14กว่าสวีเฟิ่งเยี่ยนจะรู้สึกตัว กู้หลิงเซียวก็แน่นิ่งไปแล้ว เวลาเหมือนหยุดลง ใจแม่ทัพที่ผ่านสมรภูมิมานับไม่ถ้วนกลับว่างเปล่าจนเหมือนถูกคว้าน เขารีบกระชากใบหน้านางขึ้นจากน้ำ นิ้วมือสั่นไม่หยุด ร่างของฮูหยินอ่อนปวกเปียก ไร้เรี่ยวแรงจนตาเขาเบิกกว้างเขาอุ้มนางขึ้นจากถังน้ำ แขนแกร่งที่เคยยกคนทั้งตัวกลับสั่นระริก หลิงเซียวเบาหวิวราวตุ๊กตาผ้า ใบหน้าซีดราวกระดาษ ดวงตาปิดสนิทไร้สัญญาณของชีวิต เมื่อวางนางลงบนพื้นไม้ ก็เห็นเพียงเงาว่างเปล่าที่สะท้อนอยู่ในสายตาตนเอง“หลิงเซียว!”เสียงของเขาแหบพร่า สั่นจนแทบไม่เหมือนตัวเอง ร่างใหญ่นั้นสั่นไม่ใช่เพราะความเย็น หากเพราะความกลัวที่พุ่งขึ้นจากอก มือที่สัมผัสแก้มนางชะงักทันทีเมื่อเจอความเย็นเฉียบ เขาตบแก้มนางเบาๆ ซ้ำๆ“ตื่นสิ… เจ้าได้ยินข้าหรือไม่!”ไม่มีเสียงตอบ มีเพียงความเงียบอัดแน่นจนเหมือนบดหัวใจเขา เฟิ่งเยี่ยนแทบลืมหายใจ ใบหน้าที่เคยนิ่งเหมือนหิน กลับเต็มไปด้วยความตระหนกไม่อาจปิดบังเฟิ่งเยี่ยนแทบหยุดหายใจไปพร้อมนาง ใบหน้าที่ปกติแข็งเหมือนศิลากลับเต็มไปด้วยความตระหนกและความกลัว ไม่ปิดบังแม้เสี้ยวเดียว หัวใจที่เคยแข็งเหมือนเหล็กกล้ากลับสั่
ตอนที่ 13“ท่านเสียสติหรือเฟิ่งเยี่ยน!”เสียงตวาดถามแหบแห้งของหลิงเซียวพุ่งออกจากริมฝีปากสั่นระริกทันทีที่นางกระชากศีรษะขึ้นจากน้ำแล้วยืนมั่นคง ใบหน้าซีดเผือดเพราะขาดอากาศยังไม่กลับคืนสีของ เลือดฝาดแทบไม่มี แต่ดวงตาหงส์คู่งามของนางก็เบิกกว้างแดงก่ำด้วยความโกรธที่ถูกกดทับจนแทบระเบิด ริมฝีปากสั่นเทาเพราะทั้งหนาว ทั้งหวาดหวั่น ทั้งเดือดดาล ระคนกันจนไม่รู้ว่าอันไหนแรงกว่ากัน“ท่านมาทำร้ายข้าด้วยเหตุอันใด?”หลิงเซียวยืนเกาะขอบถังอีกฟากห่างจากสวีเฟิ่งเยี่ยนไปสองช่วงแขนเพราะไม่วางใจเขาอีกแล้ว เนื้อตัวของนางสั่นเทา เส้นผมเปียกแนบแก้มเหมือนสายโซ่ที่ย้ำเตือนว่าตนเพิ่งถูกคนตรงหน้าจบกดลงน้ำจนเกือบไม่รอด นางหอบจนหน้าอกกระเพื่อมแต่ก็ยังถามหาสาเหตุที่ตนเองถูกทำร้าย“เจ้ายังมีหน้ามาถามข้าอีกหรือสตรีแพศยาทำเรื่องต่ำทรามมากจนจำไม่ได้แล้วกระมัง”นอกจากไม่ตอบสวีเฟิ่งเยี่ยนยังถามนางกลับขณะที่เอ่ยปากเขาก็ขยับเข้ามายืนตรงหน้าของหลิงเซียวอีกสองก้าว ดวงตาคมเกรี้ยวกราดที่ปกติหนักและนิ่งราวเหล็กกล้า ตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นประกายมืดวาววับราวกับคนเสียสติ“ข้าแพศยาอย่างไร ข้าไม่รู้ตัว ท่านแม่ทัพช่วยชี้แนะข้าให้รู้ด้ว
ตอนที่ 12เมื่อเฟิ่งเยี่ยนมาถึงหน้าเรือนเหลียนฮัว เขาก็รีบก้าวเข้าในเรือนด้วยฝีเท้าที่หนักแน่นแต่มั่นคง น้ำหนักของรองเท้าหนังทหารที่กระทบพื้นทำให้พื้นเรือนสั่นทีละก้าว ราวกับเสียงเตือนภัยที่ดังก้องเข้าหูของทุกคนในเรือน ดวงตาเข้มขรึมของเขากวาดมองไปรอบโถงเรือนทันที ราวกับนักล่าที่กำลังมองหาเหยื่อที่ต้องเจอ เขาหวังจะพบร่างของหลิงเซียวที่มักออกมายืนรอรับเขาเป็นประจำ ไม่ว่าแดดจะร้อนหรือหิมะจะตก นางก็มักมารอด้วยรอยยิ้มบาง ๆ กับสายตาที่สงบเยือกเย็น แต่วันนี้…...วันนี้ราวกับนกรู้ เขาไม่เห็นแม้แต่เงาของนาง!ในอกของเขาถึงกับสะท้านวูบ คล้ายมีไอเย็นคืบคลานขึ้นจากสันหลัง ไม่ใช่เพราะความหนาวเย็น แต่เป็นเพราะความโกรธระคนความคับแค้นที่ตีขึ้นมาจนล้นอก“ทะ…ท่านแม่ทัพ”แวบแรกที่กุ้ยหนิงหันมาพบกับร่างสูงใหญ่ของสวีเฟิ่งเยี่ยน สาวใช้ตัวน้อยถึงกับสะดุ้ง นางรีบย่อกายคารวะอย่างลนลานจนเกือบโค้งตัวมากเกินไป ใบหน้าขาวซีดไปในบัดดล หากแต่พอเงยหน้าขึ้นเห็นดวงตาคมกล้ากระทบกับแสงอาทิตย์อัสดง ดวงตาที่มืดลึกไร้ก้นบึ้งราวกับหลุมเหวสีดำมืด นางถึงกับแข้งขาสั่นแทบล้มลงเดี๋ยวนี้“ท่าน…กะ…กลับมาแล้ว…หรือเจ้าค่ะ”เสียงเด็กสา
ตอนที่ 11เมื่อเดินผ่านสวนหญ้าหน้าห้องหนังสือ แสงแดดยามบ่ายสาดเข้าหากระเบื้องเคลือบสีเข้มจนเป็นประกายงามจับตา เฟิ่งเยี่ยนที่สวมชุดแม่ทัพสีดำเข้มขลิบเงิน คิ้วเข้มขมวดแน่น ใบหน้าคมดุดันดั่งหยกสลักหยุดหน้าประตูไม้เก่าอย่างชั่วครู่ สายตาของเขาแข็งกร้าวนิ่งงันอยู่ที่บานประตูราวกับต้องการจะส่องทะลุเข้าไปในห้อง เขายกมือขึ้นเคาะสามครั้งดังถี่ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!ก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยให้คนภายในห้องทราบถึงการมา “ท่านปู่ เป็นเฟิ่งเยี่ยนขอรับ”เสียงท่านโหวจากด้านในดังออกมาอย่างหนักแน่น ราวกับคนที่ถือชะตาของบ้านทั้งหลัง “เข้ามาเถิด เยี่ยนเอ๋อ ข้ารอเจ้าอยู่”เฟิ่งเยี่ยนก้าวเข้าไปทันที ราวกับทหารเข้าสู่สนามหน้าศึก สีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาเต็มไปด้วยแรงกดดัน เขาสูดกลิ่นน้ำหมึกกับไม้พยุงที่อบอวลในอากาศเต็มปอด กลิ่นเก่าแก่ของหนังสือ ตำราบัญชี เศษกระดาษที่ทับซ้อน หยดน้ำหมึกที่ซึมบนผิวโต๊ะ ไอความเก่าแก่เหล่านั้นทับถมประสาทสัมผัสของเขา ทั้งหมดทำให้ความกังวลที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ในใจค่อยๆ ถูกขับออกมาเขาประสานมือคำนับ กิริยาแข็งแรงสมกับเป็นคนเดียวในตระกูลที่เป็นทหาร ก่อนดวงตาคมจะเหลือบเห็นกองบัญชีและตำราย
ตอนที่ 10ยามเช้าวันถัดมา แสงแดดสีทองอ่อนสาดลงเหนือจวนติ้งถิงโหว คล้ายจะผลักความเงียบสงบให้ปนกลิ่นความวุ่นวายบางเบาในสายลม แต่ความนิ่งเรียบของลานด้านนอกมิได้เข้าไปถึงห้องหนังสือ ท่านโหวผู้ชรานั่งอยู่ในห้องหนังสือมาตั้งแต่ก่อนยามเฉิน เขานั่งหลังตรงอย่างผู้ทรงอำนาจ แม้ผมหงอกจะแทรกครึ่งศีรษะและกระดูกเริ่มอ่อนล้า แต่แววตายังคมกริบราวดาบเก่าแก่ที่ผ่านศึกมาไม่รู้กี่ครา ทั้งเช้านั้นเขาใช้เวลากับกู้หลิงเซียวในห้องบัญชีเก่าของสกุลสวีกองสมุดบัญชีซ้อนกันบนโต๊ะไม้สักจนเป็นป้อมปราการแห่งตัวเลขและจำนวนเงิน กลิ่นหมึกเก่าและชาหอมลอยคลุ้งชวนให้นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมากว่าครึ่งชีวิตที่เขาดูแลตระกูลนี้ เสียงพู่กันลากผ่านแผ่นไม้ไผ่ได้ยินชัดเจนท่ามกลางความเงียบ“หากไม่เข้าใจเรื่องตัวเลขเจ้าถามท่านปู่ได้” ผ่านไปครู่ใหญ่ชายชราจึงเอ่ยกับหลานสะใภ้เสียงอ่อนโยน“ขอบคุณท่านปู่ที่เมตตาเซียวเซียวเจ้าค่ะ” หลิงเซียวรีบวางลูกคิดกับสมุดบัญชีประสานมือคำนับท่านปู่ของสามีจากใจสีหน้าของเด็กสาวท่าทางสงบ แต่ลึกในดวงตาแฝงประกายแห่งการจดจำแม่นยำและความมุ่งมั่น นางมิได้ทำเพียงเพื่อเอาใจ หากจริงจังเรียนรู้ ทุกตัวเลขที่อ่านผ่า
ตอนที่ 9แต่สุดท้ายหลิงเซียวก็ได้รู้ว่าตัวบัดซบนามสวีเฟิ่งเยี่ยนไม่เคยรักษาคำพูด เพราะทันทีหลังมื้อค่ำ เขาก็จับนางกินแทนของหวานล้างปากอย่างไม่ปรานี และนับแต่นั้น หากเขาไม่มีงานราชการให้ค้างในค่ายแม่ทัพหนุ่มก็กลับเรือนติ้งถิงโหวทุกคืน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่เขาเสพติดร่างกายนางนัก ชอบร่วมรักกับนางจนนางแทบจะหมดแรงอยู่ทุกวัน ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา เขาจับนางร่วมรักทุกคืนจนรู้แม่นว่าแต่ละเดือนระดูของนางมาวันใดหมดวันไหนแต่งเข้าจวนมาสามเดือนเศษ ชีวิตของหลิงเซียวกลับตั้งหลักได้เร็วกว่าที่คาด แม้นางไม่คาดหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่น เพราะเคยคิดว่าจะถูกญาติของสามีรังเกียจ แต่ภายในเวลาเพียงสามเดือน บ่าวไพร่ในเรือนเหลียนฮัวต่างยอมรับนางแล้ว ส่วนญาติบ้านรอง บ้านสาม บ้านสี่ก็ไม่เคยเข้ามาก้าวก่ายกับนางเลย แถมน้องสามีเช่นสวีเฟิ่งหยวนยังดีกับนางมากส่วนท่านโหวคงไม่ต้องเอ่ยเอ่ยถึงอีกฝ่ายสนับสนุนมาตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้วจะติดก็เพียงสามีแม่ทัพของนางที่ยังตั้งแง่ไม่เลิก โชคยังดีที่งานของเขาสุมหัวจนแทบไม่มีเวลาหาเรื่องใส่นาง นอกจากกลับมาอาบน้ำ กินข้าว แล้วก็ลากนางเข้าห้องไปร่วมรักจนค่อนคืน ในฐานะแม่ทัพอวี้หลิน







