ในเมื่อหลิวหลิงลี่รู้แล้วว่าหลัวหยางโหวมิได้นัดกับไป๋ฉินหลันเอาไว้ล่วงหน้าที่จะเข้าเมืองมาพร้อมกัน ทว่าเป็นเพราะสตรีจากเมืองอันป๋อเป็นคนวางแผนเอาไว้ ดังนั้นนางจะต้องทำทุกวิถีทางมิให้สตรีมากเล่ห์ผู้นี้มาเป็นอนุของหลัวหยางโหว ถึงในอนาคตนางอาจจะขัดขวางไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องให้นางมีทายาทให้ตระกูลหลัวเสียก่อน สตรีอื่นจึงจะเข้ามาเป็นอนุได้“ท่านแม่เมื่อคืนนี้ข้ากินข้าวกับท่านพี่ไปไม่กี่คำเอง อีกทั้งเมื่อเช้าเพราะรู้สึกเพลียเลยกินอะไรไม่ค่อยได้ ตอนนี้ข้าหิวมากเลยเจ้าค่ะ พวกเราไปหาอะไรกินกันเถอะนะเจ้าคะ” หลิวหลิงลี่ใช้น้ำเสียงและแววตาออดอ้อนหลัวฮูหยินละสายตาจากเหล่าสาวใช้มามองหญิงสาวที่กำลังเกาะแขน ท่าทีของสตรีอายุน้อยมิใช่ว่าเฉินอี้เหรินจะไม่รู้ถึงเจตนาของนาง ดังนั้นเพื่อไม่ให้ลูกสะใภ้ของนางต้องคิดมากจึงได้พยักหน้าตกลงไป๋ฉินหลันนั่งมองสตรีทั้งสองที่ทำราวกับนางไม่มีตัวตนด้วยความรู้สึกเดือดดาล ยิ่งบวกกับได้ยินคำว่าอ่อนเพลียจากปากของหลิวหลิงลี่ ก็ยิ่งทำให้นางรู้ว่าสตรีตระกูลหลิวจงใจเอ่ยให้นางได้รู้ว่าเมื่อคืนหลัวหยางโหวได้รังแกสตรีจากเมืองหลิวผิงหนักเพียงใด นั่นทำให้
ใบหน้าของเฉินอี้เหรินฉายความประหลาดใจขึ้นมาในช่วงเวลาพริบตาเดียวที่เห็นหลิวหลิงลี่ เพราะไม่คิดว่าหญิงสาวจะมาที่เรือนของนางในช่วงเวลานี้ หญิงวัยกลางคนกวาดสายตามองสาวรับใช้ในเรือนที่ปล่อยให้ลูกสะใภ้ของนางเข้ามาเจอกับไป๋ฉินหลัน และหนักไปกว่านั้นยังมาได้ยินประโยคที่ชวนให้คิดมากอีกด้วยหลิวหลิงลี่เห็นมารดาของสามีนิ่งเงียบในใจก็หวั่น ๆ เล็กน้อย กลัวว่าสตรีวัยกลางคนจะอยากให้ไป๋ฉินหลันมาเป็นอนุของหลัวหยางโหวจริง ๆ อย่างที่คนรับใช้สองคนนั้นพูดถึง เพราะอย่างไรก็เป็นสิ่งที่ผู้เฒ่าหลัวโหวเคยกล่าวเอาไว้ในตอนที่ยังมีชีวิตก่อนหน้านี้สองเค่อ[1]หลังจากที่คนรับใช้ในเรือนได้ยินคำพูดของพ่อบ้านประจำจวนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน ส่วนคนที่มีแผนร้ายแน่นอนว่าก็ต้องไปจัดการตามแผนการที่ตนเองได้คิดเอาไว้เช่นกัน‘จางหลิงเยว่’ หลานสาวของจางอ้ายเหลียนนางเข้ามาเป็นสาวใช้ที่จวนหลัวได้5ปีแล้ว ถึงนางจะเป็นหลานสาวของจางอ้ายเหลียน ทว่าน้าสาวคนนี้ของนางหาได้ใช้เส้นสายให้นางได้ทำงานสบาย ๆ ในจวนหลัวโหวไม่ แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็มิได้ลำบากจนเกินไป เพราะคนรับใช้ในจวนก็เกร็งใจที่จางหลิงเยว่เป็นหลานสาวของจางอ้ายเหลียนอ
“เหตุใดเจ้ากับอาหยางถึงมาพร้อมกัน” ถ้อยคำเยือกเย็นดุจน้ำแข็งถึงคำถามนี้เฉินอี้เหรินจะเคยถามไปแล้วเมื่อวาน ทว่ากลับเป็นบุตรชายของนางตอบกลับมา ดังนั้นวันนี้สตรีวัยกลางคนจึงอยากฟังจากปากของสตรีตระกูลไป๋ ว่าเหตุใดจึงเข้าเมืองมาพร้อมบุตรชายของตน ถึงนางจะรู้ความจริงอยู่แล้วก็ตาม ทว่าเฉินอี้เหรินก็ยังอยากรู้ว่าเรื่องนี้เป็นความตั้งใจของไป๋ฉินหลัน หรือเป็นความคิดของไป๋ฉินหลงเจ้าเมืองอันป๋อกันแน่สตรีตระกูลไป๋รู้สึกถึงแรงกดดันทางอารมณ์ที่อีกฝ่ายส่งมา หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอเหงื่อซึมออกมาทางขมับ สตรีตระกูลไป๋ไม่คาดคิดเลยว่าสตรีวัยกลางคนที่นางรู้จักมาตั้งแต่วัยเยาว์จะมีท่าทีเช่นนี้กับนาง เพราะทุกครั้งที่หญิงสาวมาเยือนเมืองอันหยาง หลัวฮูหยินก็ต้อนรับขับสู้นางเป็นอย่างดีมาโดยตลอด แต่เพียงแค่รับสตรีตระกูลหลิวเข้ามา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือก็ไม่ปาน“หากเจ้ายังหาข้อแก้ตัวไม่ได้ ก็นั่งลงจิบชาก่อน แล้วไตร่ตรองคำตอบให้ดีก่อนตอบข้า แต่ว่าข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อน ข้ามิใช่อาหยางที่จะหลงเชื่อคำโกหกของเจ้าง่าย ๆ หรอกนะ” เฉินอี้เหรินกล่าวโดยไม่แ
ยามอู่ [1]เดิมทีไป๋ฉินหลันคิดจะมาที่จวนหลัวตั้งแต่เช้า ทว่าครั้นทบทวนดูจากเหตุการณ์เมื่อวาน นางจึงฉุดคิดได้ว่าเฉินอี้เหรินดูท่าจะชอบพอสตรีแซ่หลิวอยู่ไม่น้อย หากนางเดินทางไปที่จวนตั้งแต่เช้า ทั้งที่หลัวหยางโหวกับหลิวหลิงลี่เพิ่งร่วมหอกันไป นางย่อมไม่มีทางได้พบหน้าหลัวหยางโหวอย่างแน่นอนแล้วอีกอย่างสตรีที่มาจากเมืองอันป๋อก็เติบโตมาพร้อมกับบุรุษหนุ่มเจ้าเมืองอันหยาง มีหรือนางจะไม่รู้ว่านิสัยจริง ๆ ของบุรุษหนุ่มที่หยิ่งทะนงผู้นี้เป็นเช่นไร ดังนั้นนางจะต้องพยายามเอาอกเอาใจเฉินอี้เหรินให้มาก ๆ เพราะเพียงมารดาของเขาพยักหน้า มิว่าเรื่องใด ๆ หลัวหยางโหวย่อมไม่กล้าขัดดังนั้นไป๋ฉินหลันจึงเปลี่ยนใจไม่ขอเข้าพบหลัวหยางโหว ทว่ากลับให้คนรับใช้ไปส่งเทียบขอเยี่ยมเยือนหลัวฮูหยินแทน พร้อมกับยังสั่งให้คนทำอาหารขึ้นชื่อของเมืองอันป๋อ พร้อมนำสุราที่เดิมทีนางคิดจะมอบให้หลัวหยางนำไปให้หลัวฮูหยินทานอีกด้วย เพราะหญิงสาวเคยได้ยินจากบิดาว่าสมัยที่เฉินอี้เหรินยังมิได้ออกเรือนมักชอบหนีออกจากจวนไปเที่ยวลิ้มลองอาหารและสุราของเมืองข้างเคียงอยู่เสมอ มิเช่นนั้นค
หลังจากบุรุษหนุ่มส่งหญิงสาวสู่ประตูสวรรค์ ต่างฝ่ายต่างก็หายใจหอบเหนื่อยอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งสองสบตากันในสภาพร่างกายที่ไร้อาภรณ์ แม้มีเพียงแสงจากจันทร์ส่อง ก็ยังทำให้บุรุษหนุ่มมองเห็นใบหน้าที่แดงซ่านของสตรีตรงหน้าในเมื่อค่ำคืนนี้บุรุษตระกูลหลัวได้กระทำในสิ่งที่ไม่นึกไม่ฝันว่าจะทำกับสตรีตระกูลหลิวไปแล้ว มีหรือเขาจะยอมปลดปล่อยความใคร่แค่ครั้งเดียว หลัวหยางมิได้พูดอันใดแม้เพียงครึ่งคำก็ประกบปากหนาจูบหญิงสาวหลิวหลิงลี่ตอบรับจูบอย่างรู้งาน นางเองก็พอจะรู้ว่าหากเอ่ยอันใดออกมาอาจทำให้บุรุษหนุ่มรู้สึกขายหน้า นางจึงทำเพียงตอบสนองความต้องการให้กับชายหนุ่มอย่างเร่าร้อน ทั้งสองคนตักตวงความใคร่ สัมผัสความเสียวซ่านนับครั้งไม่ถ้วนจนกระทั่งรุ่งเช้า จึงหลับใหลไปพร้อมกันด้วยความอ่อนเพลียแม่ทัพฟางเซียวที่ยืนอยู่ด้านนอกห้องมีสภาพอิดโรยไม่ต่างจากคนในห้อง ถึงเขาจะมิได้กระทำอย่างคนด้านใน ทว่าก็ต้องอดทนอดกลั้นเพราะเสียงลามกที่ดังออกมา ทำให้บุรุษหนุ่มมีอารมณ์พลุ่งพล่านตลอดทั้งคืนเสี่ยวหลี่นั้นมิได้รู้สึกอันใดกับเสียงที่ดังลอดออกมามากนัก อาจเพราะตอนอยู่ในหอนางโลมนางได้ยินมาจนชินแล
บุรุษที่ถูกตัณหาครอบงำใช้มือข้างหนึ่งรวบมือของหญิงสาวขึ้นไว้เหนือศีรษะ ถึงหญิงสาวจะพยายามขัดขืนไม่ให้เขาเอามือของนางที่ดันหน้าท้องอยู่ออก ทว่าด้วยแรงอันน้อยนิดมีหรือจะสู้ไหวครั้นชายหนุ่มรวบข้อมือของสตรีใต้ร่างขึ้นเหนือหัวได้สำเร็จก็ไม่รอช้า เขาดุนดันความแข็งชันยัดเยียดเข้าไปจนถึงปลายทางอย่างแรง ท่อนเนื้อขูดโพรงนุ่มเข้าไปจนสุดลำแท่ง กระทุ้งท้องน้อยของหญิงสาวจนนูนขึ้นมา สร้างความจุกเสียดให้กับหญิงสาวจนน้ำตาไหล“อ๊ะ ๆ ท่าน...อ้า~!” สตรีร่างบางถึงกับร้องครางเสียงหลงหญิงรับใช้ทั้งสองคนที่ยืนอยู่ด้านนอกห้องได้ยินก็อดเป็นห่วงนายหญิงของตนไม่ได้ ส่วนแม่ทัพน้อยฟางเซียวก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตามองพื้นเมื่อได้ยินเสียงลามกจากในห้องนอนหลัวหยางรู้ดีว่าด้านนอกมีคนอยู่จึงใช้ปากของเขาปิดปากของหญิงสาวเอาไว้ ยามนี้จุดเชื่อมของทั้งสองประสานแนบแน่น บุรุษรู้สึกได้ถึงหยาดน้ำที่ไหลออกมาจากหางตาของหญิงสาว ในใจก็นึกสงสารสตรีใต้ร่างขึ้นมาเล็กน้อย จึงค่อย ๆ ขยับบั้นเอวเข้าออกอย่างช้า ๆ เพื่อให้หญิงสาวได้ปรับตัวอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเขารู้สึกว่าภายในโพรงถ้ำเริ่มมีน้ำแฉะ