" แก ฉัน ฉันว่าฉันปวดท้องแล้วหล่ะ "
ดารินเอามือกุมท้อง แล้วเรื่องที่เธอไม่อยากให้เกิดก็เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ใช่ปวดฉี่แต่ปวดอึต้องเป็นอาหารที่กินเข้าไปเมื่อตอนค่ำแน่เลย กระเพาะลำไส้เธอไม่ค่อยดีกินอาหารแปลกไปทีไรท้องเสียทุกที
" แกไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ"
" ให้ฉันไปเฝ้าแกขี้เนี่ยนะ ไม่เอาอ่ะฉันกลัวผี"
" แต่เซโพบอกว่าห้ามไปคนเดียวต้องมีเพื่อนไปด้วย แล้วแกก็เป็นเพื่อนของฉันถ้าแกไม่ไปแล้วจะให้พี่กรุ๊ปไปรึไง"
" แต่ฉันก็กลัวนะ"
" แกคิดว่าฉันไม่กลัวรึไง เราถึงต้องไปด้วยกันนี่ไง"
" แกหน่ะปวดอะไรไม่รู้จักเวล่ำเวลา อั้นเอาไว้ก่อนไม่ได้รึไง อดเอาเดี๋ยวก็เช้าแล้ว"
" โอ้ยจะบ้าเหรอ ฉันปวดจะแย่แล้ว เหมือนจะท้องเสียด้วยไม่ไหวแล้ว "
ธารธาราเห็นทั้งสองคุยกัน โมรีก็ดูท่าจะไม่ยอมไปด้วยเลยอาสาไปเป็นเพื่อน
" เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อนเอง ไปเถอะ"
ดารินหันขวับไปมองธารธารา ไม่คิดว่าในยามลำบากคนที่ไม่รู้จักกันดีจะช่วยเธอ แต่เพื่อนสนิทที่คบกันมาหลายปีจะไม่สนใจเธอเเบบนี้
ธารธาราถือตะเกียงพาดารินตรงไปที่ป่าหลังบ้าน
" ฉันยืนรอตรงนี้นะ รีบไปเถอะ"
" ได้ๆขอบใจนะ บุญคุณครั้งนี้ฉันจะไม่ลืมเลย กลับไปกรุงเทพฉันจะเลี้ยงหมูกะทะเธอเลย"
" คิกคิก ไม่ต้องถือเป็นบุญคุณอะไรขนาดนั้นหรอกไปเถอะ"
ขณะที่ดารินกำลังปลดทุกข์อยู่ก็มองเห็นดวงไฟสีแดงสว่างวาบลอยไปลอยมา ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดหรอกใช่ไหม เธอรีบล้วงกระเป๋าจะหยิบทิชชู่มาเช็ด ฉิบหาย ลืมเอาทิชชู่มา หันซ้ายหันขวากิ่งไม้นี่แหละวะ ว่าแล้วก็รีบหักกิ่งไม้มาเช็ดก้น เช็ดไปก็ใจเต้นตุ้มๆต่อมๆไป ดวงไฟประหลาดยังคงลอยวนอยู่เบื้องหน้าหมาก็ดันหอนไม่หยุด
กิตติศักดิ์ยืนอยู่ระเบียงหน้าบ้านชะเง้อคอรอธารธารา โมรียิ่งไม่ชอบใจอดพูดประชดไม่ได้
" ถ้าเป็นห่วงมากนักทำไมไม่ตามไปซะเลยหล่ะ"
" ห๊ะ โมว่าอะไรนะ"
" ปะ เปล่า ฉันว่าทำไมพวกนั้นไปนานนัก"
" นั่นสิ พี่ว่าพี่ไปตามดีกว่า"
" ฉันไปด้วยนะ"
" โมไม่กลัวเหรอ "
" ฉัน มีพี่อยู่ฉันไม่กลัวอะไรทั้งนั้น"
กิตติศักดิ์จ้องหน้าโมรี โมรีหลบสายตารีบพูดขึ้นมา
" ฉันหมายถึงว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นพี่จะต้องปกป้องฉันได้หน่ะ"
เสียงลมพัดหวีดหวิวฟังดูน่าขนลุก หมาก็พากันหอนไม่หยุด
" น้ำ น้ำ "
" เสร็จแล้วเหรอ "
" อือไม่เสร็จก็ต้องเสร็จหล่ะไม่ไหว เธอเห็นอะไรไหม นั่นหน่ะ"
ธารธารามองตามที่ดารินชี้บอก เห็นดวงไฟสีแดงลอยไปลอยมา ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะพากันรีบวิ่งกลับบ้าน เกือบถึงบ้านก็เจอกิตติศักดิ์กับโมรีที่มาตาม
พึ่บพั่บ พึ่บพั่บ พึ่บพั่บ
อะไรบ้างอย่างบินผ่านหัวทุกคนไป
" อะ อะไรบินไปเมื่อกี้หน่ะ"
" นกหล่ะมั้งเงามันตัวใหญ่ๆ"
" นั่น นั่นเหรอนกที่พี่กรุ๊ปว่า"
ธารธาราชี้ให้ดูบนต้นไม้ คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงส่องสว่างเลยมองเห็นชัด คนยืนอยู่บนยอดไม้ กระพือแขนสองข้างที่มีกระด้งติดอยู่
" นกอะไรปีกมันแปลกๆนะว่ามั๊ย"
พึ่บพั่บ พึ่บพั่บ พึ่บพั่บ
" มันบินมาแล้ว มะ ไม่ใช่นก "
กรี๊ดดดด
กิตติศักดิ์วิ่งนำหน้ารีบขึ้นบ้าน ดารินจับมือธารธาราวิ่งตามมาติดๆ โมรีวิ่งตามหลังมา
กระหังบินโฉบตามอยู่เหนือหัว
ทุกคนหายใจเหนื่อยหอบอยู่บนบ้าน
" ไหนพี่กรุ๊ปบอกว่านกไง นกที่ไหนกระหังชัดๆ"
" พี่ พี่ไม่รู้สายตาพี่ไม่ดี เห็นมีปีกก็คิดว่านก"
" มัน มันไปรึยัง"
ธารธารา ดาริน โมรีและกิตติศักดิ์ ค่อยๆแง้มหน้าต่างที่เป็นใบไม้ออกดูก็เห็น ชายหัวโล้นผอมกระหร่องแลบลิ้นเลียปากกระพือกระด้งมองพวกเขาอยู่ ทุกคนตกใจแทบสิ้นสติรีบปิดหน้าต่างแทบไม่ทัน แล้วพากันเอาผ้าห่มมาคลุมหัว
ตอนเช้าดารินตามติดธารธาราตลอด ไม่สนใจโมรีที่เดินตามหลังมา ขณะที่ล้างหน้าล้างตาอยู่ที่ริมแม่น้ำ ดารินก็ถามขึ้นมา
" เมื่อคืนที่เราเห็นตอนฉันไปอึเธอว่าเป็นอะไร ฉันว่านะต้องเป็นผีกระสือแน่ๆเลยไม่งั้นมันจะลอยไปลอยมาได้ยังไง พูดแล้วก็ขนลุก"
" บางทีอาจจะเป็นพวกแก๊สที่อยู่ใต้ดินที่มันติดไฟได้ก็ได้นะ เลยทำให้เกิดเป็นดวงไฟอย่างที่เราเห็น"
" เธอคิดอย่างนั้นเหรอ"
" แค่คาดเดาหน่ะ แต่ที่แน่ๆไอ้ที่มีกระด้งนั่นกระหังชัวร์"
" บรึ๊ย อย่าพูดถึงมันเลยขนลุก เคยได้ยินเขาเล่าไม่คิดว่าจะมีจริง ตอนเปิดหน้าต่างไปเห็นมันแลบลิ้นเลียปากยังติดตาอยู่เลย ฉันอยากไปจากที่นี่แล้วอ่ะ ไม่รู้พรานมูเล่กลับมารึยังนะ"
โมรีเงี่ยหูฟังทั้งสองคุยกันไม่ชวนเธอคุยบ้างก็ไม่พอใจ ดารินกำลังจะเดินไปกับธารธาราก็รีบเรียกเอาไว้
" ริน เดี๋ยวก่อนสิ ริน"
ดารินไม่สนใจเพราะยังโกรธโมรีเรื่องเมื่อคืนอยู่ โมรีรีบคว้าแขนเอาไว้
" รินแกจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปี แกจะมาโกรธฉันเพราะแค่ฉันไม่ไปเฝ้าแกขี้ มันไม่ได้ "
" ทำไมฉันจะโกรธแกไม่ได้ ใช่ เราเป็นเพื่อนกันมาหลายปี แต่ในเวลาที่ฉันลำบากแกกลับไม่สนใจฉัน"
" ก็ฉันกลัวอ่ะ"
" น้ำก็กลัวเหมือนกันทำไมยังไปเป็นเพื่อนฉันได้เลย "
" ฉัน "
" พอ ไม่ต้องพูด ไปกันเถอะน้ำ"
กลับถึงบ้านก็เห็นทุกคนหน้าเครียดอยู่
" มีอะไรกันเหรอ"
ธารธาราถามขึ้น สายตาก็มองไปเห็นชายแก่คนหนึ่งนั่งอยู่
" นั่น ใช่พรานมูเล่ใช่ไหม"
" มากันครบแล้วใช่ไหม เมื่อพวกเอ็งมากันครบแล้วก็ไปได้แล้ว"
" ไป ไปตอนนี้เลยเหรอ ปะน้ำเก็บของ go to หุบเขามรณะ"
" ริน พรานไม่ยอมไปกับเรา"
ดุษฎีบอกดาริน ที่จูงมือธารธารากำลังจะไปเก็บกระเป๋าสัมภาระก็หยุดชะงัก
" ก็ เมื่อกี้ที่พรานบอก"
" เขาให้เราไปจากที่นี่"
" อ้าว ทำไม"
" ไม่ได้บอกพรานเหรอ ว่าศาสตราจารย์เป็นคนให้เรามาหาเขา"
" บอก แต่เขาไม่ไป"
" พรานมูเล่คะ ฉันขอถามได้ไหมว่าทำไมคุณถึงไม่ยอมนำทางพวกเรา"
" นั่นสิคะพราน พวกเราเป็นทีมงานมาจากสถาบันวิจัยแห่งชาติเลยนะ ต้องการดอกกล้วยไม้สีรุ้งมาทำการทดลอง ถ้าการวิจัยครั้งนี้สำเร็จพวกเราจะช่วยเหลือผู้คนได้อีกมากเลยนะคะ"
" ใช่ค่ะ แต่กล้วยไม้สีรุ้งอยู่ในหุบเขามรณะพวกเราไปไม่ถูก เลยต้องขอให้พรานมูเล่ช่วยนำทางให้พวกเรา"
" กล้วยไม้สีรุ้ง พวกเอ็งคิดว่ามันมีอยู่จริงๆเหรอ"
" อ้าว ไม่มีอยู่จริงเหรอคะ งั้นศาสตราจารย์ก็หลอกพวกเราหน่ะสิ"
" แต่ ศาสตราจารย์บอกผมว่าพรานเคยไปที่นั่นแล้วก็เห็นมันกับตาตัวเอง แล้วก็เป็นพรานที่เป็นโรคร้าย พอกินกล้วยไม้สีรุ้งเข้าไปก็หายมาจนถึงทุกวันนี้"
มูเล่นึกถึงตอนนั้นตนยังเด็กป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือด หมอบอกว่าไม่มีทางรักษา ความฝันของตนก่อนตายคืออยากเป็นพรานเหมือนพ่อ จึงขอติดตามพ่อเข้าป่าล่าสัตว์จนไปเจอพระธุดงรูปหนึ่ง ท่านรู้ได้ยังไงไม่รู้ว่าตนป่วย จึงชี้ทางให้ไปที่หุบเขามรณะ บอกว่าให้หากล้วยไม้สีรุ้งให้เจอมันจะช่วยทำให้เขาหายจากโรคร้ายได้ พ่อของเขากับเขาจึงออกเดินทางสู่หุบเขามรณะ ตามหากล้วยไม้สีรุ้งจนเจอ พ่อของเขารีบเอามันใส่กระบอกไม้ไผ่แล้วต้มน้ำให้เขาดื่ม แค่ดื่มไปไม่นานเขาก็รู้สึกได้ถึงพละกำลังที่กระฉับกระเฉงขึ้น แต่ด้วยหนทางที่เต็มไปด้วยอันตราย ระหว่างทางกลับพ่อของเขาต้องเอาชีวิตไปทิ้งเพื่อช่วยให้เขาได้กลับออกมา พอเขากลับมา ไปตรวจที่โรงพยาบาลหมอถึงกับงง ว่าโรคร้ายที่เขาเป็นอยู่ที่ต้องรอวันตายกลับหายได้ยังไง เรื่องกล้วยไม้สีรุ้งจึงมีแค่ไม่กี่คนที่รู้ หนึ่งในนั้นคือเพื่อนเก่าของเขา ที่หลังจากเขากลับมาจากหุบเขามรณะได้ไม่นานก็ย้ายออกจากหมู่บ้านไปอยู่ที่อื่น ตอนนี้ได้ข่าวว่าเป็นถึงศาสตราจารย์ มูเล่ดึงตัวเองกลับมาจากอดีต
" รีบเก็บของแล้วรีบไปจากบ้านของข้าซะแล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก ข้าจะให้คนถ่อแพไปส่งพวกเอ็งที่ทางเข้าหมู่บ้าน"" เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนสิครับพราน ขอแค่พรานนำทางพวกผมไป พรานต้องการเท่าไหร่ว่ามาเลย นี่นี่ครับ พรานดูก่อน"ดุษฎีเปิดกระเป๋าที่ภายในเต็มไปด้วยเงินเป็นปึกให้มูเล่ดู มูเล่มองด้วยแววตาเฉยชาต่อให้เอามากองท่วมหัวเขาก็ไม่เอา เพราะการไปหุบเขามรณะมันทำให้พ่อของเขาต้องตาย ตั้งแต่วันนั้นเขาก็โทษตัวเองมาตลอด ว่าถ้าไม่ใช่เพราะเขา พ่อของเขาก็คงไม่ต้องตาย" หรือว่าไม่พอ งั้นก็เอาไปแค่นี้ก่อนกลับออกมาผมจะบอกศาสตราจารย์ให้เอามาให้อีก"มูเล่มองหน้าทุกคนแล้วพูดเสียงแข็งกร้าว" ต่อให้พวกเอ็งขนเอามากองท่วมหัวข้าก็ไม่สน พวกเอ็งรีบไปจากบ้านข้าเดี๋ยวนี้เลย ไป๊"" ใจเย็นๆ เรื่องนี้เราคุยกันได้ "" ข้าไม่มีอะไรจะคุยกับพวกเอ็ง "" แต่พรานคะพวกเราขอร้องเถอะค่ะ นะคะ"" ทำไงดี ถ้าพรานไม่นำทางพวกเราแล้วเราจะไปหุบเขามรณะได้ยังไง"" ก็ถ้าเขาเล่นตัวไม่ยอมไป ก็หาพรานคนอื่นสิ ไม่เห็นจะยาก"ดุษฎีออกความเห็น ก็แค่พรานไม่ใช่เหรอในหมู่บ้านนี้คงไม่ได้มีพรานแค่คนเดียวหรอก" จริงอย่างที่ไอ้ด้วงมันพูด ในเมื่อพรานมูเล่ไม่ยอมนำท
" นายครับคุณน้ำเธอคงไปหุบเขามรณะแล้ว แล้วนายจะเอายังไงต่อครับ"อาชวีหันไปมองดูเขาสูงตะหง่านเบื้องหน้าด้วยสายตาเยือกเย็น เซโพกอดลาลูกเมียบอกทั้งสองไม่ต้องเป็นห่วง แล้วสั่งให้เมียเอาเช็คไปขึ้นที่ธนาคารในเมืองให้เรียบร้อย เขาจำเป็นต้องใช้เงินเพื่ออนาคตของลูกชายและลูกอีกคนที่อยู่ในท้องที่กำลังจะเกิดมา หากมีโอกาสรอดชีวิตกลับมา เขาตั้งใจจะพาลูกเมียย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง แต่หากเขาไม่ได้กลับมาเงินค่าจ้างที่ได้มาหลักล้านก็เพียงพอที่จะทำให้ลูกเมียของเขาอยู่ได้สุขสบาย" มึงแน่ใจว่าจะตามทัน"" แน่ใจ แต่ต้องใช้เวลาหน่อย"" นานไหม"" บอกไม่ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์"เซโพแกะรอยตามมูเล่ไปเรื่อยๆจนกระทั่งใกล้ค่ำจึงหยุดเดิน" อ้าว หยุดทำไมวะ"" ใกล้ค่ำแล้วพวกเราต้องหาที่พัก เอ็งสองคนไปช่วยกันหากิ่งไม้มาสุมไฟ หามาเยอะๆพวกสัตว์ป่ามันกลัวไฟ เราต้องสุมไฟให้ติดทั้งคืนจะได้ไม่มีอันตราย"ลูกน้องสองคนมองหน้าอาชวีเมื่ออาชวีพยักหน้า พวกเขาก็เดินออกไปหากิ่งไม้ทันทีพอก่อกองไฟเสร็จ เซโพก็หยิบของบางอย่างใส่ลงไปในกองไฟ ก่อนจะลุกขึ้นโรยผงสีขาวรอบๆบริเวณเป็นวงกลมล้อมรอบทุกคนเอาไว้" พราน พรานโรยผงอะไรอ่ะ"ดำรงถามด้วยคว
พวกลูกน้องมองหน้ากัน พวกเขาก็เหนื่อยมาทั้งวันต่างก็ง่วงนอน ถึงได้หลับไปด้วยความเพลีย ใครจะไปคิดว่าจะเกิดเหตุขึ้น ทั้งที่พรานก็เตือนแล้วว่าอย่าออกนอกเส้นที่ขีดไว้ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นายของพวกเขาดันคิดถึงเมียมาก เห็นเสือสมิงแปลงกายเป็นเธอก็หน้ามืดตามัวรีบตามออกไป ทั้งที่เรียกพวกเขาคนใดคนหนึ่งไปเป็นเพื่อนก็ได้แต่ที่ไม่เรียกเพราะคิดว่าจะไปแอบเย่กันหน่ะสิ แต่แทนที่จะได้เย่เมีย ดันเกือบถูกเสือกินแทน แล้วทีนี้ก็มาโทษลูกน้องอย่างพวกเขาอาชารีบเข้าไปกอดขาอาชวี" พวกผมผิดไปแล้วครับนาย ยกโทษให้พวกเราด้วยเถอะครับ ต่อไปพวกเราจะไม่หลับพร้อมกันอีกแล้ว ตั้งแต่คืนพรุ่งนี้พวกเราจะแบ่งเวรกัน ผลัดกันเฝ้ายามครับนาย "แสงแดดสาดส่องลงมาแม้เป็นเวลาสายแต่ก็ไม่ร้อนมาก เพราะมีต้นไม้ใหญ่หนาบดบัง เซโพเดินนำหน้าพาอาชวีกับลูกน้องเดินลัดเลาะขึ้นเขาข้ามลำธาร จนกระทั่งพบซากกองไฟ เซโพตรงเข้าไปทันที" ซากกองไฟนี่ยังใหม่ๆอยู่ แสดงว่าพวกเขาพึ่งไปได้ไม่นาน"" จะเป็นพวกน้ำไหม"อาชวีรีบถามขึ้นมาด้วยความดีใจ เซโพมองไปรอบๆซากกองไฟมีผงขาวโรยรอบอยู่ก็พยักหน้า " คนที่รู้วิธีโรยผงป้องกันแบบนี้มีเพียงพ่อข้ากับข้าเท่านั้น ข้าคิดว
ในขณะที่ทุกคนกำลังเอร็ดอร่อยกับมันเผาอยู่ ไม่รู้เลยว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องพวกเขาอยู่ในพุ่มไม้ ดึกสงัดเงียบสนิทได้ยินเพียงเสียงลมพัดหวีดหวิว เซโพยังไม่นอนเขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติของป่าบริเวณนี้ แปลกที่ไม่มีเสียงสัตว์ป่าร้องเลยสักแอะ เขานอนอย่างระแวดระวังจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา มันมีมากกว่า1คู่ สวบ สวบ สวบ เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เซโพลุกขึ้นเตือนให้ทุกคนระวังตัว แต่ไม่ทันจะได้ตอบโต้ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างพุ่งโจมตีก่อนที่สติจะดับลงมูเล่เดินนำทุกคนขึ้นเขาลงเขาสู่หุบเขาใหญ่อีกลูก ก่อนจะหยุดลงแล้วหันมาบอกทุกคน" ป่าบริเวณนี้ดูแปลกไปทุกคนระวังตัวกันด้วย"ทุกคนมองไปรอบๆเห็นว่าต้นไม้แถวนี้ต้นใหญ่กว่าทางที่ผ่านมา ใบไม้ก็ใหญ่มากด้วยยิ่งเดินเข้าไปก็ยิ่งรู้สึกตัวเล็กเหมือนมด " นั่นมันอะไรหน่ะ เหมือนหม้อข้าวหม้อแกงลิงเลย"ภาสกรชี้ให้ทุกคนดู" ใช่ หม้อข้าวหม้อแกงลิง แต่เป็นหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่โคตรใหญ่เลย"" ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเราไปโดนมัน มันจะต้องสวบเราแน่ๆ"" พวกเอ็งรีบเดิน เราต้องออกจากที่นี่ให้ได้ก่อนค่ำ พวกเอ็งเห็นเขาลูกนั้นไหม"ทุกคนมองตามที่มูเล่บอก เห็นเขาลูกใหญ่อีกฟาก
สัตว์ประหลาดก้มหน้าลงไปชิดกับเป้า ทำจมูกฟุดฟิดสูดดมกลิ่น อาชวีถลึงตาใส่มันทั้งกลัวทั้งโมโห สัตว์ประหลาดอีกสามตัวถือคบไฟเข้ามาทำท่าจะจุดไฟ สัตว์ประหลาดที่ดมอยู่ที่หว่างขาอาชวีก็แผดเสียงแหลมเล็กเเสบแก้วหูขึ้นมา ก่อนจะลุกขึ้นตวัดมือตบไปที่สัตว์ประหลาดทั้งสามที่พยายามจุดไฟ จากนั้นก็เกิดการตะลุมบอนขึ้น" ดูเหมือนว่ามันจะทะเลาะกันเอง ตัวนั้นที่ดมเป้านายน่าจะอยากได้นายไปทำผัว แต่ตัวอื่นไม่ยอมเพราะต้องการจะกินนาย"" ข้าก็คิดแบบนั้น อาศัยช่วงที่พวกมันทะเลาะกันมาช่วยกันหาทางออกจากที่นี่ดีกว่า"ทุกคนช่วยกันทั้งแหกทั้งแงะทั้งกัดก็ไม่มีวี่แววว่าจะออกไปจากกรงขังได้ ปัง ปัง เสียงปืนดังขึ้นทุกอย่างเงียบสนิททั้งคนทั้งสัตว์ประหลาดต่างพากันมองหาต้นเสียง ก็เห็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งสะพายย่ามอยู่ ในมือถือปืนเล็งไปที่พวกมันแล้วก็กราดยิงไปทั่วปัง ปัง ปัง ปัง เสียงกรีดร้องของสัตว์ประหลาดดังขึ้นไปทั่วทั้งบริเวณ เสียงดังแสบแก้วหูจนทุกคนต้องเอามือมาปิดหูตัวเองไว้ ความโกลาหลเกิดขึ้นเมื่อพวกมันบางตัวล้มตายจมกองเลือด ที่เหลือต่างก็พากันวิ่งหนีแตกตื่น สัตว์ประหลาดตัวที่ถือปืนสะพายย่ามก็ตกใจตัวเอง โยนปืนและย่ามที่สะ
กิตติศักดิ์อุ้มโมรีไปได้ไม่ถึงไหน ก็เจอดุษฎีกับมูเล่ จึงบอกให้ทั้งสองไปช่วยดารินมูเล่มองดูสามคนที่บาดเจ็บนอนอยู่ก็ถอนหายใจ กิตติศักดิ์เดินเข้ามาหามูเล่" พวกเราคงต้องหยุดเดินทางก่อน จนกว่าทั้งสามคนจะหายดีถึงไปต่อได้"" ก็คงต้องเป็นอย่างงั้น "ภาสกรแขนเดาะ หน้ามีรอยบาดเป็นแผลใหญ่ยาวครึ่งซีกซ้าย โมรีหัวแตกตอนนี้จับไข้ตัวร้อน ดารินหนักสุดขาหักสองข้างต้องใช้ไม้ดามเอาไว้ ส่วนคนที่เหลือบาดเจ็บแค่เล็กน้อยอาชวีมองดูผลไม้หลากสีลูกใหญ่ที่ลูกน้องของเขาพากันเก็บมาแล้วขมวดคิ้ว" พวกมึงแน่ใจนะว่ากินได้ "" แน่ใจสิครับนายมันเป็นผลไม้ก็ต้องกินได้อยู่แล้ว นายกินสิครับกินเลย ลูกใหญ่ๆสีสวยๆทั้งนั้น"" กูไม่ชอบกินผลไม้"" โธ่นายครับ นี่มันในป่านะครับมีผลไม้ให้กินก็บุญหัวแล้วนายอย่า"คำว่าเรื่องมากยังไม่ทันหลุดออกจากปากดำรงก็รีบกลืนลงไป เมื่อเห็นสายตาดุดันของอาชวี เขารู้ตัวว่าพูดมากไปจึงรีบหยิบผลไม้ออกไปกินห่างๆ ก่อนจะโดนบาทาเจ้านาย" นายครับแล้วนายจะไปไหน"" กูไปหาเดินเล่นแถวนี้แหละ"" ไปคนเดียวไม่กลัวเหรอครับ ถ้าเกิดเจออะไรขึ้นมาจะทำไง"อาชวีหยุดชะงัก อยากออกไปสูดอากาศคิดอะไรเพลินๆคนเดียวหน่อย เมื่อนึ
" เฮ้ยน้ำ น้ำทำไมมาถึงนี่แล้ววะกรุ๊ป"ดุษฎีแตกตื่นเห็นว่าน้ำเริ่มขึ้นมาถึงตรงที่เขาหลบฝน จึงรีบตะโกนบอกกิตติศักดิ์ กิตติศักดิ์กับดุษฎีรีบวิ่งไปหาเพื่อนที่บาดเจ็บทั้งสามคน ก็เห็นว่าน้ำท่วมเข้าไปถึงข้อเท้าแล้ว ดารินนอนอยู่บนเปลไม้ไผ่เปียกไปทั้งตัวข้างๆมีดุษฎีกับโมรีที่นั่งกอดเข่าอยู่" ทำไมไม่พากันออกมาจะรอให้น้ำท่วมตายห่าก่อนรึไง"ดุษฎีสบถอย่างหัวเสีย" กูเจ็บแขน รินก็นอนเดี้ยงอยู่แบบนี้แล้วจะให้หนีไปไหน"ภาสรตอบ เขาเองก็อยากหนีไปจากตรงนี้แต่เขาจะทิ้งดารินไปได้ยังไง เลยรอให้คนอื่นมาช่วยแล้วค่อยออกไปพร้อมกัน กิตติศักดิ์หันไปมองโมรี อดต่อว่าไม่ได้" โมเธอแค่หัวแตกเจ็บที่หัว แต่มือกับขาสองข้างยังใช้การได้ ทำไมไม่ช่วยพาพวกเขาออกจากตรงนี้ก่อน"" จะให้พาไปไหน ฝนก็ตกหนักแบบนี้ไปทางไหนก็เปียกอยู่ดี"" เธอไม่เห็นเหรอว่าน้ำกำลังจะท่วมแล้วน้ำป่าเวลามันมามันมาเร็วมาก คนปกติยังหนีแทบไม่ทัน ตอนนี้เรามีเพื่อนที่บาดเจ็บอยู่อะไรช่วยได้ก็ต้องช่วยกันไปก่อน"" แต่พรานเซโพก็บอกแล้วนี่ว่าพรานมูเล่กำลังไปหาที่หลบฝนใหม่ให้เราอยู่"" ตอนนี้พรานมูเล่ยังไม่กลับมา น้ำเริ่มขึ้นมาเรื่อยๆแล้วเห็นไหม เราต้องช่วยเหลื
" เลิกบอกใครว่าฉันเป็นเมียคุณสักที"" ก็คุณเป็นเมียผม"" ฮึ ตอนนั้นถ้าคุณบอกใครๆแบบนี้ฉันคงจะดีใจมาก ในตอนที่ฉันต้องการการยอมรับจากคุณแต่คุณก็ไม่สนใจ ตอนนี้ฉันไม่ต้องการมันแล้ว ฉะนั้นอย่ามายัดเยียดให้ฉัน"" น้ำผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว ให้โอกาสผมได้ไหม"" อาชวีเราจบกันแล้ว"" ไม่ คุณจบของคุณคนเดียวผมไม่รับรู้ด้วยเรายังเป็นเหมือนเดิม คุณยังเป็นเมียผม"" มันสายไปแล้ว ฉันไม่ต้องการเกี่ยวข้องอะไรกับคุณอีก"" ผมรู้ว่าผมผิดแล้ว ผมถึงได้ตามมาง้อคุณถึงที่นี่ไง"" ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้องการ พอฝนหยุดคุณก็พาลูกน้องของคุณกลับกรุงเทพไปซะที่นี่ป่าเขาไม่ใช่ที่เล่นสำหรับคุณ"" ถ้าผมจะกลับคุณก็ต้องกลับไปกับผมด้วย"" ฉันมาทำงานไม่ได้มาเที่ยวเล่น ถ้างานของฉันไม่เสร็จฉันจะไม่มีวันกลับ"" ไอ้งานที่คุณว่าคือไปตามหากล้วยไม้บ้าบออะไรนั่นมาวิจัยหน่ะเหรอ ฮ่าฮ่า น้ำ คุณคิดว่ามันมีอยู่จริงเหรอ คุณหน่ะโดนไอ้แก่นั่นหลอกแล้วหล่ะ "" ฉันเชื่อว่ามันมีอยู่จริง พรานมูเล่เคยเห็นมันมาแล้ว เเล้วเขาก็เป็นคนที่กินกล้วยไม้สีรุ้งแล้วหายจากโรคร้ายจริงๆ นั่นยังไม่ใช่ข้อพิสูจน์อีกเหรอ"" ไอ้พรานแก่นั่นกับไอ้แก่ที่สถาบันมันรวมหัวกันหลอก
เมื่อได้ฟังกิตติศักดิ์พูดทุกคนก็เริ่มเป็นกังวลหันไปมองชาวบ้านที่อยู่ไม่ไกล ไม่รู้ว่าพวกนั้นจ้องมองพวกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ละคนจ้องมองไม่ละสายตาจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม " กินอิ่มกันแล้วใช่ไหมพวกเราจะได้เก็บล้าง"" ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพวกเราช่วยกันเก็บล้างเอง เกรงใจจะแย่ทำให้พวกเรากินแล้วยังจะให้เก็บล้างให้อีก"ธารธาราร้องห้ามแล้วเก็บจานรวมกัน" ก็ได้ งั้นเอ็งเอาจานไปล้างที่ตรงนั้น"ธารธารามองตามที่หญิงคนนั้นชี้บอกแล้วพยักหน้าส่งยิ้มให้ธารธาราดารินและโมรีช่วยกันล้างจานระหว่างล้างจานดารินก็กระซิบกระซาบเล่าให้ฟัง เรื่องเมืองแม่ม่ายอิระวดีที่ดุษฎีเล่าให้ตนฟังมาอีกทีทางด้านพวกผู้ชายก็ปรึกษากันว่าจะออกจากเมืองแม่ม่ายยังไง" ข้าขอคิดดูก่อน ที่นี่มันมีมนต์คาถากำกับเอาไว้ เหมือนเป็นอีกมิติหนึ่งยากที่ใครจะเข้ามา แต่ถ้าหลุดเข้ามาแล้วก็ยากที่จะออกไป"อาชากับลูกน้องอีกสองคนหันไปเห็นหญิงม่ายคนหนึ่ง ยื่นมือยาวเฟื้อยไปเก็บผลไม้ที่อยู่บนต้น" นั่น นั่นพวกมึงเห็นเหมือนกูไหมวะ"" ชัดเลยพี่ม้า"" นี่แม่ม่ายหรือแม่นากกันแน่"ทั้งสามมองหน้ากัน หญิงคนนั้นรู้อยู่แล้วว่ามีคนมองจึงเรียกเสียงหวาน" กินผลไม้ด้วยกันไหมจ
" เมืองแม่ม่ายอิระวดี แสดงว่าทั้งเมืองตัองมีแต่แม่ม่ายใช่ไหม"" ถูกต้อง"" ว้าว ก็ดีหน่ะสิถึงจะเป็นแม่ม่ายแต่ก็มีแต่คนสวยๆ ฉันพร้อมจะเป็นผัวให้"ดำรงพูดขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ พร้อมทำท่าเก๊กหล่อ" ฉันก็ด้วยพี่"" ฉันก็ด้วย"" เมืองที่มีแต่แม่ม่ายมันจะเหมือนกับที่เคยออกข่าวไหม ว่าพอมันจับผู้ชายคนไหนไปทำผัว ผู้ชายคนนั้นก็จะตาย"ภาสกรถามขึ้นมา ดำรงกับลูกน้องคนอื่นที่บอกอยากเป็นผัวแม่ม่ายถึงกับหน้าถอดสี" ไม่ใช่ แม่ม่ายที่เมืองนี้ไม่เอาผัว แต่เกลียดผู้ชาย หากมีผู้ชายหลุดรอดมาจะถูกทำให้ตายอย่างทรมาน เพราะก่อนที่พวกเขาจะมาอยู่ที่นี่ได้ ก่อนตายได้ถูกผัวทำให้เจ็บช้ำน้ำใจจนต้องเลิกรากัน จากนั้นก็ครองตัวเป็นหม้ายจนตาย แต่ใช่ว่าทุกคนจะได้มาที่นี่ ต้องเป็นหญิงหม้ายที่ตั้งปณิธาณแน่วแน่ว่าจะไม่เอาผัวอีก และชอบสร้างกุศลผลบุญ ด้วยจิตที่อาฆาตผู้ชาย จึงทำให้มาอยู่รวมกันที่เมืองนี้"" พ่อ ไม่มีเวลาแล้ว พวกนั้นใกล้เข้ามาแล้วทำไงดี"เซโพเห็นพวกแม่ม่ายใกล้เข้ามาจนเห็นเงาตะคุ่มๆจากไกลๆ ก็รีบสะกิดบอกมูเล่ให้หยุดเล่าประวัติก่อน" เร็วพวกเอ็งรีบแปลงโฉม"ทุกคนรีบแต่งตัวเป็นหญิงเอาเสื้อผ้าของโมรีดารินและธารธาราไ
เดินมาพักใหญ่เริ่มมีแสงสว่างส่องลอดมาต้นไม้บริเวณนี้ใบไม้บนต้นมีแต่ใบแห้งๆ บางต้นยืนต้นตาย" พรานพักก่อนเถอะฉันไปต่อไม่ไหวแล้ว"โมรียืนพิงต้นไม้หายใจเหนื่อยหอบ มูเล่มองดูรอบบริเวณ ก่อนจะบอกให้ทุกคนพักได้ภาสกรกินน้ำไปได้ไม่กี่อึกน้ำก็หมดขวด เขาค้นหาในกระเป๋าก็ไม่มีน้ำเหลือ" ใครมีน้ำเหลือบ้างขอหน่อย"" กูเหลือแค่ครึ่งขวดเองยังไม่ได้กินเลย"" ไม่ต้องมองกู ของกูก็หมดแล้วมึงพึ่งกินเมื่อกี้ไม่ใช่รึไง"" กูไม่อิ่ม"โมรีเปิดกระเป๋าตัวเองจะหยิบขวดน้ำออกมา ปรากฏว่ามีแต่ขวดเปล่า ดารินก็เช่นกันแต่ดารินโชคดีที่ดุษฎีส่งน้ำที่เหลือครึ่งขวดให้ เธอรีบยกดื่มอย่างกระหาย โมรีได้แต่กลืนน้ำลายมองตาม" รินแบ่งฉันมั่ง"" อึก อึก อึก แกว่าอะไรนะฉันได้ยินไม่ชัด"โมรีดื่มน้ำหมดขวดแล้วหันมาถามโมรี โมรีชักสีหน้าไม่พอใจ เธอรู้ว่าดารินแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินที่เธอพูด" นายครับพวกเราไม่มีน้ำกินเลยสักหยดทำยังไงดี"" แถวนี้พอมีลำธารไหมลองไปถามพรานดูซิ"ลูกน้องของอาชวีเดินไปถามเซโพ แล้วกลับมารายงานอาชวีว่าเซโพจะพาไปหาแหล่งน้ำ" เดี๋ยวก่อน ถ้าข้าจำไม่ผิดแถวนี้ไม่มีแม่น้ำลำธารหรอก"" อ้าว แล้วอย่างนี้พวกเราไม่แย่เหรอ อดน้
" เดี๋ยวสิพราน พวกเราไม่มีพรานแล้วจะไปต่อกันได้ยังไง พรานรออีกสักหน่อยเถอะนะ พวกเขาอาจกำลังมาก็ได้"" ใช่ครับพราน เข้าไปอาจสวนกันเปล่าๆ"" รอไม่ได้ นี่ผ่านมา15นาทีแล้วขืนรอต่อไปยิ่งมีแต่อันตราย"ต้นหญ้าสูงท่วมหัวมองไม่เห็นทาง พวกนั้นอาจวิ่งเตลิดไปทางอื่น ป่านนี้คงหลงอยู่ในทุ่งหญ้าแสนกว้างใหญ่" พราน"" นี่เป็นแผนที่ที่ข้าทำขึ้นมาตอนอยู่ในถ้ำ เอ็งไปตามในแผนที่นี้ แล้วจะไปถึงที่อยู่ของกล้วยไม้สีรุ้ง"พูดจบมูเล่ก็วิ่งฝ่าทุ่งหญ้าเข้าไป ธารธารานึกขึ้นมาได้ก็บอกให้ทุกคนช่วยกันสุมไฟให้เกิดควันเยอะๆ คนในทุ่งหญ้าจะได้รู้ทิศทางทุกคนจึงรีบเอาใบไม้มาสุมไฟ ลูกน้องของอาชวีที่วิ่งวนหลงทางอยู่ในทุ่งหญ้ามองเห็นควันที่พวยพุ่งอยู่อีกทิศหนึ่งก็รู้ว่าตัวเองวิ่งเตลิดมาไกลจึงรีบวิ่งไปยังทิศทางที่มีควันไฟ เซโพที่เห็นดำรงวิ่งหลงทิศก็วิ่งตามตะโกนเรียกก็ไม่ได้ยินกว่าจะวิ่งตามทันก็เสียเวลาไปนาน พอเห็นควันไฟก็รู้ว่าต้องมีคนในทีมจุดขึ้นเพื่อบอกทิศทางจึงรีบพากันออกมา " นั่นมากันแล้ว พรานเซโพ"" ไอ้ดำกูนึกว่าจะไม่เจอมึงอีกแล้ว "อาชาดีใจรีบวิ่งเอาผ้าชุบแอลกฮอล์ไปให้" แล้วพ่อข้าหล่ะยังไม่ออกมารึ ไม่ใช่ว่าวิ่งมาเป็
เพราะมีคนได้รับบาดเจ็บจากการถูกงูกัดทุกคนเลยตกลงกันว่าจะพักอยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองคืน อีกอย่างไม่ไกลจากบริเวณที่พักมีต้นมันขึ้นอยู่เยอะ เท่ากับว่าทุกคนจะมีอาหารกินกันโดยไม่ต้องไปหาไกลๆมูเล่บอกว่าจะออกไปสำรวจรอบๆบริเวณพร้อมหาอาหารเพิ่ม ธารธาราขอตามไปด้วย แน่นอนว่าธารธาราไปไหนอาชวีก็ตามติด พวกเขาเดินเลาะริมแม่น้ำไปเรื่อยๆ จนได้มาเจอต้นพุทราอยู่ต้นหนึ่งออกลูกเต็มไปหมด ลูกใหญ่ด้วย ธารธาราสังเกตุเห็นนกหลายตัวมาจิกกินก็คิดว่าน่าจะปลอดภัยกินได้ จึงลองเด็ดมากินลูกหนึ่งปรากฏว่าหวานกรอบอร่อยมาก จึงให้อาชวีกับอาชาและดำรงที่ตามมาด้วยช่วยกันเก็บ ดารินนั่งรอทุกคนอยู่อย่างเบื่อๆเซ็งๆ จะไปด้วยก็ไม่ได้ขายังเดินไม่มั่นคง พอเห็นธารธารากลับมาก็ดีใจรีบลุกเดินกระโผลกกะเผลกไปหา " น้ำกลับมาแล้ว ได้อะไรมาด้วยเยอะเลย"" พุทรา หวานกรอบมาก ลองชิมดู"ดารินรับพุทรามากัดกินดูแล้วก็พยักหน้า" อือหวานกรอบอร่อยจริงๆ"" ทุกคนวันนี้เรามีพุทราเพิ่มมาให้กินด้วยนะมาเอากันเร็ว"" แล้วพ่อของข้าหล่ะไม่ได้กลับมาพร้อมพวกเอ็งรึ"" ตอนที่พวกเราเก็บพุทราอยู่พรานมูเล่บอกว่าจะไปสำรวจอีกทางหนึ่ง ให้พวกเรากลับก่อนเลย เดี๋ยวเขาตามมา
" ก็แค่งูเห่าตัวเดียว โธ่เอ๊ย นึกว่าพวกกูจะกลัวเหรอ แน่จริงมากันให้เป็นฝูงเลยเซ่ "ลูกน้องคนหนึ่งของอาชวีเดินไปพูดเยาะเย้ยใกล้ๆซากงู แล้วยังถ่มน้ำลายใส่มันอีกอาชวีจับบ่าสองข้างของธารธาราถามด้วยความห่วงใย" เมื่อกี้ตกใจหรือเปล่า "ธารธาราส่ายหน้า" ขอบคุณ"" ผมต้องปกป้องคุณอยู่แล้ว คุณต้องอยู่ใกล้ๆผมนะ ห้ามอยู่ไกลจากผมเด็ดขาดรู้ไหม"คนอื่นๆเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วจึงกลับไปเหลาไม้ต่อ ไม่มีใครสังเกตุว่างูเห่าเป็นฝูงกำลังเลื้อยมาทางพวกเขา ลูกน้องของอาชวีที่ถ่มน้ำลายใส่ซากงู กำลังจะหันหลังกลับก็ถูกฉกเข้าที่ขา พอเขาก้มลงดูก็ตกใจ อ้าปากค้างเมื่อเห็นงูเห่าหลายตัวแผ่แม่เบี้ยและพุ่งเข้ามากัดเขาจนล้มลง" โอ้ย ช่วย ช่วยด้วย"ทุกคนหันไปดูก็ตกใจกับภาพที่เห็นงูเห่ารุมฉกกัดชายคนนั้นจนแทบมองไม่เห็นร่าง คนที่มีปืนก็ยิงปืนใส่พวกมัน แต่ยิ่งยิงจำนวนพวกมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเหมือนแตกตัวได้" ขืนเป็นแบบนี้ไม่ไหวแน่พราน พวกมันมาจากไหนกันเยอะแยะขนาดนี้ ปืนมีแค่สี่กระบอกต่อให้ยิงหมดลูกกระสุนก็ต้านพวกมันไม่ไหวหรอก"" กรี๊ดดด พรานดูนั่นพวกมันมาจากทางนั้นด้วย"ดารินชี้ให้มูเล่ดูงูเห่านับจำนวนไม่ถ้วน พากันเลื้อยเข
เมื่อมูเล่กลับเข้าถ้ำมา ก็ได้ถามทุกคนว่าจะไปต่อหรือเปลี่ยนใจกลับออกจากป่า" ก็ต้องไปต่อสิพราน นี่พวกเรายังไปไม่ถึงไหนเลยนะ ยังไงก็ต้องนำกล้วยไม้สีรุ้งกลับไปด้วย"" มีใครจะเปลี่ยนใจไหม ฉันจะไม่บังคับหากใครเปลี่ยนใจก็ให้กลับพร้อมกับคุณอาชวีได้ พรานเซโพจะนำทางทุกคนออกจากป่ากลับกรุงเทพ แต่ถ้าใครจะไปต่อเราก็จะไปด้วยกัน พรานมูเล่จะนำทางเราสู่หุบเขามรณะ"กิตติศักดิ์ถามทุกคนในทีม ดารินลังเลเธอก็อยากกลับ จึงมองหน้าธารธาราเพราะคิดว่าธารธารายังไงก็ต้องกลับกับอาชวี แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อธารธาราพูดขึ้นมาว่าจะไปต่อกับทีม กิตติศักดิ์ยิ้มดีใจ อาชวีรีบเดินเข้ามาจับแขนธารธารา" ไม่ได้นะน้ำ คุณไปต่อไม่ได้ คุณต้องกลับกับผม"" ปล่อย ฉันไม่ใช่ลูกน้องของคุณที่ต้องทำตามคำสั่งคุณ คุณจะกลับก็กลับไปคนเดียวฉันไม่กลับ จนกว่าจะได้กล้วยไม้สีรุ้งกลับไปด้วย นี่เป็นความตั้งใจของฉันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว"" ไอ้กล้วยไม้บ้าบอนั่นมันมีอยู่จริงที่ไหนหล่ะ กลับไปคุณอยากได้สีรุ้งหรือสีเลือดผมจะให้คนพ่นสีจะเอาสักกี่ร้อยกี่พันดอกก็ได้"" คุณจะบ้าเหรอ มันต้องเป็นสีที่เกิดเองตามธรรมชาติ ไม่งั้นจะมีสรรพคุณทางยาได้ยังไง"" ผมไม่สน ยังไง
" เลิกบอกใครว่าฉันเป็นเมียคุณสักที"" ก็คุณเป็นเมียผม"" ฮึ ตอนนั้นถ้าคุณบอกใครๆแบบนี้ฉันคงจะดีใจมาก ในตอนที่ฉันต้องการการยอมรับจากคุณแต่คุณก็ไม่สนใจ ตอนนี้ฉันไม่ต้องการมันแล้ว ฉะนั้นอย่ามายัดเยียดให้ฉัน"" น้ำผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว ให้โอกาสผมได้ไหม"" อาชวีเราจบกันแล้ว"" ไม่ คุณจบของคุณคนเดียวผมไม่รับรู้ด้วยเรายังเป็นเหมือนเดิม คุณยังเป็นเมียผม"" มันสายไปแล้ว ฉันไม่ต้องการเกี่ยวข้องอะไรกับคุณอีก"" ผมรู้ว่าผมผิดแล้ว ผมถึงได้ตามมาง้อคุณถึงที่นี่ไง"" ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้องการ พอฝนหยุดคุณก็พาลูกน้องของคุณกลับกรุงเทพไปซะที่นี่ป่าเขาไม่ใช่ที่เล่นสำหรับคุณ"" ถ้าผมจะกลับคุณก็ต้องกลับไปกับผมด้วย"" ฉันมาทำงานไม่ได้มาเที่ยวเล่น ถ้างานของฉันไม่เสร็จฉันจะไม่มีวันกลับ"" ไอ้งานที่คุณว่าคือไปตามหากล้วยไม้บ้าบออะไรนั่นมาวิจัยหน่ะเหรอ ฮ่าฮ่า น้ำ คุณคิดว่ามันมีอยู่จริงเหรอ คุณหน่ะโดนไอ้แก่นั่นหลอกแล้วหล่ะ "" ฉันเชื่อว่ามันมีอยู่จริง พรานมูเล่เคยเห็นมันมาแล้ว เเล้วเขาก็เป็นคนที่กินกล้วยไม้สีรุ้งแล้วหายจากโรคร้ายจริงๆ นั่นยังไม่ใช่ข้อพิสูจน์อีกเหรอ"" ไอ้พรานแก่นั่นกับไอ้แก่ที่สถาบันมันรวมหัวกันหลอก
" เฮ้ยน้ำ น้ำทำไมมาถึงนี่แล้ววะกรุ๊ป"ดุษฎีแตกตื่นเห็นว่าน้ำเริ่มขึ้นมาถึงตรงที่เขาหลบฝน จึงรีบตะโกนบอกกิตติศักดิ์ กิตติศักดิ์กับดุษฎีรีบวิ่งไปหาเพื่อนที่บาดเจ็บทั้งสามคน ก็เห็นว่าน้ำท่วมเข้าไปถึงข้อเท้าแล้ว ดารินนอนอยู่บนเปลไม้ไผ่เปียกไปทั้งตัวข้างๆมีดุษฎีกับโมรีที่นั่งกอดเข่าอยู่" ทำไมไม่พากันออกมาจะรอให้น้ำท่วมตายห่าก่อนรึไง"ดุษฎีสบถอย่างหัวเสีย" กูเจ็บแขน รินก็นอนเดี้ยงอยู่แบบนี้แล้วจะให้หนีไปไหน"ภาสรตอบ เขาเองก็อยากหนีไปจากตรงนี้แต่เขาจะทิ้งดารินไปได้ยังไง เลยรอให้คนอื่นมาช่วยแล้วค่อยออกไปพร้อมกัน กิตติศักดิ์หันไปมองโมรี อดต่อว่าไม่ได้" โมเธอแค่หัวแตกเจ็บที่หัว แต่มือกับขาสองข้างยังใช้การได้ ทำไมไม่ช่วยพาพวกเขาออกจากตรงนี้ก่อน"" จะให้พาไปไหน ฝนก็ตกหนักแบบนี้ไปทางไหนก็เปียกอยู่ดี"" เธอไม่เห็นเหรอว่าน้ำกำลังจะท่วมแล้วน้ำป่าเวลามันมามันมาเร็วมาก คนปกติยังหนีแทบไม่ทัน ตอนนี้เรามีเพื่อนที่บาดเจ็บอยู่อะไรช่วยได้ก็ต้องช่วยกันไปก่อน"" แต่พรานเซโพก็บอกแล้วนี่ว่าพรานมูเล่กำลังไปหาที่หลบฝนใหม่ให้เราอยู่"" ตอนนี้พรานมูเล่ยังไม่กลับมา น้ำเริ่มขึ้นมาเรื่อยๆแล้วเห็นไหม เราต้องช่วยเหลื