Se connecter" แก ฉัน ฉันว่าฉันปวดท้องแล้วหล่ะ "
ดารินเอามือกุมท้อง แล้วเรื่องที่เธอไม่อยากให้เกิดก็เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ใช่ปวดฉี่แต่ปวดอึต้องเป็นอาหารที่กินเข้าไปเมื่อตอนค่ำแน่เลย กระเพาะลำไส้เธอไม่ค่อยดีกินอาหารแปลกไปทีไรท้องเสียทุกที
" แกไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ"
" ให้ฉันไปเฝ้าแกขี้เนี่ยนะ ไม่เอาอ่ะฉันกลัวผี"
" แต่เซโพบอกว่าห้ามไปคนเดียวต้องมีเพื่อนไปด้วย แล้วแกก็เป็นเพื่อนของฉันถ้าแกไม่ไปแล้วจะให้พี่กรุ๊ปไปรึไง"
" แต่ฉันก็กลัวนะ"
" แกคิดว่าฉันไม่กลัวรึไง เราถึงต้องไปด้วยกันนี่ไง"
" แกหน่ะปวดอะไรไม่รู้จักเวล่ำเวลา อั้นเอาไว้ก่อนไม่ได้รึไง อดเอาเดี๋ยวก็เช้าแล้ว"
" โอ้ยจะบ้าเหรอ ฉันปวดจะแย่แล้ว เหมือนจะท้องเสียด้วยไม่ไหวแล้ว "
ธารธาราเห็นทั้งสองคุยกัน โมรีก็ดูท่าจะไม่ยอมไปด้วยเลยอาสาไปเป็นเพื่อน
" เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อนเอง ไปเถอะ"
ดารินหันขวับไปมองธารธารา ไม่คิดว่าในยามลำบากคนที่ไม่รู้จักกันดีจะช่วยเธอ แต่เพื่อนสนิทที่คบกันมาหลายปีจะไม่สนใจเธอเเบบนี้
ธารธาราถือตะเกียงพาดารินตรงไปที่ป่าหลังบ้าน
" ฉันยืนรอตรงนี้นะ รีบไปเถอะ"
" ได้ๆขอบใจนะ บุญคุณครั้งนี้ฉันจะไม่ลืมเลย กลับไปกรุงเทพฉันจะเลี้ยงหมูกะทะเธอเลย"
" คิกคิก ไม่ต้องถือเป็นบุญคุณอะไรขนาดนั้นหรอกไปเถอะ"
ขณะที่ดารินกำลังปลดทุกข์อยู่ก็มองเห็นดวงไฟสีแดงสว่างวาบลอยไปลอยมา ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดหรอกใช่ไหม เธอรีบล้วงกระเป๋าจะหยิบทิชชู่มาเช็ด ฉิบหาย ลืมเอาทิชชู่มา หันซ้ายหันขวากิ่งไม้นี่แหละวะ ว่าแล้วก็รีบหักกิ่งไม้มาเช็ดก้น เช็ดไปก็ใจเต้นตุ้มๆต่อมๆไป ดวงไฟประหลาดยังคงลอยวนอยู่เบื้องหน้าหมาก็ดันหอนไม่หยุด
กิตติศักดิ์ยืนอยู่ระเบียงหน้าบ้านชะเง้อคอรอธารธารา โมรียิ่งไม่ชอบใจอดพูดประชดไม่ได้
" ถ้าเป็นห่วงมากนักทำไมไม่ตามไปซะเลยหล่ะ"
" ห๊ะ โมว่าอะไรนะ"
" ปะ เปล่า ฉันว่าทำไมพวกนั้นไปนานนัก"
" นั่นสิ พี่ว่าพี่ไปตามดีกว่า"
" ฉันไปด้วยนะ"
" โมไม่กลัวเหรอ "
" ฉัน มีพี่อยู่ฉันไม่กลัวอะไรทั้งนั้น"
กิตติศักดิ์จ้องหน้าโมรี โมรีหลบสายตารีบพูดขึ้นมา
" ฉันหมายถึงว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นพี่จะต้องปกป้องฉันได้หน่ะ"
เสียงลมพัดหวีดหวิวฟังดูน่าขนลุก หมาก็พากันหอนไม่หยุด
" น้ำ น้ำ "
" เสร็จแล้วเหรอ "
" อือไม่เสร็จก็ต้องเสร็จหล่ะไม่ไหว เธอเห็นอะไรไหม นั่นหน่ะ"
ธารธารามองตามที่ดารินชี้บอก เห็นดวงไฟสีแดงลอยไปลอยมา ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะพากันรีบวิ่งกลับบ้าน เกือบถึงบ้านก็เจอกิตติศักดิ์กับโมรีที่มาตาม
พึ่บพั่บ พึ่บพั่บ พึ่บพั่บ
อะไรบ้างอย่างบินผ่านหัวทุกคนไป
" อะ อะไรบินไปเมื่อกี้หน่ะ"
" นกหล่ะมั้งเงามันตัวใหญ่ๆ"
" นั่น นั่นเหรอนกที่พี่กรุ๊ปว่า"
ธารธาราชี้ให้ดูบนต้นไม้ คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงส่องสว่างเลยมองเห็นชัด คนยืนอยู่บนยอดไม้ กระพือแขนสองข้างที่มีกระด้งติดอยู่
" นกอะไรปีกมันแปลกๆนะว่ามั๊ย"
พึ่บพั่บ พึ่บพั่บ พึ่บพั่บ
" มันบินมาแล้ว มะ ไม่ใช่นก "
กรี๊ดดดด
กิตติศักดิ์วิ่งนำหน้ารีบขึ้นบ้าน ดารินจับมือธารธาราวิ่งตามมาติดๆ โมรีวิ่งตามหลังมา
กระหังบินโฉบตามอยู่เหนือหัว
ทุกคนหายใจเหนื่อยหอบอยู่บนบ้าน
" ไหนพี่กรุ๊ปบอกว่านกไง นกที่ไหนกระหังชัดๆ"
" พี่ พี่ไม่รู้สายตาพี่ไม่ดี เห็นมีปีกก็คิดว่านก"
" มัน มันไปรึยัง"
ธารธารา ดาริน โมรีและกิตติศักดิ์ ค่อยๆแง้มหน้าต่างที่เป็นใบไม้ออกดูก็เห็น ชายหัวโล้นผอมกระหร่องแลบลิ้นเลียปากกระพือกระด้งมองพวกเขาอยู่ ทุกคนตกใจแทบสิ้นสติรีบปิดหน้าต่างแทบไม่ทัน แล้วพากันเอาผ้าห่มมาคลุมหัว
ตอนเช้าดารินตามติดธารธาราตลอด ไม่สนใจโมรีที่เดินตามหลังมา ขณะที่ล้างหน้าล้างตาอยู่ที่ริมแม่น้ำ ดารินก็ถามขึ้นมา
" เมื่อคืนที่เราเห็นตอนฉันไปอึเธอว่าเป็นอะไร ฉันว่านะต้องเป็นผีกระสือแน่ๆเลยไม่งั้นมันจะลอยไปลอยมาได้ยังไง พูดแล้วก็ขนลุก"
" บางทีอาจจะเป็นพวกแก๊สที่อยู่ใต้ดินที่มันติดไฟได้ก็ได้นะ เลยทำให้เกิดเป็นดวงไฟอย่างที่เราเห็น"
" เธอคิดอย่างนั้นเหรอ"
" แค่คาดเดาหน่ะ แต่ที่แน่ๆไอ้ที่มีกระด้งนั่นกระหังชัวร์"
" บรึ๊ย อย่าพูดถึงมันเลยขนลุก เคยได้ยินเขาเล่าไม่คิดว่าจะมีจริง ตอนเปิดหน้าต่างไปเห็นมันแลบลิ้นเลียปากยังติดตาอยู่เลย ฉันอยากไปจากที่นี่แล้วอ่ะ ไม่รู้พรานมูเล่กลับมารึยังนะ"
โมรีเงี่ยหูฟังทั้งสองคุยกันไม่ชวนเธอคุยบ้างก็ไม่พอใจ ดารินกำลังจะเดินไปกับธารธาราก็รีบเรียกเอาไว้
" ริน เดี๋ยวก่อนสิ ริน"
ดารินไม่สนใจเพราะยังโกรธโมรีเรื่องเมื่อคืนอยู่ โมรีรีบคว้าแขนเอาไว้
" รินแกจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปี แกจะมาโกรธฉันเพราะแค่ฉันไม่ไปเฝ้าแกขี้ มันไม่ได้ "
" ทำไมฉันจะโกรธแกไม่ได้ ใช่ เราเป็นเพื่อนกันมาหลายปี แต่ในเวลาที่ฉันลำบากแกกลับไม่สนใจฉัน"
" ก็ฉันกลัวอ่ะ"
" น้ำก็กลัวเหมือนกันทำไมยังไปเป็นเพื่อนฉันได้เลย "
" ฉัน "
" พอ ไม่ต้องพูด ไปกันเถอะน้ำ"
กลับถึงบ้านก็เห็นทุกคนหน้าเครียดอยู่
" มีอะไรกันเหรอ"
ธารธาราถามขึ้น สายตาก็มองไปเห็นชายแก่คนหนึ่งนั่งอยู่
" นั่น ใช่พรานมูเล่ใช่ไหม"
" มากันครบแล้วใช่ไหม เมื่อพวกเอ็งมากันครบแล้วก็ไปได้แล้ว"
" ไป ไปตอนนี้เลยเหรอ ปะน้ำเก็บของ go to หุบเขามรณะ"
" ริน พรานไม่ยอมไปกับเรา"
ดุษฎีบอกดาริน ที่จูงมือธารธารากำลังจะไปเก็บกระเป๋าสัมภาระก็หยุดชะงัก
" ก็ เมื่อกี้ที่พรานบอก"
" เขาให้เราไปจากที่นี่"
" อ้าว ทำไม"
" ไม่ได้บอกพรานเหรอ ว่าศาสตราจารย์เป็นคนให้เรามาหาเขา"
" บอก แต่เขาไม่ไป"
" พรานมูเล่คะ ฉันขอถามได้ไหมว่าทำไมคุณถึงไม่ยอมนำทางพวกเรา"
" นั่นสิคะพราน พวกเราเป็นทีมงานมาจากสถาบันวิจัยแห่งชาติเลยนะ ต้องการดอกกล้วยไม้สีรุ้งมาทำการทดลอง ถ้าการวิจัยครั้งนี้สำเร็จพวกเราจะช่วยเหลือผู้คนได้อีกมากเลยนะคะ"
" ใช่ค่ะ แต่กล้วยไม้สีรุ้งอยู่ในหุบเขามรณะพวกเราไปไม่ถูก เลยต้องขอให้พรานมูเล่ช่วยนำทางให้พวกเรา"
" กล้วยไม้สีรุ้ง พวกเอ็งคิดว่ามันมีอยู่จริงๆเหรอ"
" อ้าว ไม่มีอยู่จริงเหรอคะ งั้นศาสตราจารย์ก็หลอกพวกเราหน่ะสิ"
" แต่ ศาสตราจารย์บอกผมว่าพรานเคยไปที่นั่นแล้วก็เห็นมันกับตาตัวเอง แล้วก็เป็นพรานที่เป็นโรคร้าย พอกินกล้วยไม้สีรุ้งเข้าไปก็หายมาจนถึงทุกวันนี้"
มูเล่นึกถึงตอนนั้นตนยังเด็กป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือด หมอบอกว่าไม่มีทางรักษา ความฝันของตนก่อนตายคืออยากเป็นพรานเหมือนพ่อ จึงขอติดตามพ่อเข้าป่าล่าสัตว์จนไปเจอพระธุดงรูปหนึ่ง ท่านรู้ได้ยังไงไม่รู้ว่าตนป่วย จึงชี้ทางให้ไปที่หุบเขามรณะ บอกว่าให้หากล้วยไม้สีรุ้งให้เจอมันจะช่วยทำให้เขาหายจากโรคร้ายได้ พ่อของเขากับเขาจึงออกเดินทางสู่หุบเขามรณะ ตามหากล้วยไม้สีรุ้งจนเจอ พ่อของเขารีบเอามันใส่กระบอกไม้ไผ่แล้วต้มน้ำให้เขาดื่ม แค่ดื่มไปไม่นานเขาก็รู้สึกได้ถึงพละกำลังที่กระฉับกระเฉงขึ้น แต่ด้วยหนทางที่เต็มไปด้วยอันตราย ระหว่างทางกลับพ่อของเขาต้องเอาชีวิตไปทิ้งเพื่อช่วยให้เขาได้กลับออกมา พอเขากลับมา ไปตรวจที่โรงพยาบาลหมอถึงกับงง ว่าโรคร้ายที่เขาเป็นอยู่ที่ต้องรอวันตายกลับหายได้ยังไง เรื่องกล้วยไม้สีรุ้งจึงมีแค่ไม่กี่คนที่รู้ หนึ่งในนั้นคือเพื่อนเก่าของเขา ที่หลังจากเขากลับมาจากหุบเขามรณะได้ไม่นานก็ย้ายออกจากหมู่บ้านไปอยู่ที่อื่น ตอนนี้ได้ข่าวว่าเป็นถึงศาสตราจารย์ มูเล่ดึงตัวเองกลับมาจากอดีต
แสงแดดสาดส่องมาทำให้ธารธาราค่อยๆลืมตาขึ้น ก็เห็นว่าตัวเองนั่งหลับไปข้างหินเจ้าแม่นางครวญ ไม่รู้ว่าตัวเองนั่งอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหนแล้ว สายตาก็เหลือบไปเห็นอีกฝั่งมีน้ำแดงและขนมวางอยู่ เอ๋ ใครเอามาวางไว้ตรงนี้หว่า ท้องก็ร้องจ้อกๆขึ้นมา สงสัยมีคนเอามาเซ่นเจ้าแม่ตั้งแต่ก่อนเธอจะมา อือเจ้าแม่กินแล้วแหละ งั้นเธอนั่งกินขนมอย่างอร่อย อีกมือก็ยกขวดน้ำแดงขึ้นมาดูด ซู้ด" ขนมอะไรไม่รู้อร่อยดีเหมือนกันนะเนี่ย ง่ำง่ำ ง่ำ"มัวแต่กินเลยไม่รู้ว่ามีกลุ่มคนเดินเข้ามาใกล้" เจ้าแม่นางครวญขอบคุณนะเจ้าคะขนมอร่อยมากเลย ฉันขอรอผัวฉันตรงนี้เป็นเพื่อนเจ้าแม่นะ ฮือฮือ "" มารอผัวเหรอ"" ใช่ ไม่รู้เขาจะกลับมามั๊ย เขาถูกยิงตกน้ำ มีแต่คนบอกว่าเขาน่าจะตายห่าไปแล้ว ฮือฮือ แต่ แต่ฉันไม่เชื่อ ฉันจะรอเขาอยู่ที่นี่ ฮือฮือ ถึงเขาเป็นผีก็ต้องมาหาฉัน "" เอาขนมอีกไหม"" อือได้ก็ดี"ธารธารารับขนมจากมือใครไม่รู้มาแกะกิน " ง่ำ ง่ำ อื้ออร่อยหวานมันส์กรอบ "" ค่อยๆกินเดี๋ยวติดคอ กินน้ำด้วย"เธอรับขวดน้ำมาดูดแล้วหยุดชะงัก เธอพูดกับใคร ใครยื่นน้ำยื่นขนมให้เธอ แล้วก็ค่อยๆหันหลังไปมอง อาโบ ผีอาโบเหรอ นี่วิญญาณของเขามาหาเธอกลางวั
อาโบทำสัญลักษณ์ให้ทุกคนถอย เมื่อออกมาห่างพอสมควรก็พูดเป็นภาษาชนเผ่าที่อาชาฟังไม่ออกว่าพูดอะไรกัน โพโรโรกับลูกน้องอีกคนรับคำสั่งแล้วรีบออกไป ที่เหลือให้ตามอาโบมา เซโพพาอาชาไปซุ่มดูอยู่หลังพุ่มไม้เห็นอาโบ จ่อจ่อ มะทูจ่อและลูกน้องอีกคนค่อยๆแอบเข้าไปที่ตั้งของพวกมัน " พวกอาร์มี่"" ห๊ะ อาอะไรนะ"" อาร์มี่"" แล้วมันเหมือนกับพวกอียูพวกอาร์เคไหม"" อือก็เป็นชนเผ่าปกครองตัวเองเหมือนกันแต่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดมากกว่า"" ห๊า แล้ว แล้วนายวีของฉันกับไอ้ดำจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ โธ่นาย"" ไม่ต้องห่วง อาโบเขาเก่ง อย่าลืมเขาเป็นถึงหัวหน้าพวกอาร์เค"ปัง ปัง ปัง ปัง เสียงปืนดังสนั่นติดๆกัน จ่อจ่อพาอาชวีวิ่งออกมา ตามมาด้วยลูกน้องอีกคนที่พาดำรงตามมาติดๆ อาโบกับมะทูจ่อช่วยกันยิงสู้ไม่ให้พวกอาร์มี่ตามมา เซโพกับอาชาออกจากที่ซ่อนยิงสู้พวกมันที่ตามมาแล้วรีบไปรับอาชวีกับดำรงปัง ปัง ปัง ปัง อาโบให้ทุกคนไปก่อน ส่วนตัวเองคอยยิงระวังหลังให้จนข้ามฝั่งมาได้ ฝั่งคนรอก็ลุ้นใจจดใจจ่อโดยเฉพาะธารธาราที่นั่งไม่ติด ชะเง้อรออาโบกลับมาพั่บ พั่บ พั่บ พั่บ" เสียงฮ.นี่ฮ.มาจากไหน"ทุกคนแหงนมองบนฟ้าก็เจอเฮลิคอปเตอร์ โพโรโร
" ไม่ใช่ ผมไม่เคยเห็นคุณเป็นของเล่น แต่ผมยังไม่รู้ใจตัวเองเลยเย็นชากับคุณ เรื่องอัญผมไม่เคยจริงจังกับเธอเลย ที่จริงผมรักคุณมาตลอด รักมานานแล้ว แต่พึ่งรู้ตัวตอนที่คุณจากไป ให้โอกาสผมอีกสักครั้งผมจะรักคุณให้ดีๆ ไม่ทำให้คุณเสียใจอีก"" ฉันให้โอกาสคุณหลายครั้งแล้วแต่คุณไม่เอาเอง โอกาสครั้งสุดท้ายคือวันที่คุณทิ้งฉันไปหาอัญญาอร ฉันขอร้องคุณแล้วแต่คุณไม่เลือกฉัน"อาชวีเข่าอ่อนแทบทรุดวันนั้นอัญญาอรโทรหาเขา บอกว่ามีคนสะกดรอยเดินตามเธอมาเธอกลัวมาก ให้เขาออกไปหาเขาเลยรีบร้อนออกไป ตอนนั้นธารธาราบอกว่าให้เขาอยู่กับเธอเธอรู้สึกไม่ค่อยสบาย อยากให้เขาอยู่เป็นเพื่อนแต่เขาก็ไม่ได้สนใจ ยังตะคอกใส่เธอว่าให้เธอไปหายากินเอง ไม่ก็ไปหาหมอ เขาไม่ใช่หมอจะไปช่วยอะไรได้พูดจบก็สะบัดเธอออก เดินไปไม่หันหลังกลับมามอง แล้วเขาก็ไปหาอัญญาอรตอนเช้าอาชาโทรมาบอกว่าธารธาราป่วยเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อคืน เขาเลยไปเยี่ยมเธอเห็นเธอนอนนิ่งให้น้ำเกลืออยู่ก็รู้สึกผิดนิดหน่อย แต่นั่นแหละเขาไม่ใช่หมอบอกไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ป่วยก็มาหาหมอก็ถูกแล้ว เธอเห็นหน้าเขาก็พูดคุยถามไถ่ปกติบอกว่าไม่เป็นอะไรให้เขากลับไปทำงานเถอะ เขาก็คิดว่าเธอ
ผีตัวหนึ่งแว่บมากอดภาสกรจากข้างหลัง " ช่วยด้วยไอ้ด้วงช่วยกูด้วย"ดุษฎีจะเข้าไปช่วย แต่ไม่รู้จะช่วยยังไงเขาก็ถูกมันดึงขาอยู่เหมือนกัน" อาโบ พวกเรามารวมพลังกันน่าจะช่วยไล่พวกมันไปได้ "มูเล่ร้องบอกอาโบ อาโบบอกให้ธารธาราอยู่ใกล้ๆเขา แล้วเดินไปนั่งหันหลังชนกันสามคนกับเซโพและมูเล่ จากนั้นก็ช่วยกันร่ายคาถาอาคม ตอนนี้ทุกคนต้องช่วยตัวเองไปก่อน ธารธารานั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากอาโบ ที่จริงเธออยากจะกอดเขาไว้แน่นๆแต่ไม่อยากรบกวนสมาธิเขา มีผีโผล่มาพยายามดึงเธอแต่มีแสงสีเขียวพุ่งออกมา มันก็ต้องรีบหดมือกลับอย่างไวแล้วหายแว่บไป ผีอีกหลายตัวที่พยายามจะเข้ามาทำร้ายเธอก็เป็นแบบเดียวกัน เธอหยิบสร้อยเขี้ยวเสือไฟที่สวมอยู่ขึ้นมาดูอย่างแปลกใจแสงสีทองพวยพุ่งขึ้นมาเหนือหัวของอาโบเซโพและมูเล่ ก่อนจะแผ่กระจายไปทั่วทั้งบริเวณ สาดส่องทะลุพวกผีห่าทุกตัว พวกมันส่งเสียงร้อนโหยหวนก่อนจะพากันสลายหายไปอาโบรีบลุกขึ้นวิ่งเข้าไปหาธารธาราดึงเธอเข้ามากอดไว้แน่น" ไม่เป็นอะไรใช่ไหม"" ไม่เป็นไร สร้อยที่นายให้ช่วยฉันไว้ "อาโบจับมือธารธาราเดินเข้าไปรวมกับทุกคนก่อนจะพูดขึ้น" ทุกคนเก็บของ พวกเราต้องไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย"
อาโบนำทางทุกคนออกมาด้านหลังหุบเขาที่มีทางเชื่อมต่อกับเทือกเขาอีกลูก ไม่ต้องไต่เชือกข้ามฝั่งเหมือนขามา เดินลัดเลาะตามสายน้ำไปเรื่อยๆ" สายน้ำนี้ใช่ธารน้ำที่อยู่ตรงกล้วยไม้สีรุ้งใช่ไหม"ธารธาราถามขึ้นมา อาโบพยักหน้า ครั้งหนึ่งเขาหนีการไล่ล่าของฝ่ายศัตรูเข้ามาซ่อนตัวอยู่แถวกล้วยไม้สีรุ้ง ทีแรกเขาคิดว่าเป็นทางตันไม่มีทางออก ตอนนั้นเขาบาดเจ็บหนัก ถึงหนีพ้นจากพวกมันแต่ที่นี่อากาศมีน้อยหายใจลำบาก เขาคิดว่าจะตายอยู่ที่นี่เสียแล้ว แต่ก็สังเกตุเห็นว่าธารน้ำไหลมีน้ำไหลออกไปข้างนอก จึงเดินตามน้ำไหลออกไป จากทางน้ำเล็กๆค่อยๆกว้างขึ้นกลายเป็นแม่น้ำ และเขาก็รอดมาได้อาโบพาทุกคนเดินตามธารน้ำเล็กๆออกมาจนกลายเป็นแม่น้ำกว้าง น้ำใสไหลเย็นมองเห็นก้อนหินและปลาตัวเล็กแหวกว่ายไปมาทุกคนพักเหนื่อยกินน้ำล้างหน้าล้างตาเย็นๆหายเหนื่อยก็เดินทางต่อ เช้าจรดเย็นเย็นจรดเช้าของอีกวัน ผ่านแดดร้อนบ้างฝนตกบ้าง จนพากันเดินมาถึงที่แห่งหนึ่งก็พลบค่ำพอดีจึงหยุดพักพวกลูกน้องของอาโบช่วยกันหากิ่งไม้มาก่อกองไฟ หลังกินอาหารเสร็จ อาโบก็เตรียมที่นอน เขาเอาผ้าผืนหนึ่งออกมาปูรองนอน หยิบเอาผ้าห่มลายแมวที่ธารธาราใช้ห่มประจำออกมาเตรียมใ
" น้ำ น้ำหมายความว่ายังไง น้ำจะไม่กลับไปทำงานที่สถาบันกับพวกเราแล้วเหรอ"กิตติศักดิ์รีบถามขึ้นมาด้วยความตกใจ" หากล้วยไม้เจอก็เป็นอันจบภารกิจ ฉันจะกลับไปกับอาโบ"ทุกคนตกใจที่ได้ยิน ดารินรีบเข้ามาจับแขนธารธารา" น้ำเธอคิดดีแล้วเหรอ ถึงจะเธอจะคบกับอาโบแต่ก็ไม่ต้องออกจากสถาบันก็ได้นี่"ธารธาราส่ายหน้า" ฉันตัดสินใจแล้ว ที่กรุงเทพไม่มีอะไรให้ฉันผูกพันธ์ ไม่มีอะไรให้เป็นห่วง ฉันเหลือตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน พ่อแม่ก็ตายหมดแล้ว ชีวิตนี้ฉันมีแต่อาโบ"เธอกอดแขนอาโบแน่น เขาลูบหัวเธอเบาๆปลอบโยน " เธอยังมีฉันไงเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ""ก็ใช่ แต่ "" แต่อะไร"" เพื่อนไม่เหมือนผัวนี่"" _ "เธอไม่มีเพื่อนก็ได้ แต่ไม่มีผัวไม่ได้ เธอขาดอาโบไม่ได้" ที่เราหาเป็นส่วนนอกสังเกตุไหม เมื่อมองจากที่ไกลๆเราจะเห็นมันเป็นรูปหัวกะโหลกมีตาสองตา"เมื่ออาโบพูดขึ้นมาทุกคนก็คิดตาม" เราหาบริเวณรอบนอกมาหมดแล้ว แต่ยังไม่ได้เข้าไปข้างใน"" ข้างในที่ว่านี่ใช่ตรงที่ดูคล้ายกับลูกตาโบ๋ๆเวลามองมาจากที่ไกลๆไหม"" นั่นแหละใจกลางหุบเขาแห่งนี้"มูเล่เซโพและพวกลูกน้องของอาโบ ใช้มีดฟันเครือไม้ที่ขึ้นแน่นขนัด ก่อนจะพาก







