ตอนนี้ซูมั่วขึ้นไปนั่งที่เบาะข้างคนขับ หยิบทิชชูเปียกออกมาเช็ดมือกับข้อมือ ฟู่อี้ชวนเห็นภาพนี้ ก็รู้สึกเจ็บปวดในใจอีกครั้งเฟอร์รารี่แล่นออกไปอย่างรวดเร็ว เขาวิ่งตามไปสองก้าว ก่อนจะขึ้นรถขับตามไปในรถพอซูมั่วเช็ดมือเสร็จ หลีโย่วก็เอ่ยขึ้น “สารภาพมาซะดี ๆ นะ”“ขอโทษนะ” ซูมั่วก้มหน้าพูด“ขอโทษฉันทำไมกัน ฉันอยากรู้ว่าเธอไปยุ่งเกี่ยวกับฟู่อี้ชวนได้ยังไง แต่งงานกันตั้งแต่เมื่อไร? ทำไมไม่เคยบอกฉันเลย? ไม่รักษาน้ำใจในฐานะเพื่อนกันเลยนะ” หลีโย่วพูดไม่หยุด“ขอโทษที่ปิดบังเธอ คิดว่าเธอจะโกรธน่ะ” ซูมั่วเอ่ยหลีโย่วเงียบไปหนึ่งวินาที “โกรธน่ะมันเรื่องรอง ที่จริงคือฉันแปลกใจมาก ตกใจมาก ฉันจำได้ว่าเธอเป็นเด็กกำพร้า ตามหลักแล้วไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลฟู่เลยนี่นา”ซูมั่วเอนตัวพิงเบาะ สายตามองอากาศ แล้วเล่าทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบอย่างช้า ๆหลีโย่วนั่งฟังเงียบ ๆ ตลอดทาง ไม่พูดอะไรเลย พอฟังจบ แววตาก็สับสนเล็กน้อย อยากพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน และทำได้เพียงพูดออกมาแห้ง ๆ หนึ่งประโยค“...เธอชอบฟู่อี้ชวน แถมยังชอบมาหลายปีขนาดนั้นเลยเหรอ”“มันเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว” ซูมั่วพ
ใจเย็นลงก่อน อย่าตื่นตระหนก ไม่เป็นไรหรอก ยังมีคุณปู่ฟู่อยู่ เขาคงไม่ยืนดูเฉย ๆ แน่“ต่อให้เชิญเทพมา การหย่าครั้งนี้เป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว” ซูมั่วพูดเสียงหนักแน่นเด็ดขาด“ได้ งั้นไว้เจอกันตอนนั้นแล้วกัน” ฟู่อี้ชวนพูดซูมั่วเบือนหน้าหนี ไม่มองเขาอีก แต่ก็ยังพยายามสะบัดมือให้หลุดจากอีกฝ่าย ขณะเดียวกันก็ให้หลีโย่วช่วยดึงเธอออกหน่อยหลีโย่วได้สติแล้ว ใช้แรงดึงมืออีกครั้ง ขณะเดียวกันยังยกเท้าไปกระทืบรองเท้าหนังของฟู่อี้ชวนด้วย“หย่ากันแล้ว ผัวเก่าที่ดีก็ควรจะทำตัวเหมือนตายไปแล้วสิ!” หลีโย่วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ฟู่อี้ชวนหลบไปพลางยังดึงซูมั่วไว้ไม่ยอมไป ตอนนี้ซูมั่วจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาด้วยมืออีกข้าง และพูดกับผู้ชายคนนี้“ถ้านายยังไม่ปล่อยอีกฉันจะแจ้งตำรวจ นายอยากให้คุณปู่ฟู่ต้องไปสถานีตำรวจอีกรอบเหรอ?”ฟู่อี้ชวนได้ยินก็มองไป และกัดฟันแน่น ก่อนพูด“อย่าแจ้งความ ฉันแค่อยากคุยกับเธอ ซูมั่ว ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก”“ก็ดี งั้นไปคุยกันที่สถานีตำรวจ” ซูมั่วพูดเสียงเย็นชา และกดโทรเบอร์แจ้งความออกมา“อย่า!” กลัวว่าซูมั่วจะโทรแจ้งความอีกครั้งจริง ๆ ฟู่อี้ชวนจึงปล่อยข้อมือของเธอทันทีในที่สุดมือ
ซูมั่วไม่พูดอะไร หันไปมองหลีโย่วที่กำลังตกตะลึงตาค้าง ตนยังไม่ได้สารภาพกับอีกฝ่าย จึงรู้สึกตื่นตระหนกไปครู่หนึ่ง“มั่วมั่ว เธอรู้จักกับฟู่อี้ชวนเหรอ?” หลีโย่วถามในตอนนั้น“เดี๋ยวฉันค่อยอธิบายทีหลังนะ” ซูมั่วพูด จากนั้นก็พยายามดึงแขนให้หลุด“ทำไมไม่พูดตอนนี้? ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเธอทำให้เธอรู้สึกรังเกียจเหรอ? จนเธอถึงกับพูดออกมาไม่ได้เลย??” ฟู่อี้ชวนได้ยินก็โกรธเกรี้ยว และกัดฟันพูดพอได้ยินประโยคนั้น หลีโย่วก็เบิกตากว้างโดยพลัน มองฟู่อี้ชวนที่สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ แล้วหันไปมองเพื่อนสนิทที่มีแต่สีหน้ารังเกียจและต่อต้านนี่มันเรื่องอะไรกันแน่?? มั่วมั่วกับฟู่อี้ชวนสนิทกันขนาดนั้นเลยเหรอ?คำพูดนั้นของฟู่อี้ชวนท่าทางชัดเจนว่ามีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว (ขีดฆ่า) ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนมันยังไงกันแน่??“ในเมื่อนายรู้แล้วยังจะถามอะไรอีก!” ซูมั่วหันกลับไปจ้องอีกฝ่ายอย่างเดือดดาล ใส่ผู้ชายที่ยังจับเธอไม่ปล่อยฟู่อี้ชวนมองเธอ มือที่จับไว้ยิ่งกำแน่นขึ้น แววตาแข็งกร้าวซูมั่วไม่อยากยอมรับเขา เรื่องนี้เขารู้มาตลอด แต่พอตอนี้ได้ยินเธอพูดออกมาด้วยตัวเอง ก็ยังรู้สึกอึดอัดเจ็บปวดในใจ“
รุ่นพี่ [พวกเธอหย่ากันแล้วแต่ฟู่อี้ชวนยังโพสต์ข้อมูลแต่งงานต่อสาธารณะ ทำให้เธอกลายเป็นเป้าของทุกคน เขาคงไม่ยอมรามือแน่ ถ้าถึงขั้นนั้นจริง ๆ ฉันจะช่วยเธอติดต่อทนาย]ซูมั่วหลุบตามองข้อความของอีกฝ่าย กล่าวขอบคุณ เธอรู้สึกว่าตัวเองควรต้องเตรียมตัวให้พร้อมจริง ๆฟู่อี้ชวนลงมือกับติ่งเซิ่งแล้ว ทั้งยังตามตอแยเธอไม่เลิก เดิมทีเธอคิดจะรักษาหน้าให้ตระกูลฟู่ ไม่ได้อยากหักหน้ากันแบบนี้ แต่ตอนนี้ล้วนเป็นฟู่อี้ชวนที่กดดันกันนึกถึงอำนาจของฟู่อี้ชวน ซูมั่วกำหมัดแน่น แววตาฉายแววเด็ดเดี่ยวถึงแม้จะสู้ได้ยาก เธอก็จะดิ้นรนให้ถึงที่สุด ในเมื่อออกจากกรงมาแล้ว เธอก็ไม่อยากกลับไปอีก......ช่วงเย็นเวลาเลิกงาน ริมถนนหน้าตึกใหญ่เฟอร์รารี่จอดอยู่ข้างทาง ที่เบาะคนขับคือหลีโย่วกำลังเติมลิปสติกเห็นว่าใกล้ได้เวลาแล้ว เธอก็หยิบโทรศัพท์เตรียมลงจากรถ ทว่าด้านข้างกลับมีโรลส์รอยซ์สีดำคันหนึ่ง จอดหน้ารถเธอหนึ่งตำแหน่งพอดีเดิมทีเธอไม่คิดจะสนใจ แต่อีกฝ่ายก็เปิดประตูรถเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นแผ่นหลังยังดูคุ้นตาเล็กน้อยตอนที่ชายคนนั้นปิดประตูรถหางตาเหลือบไปเห็นข้างทาง จึงชะงักเล็กน้อยแล้วหันหน้ามาพูด “คุณหลี”“เ
ในหมู่พวกเขามีเพียงซ่งผิงที่รู้ข้อมูลมากกว่าเล็กน้อย นึกถึงตอนที่ประธานโจวชวนเขาไปกินข้าวเมื่อวานตอนเที่ยงรอยแผลบนหน้าของอีกฝ่าย มิน่าล่ะถึงได้อ้ำอึ้งไม่ตอบ ที่แท้ก็ถูกประธานฟู่ต่อยเขามองไปที่ซูมั่วอีกครั้ง สวยมากจริง ๆ ทั้งยังการศึกษาสูง ทำงานเก่ง มีความฉลาดทางอารมณ์ ไม่แปลกใจเลยที่จะทำให้ประธานทั้งสองคนลงไม้ลงมือกันเพราะเธอหลังมื้อกลางวันจบลง ซูมั่วก็ขึ้นไปพร้อมกับทุกคน เพราะเธอเป็นคนที่อาวุโสน้อยที่สุด จึงช่วยแตะบัตรเปิดประตูลิฟต์โดยอัตโนมัติแม้จะเป็นเพียงมารยาทเล็กน้อย แต่ทุกคนต่างก็หันไปมองบัตรลิฟต์ในมือของเธอ แม้แต่ซ่งผิงก็ยังแปลกใจเล็กน้อย และถามออกมา“ประธานโจวให้บัตรคุณมาเหรอ?”ซูมั่วตอบรับเสียงหนึ่งทุกคนต่างสบสายตากัน ในสายตานั้นต่างรู้ความคิดของกันและกันดูท่าประธานโจวจะชอบซูมั่วจริง ๆ ถึงได้ดูแลเป็นพิเศษหลังจากขึ้นมาชั้นบน ซูมั่วกลับไปยังฝ่ายออกแบบพร้อมซ่งผิง เมื่อนึกบางอย่างได้ เธอก็ถาม“ผู้อำนวยการคะ พวกคุณรู้เรื่องที่ฟู่อี้ชวนโพสต์อินสตสแกรมเร็วขนาดนี้ได้ยังไงเหรอคะ?”“แวดวงสังคมก็แค่นั้น ข้อมูลก็ย่อมแพร่เร็ว ถึงแม้พวกเราจะไม่มีช่องทางติดต่อส่วนตัวของป
หัวหน้าฝ่ายธุรกิจยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไร แล้วมองหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้งถึงอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าพนักงานใหม่คนนี้จะไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมรุ่นของท่านประธานโจว แต่ยังเป็นภรรยาของฟู่อี้ชวนผู้เป็นประธานฟู่ซื่อกรุ๊ปด้วย เรียกได้ว่าซ่อนตัวตนอยู่กลางเมืองอย่างแท้จริง พอพวกเขารู้เรื่องนี้เมื่อช่วงเช้า ทุกคนต่างก็ช็อกไปหมด“เดี๋ยวก่อนค่ะ หัวหน้าทุกท่าน...” ซูมั่วยิ่งฟังก็ยิ่งงง จึงเอ่ยขึ้น“เส้นสายอะไรคะ? หรือว่า สาเหตุที่ทุกคนมาหาฉันเป็นเพราะประธานโจวคะ?”“ไม่ใช่หรอก พวกเขาเข้ามาหาเธอเพราะสถานะคุณนายฟู่ต่างหาก” ซ่งผิงตอบทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘คุณนายฟู่’สามพยางค์นี้ ซูมั่วก็แข็งค้างทันทีเธอปกปิดเรื่องคู่แต่งงานของตัวเองไว้ แม้แต่ในการประชุมเมื่อวานก็ยังเบลอชื่อของฟู่อี้ชวน คนพวกนี้รู้ได้ยังไง?เธอถามออกไปด้วยความสงสัย หัวหน้าฝ่ายบุคคลก็รีบพูด“อย่าเข้าใจผิดนะ พวกเราไม่ได้ใช้วิธีผิดกฎหมายตรวจสอบเรื่องส่วนตัวของคุณ”“คือแบบนี้นะ เมื่อคืนประธานฟู่โพสต์ในอินสตสแกรม แชร์ทะเบียนสมรส ชื่อกับรูปตรงกันหมด พวกเราก็เลยรู้ว่าคุณนายฟู่ก็คือคุณ” หัวหน้าฝ่ายธุรกิจพูดซูมั่วได้ยิน มือที่ถือตะเกียบก็จับแน่