Home / รักโบราณ / นางกลับมาเพื่อร่ำรวย / บทที่ 14 เราแต่งงานกันแล้วนะ

Share

บทที่ 14 เราแต่งงานกันแล้วนะ

last update Last Updated: 2025-08-20 21:45:56

รุ่งอรุณแห่งวันมงคล แสงทองเบาบางคลี่คลุมเรือนหลังเล็กของสกุลฉิน ผืนนภาเหนือหลังคาเรือนไม้ไผ่ยังคงหลงเหลือม่านหมอกจางๆ แต่ทว่าบรรยากาศภายในบ้านกลับอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของข้าวเหนียวแดง น้ำแกงหมูต้มเห็ดหอม และกลิ่นควันไฟบางเบาจากเตาใต้ถุนเรือน

ภายในเรือน ฉินอี้หนิงที่ตื่นตั้งแต่เช้า สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีเขียวอ่อนมาช่วยท่านยายตักน้ำในตุ่ม ล้างชาม ล้างโต๊ะไม้ และกวาดลานหินหน้าเรือนด้วยมือของตนเอง เสียงขัดไม้เบาๆ ดังเป็นจังหวะ สะท้อนกับเสียงนกยามเช้าท่ามกลางบรรยากาศของหุบเขา

ท่านยายฉินอี้เอินลุกจากที่นอนตั้งแต่ย่ำรุ่ง แม้จะมีอายุแล้ว แต่มือไม้ยังคล่องแคล่วนัก นางต้มข้าวเหนียวแดงคลุกน้ำตาลทรายแดงหอมละมุนสำหรับถวายฟ้า และปั้นบัวลอยลูกเล็กเท่าปลายนิ้วลงในน้ำขิง ตักใส่ในชามเคลือบลายเมฆมงคลที่เคยถูกเก็บไว้อย่างดี

ภายในเรือน ท่านตาฉินกงจื่อจัดโต๊ะไม้สำหรับไหว้ฟ้าไหว้ดิน และไหว้บรรพบุรุษ กระถางธูปอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบปีถูกขัดใหม่จนสะอาดเงาวับ วางเคียงกับผลไม้ห้าชนิดที่เลือกมาอย่างดี แอปเปิ้ล ทับทิม กล้วย ส้ม และพุทรา ล้วนแล้วเป็นผลไม้มงคลทั้งสิ้น

หน้าบ้านสกุลฉิน มีผ้าไหมสีแดงสดที่ปักลายเมฆมงคลถูกนำออกมาจากหีบผ้าเก่า ท่านยายตบฝุ่นอย่างเบามือ ก่อนให้ฉินอี้หนิงกับเด็กๆ ซึ่งอยู่บ้านข้างเคียง ช่วยกันแขวนไว้เหนือประตูเรือนและขอบหน้าต่างทุกบาน เมื่อแขวนเสร็จ ผืนผ้าสีแดงก็ปลิวไหวไปตามลม เปรียบเหมือนลมหายใจของเหล่าบรรพบุรุษผู้เฝ้ามองลงมาจากเบื้องบน

“ผ้าแดงต้องหันออกไปทางทิศตะวันออก แสงยามเช้าจะได้อวยพรให้ชีวิตคู่ของเจ้าทั้งสอง” ท่านตากล่าวเสียงแผ่ว ในดวงตามีประกายเศร้าบางอย่างที่แม้แต่ท่านยายก็ยังไม่กล้าเอ่ยถาม

ในส่วนของหลังบ้านซึ่งตอนนี้กลายเป็นครัวขนาดใหญ่ เพื่อนบ้านหญิงหลายคนต่างก็มาช่วยกันลวกเส้นหมี่เพื่อทำหมี่มงคล ซึ่งเป็นเครื่องสื่อถึงชีวิตรักที่ยาวนานตลอดไป ไม่นานกลิ่นเส้นหมี่ร้อนๆ คลุกกับน้ำมันงาและต้นหอมลอยตลบอบอวลไปทั้งเรือน

เต้าหู้ทอดในกระทะส่งเสียงฉู่ฉ่ารับแสงเช้า ในขณะที่น้ำแกงกระดูกหมูซึ่งถูกเคี่ยวตลอดทั้งคืนกำลังงวดได้ที่ กลิ่นเห็ดหอมคลุกเคล้ากับพริกไทยขาวลอยฟุ้งออกนอกหน้าต่าง

บนโต๊ะไม้ใต้ต้นบ๊วย ท่านยายเริ่มจัดวางชามใส่ข้าวต้มแดงอย่างประณีต นางใช้ใบตองวางรอง และมอบให้เด็กชายเด็กหญิงที่มีน้ำใจมาช่วยงานตั้งแต่เช้าตรู่

หญิงสาวหลงลืมจนสิ้นแล้วว่านางเติบโตอยู่ในวังหลวงมาได้อย่างไร เพราะตอนนี้นางกำลังอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าปัจจุบัน…

ทุกเสียงในเช้าวันนี้ล้วนเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดของฉินอี้หนิง ทั้งเสียงไม้ขัดพื้น เสียงน้ำเดือดในหม้อ เสียงเด็กๆ หัวเราะ เสียงเท้าก้าวย่ำลงบนลานดิน และเสียงหัวใจของนางที่กำลังเต้นระรัวเพราะได้กลายเป็นเจ้าสาวของบุรุษผู้นั้น

ฉินอี้หนิงยืนนิ่งอยู่หน้าห้องนอนของตนเอง นางหยุดมองผ้าแดงที่โบกพลิ้วเหนือหัว ริมฝีปากน้อยๆ ขยับคลี่ยิ้มบาง ราวกับกำลังทบทวนความฝันที่ไม่เคยกล้าฝันถึง

ท่านพ่อท่านแม่…ตอนนี้ข้ากำลังเติบโตไปอีกขั้นหนึ่งแล้วนะเพคะ

เสียงฆ้องใบเล็กที่แขวนไว้หน้าประตูก็ดังกังวานเคล้าไปกับเสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่บนลานหน้าเรือน

แม้จะไร้เกี้ยวเจ้าสาว ไร้ม้าขาว ไร้ขบวนแห่ยิ่งใหญ่ดั่งตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง แต่ในหมู่บ้านเล็กๆ กลางหุบเขาแห่งนี้ นี่คือพิธีมงคลที่คนทั้งหมู่บ้านฮุ่ยฟางต่างเฝ้ารอ

ฉินอี้หนิงนั่งอยู่ในห้องนอนของเรือนสกุลฉิน ด้านหน้ามีม่านแดงผืนบางกั้นเอาไว้ ร่างงามระหงสวมชุดสีแดงมงคลที่ท่านยายเย็บให้ด้วยมือ สร้างสรรค์ขึ้นจากผ้าฝ้ายเนื้อดีจากเมืองต้าหลี่ ที่แม้สีจะซีดลงตามกาลเวลา แต่ก็ยังคงสัมผัสนุ่มราวกับปุยเมฆ

ปิ่นหยกทรงดอกบ๊วยเสียบลงบนมวยผมนุ่มที่ถูกเรียบตึง ก่อนจะรัดไหมแดงเส้นเล็กไว้ที่ปลายพู่ ข้อมือบางสวมกำไลหยกเก่าซึ่งเป็นสินเดิมเพียงสิ่งเดียวของท่านยาย หญิงชราบอกกับฉินอี้หนิงว่ากำไลหยกนี้สื่อความหมายแทนคำสัญญาที่จะไม่มีวันหายไป

หญิงวัยกลางคนสองคนขยับตัวเข้ามาแต่งหน้าให้ฉินอี้หนิงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะตามธรรมเนียมโบราณ ไม่ให้เจ้าสาวทาแป้งหรือตกแต่งใบหน้ามากนัก เพียงปัดแป้งข้าวเบาๆ ให้ดูสดใสรับแสงยามเช้าก็พอ

แต่ต่อให้แต่งเพียงเท่านี้ สตรีงามล่มเมื่องอย่างฉินอี้หนิงก็ยังคงโดดเด่นยิ่งกว่าใคร

ในส่วนของอีกด้านหนึ่ง

บนเรือนใหม่ที่เพิ่งถูกชนะพนันมาด้วยหมากกระดาน หลี่โต๋วเปากำลังยืนตัวตรงรออยู่หน้าเรือนของตนเอง เขาสวมชุดผ้าฝ้ายสีสุภาพ บนแถบแดงปักอักษรความยินดีไว้ตรงอก

ชายหนุ่มที่เคยสวมเพียงเสื้อผ้าธรรมดา บัดนี้ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านที่ตบไหล่แสดงความยินดี บางคนก็เอาแต่พร่ำบ่นว่าเขาโชคดียิ่งนักที่ได้ฉินอี้หนิงไปครอบครอง

ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาว แม้ไม่มีเครือญาติที่แท้จริงมาร่วมพิธี แต่คำอวยพรจากชาวบ้านก็มากพอที่จะทดแทนทุกสิ่งได้แล้ว

เมื่อถึงฤกษ์งามยามดี เจ้าสาวถูกท่านยายพยุงออกมานอกเรือน ขณะที่ฝ่ายเจ้าบ่าวเดินนำพาขบวนเรียบง่ายที่มีเพียงเด็กชายนำทางถือป้ายแดง และชายชราสองคนถือธูปนำหน้า

“ขอเจ้าสาว!”

คำเอ่ยเชิงสัญลักษณ์ที่ท่านตาผู้ทำพิธีพูดขึ้นด้วยเสียงยานคาง ทำให้ทุกคนต่างอยู่ในความเงียบสงบ แม้จะดูลังเลใจ แต่ท่านตาฉินก็ยอมส่งมอบมือของหลานสาวให้กับชายหนุ่มตรงหน้าแต่โดยดี

“นับแต่วันนี้เป็นต้นไป นางคือภรรยาของเจ้า ดูแลนางให้ดี อย่าให้ข้าต้องกลับมารับตัวนางคืน” คำพูดสั้นๆ แต่ทว่าหนักแน่นยิ่งกว่าเสาเรือนเต็มไปด้วยความหวงแหนที่มีต่อฉินอี้หนิง

หลี่โต๋วเปาโน้มตัวคำนับแทบพื้น ก่อนเอ่ยรับคำด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง

“ข้าจะดูแลฉินอี้หนิงตราบจนชีวิตดับสูญ”

เสียงฆ้องดังขึ้นสามครั้ง เป็นสัญญาณเริ่มพิธีไหว้ฟ้าไหว้แผ่นดิน และไหว้บรรพบุรุษ

ทั้งสองเพียงก้มศีรษะต่อแท่นไม้ไผ่ที่ประดิษฐ์ขึ้นอย่างง่ายๆ เพื่อเคารพต่อวิญญาณผู้ล่วงลับ จากนั้นเจ้าสาวกับเจ้าบ่าวจึงหันมามองหน้ากัน…

ต่างฝ่ายต่างหลุดหัวเราะเล็กน้อย อาจเพราะไม่มีผ้าคลุมหน้า และไม่มีเครื่องประดับหรูหรา จะมีก็เพียงตัวตนของกันและกัน ที่ยืนอยู่ตรงหน้าของอีกฝ่าย

เสียงตะโกนจากชาวบ้านคนหนึ่งดังขึ้น

“เจ้าสาวขี้แยเมื่อวาน วันนี้กลายเป็นสะใภ้ของหมู่บ้านแล้ว!”

“แถมทำหนุ่มๆ ช้ำใจกันเป็นฝูง!!!”

“แล้วเจ้าบ่าวหน้าแมวล่ะ เป็นไง! ยิ้มจนตาหยีเลยนะนั่น!”

ทั้งหมู่บ้านต่างระเบิดเสียงหัวเราะกันอย่างครื้นเครง

พอชายหนุ่มยกมือขึ้นจับใบหน้าของตน จึงได้รู้ว่าตนเองกำลังยิ้มอย่างมีความสุขอยู่จริงๆ อาจเพราะเขารักนาง…ผู้หญิงที่กำลังจะกลายเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมายของเขา

พอพิธีจบ บรรดาเด็กๆ ก็รวมกลุ่มกันวิ่งเล่นรอบลานอย่างสนุกสนาน ข้าวต้มถั่วแดงถูกแจกจ่ายอย่างทั่วถึง ส่วนขนมกุ้ยฮวาก็ถูกส่งต่อกันในถาดไม้ไผ่

น้ำชาจากเจ้าสาวถูกรินให้ผู้ใหญ่จนครบทุกคน ก่อนเริ่มงานเลี้ยงเล็กๆ ภายใต้ต้นแปะก๊วย

พิธีแต่งงานนี้ ไม่มีทอง ไม่มีเงิน ไม่มีเสียงพิณหรือโคมไฟนับพันดวง แต่มีความรักที่เดินทางผ่านคำมั่นสัญญา ผ่านเสื้อผ้าที่ถูกเย็บและถักทอด้วยมือ และผ่านแววตาของชายคนหนึ่งที่เดินทางมาจากยุคสมัยอันไกลแสนไกล…

หลี่โต๋วเปามองภรรยาตัวน้อยตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจปิดบัง ยามนี้ชายหนุ่มคิดแต่เพียงว่า เขาอยากกลับบ้านทุกวันเพื่อมาเจอนาง

ยามตะวันลับฟ้า เงาเรือนใหญ่ของหลี่โต๋วเปาก็ทอดยาวลงบนลานหิน เสียงแขกขบวนสุดท้ายเงียบหายไปแล้ว เหลือเพียงความนิ่งสงัดที่คล้ายจะบอกว่าวันอันแสนวุ่นวายได้สิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์แล้ว

แสงจากโคมแดงที่แขวนอยู่หน้าประตูบ้านสั่นไหวเบาๆ ตามแรงลม แสงนั้นไม่จ้าเกินไป แต่กลับอบอุ่นพอดี

เรือนแห่งนี้ใหญ่มาก แถมยังตกแต่งด้วยเครื่องเรือนราคาแพงจากเมืองหลวง ท่านยายฉินยืนอยู่หน้านอนซึ่งบัดนี้กลายเป็นเรือนหออย่างเป็นทางการ มือข้างหนึ่งถือถ้วยน้ำขิงร้อนๆ ส่วนมืออีกข้างผลักบานประตูให้เปิดออกเล็กน้อย พลางกล่าวยิ้มๆ

“พอเข้าห้องหอได้แล้ว…คืนนี้ไม่มีใครกล้ากลั่นแกล้งเจ้าหรอกนะเยว่หนี่ฉาง ส่วนเสี่ยวหนิง…เจ้าอย่าขมวดคิ้วใส่สามีเสียแต่วันแรกล่ะ”

ฉินอี้หนิงที่กำลังหน้าแดงแจ๋เลือกจะก้มหน้าเพื่อเก็บซ่อนความน่าอายนี้ ยิ่งพอต้องอยู่ด้วยกันในฐานะสามีภรรยา นางกลับไม่กล้าแม้แต่จะสบสายตากับเจ้าบ่าวของตน หญิงสาวรีบรับถ้วยน้ำขิงแล้วก้าวเดินเข้าไปในห้องก่อน ท่าทางของนางรวดเร็วราวกับสายลมพัด ทำเอาหลี่โต๋วเปาแทบจะหลุดเสียหัวเราะออกมา

หลี่โต๋วเปายืนอยู่หน้าประตู ยกยิ้มบนมุมปากนิดๆ แล้วกล่าวกับผู้เฒ่าผู้แก่ที่ยังแอบมองจากมุมครัว

“ท่านยายอย่าห่วงเลย…ข้าจะดูแลนางอย่างดีที่สุดขอรับ” จากนั้นเขาจึงค่อยๆ เดินตามเข้าไปอย่างสงบ

ภายในเรือนหอมีเพียงแสงเทียนนุ่มนวลสาดกระทบบานหน้าต่างซึ่งทำจากกระดาษสา ผ้าม่านบางเบาเคลื่อนไหวแผ่วๆ ไปตามแรงลม

ฉินอี้หนิงนั่งอยู่ข้างเตียงไม้ มือเล็กวุ่นอยู่กับถ้วยน้ำขิงตรงหน้า นางไม่รู้ว่าตนเองดื่มเข้าไปกี่อึกแล้ว รู้เพียงแต่น้ำขิงในถ้วยยังคงเต็มเปี่ยมดังเดิม

หลี่โต๋วเปาไม่พูดอะไรในตอนแรก เขาทำเพียงถอดเสื้อคลุมตัวนอกไปแขวนไว้บนขอเกี่ยวไม้ใกล้ผนัง แล้วจึงเดินไปนั่งข้างนางอย่างเงียบเชียบ ต่างฝ่ายต่างเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะถือวิสาสะถอดปิ่นหยกที่นางปักไว้บนมวยผล

“เจ้ารู้ไหม…ปิ่นหยกอันนี้เหมาะกับเจ้ายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด”

หญิงสาวหลุบตาลงต่ำ พลางแสร้งหัวเราะเบาๆ เพื่อกลบเกลื่อนความประหม่า “ชมเช่นนี้ทุกคนก็ชมได้”

“แต่ข้าพูดความจริง” หลี่โต๋วเปาเว้นจังหวะพูดเล็กน้อย “เพราะข้าจ้องมองเจ้าอยู่ทั้งวันเลยล่ะ”

แม้ในยามมืด ฉินอี้หนิงก็ยังคงหน้าแดงก่ำ หญิงสาวแสร้งเบือนหน้าแล้วลุกขึ้นยืน

“ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะเจ้าคะ…”

“เจ้าจะเปลี่ยนตรงนี้เลยก็ได้ ข้าเคยเห็นเจ้าแก้ผ้าจนเบื่อแล้ว” ชายหนุ่มแกล้งเย้านางเล่น

“ท่านเห็นตอนไหน…” ใบหน้างามฉายแววประหม่า ก่อนจะยกสองมือขึ้นปิดปากตนเอง “ตะ…ตอนที่ท่านเป็นแมวหรือเจ้าคะ!?” ฉินอี้หนิงได้แต่ขบริมฝีปากแน่น นางจำไม่ได้ว่าตนเผลอทำอะไรแปลกๆ ต่อหน้าเขาบ้าง ยิ่งเป็นตอนนี้ก็ยิ่งไม่รู้จะพูดอะไรต่อ สุดท้ายหญิงสาวจึงทำเพียงรีบเดินออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บริเวณด้านหลังฉากกั้น

ไม่นานร่างงามก็อยู่ในชุดนอน ส่วนชุดเจ้าสาวถูกพับเก็บไว้อย่างดีในหีบ

ฉินอี้หนิงนั่งตัวตรงอยู่บนขอบเตียง มือเรียวกำชายเสื้อแน่น ไม่รู้ว่าควรเริ่มหน้าที่การเข้าหออย่างไรไม่ให้ผิดพลาด นางเหลือบมองสามีอยู่เงียบๆ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยเบาๆ

“คือว่า…”

“หืม?”

“ข้าอยากจะถามอะไรท่านอย่างหนึ่ง เพียงแต่ท่านอย่า…อย่าหัวเราะข้านะ”

หลี่โต๋วเปาเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าช้าๆ

“ไม่หัวเราะ”

ฉินอี้หนิงสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนเงยหน้ามองเขาตรงๆ

“คือว่า ข้าเคยอ่านในหนังสือ แล้วก็เคยได้ยิน ได้เห็นบางอย่างมา ว่ากันว่าคนรักกันจะ…จูบกันใช่หรือไม่?”

“ใช่…”

คำตอบนั้นไม่ได้ทำให้ฉินอี้หนิงรู้สึกตกใจ ทว่าสิ่งที่กำลังจะถามต่อไปต่างหาก ที่ทำให้หัวใจดวงน้อยของนางเต้นโครมครามจนผู้เป็นเจ้าของกลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะได้ยินมัน

“แล้วเวลาที่คนเราถูกจูบ มันรู้สึกอย่างไรหรือเจ้าคะ?”

ประโยคนั้นทำให้หลี่โต๋วเปานิ่งเงียบไปเล็กน้อย เพียงชั่วครู่หนึ่งที่ใบหน้าหล่อเหลาเผลอหัวเราะออกมา ราวกับกำลังชั่งใจอยู่ว่าควรตอบนางไปอย่างไรดี

“เหตุใดเจ้าจึงสนใจมันขึ้นมา?” ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ใบหน้างามมากกว่าเดิม อดไม่ได้ที่จะเอ็นดูในท่าทางของนาง

“เพราะข้าไม่เคยรู้ ไม่เคยรู้เลยว่าอะไรคือความรัก อะไรคือการจูบ ข้าแค่อยากรู้ เพราะท่านเป็นสามีของข้าแล้ว ข้าก็ควรรู้เรื่องเหล่านี้ใช่หรือไม่?”

คำพูดของนางใสซื่อนัก จนหลี่โต๋วเปาถึงกับคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา ชายหนุ่มเอนตัวเข้ามาเล็กน้อย แต่ไม่ได้จับต้องนาง เพียงแต่เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา

“เช่นนั้น เจ้าอยากจะลองสัมผัสดูหรือไม่?”

ฉินอี้หนิงเบิกตากว้างเล็กน้อย แต่ไม่ได้ขยับหนี ในดวงตาของนางมีทั้งความกลัว ความสงสัย และความอยากรู้อยากเห็นที่ฉายชัดออกมา

“หากท่านสอน ข้าลองก็ได้” นางพึมพำ “แค่ครั้งเดียวนะเจ้าคะ ข้าแค่อยากรู้ว่าตนเองจะรู้สึกอย่างไร”

หลี่โต๋วเปายกมือขึ้นช้าๆ แตะลงบนแก้มนุ่มของนางเพียงปลายนิ้ว แล้วโน้มใบหน้าเข้าใกล้

“หลับตาสิ” เสียงทุ้มกระซิบ

ฉินอี้หนิงลังเล แต่ก็ยอมหลับตาลงแต่โดยดี ไม่นานริมฝีปากนุ่มละมุนของหลี่โต๋วเปาก็แตะลงที่ริมฝีปากของนางเบาๆ

คราแรกสัมผัสนั้นมันเบากว่าลมหายใจเสียอีก เป็นจุมพิตที่แผ่วเบาราวกับกลีบดอกไม้ที่ตกต้องผิวน้ำ มีเพียงสัมผัสแผ่วเบา และใจสองดวงที่เต้นไม่เป็นจังหวะ

เมื่อหลี่โต๋วเปาผละออกมา เขาเห็นดวงตากลมคู่นั้นลืมขึ้นอย่างช้าๆ แก้มนวลขึ้นสีแดงระเรื่อ

“รู้สึกเหมือนมีผึ้งบินวนอยู่ในอกของข้าเลยเจ้าค่ะ…” นางกระซิบเบา ๆ พร้อมเอามือทาบอกตัวเอง

ประโยคนั้นทำให้ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนยื่นมือไปลูบเลือนผมนุ่มของนางด้วยความเอ็นดู

“เจ้ายังอยากจะลองอีกครั้งไหม?”

“ไม่เอาแล้วเจ้าค่ะ” นางผลักอกฝ่ายตรงข้ามเบาๆ ก่อนรีบซุกตัวหนีไปอีกฟากของเตียง

“แต่ข้ารู้สึกว่าตนเองจะทำได้ไม่ดี” หลี่โต๋วเปาเอ่ยเสียงเรียบขณะขยับเข้าไปหานาง

“แค่ครั้งเดียวก็พอนะเจ้าคะ เพราะข้าเริ่มง่วงแล้วเจ้าค่ะ”

เสียงหัวเราะแผ่วเบาของหลี่โต๋วเปาดังขึ้นอีกครา แสงเทียนวูบไหว ทอดเงาสองร่างบนพื้นไม้ ซ้อนทับกันอย่างเงียบงัน…

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • นางกลับมาเพื่อร่ำรวย   บทที่ 21 ทวงคืนภรรยาที่ถูกพรากไป (จบบริบูรณ์)

    กลับมาที่สถานการณ์ในปัจจุบัน…สิ้นเสียงเหี้ยมกับประโยคไร้มารยาทนั้น เมื่อหลี่หยางหนิงอันหันไปสบสายตากับอีกฝ่าย สิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นไม่ใช่เพียงใบหน้าที่ดูคล้ายเขาราวกับแกะ แต่เป็นโทสะและความเหี้ยมเกรียมในแบบที่เขารู้จักดี“เจ้ากล้ามาก ที่มาแตะต้องภรรยา และแตะต้องลูกของข้า” เสียงของหลี่โต๋วเปานิ่งงัน แต่ทุ้มต่ำจนเหมือนจะสามารถสะเทือนผนังหินของตำหนักได้อย่างง่ายดายหลี่หยางหนิงอันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ข้ากำลังจะสั่งให้หมอหลวงเอาเด็กในท้องนางออกพอดี แต่เพราะต้องพักฟื้นร่างกายนาน เลยคิดว่าจะพาขึ้นเตียงทั้งที่ยังท้อง คงให้อารมณ์แปลกใหม่ไม่น้อย” ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจงใจยั่วโมโหฝ่ายนั้น “เช่นนั้นเจ้าคงคิดจะฆ่าข้าสินะ?”ชายหนุ่มในชุดซอมซ่อสีเทาไม่ตอบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นช้าๆ ดวงตาของเขาเรืองแสงวาบสีฟ้าอความารีนแผ่วเบา คล้ายกระจกจักรวาลที่สามารถสะท้อนแรงโน้มถ่วงให้ย้อนคืนได้ฉับพลันที่อากาศรอบตัวเริ่มสั่นสะเทือน แรงกดดันไร้รูปประหนึ่งกำปั้นพลังจิตกระแทกเข้าที่กลางอกของจักรพรรดิหนุ่มหลี่หยางหนิงอัน จนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นป้องกันอันตรายที่มองไม่เห็น“อย่าคิดว่าต่อจากนี้เจ้ายังจะสามารถอยู่หายใจได้อีก…”

  • นางกลับมาเพื่อร่ำรวย   บทที่ 20 ไม่ให้อดีตซ้ำรอยเดิม

    หนึ่งเดือนกับอีกสามสัปดาห์ที่หลี่โต๋วเปายังไม่กลับมา ฉินอี้หนิงนั่งจิบชากุหลาบอยู่ที่ชายเรือนสกุลฉิน ลมยามบ่ายพัดกรูจากทิศตะวันออก พาเอาใบไผ่ที่ลู่ลมอยู่บนเนินเตี้ยหล่นเกลื่อนทั่วลานทว่าเสียงกีบม้านับสิบและฝีเท้าเกราะเหล็กที่ดังกึกก้องยิ่งกว่าเสียงพายุ กลับทำให้หมู่บ้านฮุ่ยฟางที่เคยเงียบงัน เกิดความสนันหวั่นไหวราวกับมีเงามรณะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมทั่วผืนดินรถม้าขนาดใหญ่สลักลายมังกรดำขอบทอง เคลื่อนมาหยุดลงบริเวณหน้าบ้านสกุลฉิน ก่อนที่บรรดาทหารสวมเกราะดำประทับตราจักรพรรดิหลี่จะวิ่งเข้ามารายล้อมรอบบ้านเอาไว้ ตามมาด้วยเสียงแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งตวาดดังแทรกเสียงใบไม้ปลิว“เรามารับตัวหรันฝูหรง สตรีอายุสิบเก้าหนาวที่ซ่อนตัวในหมู่บ้านแห่งนี้!”ท่านตาฉินที่กำลังสานกระด้งไม้ไผ่รีบก้าวออกมาจากเรือน ร่างชราภาพฝืนฝ่าแนวทหารเข้ามาขวาง“ขออภัยด้วย ที่นี่ไม่มีใครชื่อเช่นนั้นหรอกขอรับ ข้าไม่รู้จัก! ส่วนสตรีที่อายุสิบเก้า ที่นี่ก็มีเพียงบ้านสกุลหลาน สกุลซ่ง สกุลกั๋ว และหลานสาวของข้า…นางชื่อฉินอี้หนิง”แม่ทัพผู้นั้นกระตุกยิ้มมุมปาก พร้อมทั้งจ้องมองฉินอี้หนิงอย่างเย้ยหยัน“เช่นนั้นข้าก็มาถูกแล้วล่ะ เพราะนามเ

  • นางกลับมาเพื่อร่ำรวย   บทที่ 19 ความวุ่นวายในยุคจักรวรรดิอวกาศ

    ยุคจักรวรรดิอวกาศ ภายในสถานีวิจัยหลักของตระกูลหลี่ ชั้นบัญชาการพลังงานควอนตัม ความวุ่นวายกำลังเกิดขึ้นเมื่อคนที่หายตัวไปกลับเข้ามาสั่งงานจนกองพะเนิน“โธ่เอ๋ย…ครั้งแรกผมก็นึกว่าท่านประธานหลี่ของเราหลุดเข้าไปอยู่ในปฏิกรณ์ชีวภาพจนแยกโมเลกุลไม่ออกเสียแล้ว ที่แท้…ก็แค่ติดภรรยาเท่านั้น”ร่างสูงของหลี่โต๋วเปายืนพิงกรอบประตู มือซุกกระเป๋าเสื้อโค้ตสีเทาเรียบทว่าหรูหรา ไม่มีคำเถียงใด มีเพียงรอยยิ้มมุมปากที่เจือแววอ่อนโยนบางอย่าง…คล้ายไม่คิดปฏิเสธความจริงข้อนั้น“ก็แค่ใช้เวลาให้คุ้มกับชีวิตบ้าง คุณต้องลองไปปลูกฟักทองดูสักครั้งสิ แล้วจะเข้าใจว่าทุกเช้าในทุ่งหมอกนั้นมีค่ามากกว่างานวิจัยที่เขียนมาพันปีเสียอีก”หลี่เฮ้าถงกลอกตาเล็กน้อยขณะมองหลายชายเพียงคนเดียว ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ“อา…ฟักทองยังไม่เท่าไร แต่ถ้าประธานหลี่ของเราหายหน้าไปอีกสามเดือน ผมอาจจะกลับเข้าไปลักพาตัวภรรยาของท่านมาขังไว้ที่นี่แทน แล้วให้ท่านประธานเข้าออกห้องทดลองตลอดยี่สิบชั่วโมงเสียเลย”“แบบนั้นก็เป็นความคิดที่ดีนะ” หลี่โต๋วเปาพึมพำ พร้อมกับหยิบซาลาเปาไส้เห็ดหอมออกมาจากถุงเล็กๆ ในมือ ก่อนจะยื่นให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่รีบร้อน “ข

  • นางกลับมาเพื่อร่ำรวย   บทที่ 18 ข้อเสนอปลอมๆ จากขุนนางสวี่

    หลังเกี่ยวและตากข้าวจนเสร็จสรรพ ครอบครัวสกุลฉินก็เว้นช่วงเวลาสำหรับหยุดพักผ่อน ด้วยเพราะร่างกายที่ชราภาพของท่านตาท่านยาย พอทำงานไร่นานานเข้าจึงปวดเมื่อยมากกว่าปกติส่วนหลี่โต๋วเปาและฉินอี้หนิงก็ใช้เวลาส่วนมากอยู่กับการดูแลสวนผัก ขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาขาย และใช้เวลาร่วมกันในฐานะสามีภรรยาทว่าวันนี้ แขกผู้มาเยือนกลับเป็นอดีตขุนนางผู้ต้องสูญเสียบ้านให้หลี่โต๋วเปาอย่างสวี่อี้เจิน“คารวะผู้อาวุโส”เสียงทุ้มของหลี่โต๋วเปาเอ่ยช้าๆ ดวงตาเรียวคมสังเกตท่วงท่าการเดินของฝ่ายตรงข้าม รู้สึกคุ้นเคยนัก ทว่านี่ไม่ใช่ท่าทีของผู้อาวุโสสวี่อี้เจินที่เขาเคยประลองหมากล้อมด้วยอย่างแน่นอน“เจ้าน่ะใช้ชีวิตได้ดี กลายเป็นผู้เยาว์ที่สร้างครอบครัวอบอุ่นจริงเชียว” ชายชรามองสำรวจทั่วทุกมุมบ้านราวกับไม่เคยเห็น ก่อนที่สายตาจะพลันมาหยุดลงที่ร่างบอบบางของฉินอี้หนิงซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นสาวงามเต็มตัวไปเสียแล้ว “โอ้~ นี่คือฉินอี้หนิงคนนั้นรึ…” ชายชรายิ้มอย่างสดใสพลางมองสำรวจใบหน้างามอย่างชื่นชม“เชิญผู้อาวุโสสวี่นั่งพักก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะไปเอาชาอวิ๋นอู้ [1] ที่ได้จากภูเขาหลูซานมาให้” เสียงหวานกล่าวอย่างอ่อนโยน ขณะเดินหายเข้าไป

  • นางกลับมาเพื่อร่ำรวย   บทที่ 17 ฤดูเกี่ยวข้าว

    วันเวลาผ่านเลยไปจากวันกลายเป็นหนึ่งเดือน ยามนี้สายลมปลายเดือนเปลี่ยนผิวทุ่งนาหน้าบ้านให้กลายเป็นสีทองอร่าม ลำต้นข้าวโน้มลงตามแรงน้ำหนักของรวงเมล็ดที่สุกงอม ท่ามกลางแสงอาทิตย์อุ่นอ่อนในยามเช้า เสียงเคียวเกี่ยวข้าวเสียดสีเบาๆ สะท้อนชัดอยู่กลางนาหลี่โต๋วเปาค้อมตัวใช้เคียวไม้ด้ามสั้นในมือเกี่ยวรวงข้าวอย่างระมัดระวัง ท่วงท่าของเขาแม้ยังไม่คล่องแคล้วนัก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ มือทั้งสองที่แกร่งอยู่แล้วบัดนี้ยิ่งแกร่งขึ้นซึ่งเป็นผลจากการจับจอบ ขุดหลุม และหาบน้ำทุกวัน จนรอยด้านปรากฏชัดที่ฝ่ามือ“เจ้าหนุ่มจากเมืองหลวง เจ้าน่ะก้าวหน้ากว่าที่ข้าเคยคิดไว้มากจริงๆ”เสียงของท่านตาดังมาจากอีกฟากของแปลงข้าว ใต้หมวกฟางเก่าคร่ำ ดวงตาของชายชรายังสะท้อนความชื่นชมไม่เสื่อมคลายหลี่โต๋วเปาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วหัวเราะเบาๆ ชายหนุ่มย้อนนึกถึงตอนที่เขาอยู่ในตำแหน่งจอมพล ถ้าตอนนี้อยู่ในยุคจักรวรรดิ เขาคงสามารถสั่งคนให้ขุดหลุมปลูกข้าวได้เป็นพันหลุม แต่เพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ยากที่สุด คือการเกี่ยวข้าวแค่เพียงมัดเดียว“ฮ่าๆๆ เจ้ารู้วิธีปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งของชีวิต” ท่านต

  • นางกลับมาเพื่อร่ำรวย   บทที่ 16 หนึ่งยามในคืนวสันต์ มีค่าดั่งพันทอง

    หลังผ่านพ้นค่ำคืนของการร่วมหอ ร่างงามก็ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกแกร่งไม่ไปไหน หลี่โต๋วเปาไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะกว่าเขาจะเสร็จกิจแต่ละรอบก็ใช้เวลานานเสียจนตัวเขาเริ่มนอนไม่หลับ ได้แต่กอดฉินอี้หนิงไว้ ขณะมองใบหน้าขาวนวลในยามนิทราบนโต๊ะข้างเตียงมีกะละมังไม้ใส่น้ำอุ่นที่เริ่มจะเย็นชืด พร้อมด้วยผ้าขาวที่ถูกใช้แล้ววางพาดอยู่ แน่นอนว่าเป็นหลี่โต๋วเปาที่นำมันมาเพื่อเช็ดผิวกายให้ภรรยาตัวน้อย อาจเพราะเขาไม่ได้ปลดปล่อยตนเองมานานหลายปี เจ้าของเหลวสีขาวขุ่นเหล่านั้น จึงมีมากเสียจนอาจทำให้ฉินอี้หนิงนอนหลับแบบไม่สบายตัวนัก ซึ่งในฐานะผู้กระทำ เขาจึงต้องทำความสะอาดให้นางทุกครั้งแพขนตาหนาที่เริ่มขยับน้อยๆ ทำให้หลี่โต๋วเปาอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจุมพิตบนเปลือกตาของนาง ไล่เรื่อยลงไปจนถึงหน้าอกนุ่มที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบฉินอี้หนิงที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมา เผลอทำหน้าอิดออดน้อยๆ เมื่อส่วนล่างของนางมันทั้งบวมและเจ็บระบมอย่างที่ไม่เคยเป็น ค่ำคืนเข้าหอนี้ผ่านไปอย่างยากลำบากจริงๆ ยิ่งเมื่อผู้เป็นสามีไม่ยอมจบดังที่ควรเป็นใต้ผ้าห่มมีบางอย่างขยับอยู่ เคลื่อนจากหน้าอกสู่ส่วนล่างอย่างเชื่องช้า ทว่าทุกการสัมผัสล้วนเต็มไป

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status