แม้จะได้บ้านพร้อมที่ดินซึ่งมีทรัพย์สินเป็นเครื่องเรือนจากเมืองหลวงอย่างครบครัน ทว่าหลี่โต๋วเปาก็ไม่ได้ย้ายไปอยู่ในทันที อีกทั้งคืนนี้เขายังใช้เวลาอยู่ที่สกุลฉินเพื่อทานอาหารเย็น และหัดสานรองเท้าจากใยป่านร่วมกับท่านตาฉิน
“ต้องลอกเปลือกออกให้หมด แล้วถึงจะตากจนแห้งได้” ท่านตาฉินกงจื่อพึมพำเบาๆ ราวกับกำลังทบทวนถ้อยคำจากท่านยาย
ขณะที่ปลายนิ้วหยาบกร้านค่อยๆ ลากผ่านเส้นใยป่านที่ซ่อนอยู่ใต้เปลือกหยาบ
สำหรับหลี่โต๋วเปาความเหนียวแน่นของมันคล้ายดั่งความอดทนของผู้คนในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ยิ่งนัก
เมื่อเปลือกชั้นนอกถูกลอกออกแล้ว เส้นใยป่านสีหม่นก็ถูกนำไปผึ่งลมเพื่อเตรียมตากแดดในวันพรุ่งนี้
“ถ้าตากจนแห้งแล้ว เราก็จะนำเส้นใยป่านมาตีบนแผ่นไม้ให้เส้นใยแตกตัว ก่อนจะใช้หวีไม้ไผ่หวีให้เรียบเสมอกัน”
“….” หลี่โต๋วเปาตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ พอต้นป่านต้นสุดท้ายในมือของชายหนุ่มหมดลง เท่ากับว่างานนี้หมดสิ้นแล้ว
“เส้นใยเหล่านี้…เมื่อนำไปกรอเป็นเส้น สามารถใช้ถักเป็นเชือกหรือทอผ้าได้ ก็จะกลายเป็นสิ่งจำเป็นในทุกครัวเรือน ตั้งแต่เชือกมัดฟืน ไปจนถึงเชือกผูกรองเท้าฟาง” ชายชราอธิบายอย่างอ่อนโยน
“เสี่ยวหนิงกำลังจะนำขนมมา พวกเจ้ารีบไปล้างไม้ล้างมือแล้วมานั่งพักเถอะ” เป็นท่านยายที่เอ่ยขึ้น
หลี่โต๋วเปาเดินไปล้างมือที่โอ่งใกล้ห้องครัว ก่อนจะพบว่าฉินอี้หนิงกำลังตั้งอกตั้งใจทำบางอย่าง ชายหนุ่มจึงอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหาร่างบางเพื่อใช้ช่วงเวลาดีๆ ร่วมกับนาง
“เจ้ากำลังทำสิ่งใด” ร่างสูงเดินมายืนข้างๆ ขณะที่มือเรียวสวยกำลังเรียงชามใส่น้ำแกงหน้าตาเรียบง่ายสามชามที่มีเห็ดสามชนิดเป็นองค์ประกอบ
“ข้ากำลังทำน้ำแกงสามเห็ดเจ้าค่ะ มีเห็ดเยื่อไผ่ [1] เห็ดฮวากู่ [2] เห็ดโข่วหมัว [3] เป็นน้ำแกงบำรุงกระเพาะ” ฉินอี้หนิงให้ความสนใจกับการจัดวางเห็ดจนไม่ได้มองคนข้างๆ ที่กำลังพยายามเอาตัวมาแนบชิดกับนางอย่างเป็นธรรมชาติ
ตั้งแต่ที่ฉินอี้หนิงพูดเปิดอกบอกกับเขาไปตามตรงเมื่อช่วงเย็น หลี่โต๋วเปาก็เริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย ชายหนุ่มเริ่มใส่ใจ เริ่มตามวอแวนางมากกว่าครั้งไหนๆ แถมกลายเป็นคนชอบการสัมผัส ชอบการใกล้ชิดนางไปเสียแล้ว
“อันไหนคือเห็ดเยื่อไผ่” เสียงทุ้มกระซิบถามเบาๆ ราวกับเด็กขี้สงสัย
“ชิ้นที่ยาวและใหญ่ที่สุด” นางใช้ตะเกียบไม้คีบให้เขาดู ตามด้วยเห็ดอีกสองชนิดที่ถูกหั่นเป็นแผ่น
“เจ้าเล่นใส่เห็ดเยื่อไผ่ลงไปทั้งโคนขนาดนี้ มันจะติดคอคนกินมั้ยเนี่ย” เสียงทุ้มอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซวนางขำๆ แน่นอนว่ามันตามมาด้วยสายตาตำหนิของฉินอี้หนิง พร้อมทั้งเสียงจิปากเบาๆ อย่างน่าเอ็นดูของนาง
“เห็ดนะไม่ใช่เนื้อ แค่กัดเบาๆ มันก็ขาดออกจากกันแล้ว ยกเว้นท่านจะกินอาหารแบบไม่เคี้ยวมันถึงได้ติดคอเอา”
“ข้าเพิ่งเคยกินเห็ดเมื่อไม่นานมานี้เอง” หลี่โต๋วเปาพูดตามความจริง แน่นอนว่าคนที่ทำให้เขาได้ลิ้มรสเห็ดเป็นครั้งแรกก็คือฉินอี้หนิง
ชายหนุ่มจงใจทำหน้าให้กวนบาทาฝ่ายตรงข้ามมากที่สุด แต่ฉินอี้หนิงก็เลือกที่จะกลับไปให้ความสนใจกับน้ำแกงของนางต่อ
หลี่โต๋วเปาสังเกตเห็นว่าในน้ำแกงนั้นมีข้าวโพดหวานหั่นเป็นท่อนๆ หัวผักกาดและแครอทหั่นเต๋าผสมอยู่ด้วย หรือบางทีของพวกนี้อาจเป็นความลับที่ทำให้น้ำแกงกลายเป็นสีทองสวยงามเช่นนี้
“ใจเจ้าจะให้งดกินเนื้อสัตว์หรือ ใยน้ำแกงจึงมีแต่พืชเล่า” หลี่โต๋วเปาที่รับบทเป็นเด็กน้อยขี้สงสัย ยังคงเอ่ยถามต่ออย่างกวนบาทา
“ท่านรอดูก่อนเถอะน่า มองเห็นไหมว่านี่คืออะไร” มือเรียวชี้ให้ฝ่ายตรงข้ามมองดูจานใส่เนื้อหมูหมักรมควันที่ถูกแล่จนบางเฉียบ “มันคือสิ่งที่ข้าจะใช้ตกแต่งอย่างไรล่ะ ถึงเนื้อสัตว์จะหายากแต่ข้าก็ไม่ใจร้ายพอจะใส่วัตถุดิบไม่ครบสูตรหรอกนะ”
กล่าวจบฉินอี้หนิงก็ตกแต่งแต่ละชามด้วยใบผักชีสามใบ และเนื้อหมูหมักรมควันแล่บางสองสามชิ้น บอกตามตรงว่าสีเขียวสดของผักชีพอใส่ลงในน้ำแกงสีทองนี่แล้ว ให้ความรู้สึกประหนึ่งมันเป็นน้ำหยดออกมาจากหุบเขาธรรมชาติก็ไม่ปาน
“ไหนๆ ท่านก็มากวนใจข้าแล้ว ท่านช่วยยกน้ำแกงสองชามนี้ไปให้ท่านตากับท่านยายหน่อยสิเจ้าคะ”
“ย่อมได้”
“เช่นนั้นท่านก็ตามข้ามานะเจ้าคะ”
ฉินอี้หนิงเดินถือชามใส่น้ำแกงสามเห็ดมาจัดวางลงบนโต๊ะไม้กลมกลางห้องโถง ก่อนจะเช็ดริมขอบถ้วยเบาๆ ด้วยชายผ้าสะอาดในมือ นางหันไปพยักหน้าให้หลี่โต๋วเปาที่เพิ่งยกชามอีกคู่หนึ่งเดินตามเข้ามา
“ระวังร้อนนะเจ้าคะ” นางเอ่ยอย่างนุ่มนวล แอบกลัวเล็กๆ ว่าหลี่โต๋วเปาจะได้รับบาดเจ็บ
ท่านตาฉินกงจื่อขยับตัวขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ไม้ข้างประตู ส่วนท่านยายฉินอี้เอินที่นั่งรออยู่บนเก้าก่อนแล้วก็ได้แต่หัวเราะเบาๆ พลางคลี่ผ้าเช็ดมือออกจากแขนเสื้อ
“โอ้โฮ กลิ่นหอมจนข้าแทบจะกลืนลมหายใจแทนเสียแล้ว” หญิงชรากล่าวเสียงกลั้วหัวเราะ ขณะตักน้ำแกงขึ้นจิบเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “อุณหภูมิกำลังดี เครื่องเทศไม่มากไม่น้อย น้ำแกงกลมกล่อม สะท้อนนิสัยของคนต้มได้เลยจริงๆ”
“ท่านยายชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” ฉินอี้หนิงก้มหน้ายิ้ม พวงแก้มขึ้นสีแดงเล็กน้อย
หลี่โต๋วเปาไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแต่นั่งลงตรงข้ามนางอย่างเงียบๆ ก่อนจะยกช้อนตักน้ำแกงชิมบ้าง
อุ่น…กลมกล่อม…และมีรสชาติหอมหวานของพืชผักที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน มันผสมรวมกับเห็ดสามชนิดอย่างเข้ากัน
เมื่อบรรยากาศในบ้านเริ่มเงียบสงบลงได้เพียงครู่หนึ่ง เสียงของท่านตาฉินก็เอ่ยบางอย่างขึ้นมาอย่างแผ่วเบา แต่ทว่าทุกประโยคชัดเจนยิ่งนัก
“เรื่องการงานแต่ง…ตอนนี้เตรียมพร้อมหมดแล้วล่ะ”
ฉินอี้หนิงชะงัก มือที่กำลังถือช้อนค้างอยู่กลางอากาศ นางเงยหน้าขึ้นมองท่านตา ก่อนเหลือบมองหลี่โต๋วเปาโดยไม่ตั้งใจ ยามนี้ชายหนุ่มเลิกคิ้วเพียงเล็กน้อย มุมปากประดับรอยยิ้มราวกับคาดเดาไว้อยู่ก่อนแล้ว
“พรุ่งนี้คือฤกษ์งามยามดี ตามปฏิทินของซินแสเฒ่าที่เรือนเหนือ” ท่านยายพูดพลางวางช้อนลงช้าๆ “เราจะจัดงานแต่งเล็กๆ อย่างเรียบง่าย มีเพียงคนในหมู่บ้าน กับญาติสนิทมิตรสหาย…จะไม่วุ่นวายให้หลานสาวข้าต้องเหนื่อยเกินไป”
“เจ้าทั้งสองอยู่ด้วยกันจนชาวบ้านรู้ไปหมดแล้ว” ท่านตาพูดโดยไม่มองใครเป็นพิเศษ “หากไม่รีบแต่ง ก็คงจะดูเหมือนพวกเราละเลยชื่อเสียงของหลานสาวมากเกินไป”
อี้หนิงหน้าแดงเรื่อ ใบหูแดงยิ่งกว่าไฟจากเตาถ่าน ขณะที่หลี่โต๋วเปาเพียงแต่ยิ้มจางๆ ก่อนขยับปากเอ่ยเสียงต่ำโดยไม่มองใคร
“หากอี้หนิงไม่ปฏิเสธและท่านตาท่านยายอนุญาต เมื่อแต่งงานแล้ว ข้าอยากขอพานางไปอยู่เรือนของตนเองขอรับ”
ท่านตากับท่านยายสบตากันเงียบๆ สักพัก ก่อนที่หญิงชราจะเอื้อมมือมาลูบหลังหลานสาวเบาๆ
“ข้าเข้าใจ หนุ่มสาวแต่งงานก็ต้องมีเรือนหอไว้ผลิตเจ้าตัวน้อย ฮ่าๆๆ เจ้าเป็นคนมีความสามารถ มาตัวเปล่าเพียงหนึ่งวันก็สามารถสร้างบ้านยกฐานะตนเองได้ถึงขนาดนี้ ข้ากับตาแก่ย่อมอนุญาตให้พวกเจ้าออกไปสร้างครอบครัวเป็นของตนเองอยู่แล้ว”
“แต่หนิงเอ๋อร์…”
“ชู้วววว”
ฉินอี้หนิงที่กำลังจะชี้แจงว่านางชอบอยู่กับท่านตาและท่านยายในบ้านหลังนี้ และไม่ขอออกไปสร้างครอบครัวกับใคร ถูกหยุดคำพูดทุกอย่างไว้โดยท่านตาฉินกงจื่อ
ท่ามกลางการจิบน้ำแกงอันเงียบงัน ฉินอี้หนิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหัวใจของตนเอง นางเพียงรู้ว่ากลิ่นหอมจากผักชีสามใบในชามข้างหน้า บัดนี้ไม่ใช่เพียงกลิ่นของอาหาร หากแต่คือกลิ่นของฤดูใหม่ที่กำลังเดินทางเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซึ่งดูเหมือนมันจะเร็วเกินกว่าที่นางจะสามารถทำใจยอมรับได้ทัน
และนางก็อยากย้อนเวลากลับไปตัดสินใจใหม่อีกครั้ง เพราะนางยังไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่ตอนนี้
[1] อุดมไปด้วยสารอาหาร ได้รับการระบุให้เป็นหนึ่งในแปดสมบัติของสมุนไพรมาตั้งแต่สมัยโบราณ
[2] จัดเป็นเห็ดหอมชั้นยอด มีสรรพคุณในการป้องกันโรค เสริมสร้างสุขภาพ และชะลอความแก่
[3] เห็ดกระดุมชนิดหนึ่ง ในไทยเป็นคนละสายพันธุ์ มีสีขาวกับสีน้ำตาล เป็นเห็ดเนื้อนุ่ม ต้มน้ำซุปหอมนุ่ม
ไม่นานการทานอาหารร่วมกันก็จบลง ท่านตาฉินวางตะเกียบ ก่อนยกน้ำชาจิบช้าๆ แล้วเหลือบมองคู่หนุ่มสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันโดยไม่ได้กล่าวคำใด
เมื่อถ้วยใส่น้ำแกงเห็ดสามสหายถูกฉินอี้หนิงยกไปเก็บจนเรียบร้อย ท่านยายฉินอี้เอินก็ยิ้มบางๆ แล้วผงกศีรษะเป็นสัญญาณให้หลานสาวลุกขึ้นไปเปิดหีบผ้าตรงมุมห้อง
“หนิงเอ๋อร์…ไปยกห่อผ้าในหีบนั้นออกมาเถิด” น้ำเสียงของหญิงชรานุ่มนวล เจือไปด้วยความจริงจังและความรักที่มีต่อฉินอี้หนิง
ฉินอี้หนิงลุกขึ้นตามคำสั่ง ท่าทีของนางสงบนิ่ง แม้ปลายนิ้วจะสั่นเล็กน้อยขณะเปิดฝาหีบ นางพอจะเดาออกว่ามันคงเกี่ยวข้องกับพิธีแต่งงานในวันพรุ่งนี้ ทว่าสิ่งที่นางพบคือห่อผ้าสองห่อที่พับไว้อย่างประณีต สีของห่อด้านหนึ่งเป็นแดงมงคล อีกห่อเป็นผ้าฝ้ายสีธรรมชาติ
เมื่อนางวางมันลงตรงหน้าของสองผู้เฒ่า ท่านยายจึงเริ่มอธิบายช้าๆ
“นี่คือของสำคัญที่ต้องใช้ในวันพรุ่งนี้…ถึงเวลาแล้วที่เจ้าทั้งสองควรได้ครอบครอง”
มือเหี่ยวย่นค่อยๆ คลี่ห่อผ้าสีแดงออก เผยให้เห็นชุดผ้าฝ้ายสีแดง ที่แม้จะถูกตัดเย็บอย่างเรียบง่ายด้วยฝีเข็มชาวบ้านธรรมดา ทว่าทุกฝีเข็มล้วนเปี่ยมไปด้วยความละเอียดอ่อนและความหมายโดยนัยจากคนที่สร้างมันขึ้นมา
“ชุดเจ้าสาวนี้ ยายเย็บไว้เองเมื่อหลายปีก่อน ตั้งใจจะให้คนในครอบครัวของเราได้ใช้ในวันสำคัญ ยามนี้…คนคนนั้นคือเจ้าแล้ว”
ฉินอี้หนิงเงยหน้าขึ้น ดวงตาไหววูบ ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างอดกลั้น นางรับชุดด้วยสองมือที่คอยประคองอย่างบรรจง ประหนึ่งกลัวมันจะแตกหักเสียกลางอากาศ
ข้างกันนั้น ท่านตาฉินเอื้อมหยิบห่อผ้าอีกผืน ค่อยๆ คลี่ออกอย่างเงียบๆ พบว่ามันเป็นเสื้อผ้าฝ้ายชายสีขาวนวล มีแถบแดงเล็กๆ ปักอักษรมงคลด้วยฝีมือช่างปักพื้นบ้าน เป็นความเรียบง่ายที่งดงามอย่างน่าประหลาด
“เว่ยหนี่ฉาง” ชายชราเรียกชื่อปลอมๆ ของหลี่โต๋วเปาจนเต็มเสียง “พรุ่งนี้เจ้าจะกลายเป็นคนในเรือนสกุลฉินแห่งนี้…ข้าไม่อาจให้เจ้าแต่งตัวมาลอยๆ ได้”
หลี่โต๋วเปายกมือขึ้นรับของชิ้นนั้น แม้ใบหน้าหล่อเหลาจะยังสงบนิ่งเฉหเช่นเคย ทว่าหัวใจกลับเต้นหนักๆ อยู่ในอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวคำขอบคุณออกมา หากแต่การค้อมศีรษะของเขาในยามนี้ ก็เปี่ยมไปด้วยความหมายเกินกว่าทุกคำพูดแล้ว
เมื่อเสื้อผ้าถูกส่งถึงมือชายหญิงที่พวกเขารักและเอ็นดูอย่างสุดหัวใจ ทั้งเรือนพลันตกอยู่ในความเงียบงันชั่วครู่ มีเพียงเสียงลมที่ลอดผ่านชายผ้าม่านผืนโปร่ง และแสงเทียนที่ให้ความสว่างสไวแก่เรือนหลังนี้
ท่านยายเอื้อมมือแตะหลังมือของฉินอี้หนิงเบาๆ ก่อนกล่าวบางอย่าง
“คืนนี้เจ้าจงหลับให้สนิท…เพราะพรุ่งนี้เช้าเจ้าจะไม่ใช่แค่หญิงสาวในเรือนนี้อีกต่อไป แต่จะเป็นสะใภ้ของสกุลเว่ย”
หญิงชราเว้นจังหวะพูดเล็กน้อย คล้ายกำลังทบทวนสิ่งที่อยู่ในใจ
“เจ้าทั้งสองต้องจำไว้ว่าชีวิตคู่ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเหมือนการชงน้ำชา เพราะมันต้องอาศัยความอ่อนน้อมและความหนักแน่นในเวลาเดียวกัน เมื่ออยู่ด้วยกันต้องรู้จักอดทน รู้จักยิ้ม รู้จักถอย และหากมีวันใดที่เจ้ารู้สึกว่าถูกเหยียบย่ำ ก็จงจำไว้ว่า…ต้นไม้ที่เติบโตจากดินลึก ย่อมไม่ใช่สิ่งที่จะหักลงด้วยลมเพียงคราวเดียว”
มือของท่านยายลูบเบาๆ บนเสื้อผ้าเจ้าสาวสีแดง เสียงของท่านยายยังคงนุ่มลึก และเต็มไปด้วยความหวังดี
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านยาย ข้าไม่ได้แต่งไปไหนไกล ท่านอย่าเอ่ยเช่นนั้นเลยนะเจ้าคะ” ดวงตากลมสวยเริ่มมีน้ำตาคลอขึ้นมา
“ให้เกียรติสามีเจ้าบ้าง…แต่ก็อย่าลืมให้เกียรติตนเองด้วยหนา รักเขาได้แต่จงอย่าลืมรักตนเองให้มากกว่า เพราะแม้เจ้าจะกลายเป็นภรรยาของเขาแล้ว แต่เจ้าก็ยังเป็นหลานของยาย ยังเป็นหนิงเอ๋อร์น้อยของเรือนนี้” แม้สายตาของหญิงชราจะเริ่มฝ้าฟางไปตามวัย แต่แววตากลับอบอุ่นแน่วแน่ยิ่งกว่าใคร “เมื่อเจ้าออกจากบ้านนี้ไปในฐานะภรรยาของเว่ยหนี่ฉาง หากวันใดเจ้ารู้สึกเหนื่อย ก็จงรู้ไว้ว่าเรือนเล็กๆ หลังนี้ยังคงเปิดประตูรอเจ้าเสมอ”
ประโยคสุดท้ายดังขึ้นเบาๆ หากแต่ทิ้งความสะเทือนไว้ในอกของฉินอี้หนิงตราบนานแสนนาน จนหญิงสาวต้องซุกหน้าลงบนตักอุ่นของหญิงชราเพื่อร้องไห้ออกมาอย่างไม่คิดอายใคร
“ฮึก ท่านตา ท่านยาย ฮือ ข้าไม่อยากแต่งงานแล้วเจ้าค่ะ ข้าอยากอยู่กับพวกท่าน”
เสียงสะอื้นไห้ยังคงดังอู้อี้อยู่บนตักของหญิงชรา ใบหน้าเล็กๆ ซุกแน่นไม่ยอมเงยขึ้นมาแม้แต่น้อย
อดีตจอมพลอย่างหลี่โต๋วเปาจำต้องยืนนิ่งราวกับเสาไม้เก่า เมื่อเขาต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต นั่นคือเจ้าสาวดื้อจะไม่แต่งงาน!
แฮ่ม
ชายหนุ่มแสร้งกระแอมไอเบาๆ
แฮ่ม
สองครั้ง…
แฮ่ม
สามครั้ง…ไม่มีผล
ครั้งที่สี่จึงกลายเป็นประโยคพูดแทน
“เจ้าจะไม่แต่งกับข้าได้อย่างไร” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างจริงจังชนิดที่คนทั้งเรือนต้องเงยหน้าขึ้นมอง “ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ขืนใจข้า”
“ท่านพูด บะ…”
ฉินอี้หนิงที่กำลังจะหันไปแหว่ใส่คนตัวโต ถูกอะไรบางอย่างทำให้นางพูดไม่ออก นางรู้ดีว่าเขาเป็นเทพเซียนปลอมตัวมา แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะน่าตายและกวนบาทานางได้มากขนาดนี้ ร่างบางแทบจะดิ้นเร้าอยู่รอมร่อ สุดท้ายจำต้องยอมแพ้และพูดว่าอยากแต่งงานกับบุรุษหน้าหยกผู้นี้เหมือนเดิม
กลับมาที่สถานการณ์ในปัจจุบัน…สิ้นเสียงเหี้ยมกับประโยคไร้มารยาทนั้น เมื่อหลี่หยางหนิงอันหันไปสบสายตากับอีกฝ่าย สิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นไม่ใช่เพียงใบหน้าที่ดูคล้ายเขาราวกับแกะ แต่เป็นโทสะและความเหี้ยมเกรียมในแบบที่เขารู้จักดี“เจ้ากล้ามาก ที่มาแตะต้องภรรยา และแตะต้องลูกของข้า” เสียงของหลี่โต๋วเปานิ่งงัน แต่ทุ้มต่ำจนเหมือนจะสามารถสะเทือนผนังหินของตำหนักได้อย่างง่ายดายหลี่หยางหนิงอันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ข้ากำลังจะสั่งให้หมอหลวงเอาเด็กในท้องนางออกพอดี แต่เพราะต้องพักฟื้นร่างกายนาน เลยคิดว่าจะพาขึ้นเตียงทั้งที่ยังท้อง คงให้อารมณ์แปลกใหม่ไม่น้อย” ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจงใจยั่วโมโหฝ่ายนั้น “เช่นนั้นเจ้าคงคิดจะฆ่าข้าสินะ?”ชายหนุ่มในชุดซอมซ่อสีเทาไม่ตอบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นช้าๆ ดวงตาของเขาเรืองแสงวาบสีฟ้าอความารีนแผ่วเบา คล้ายกระจกจักรวาลที่สามารถสะท้อนแรงโน้มถ่วงให้ย้อนคืนได้ฉับพลันที่อากาศรอบตัวเริ่มสั่นสะเทือน แรงกดดันไร้รูปประหนึ่งกำปั้นพลังจิตกระแทกเข้าที่กลางอกของจักรพรรดิหนุ่มหลี่หยางหนิงอัน จนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นป้องกันอันตรายที่มองไม่เห็น“อย่าคิดว่าต่อจากนี้เจ้ายังจะสามารถอยู่หายใจได้อีก…”
หนึ่งเดือนกับอีกสามสัปดาห์ที่หลี่โต๋วเปายังไม่กลับมา ฉินอี้หนิงนั่งจิบชากุหลาบอยู่ที่ชายเรือนสกุลฉิน ลมยามบ่ายพัดกรูจากทิศตะวันออก พาเอาใบไผ่ที่ลู่ลมอยู่บนเนินเตี้ยหล่นเกลื่อนทั่วลานทว่าเสียงกีบม้านับสิบและฝีเท้าเกราะเหล็กที่ดังกึกก้องยิ่งกว่าเสียงพายุ กลับทำให้หมู่บ้านฮุ่ยฟางที่เคยเงียบงัน เกิดความสนันหวั่นไหวราวกับมีเงามรณะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมทั่วผืนดินรถม้าขนาดใหญ่สลักลายมังกรดำขอบทอง เคลื่อนมาหยุดลงบริเวณหน้าบ้านสกุลฉิน ก่อนที่บรรดาทหารสวมเกราะดำประทับตราจักรพรรดิหลี่จะวิ่งเข้ามารายล้อมรอบบ้านเอาไว้ ตามมาด้วยเสียงแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งตวาดดังแทรกเสียงใบไม้ปลิว“เรามารับตัวหรันฝูหรง สตรีอายุสิบเก้าหนาวที่ซ่อนตัวในหมู่บ้านแห่งนี้!”ท่านตาฉินที่กำลังสานกระด้งไม้ไผ่รีบก้าวออกมาจากเรือน ร่างชราภาพฝืนฝ่าแนวทหารเข้ามาขวาง“ขออภัยด้วย ที่นี่ไม่มีใครชื่อเช่นนั้นหรอกขอรับ ข้าไม่รู้จัก! ส่วนสตรีที่อายุสิบเก้า ที่นี่ก็มีเพียงบ้านสกุลหลาน สกุลซ่ง สกุลกั๋ว และหลานสาวของข้า…นางชื่อฉินอี้หนิง”แม่ทัพผู้นั้นกระตุกยิ้มมุมปาก พร้อมทั้งจ้องมองฉินอี้หนิงอย่างเย้ยหยัน“เช่นนั้นข้าก็มาถูกแล้วล่ะ เพราะนามเ
ยุคจักรวรรดิอวกาศ ภายในสถานีวิจัยหลักของตระกูลหลี่ ชั้นบัญชาการพลังงานควอนตัม ความวุ่นวายกำลังเกิดขึ้นเมื่อคนที่หายตัวไปกลับเข้ามาสั่งงานจนกองพะเนิน“โธ่เอ๋ย…ครั้งแรกผมก็นึกว่าท่านประธานหลี่ของเราหลุดเข้าไปอยู่ในปฏิกรณ์ชีวภาพจนแยกโมเลกุลไม่ออกเสียแล้ว ที่แท้…ก็แค่ติดภรรยาเท่านั้น”ร่างสูงของหลี่โต๋วเปายืนพิงกรอบประตู มือซุกกระเป๋าเสื้อโค้ตสีเทาเรียบทว่าหรูหรา ไม่มีคำเถียงใด มีเพียงรอยยิ้มมุมปากที่เจือแววอ่อนโยนบางอย่าง…คล้ายไม่คิดปฏิเสธความจริงข้อนั้น“ก็แค่ใช้เวลาให้คุ้มกับชีวิตบ้าง คุณต้องลองไปปลูกฟักทองดูสักครั้งสิ แล้วจะเข้าใจว่าทุกเช้าในทุ่งหมอกนั้นมีค่ามากกว่างานวิจัยที่เขียนมาพันปีเสียอีก”หลี่เฮ้าถงกลอกตาเล็กน้อยขณะมองหลายชายเพียงคนเดียว ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ“อา…ฟักทองยังไม่เท่าไร แต่ถ้าประธานหลี่ของเราหายหน้าไปอีกสามเดือน ผมอาจจะกลับเข้าไปลักพาตัวภรรยาของท่านมาขังไว้ที่นี่แทน แล้วให้ท่านประธานเข้าออกห้องทดลองตลอดยี่สิบชั่วโมงเสียเลย”“แบบนั้นก็เป็นความคิดที่ดีนะ” หลี่โต๋วเปาพึมพำ พร้อมกับหยิบซาลาเปาไส้เห็ดหอมออกมาจากถุงเล็กๆ ในมือ ก่อนจะยื่นให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่รีบร้อน “ข
หลังเกี่ยวและตากข้าวจนเสร็จสรรพ ครอบครัวสกุลฉินก็เว้นช่วงเวลาสำหรับหยุดพักผ่อน ด้วยเพราะร่างกายที่ชราภาพของท่านตาท่านยาย พอทำงานไร่นานานเข้าจึงปวดเมื่อยมากกว่าปกติส่วนหลี่โต๋วเปาและฉินอี้หนิงก็ใช้เวลาส่วนมากอยู่กับการดูแลสวนผัก ขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาขาย และใช้เวลาร่วมกันในฐานะสามีภรรยาทว่าวันนี้ แขกผู้มาเยือนกลับเป็นอดีตขุนนางผู้ต้องสูญเสียบ้านให้หลี่โต๋วเปาอย่างสวี่อี้เจิน“คารวะผู้อาวุโส”เสียงทุ้มของหลี่โต๋วเปาเอ่ยช้าๆ ดวงตาเรียวคมสังเกตท่วงท่าการเดินของฝ่ายตรงข้าม รู้สึกคุ้นเคยนัก ทว่านี่ไม่ใช่ท่าทีของผู้อาวุโสสวี่อี้เจินที่เขาเคยประลองหมากล้อมด้วยอย่างแน่นอน“เจ้าน่ะใช้ชีวิตได้ดี กลายเป็นผู้เยาว์ที่สร้างครอบครัวอบอุ่นจริงเชียว” ชายชรามองสำรวจทั่วทุกมุมบ้านราวกับไม่เคยเห็น ก่อนที่สายตาจะพลันมาหยุดลงที่ร่างบอบบางของฉินอี้หนิงซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นสาวงามเต็มตัวไปเสียแล้ว “โอ้~ นี่คือฉินอี้หนิงคนนั้นรึ…” ชายชรายิ้มอย่างสดใสพลางมองสำรวจใบหน้างามอย่างชื่นชม“เชิญผู้อาวุโสสวี่นั่งพักก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะไปเอาชาอวิ๋นอู้ [1] ที่ได้จากภูเขาหลูซานมาให้” เสียงหวานกล่าวอย่างอ่อนโยน ขณะเดินหายเข้าไป
วันเวลาผ่านเลยไปจากวันกลายเป็นหนึ่งเดือน ยามนี้สายลมปลายเดือนเปลี่ยนผิวทุ่งนาหน้าบ้านให้กลายเป็นสีทองอร่าม ลำต้นข้าวโน้มลงตามแรงน้ำหนักของรวงเมล็ดที่สุกงอม ท่ามกลางแสงอาทิตย์อุ่นอ่อนในยามเช้า เสียงเคียวเกี่ยวข้าวเสียดสีเบาๆ สะท้อนชัดอยู่กลางนาหลี่โต๋วเปาค้อมตัวใช้เคียวไม้ด้ามสั้นในมือเกี่ยวรวงข้าวอย่างระมัดระวัง ท่วงท่าของเขาแม้ยังไม่คล่องแคล้วนัก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ มือทั้งสองที่แกร่งอยู่แล้วบัดนี้ยิ่งแกร่งขึ้นซึ่งเป็นผลจากการจับจอบ ขุดหลุม และหาบน้ำทุกวัน จนรอยด้านปรากฏชัดที่ฝ่ามือ“เจ้าหนุ่มจากเมืองหลวง เจ้าน่ะก้าวหน้ากว่าที่ข้าเคยคิดไว้มากจริงๆ”เสียงของท่านตาดังมาจากอีกฟากของแปลงข้าว ใต้หมวกฟางเก่าคร่ำ ดวงตาของชายชรายังสะท้อนความชื่นชมไม่เสื่อมคลายหลี่โต๋วเปาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วหัวเราะเบาๆ ชายหนุ่มย้อนนึกถึงตอนที่เขาอยู่ในตำแหน่งจอมพล ถ้าตอนนี้อยู่ในยุคจักรวรรดิ เขาคงสามารถสั่งคนให้ขุดหลุมปลูกข้าวได้เป็นพันหลุม แต่เพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ยากที่สุด คือการเกี่ยวข้าวแค่เพียงมัดเดียว“ฮ่าๆๆ เจ้ารู้วิธีปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งของชีวิต” ท่านต
หลังผ่านพ้นค่ำคืนของการร่วมหอ ร่างงามก็ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกแกร่งไม่ไปไหน หลี่โต๋วเปาไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะกว่าเขาจะเสร็จกิจแต่ละรอบก็ใช้เวลานานเสียจนตัวเขาเริ่มนอนไม่หลับ ได้แต่กอดฉินอี้หนิงไว้ ขณะมองใบหน้าขาวนวลในยามนิทราบนโต๊ะข้างเตียงมีกะละมังไม้ใส่น้ำอุ่นที่เริ่มจะเย็นชืด พร้อมด้วยผ้าขาวที่ถูกใช้แล้ววางพาดอยู่ แน่นอนว่าเป็นหลี่โต๋วเปาที่นำมันมาเพื่อเช็ดผิวกายให้ภรรยาตัวน้อย อาจเพราะเขาไม่ได้ปลดปล่อยตนเองมานานหลายปี เจ้าของเหลวสีขาวขุ่นเหล่านั้น จึงมีมากเสียจนอาจทำให้ฉินอี้หนิงนอนหลับแบบไม่สบายตัวนัก ซึ่งในฐานะผู้กระทำ เขาจึงต้องทำความสะอาดให้นางทุกครั้งแพขนตาหนาที่เริ่มขยับน้อยๆ ทำให้หลี่โต๋วเปาอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจุมพิตบนเปลือกตาของนาง ไล่เรื่อยลงไปจนถึงหน้าอกนุ่มที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบฉินอี้หนิงที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมา เผลอทำหน้าอิดออดน้อยๆ เมื่อส่วนล่างของนางมันทั้งบวมและเจ็บระบมอย่างที่ไม่เคยเป็น ค่ำคืนเข้าหอนี้ผ่านไปอย่างยากลำบากจริงๆ ยิ่งเมื่อผู้เป็นสามีไม่ยอมจบดังที่ควรเป็นใต้ผ้าห่มมีบางอย่างขยับอยู่ เคลื่อนจากหน้าอกสู่ส่วนล่างอย่างเชื่องช้า ทว่าทุกการสัมผัสล้วนเต็มไป