เพราะมีหลายสิ่งต้องจัดการ หลี่โต๋วเปาจึงเข้ามาในโลกนี้ช้ากว่าปกติ
พืชที่เรียกว่าสมุนไพรคงเป็นเป้าหมายสูงสุดของสองยายหลานสกุลฉิน
แม้แต่ตอนนี้ สตรีทั้งสองคนก็ยังคงเดินตามหาบางอย่าง จนกระทั่งมาถึงส่วนยอดของภูเขาลูกนี้ เพราะเริ่มเหนื่อยหน่ายที่จะเดินเอง หลี่โต๋วเปาจึงขึ้นไปนอนอยู่ในตะกร้าซึ่งถูกฉินอี้หนิงสะพายไว้ด้านหลัง เผลอทับเห็ดที่นางเก็บมาแตกไปหลายดอก แต่ก็ทำทีเงียบกริบไว้เพื่อไม่ให้นางหันมาโวยวาย
“ได้ยินเสียงหรือไม่ เราใกล้จะถึงน้ำตกแล้วล่ะ เจ้าอาจจะชอบทิวทัศน์ของน้ำตกแห่งนี้” เสียงหวานใสกล่าวเบาๆ ด้วยรอยยิ้มหวาน
เมี้ยวววว
ชายหนุ่มแสร้งส่งเสียงตอบกลับนางพอเป็นพิธี รู้สึกได้ว่าบรรยากาศบริเวณนี้มันเย็นและมีไอน้ำกว่าปกติจริงๆ
“ยายจะไปเก็บดอกจินอิ๋นฮวา [1] ตรงร่องหินแถวน้ำตก เสี่ยวหนิงรออยู่ตรงนี้นะลูก”
เสียงเรียกนั้นทำให้ฉินอี้หนิงต้องรีบวิ่งเข้าไปห้ามคนชราอย่างรวดเร็ว นางพินิจแล้วว่าบริเวณที่จินอิ๋นฮวาเกิด อยู่บนหินตะไคร่ซึ่งวางเรียงบริเวณขอบน้ำตก ซึ่งดูอันตรายยิ่งนักเมื่อเทียบกับร่างกายชราภาพของผู้เก็บ แบบนี้นางจะยอมให้ผู้มีพระคุณเอาตัวเข้าไปเสี่ยงได้อย่างไร
“ให้หนิงเอ๋อร์เก็บเถอะเจ้าค่ะ ตอนมากับท่านตาหนิงเอ๋อร์ก็เป็นคนเก็บ ท่านยายไปเก็บเถี่ยนซิงเหย้า [2] ที่เกิดอยู่ตรงนั้นดีกว่า” กล่าวจบนางก็วางตะกร้าที่สะพายลงบนพื้น ก่อนจะรีบเดินเข้าไปหาเป้าหมาย
“ระวังลื่นนะเสี่ยวหนิง” แม้ใบหน้าของท่านยายจะเป็นกังวลอย่างชัดเจน แต่เมื่อได้ยินว่าตาแก่ที่บ้านก็ยินยอมให้เด็กหญิงเป็นคนเก็บ อีกทั้งบริเวณพื้นที่เหยียบไปหาจินอิ๋นฮวาก็ไม่ได้ดูอันตรายนัก ฉินอี้เอินจึงยินยอมทำตามคำพูดของฉินอี้หนิง
“ท่านยายไม่ต้องห่วง ดูสิ! ข้าเก็บได้แล้วเจ้าค่ะ” กล่าวจบนางก็โบกจินอิ๋นฮวาสีขาวออกเหลืองหนึ่งกิ่งไปมาอย่างสดใส “ท่านยายไว้ใจเถอะ หนิงเอ๋อร์ของท่านเอาตัวรอดเก่งแถมยังเร็วยิ่งกว่าลิงเสียอีก”
หญิงชรามองดูนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางใจแล้วยอมนั่งเก็บสมุนไพรชนิดอื่นเข้าตะกร้าบนหลัง พอเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ยิ่งสบายใจมากกว่าเดิม หลังจากเก็บสมุนไพรเสร็จเป้าหมายต่อไปจึงกลายเป็นหน่อไม้หวานกอเล็กๆ ที่อยู่บริเวณนั้น
ฝ่ายหลี่โต๋วเปาที่เคยนอนอยู่บนตะกร้าอย่างเกียจคร้าน ก็เลือกที่จะถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนจะเดินไปหาเจ้านายตัวน้อยที่กำลังเอื้อมมือจนสุดแขนเพื่อเก็บจินอิ๋นฮวาสีขาวดอกสุดท้าย
ข้างๆ ตัวของเด็กหญิงเป็นน้ำตกขนาดกลางที่ไหลลงเขาอย่างสงบนิ่ง ผิวน้ำตกดูคล้ายกระจกใสที่สามารถสะท้อนภาพบางอย่างออกมาได้ ในจังหวะที่นางได้ดอกจินอิ๋นฮวาต้นสุดท้ายมาอยู่ในกำมือ และกำลังจะเอี้ยวตัวลงจากหินตะไคร่ เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างแมวอ้วนสีขาวเดินนวยนาดเข้ามาหา
ดวงตากลมสวยสีดำสนิทเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อแว๊บหนึ่งได้เห็นบางอย่าง เพราะขณะที่หัน นางเห็นเงาสะท้อนของเจ้าโต๋วเปากลายเป็นเงาของบุรุษเพศใส่เครื่องแต่งกายแสนประหลาด ทว่าพอหันกลับมามองอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดหรือเพ้อฝันไป เจ้าแมวขาวตัวนั้นก็กระโดดหนีหายไปทางอื่นเสียแล้ว
ฉินอี้หนิงมั่นใจว่านางเห็นเงาบุรุษสะท้อนออกมาจากน้ำตกแห่งนี้จริงๆ จุดนั้นเป็นจุดที่โต๋วเปายืนอยู่…นั่นคือข้างๆ นาง
แต่เพราะบุรุษคนนั้นมีใบหน้าคล้ายทรราชหลี่หยางหนิงอันผู้โฉดชั่ว ในใจของเด็กหญิงจึงเริ่มไม่แน่ชัดนักว่านางหวาดกลัวคนผู้นั้นจนคิดมากเกินไป หรือเพราะนางได้เห็นจริงๆ ว่าภาพนั้นเกิดขึ้น
เด็กหญิงพยายามควบคุมลมหายใจของตนเองให้กลับมาเป็นปกติ ขณะเดินกลับมาหาเจ้าโต๋วเปาที่กำลังร้องเหมียวๆ ราวกับมันพยายามกลบเกลื่อนเรื่องบางอย่าง
สมุนไพรถูกห่อด้วยใบไม้แล้วใส่ลงในตะกร้า ฉินอี้หนิงลูบขนเจ้าแมวของนางเพื่อให้ตนเองคลายความหวาดกลัว แต่ก่อนจะได้กล่าวอะไรท่านยายก็เดินเข้ามาเสียก่อน
“เรากลับกันเถอะ ได้สมุนไพรทั้งร้อนทั้งเย็นขนาดนี้คงพอขายได้หลายวันอยู่หรอก ป่านนี้ท่านตาของเจ้าก็คงรอกินอาหารเที่ยงแล้วกระมัง”
ดวงหน้างามล้ำภายใต้ผ้าโพกหน้าเก่าๆ กำลังซีดเผือด แต่ถึงกระนั้นฉินอี้หนิงก็ยังสามารถฝืนตนเองให้ทำตัวเป็นปกติสุขได้ดังเดิม
“เจ้าค่ะท่านยาย” นางตอบอย่างสดใส “ท่านยายหนักหรือไม่ มีหน่อไม้ตั้งสี่หน่อ แบ่งมาให้หนิงเอ๋อร์แบกเถอะเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไรๆ ของแค่นี้จะไปหนักหนาอะไรกัน ฮ่าๆๆ” ท่านยายสกุลฉินกล่าวพร้อมทั้งอุ้มเจ้าโต๋วเปาขึ้นไปใส่บนตะกร้าของฉินอี้หนิง “แค่เจ้านี่ตัวเดียวก็คงหนักกว่าหน่อไม้สิบหน่อแล้วล่ะ” คนอารมณ์ดีคล้ายต้องการแซวสิ่งมีชีวิตตัวอ้วนกลม
ไม่นานสองยายหลานก็เดินตามกันลงเขาด้วยเส้นทางใหม่ ระหว่างทางได้เจอทั้งมูลกวาง และร่องรอยหน่อไม้ที่ถูกกัดกินโดยครอบครัวหมูป่า กระทั่งเจอไก่ฟ้าหลังเทาตัวหนึ่ง หญิงสาวผู้ดูอ่อนหวานอย่างฉินอี้หนิงก็ได้แสดงทักษะการใช้ฉมวกแหลมที่นางพกมาให้ชายหนุ่มจากยุคจักรวรรดิอวกาศได้ชม
ฉึก! โอ๊กกก!!!
ท่านยายสกุลฉินเป็นผู้ดับชีวิตของเจ้าไก่ฟ้าหลังเทาจากความทรมานของบาดแผล ก่อนที่นางจะเป็นผู้ถือขามันลงมาจากบนภูเขา
ระหว่างทางฉินอี้หนิงก็พูดถึงอาหารที่นางจะทำไปพลางๆ หลี่โต๋วเปาจับใจความได้ว่ามีทั้งผัดไก่ฟ้าหลังเทาตัวนี้ใส่หน่อไม้หวาน และต้มมันใส่บรรดาเห็ดที่เก็บลงมาจากภูเขาเพื่อทำน้ำแกงบำรุงร่างกาย
[1] ดอกสายน้ำผึ้ง มีสรรพคุณขับพิษ แก้ไข้ บรรเทาอาการอักเสบ มักไต่ตามหินริมลำธาร น้ำตก หรือหน้าผาชื้น ใช้ในตำรับ “ยิ่นเฉียวซ่าน” เพื่อแก้ไข้หวัด
[2] เป็นชื่อพื้นบ้านท้องถิ่น สรรพคุณหวานเย็น ขับพิษ แก้กระหายน้ำ ขึ้นริมผาหินที่มีหยดน้ำตลอดเวลา เช่น ริมน้ำตก มักใช้ต้มเป็นยาดื่ม บางพื้นที่ใช้ผสมในชาเขียว
กลับมาที่สถานการณ์ในปัจจุบัน…สิ้นเสียงเหี้ยมกับประโยคไร้มารยาทนั้น เมื่อหลี่หยางหนิงอันหันไปสบสายตากับอีกฝ่าย สิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นไม่ใช่เพียงใบหน้าที่ดูคล้ายเขาราวกับแกะ แต่เป็นโทสะและความเหี้ยมเกรียมในแบบที่เขารู้จักดี“เจ้ากล้ามาก ที่มาแตะต้องภรรยา และแตะต้องลูกของข้า” เสียงของหลี่โต๋วเปานิ่งงัน แต่ทุ้มต่ำจนเหมือนจะสามารถสะเทือนผนังหินของตำหนักได้อย่างง่ายดายหลี่หยางหนิงอันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ข้ากำลังจะสั่งให้หมอหลวงเอาเด็กในท้องนางออกพอดี แต่เพราะต้องพักฟื้นร่างกายนาน เลยคิดว่าจะพาขึ้นเตียงทั้งที่ยังท้อง คงให้อารมณ์แปลกใหม่ไม่น้อย” ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจงใจยั่วโมโหฝ่ายนั้น “เช่นนั้นเจ้าคงคิดจะฆ่าข้าสินะ?”ชายหนุ่มในชุดซอมซ่อสีเทาไม่ตอบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นช้าๆ ดวงตาของเขาเรืองแสงวาบสีฟ้าอความารีนแผ่วเบา คล้ายกระจกจักรวาลที่สามารถสะท้อนแรงโน้มถ่วงให้ย้อนคืนได้ฉับพลันที่อากาศรอบตัวเริ่มสั่นสะเทือน แรงกดดันไร้รูปประหนึ่งกำปั้นพลังจิตกระแทกเข้าที่กลางอกของจักรพรรดิหนุ่มหลี่หยางหนิงอัน จนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นป้องกันอันตรายที่มองไม่เห็น“อย่าคิดว่าต่อจากนี้เจ้ายังจะสามารถอยู่หายใจได้อีก…”
หนึ่งเดือนกับอีกสามสัปดาห์ที่หลี่โต๋วเปายังไม่กลับมา ฉินอี้หนิงนั่งจิบชากุหลาบอยู่ที่ชายเรือนสกุลฉิน ลมยามบ่ายพัดกรูจากทิศตะวันออก พาเอาใบไผ่ที่ลู่ลมอยู่บนเนินเตี้ยหล่นเกลื่อนทั่วลานทว่าเสียงกีบม้านับสิบและฝีเท้าเกราะเหล็กที่ดังกึกก้องยิ่งกว่าเสียงพายุ กลับทำให้หมู่บ้านฮุ่ยฟางที่เคยเงียบงัน เกิดความสนันหวั่นไหวราวกับมีเงามรณะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมทั่วผืนดินรถม้าขนาดใหญ่สลักลายมังกรดำขอบทอง เคลื่อนมาหยุดลงบริเวณหน้าบ้านสกุลฉิน ก่อนที่บรรดาทหารสวมเกราะดำประทับตราจักรพรรดิหลี่จะวิ่งเข้ามารายล้อมรอบบ้านเอาไว้ ตามมาด้วยเสียงแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งตวาดดังแทรกเสียงใบไม้ปลิว“เรามารับตัวหรันฝูหรง สตรีอายุสิบเก้าหนาวที่ซ่อนตัวในหมู่บ้านแห่งนี้!”ท่านตาฉินที่กำลังสานกระด้งไม้ไผ่รีบก้าวออกมาจากเรือน ร่างชราภาพฝืนฝ่าแนวทหารเข้ามาขวาง“ขออภัยด้วย ที่นี่ไม่มีใครชื่อเช่นนั้นหรอกขอรับ ข้าไม่รู้จัก! ส่วนสตรีที่อายุสิบเก้า ที่นี่ก็มีเพียงบ้านสกุลหลาน สกุลซ่ง สกุลกั๋ว และหลานสาวของข้า…นางชื่อฉินอี้หนิง”แม่ทัพผู้นั้นกระตุกยิ้มมุมปาก พร้อมทั้งจ้องมองฉินอี้หนิงอย่างเย้ยหยัน“เช่นนั้นข้าก็มาถูกแล้วล่ะ เพราะนามเ
ยุคจักรวรรดิอวกาศ ภายในสถานีวิจัยหลักของตระกูลหลี่ ชั้นบัญชาการพลังงานควอนตัม ความวุ่นวายกำลังเกิดขึ้นเมื่อคนที่หายตัวไปกลับเข้ามาสั่งงานจนกองพะเนิน“โธ่เอ๋ย…ครั้งแรกผมก็นึกว่าท่านประธานหลี่ของเราหลุดเข้าไปอยู่ในปฏิกรณ์ชีวภาพจนแยกโมเลกุลไม่ออกเสียแล้ว ที่แท้…ก็แค่ติดภรรยาเท่านั้น”ร่างสูงของหลี่โต๋วเปายืนพิงกรอบประตู มือซุกกระเป๋าเสื้อโค้ตสีเทาเรียบทว่าหรูหรา ไม่มีคำเถียงใด มีเพียงรอยยิ้มมุมปากที่เจือแววอ่อนโยนบางอย่าง…คล้ายไม่คิดปฏิเสธความจริงข้อนั้น“ก็แค่ใช้เวลาให้คุ้มกับชีวิตบ้าง คุณต้องลองไปปลูกฟักทองดูสักครั้งสิ แล้วจะเข้าใจว่าทุกเช้าในทุ่งหมอกนั้นมีค่ามากกว่างานวิจัยที่เขียนมาพันปีเสียอีก”หลี่เฮ้าถงกลอกตาเล็กน้อยขณะมองหลายชายเพียงคนเดียว ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ“อา…ฟักทองยังไม่เท่าไร แต่ถ้าประธานหลี่ของเราหายหน้าไปอีกสามเดือน ผมอาจจะกลับเข้าไปลักพาตัวภรรยาของท่านมาขังไว้ที่นี่แทน แล้วให้ท่านประธานเข้าออกห้องทดลองตลอดยี่สิบชั่วโมงเสียเลย”“แบบนั้นก็เป็นความคิดที่ดีนะ” หลี่โต๋วเปาพึมพำ พร้อมกับหยิบซาลาเปาไส้เห็ดหอมออกมาจากถุงเล็กๆ ในมือ ก่อนจะยื่นให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่รีบร้อน “ข
หลังเกี่ยวและตากข้าวจนเสร็จสรรพ ครอบครัวสกุลฉินก็เว้นช่วงเวลาสำหรับหยุดพักผ่อน ด้วยเพราะร่างกายที่ชราภาพของท่านตาท่านยาย พอทำงานไร่นานานเข้าจึงปวดเมื่อยมากกว่าปกติส่วนหลี่โต๋วเปาและฉินอี้หนิงก็ใช้เวลาส่วนมากอยู่กับการดูแลสวนผัก ขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาขาย และใช้เวลาร่วมกันในฐานะสามีภรรยาทว่าวันนี้ แขกผู้มาเยือนกลับเป็นอดีตขุนนางผู้ต้องสูญเสียบ้านให้หลี่โต๋วเปาอย่างสวี่อี้เจิน“คารวะผู้อาวุโส”เสียงทุ้มของหลี่โต๋วเปาเอ่ยช้าๆ ดวงตาเรียวคมสังเกตท่วงท่าการเดินของฝ่ายตรงข้าม รู้สึกคุ้นเคยนัก ทว่านี่ไม่ใช่ท่าทีของผู้อาวุโสสวี่อี้เจินที่เขาเคยประลองหมากล้อมด้วยอย่างแน่นอน“เจ้าน่ะใช้ชีวิตได้ดี กลายเป็นผู้เยาว์ที่สร้างครอบครัวอบอุ่นจริงเชียว” ชายชรามองสำรวจทั่วทุกมุมบ้านราวกับไม่เคยเห็น ก่อนที่สายตาจะพลันมาหยุดลงที่ร่างบอบบางของฉินอี้หนิงซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นสาวงามเต็มตัวไปเสียแล้ว “โอ้~ นี่คือฉินอี้หนิงคนนั้นรึ…” ชายชรายิ้มอย่างสดใสพลางมองสำรวจใบหน้างามอย่างชื่นชม“เชิญผู้อาวุโสสวี่นั่งพักก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะไปเอาชาอวิ๋นอู้ [1] ที่ได้จากภูเขาหลูซานมาให้” เสียงหวานกล่าวอย่างอ่อนโยน ขณะเดินหายเข้าไป
วันเวลาผ่านเลยไปจากวันกลายเป็นหนึ่งเดือน ยามนี้สายลมปลายเดือนเปลี่ยนผิวทุ่งนาหน้าบ้านให้กลายเป็นสีทองอร่าม ลำต้นข้าวโน้มลงตามแรงน้ำหนักของรวงเมล็ดที่สุกงอม ท่ามกลางแสงอาทิตย์อุ่นอ่อนในยามเช้า เสียงเคียวเกี่ยวข้าวเสียดสีเบาๆ สะท้อนชัดอยู่กลางนาหลี่โต๋วเปาค้อมตัวใช้เคียวไม้ด้ามสั้นในมือเกี่ยวรวงข้าวอย่างระมัดระวัง ท่วงท่าของเขาแม้ยังไม่คล่องแคล้วนัก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ มือทั้งสองที่แกร่งอยู่แล้วบัดนี้ยิ่งแกร่งขึ้นซึ่งเป็นผลจากการจับจอบ ขุดหลุม และหาบน้ำทุกวัน จนรอยด้านปรากฏชัดที่ฝ่ามือ“เจ้าหนุ่มจากเมืองหลวง เจ้าน่ะก้าวหน้ากว่าที่ข้าเคยคิดไว้มากจริงๆ”เสียงของท่านตาดังมาจากอีกฟากของแปลงข้าว ใต้หมวกฟางเก่าคร่ำ ดวงตาของชายชรายังสะท้อนความชื่นชมไม่เสื่อมคลายหลี่โต๋วเปาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วหัวเราะเบาๆ ชายหนุ่มย้อนนึกถึงตอนที่เขาอยู่ในตำแหน่งจอมพล ถ้าตอนนี้อยู่ในยุคจักรวรรดิ เขาคงสามารถสั่งคนให้ขุดหลุมปลูกข้าวได้เป็นพันหลุม แต่เพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ยากที่สุด คือการเกี่ยวข้าวแค่เพียงมัดเดียว“ฮ่าๆๆ เจ้ารู้วิธีปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งของชีวิต” ท่านต
หลังผ่านพ้นค่ำคืนของการร่วมหอ ร่างงามก็ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกแกร่งไม่ไปไหน หลี่โต๋วเปาไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะกว่าเขาจะเสร็จกิจแต่ละรอบก็ใช้เวลานานเสียจนตัวเขาเริ่มนอนไม่หลับ ได้แต่กอดฉินอี้หนิงไว้ ขณะมองใบหน้าขาวนวลในยามนิทราบนโต๊ะข้างเตียงมีกะละมังไม้ใส่น้ำอุ่นที่เริ่มจะเย็นชืด พร้อมด้วยผ้าขาวที่ถูกใช้แล้ววางพาดอยู่ แน่นอนว่าเป็นหลี่โต๋วเปาที่นำมันมาเพื่อเช็ดผิวกายให้ภรรยาตัวน้อย อาจเพราะเขาไม่ได้ปลดปล่อยตนเองมานานหลายปี เจ้าของเหลวสีขาวขุ่นเหล่านั้น จึงมีมากเสียจนอาจทำให้ฉินอี้หนิงนอนหลับแบบไม่สบายตัวนัก ซึ่งในฐานะผู้กระทำ เขาจึงต้องทำความสะอาดให้นางทุกครั้งแพขนตาหนาที่เริ่มขยับน้อยๆ ทำให้หลี่โต๋วเปาอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจุมพิตบนเปลือกตาของนาง ไล่เรื่อยลงไปจนถึงหน้าอกนุ่มที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบฉินอี้หนิงที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมา เผลอทำหน้าอิดออดน้อยๆ เมื่อส่วนล่างของนางมันทั้งบวมและเจ็บระบมอย่างที่ไม่เคยเป็น ค่ำคืนเข้าหอนี้ผ่านไปอย่างยากลำบากจริงๆ ยิ่งเมื่อผู้เป็นสามีไม่ยอมจบดังที่ควรเป็นใต้ผ้าห่มมีบางอย่างขยับอยู่ เคลื่อนจากหน้าอกสู่ส่วนล่างอย่างเชื่องช้า ทว่าทุกการสัมผัสล้วนเต็มไป