ร่างเล็กแทบไม่ได้ลุกเดินไปไหน เพราะพอเก็บเห็ดโคนเสร็จนางก็เดินสามก้าวมาเจอเข้ากับเห็ดไก่ป่า [1] สีเหลืองอ่อนหนึ่งดอกใหญ่ๆ พอเก็บเห็ดไก่ป่าเสร็จเท่านั้นแหละ ทั้งกระเทียมป่า ใบชุน ผักกูด หรือแม้แต่เห็ดหูหนูขาวและเห็ดหูหนูดำก็โผล่มาเต็มไปหมด ทำเอาร่างเล็กๆ แทบไม่ต้องเคลื่อนสังขารไปทางไหนแล้ว
ทว่า…เสียงข่มขู่อย่างดุร้ายของสัตว์ป่าบางชนิด กลับทำให้ฉินอี้หนิงถึงกับต้องเบิกตากว้างเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนระดับสายตาขึ้นมาบริเวณเนินดินเล็กๆ ตรงหน้าอย่างเชื่องช้า
ฟ่ออออ! กึรรรร์!
กรรรรรร!!!
เด็กหญิงแทบลืมหายใจไปชั่วอึดหนึ่ง เมื่อได้รู้ว่าตอนนี้ตนเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่ใครก็คาดไม่ถึง
เพราะตอนนี้ตรงหน้าของนางมีเจ้าแมวสีน้ำตาลอมเหลืองตัวโต อีกทั้งลายบนลำตัวของมันก็ดูคล้ายลายหินอ่อนอย่างยิ่ง บริเวณใต้ท้องออกสีเหลืองอ่อนๆ ขณะที่ด้านหลังขาและพวงหางของมันมีจุดสีดำเข้มดูสวยงามอย่างยิ่ง
มันคือเป้าเมา [2] ไม่ผิดแน่ ว่ากันว่านิสัยค่อนข้างดุร้ายมากทีเดียว อีกทั้งมันยังล่าได้แม้กระทั่งลิงขนาดเล็ก
กรรรรรรร!!!!
เจ้าแมวป่าตัวนั้นยังคงข่มขู่นางพร้อมทั้งเดินนวยนาดอย่างลองเชิง ฉินอี้หนิงคิดว่าตนเองอาจเอาชนะมันได้แบบสบายๆ ถ้าหากนางมีไม้หน้าสามหรือมีดปังตออยู่ในมือ ทว่าสิ่งที่นางไม่คาดคิดก็คือ การที่เจ้าแมวป่าตัวนี้มันดันกระโดดพรวดเข้ามาหมายจะฟาดกรงเล็บคมๆ ใส่หน้านาง
แต่ก่อนที่เจ้าแมวป่าตัวนั้นจะทันได้เข้ามาแตะต้องฉินอี้หนิง เสียงขู่ฟ่ออย่างดุดันของแมวอีกตัวก็ดังขึ้นมาแบบที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
แฮ่รรร!
แล้วร่างอ้วนตุ๊บสองร่างก็พุ่งเข้าปะทะกันกลางเงาไม้อย่างดุเดือด การต่อสู้ที่รวดเร็วนี้ดูราวกับสายฟ้าฟาด! หนึ่งคือแมวป่าลายหินอ่อนผู้เริ่มต้นการปะทะ สองคือแมวอ้วนสีขาวขนฟูฟ่องผู้มีดวงตาสีฟ้าราวกับน้ำทะเลต้องแสงตะวัน
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าโต๋วเปาเพียงต้องการมาปกป้องฉินอี้หนิงผู้เป็นเจ้านายของมัน
ขนสีขาวของเจ้าโต๋วเปาตั้งชันอย่างน่ากลัว กรงเล็บแหลมตวัดฉับราวกับใบมีด ข่วนลำตัวฝ่ายตรงข้ามเกิดเป็นเสียง ฉัวะ! ดังลั่น ตามมาด้วยเสียงร้องแง้วลั่นฟ้า ราวกับเจ้าแมวป่าตัวนั้นกำลังเจ็บปวดกับบาดแผลที่เพิ่งได้รับอย่างที่สุด
แง้ววววววววววววววว!
เจ้าโต๋วเปาไม่ยอมให้โอกาสนี้หลุดหายไปอย่างไร้ค่า ความเป็นนักรบของมันน่ากลัวมากกว่าสัตว์ป่าถึงสิบส่วน เจ้าแมวป่าลายหินอ่อนพยายามสับตีนแตกวิ่งหนี ทว่ามีหรือมันจะหนีจากอดีตจอมพลผู้เก่งกาจได้จริงๆ
สัตว์สองร่างกลิ้งปะทะกันอย่างดุเดือดซ้ำอีกครั้ง ก่อนที่เสียง กรรรรรรร! จะกลบทุกสิ่งทุกอย่าง
แฮ่ร์! ฟ่อออออ! แง้ววววววววววววววววววววว!
กรรรรร!
“โต๋วเปา! หยุดนะ พอแล้ว กลับมาเถอะ!!!” เด็กหญิงพยายามเรียก แต่มีหรือคนที่กำลังโกรธอย่างสุดขีดจะยอมฟัง
งั่บ! แอ้กกกกกก!
ฉัวะ! แซ่ก!
วันนี้สตรีมมีผู้ชมเพียงหลักร้อย (เพราะเพิ่งไลฟ์ยังไม่ถึงหนึ่งนาที) โดยส่วนมากคือคนที่กดติดตามหลี่โต๋วเปา และคนที่ไม่ได้ไปทำงาน ส่วนในด้านคอมเมนต์จากผู้ชมเองก็ดุเดือดไม่แพ้กัน
[เจ้าแม่เลิฟ : ให้ตาย! นี่เรากำลังดูสตรีมแมวตีกันค่ะทู๊กกก! คนนน!]
ในจังหวะนรกนี้เอง ใครบางคนก็ได้แชร์สตรีมเข้าไปในกลุ่มที่มีชื่อว่า ทาสแมวในทุ่งลาเวนเดอร์ จนเกิดเป็นข้อถกเถียงกันระหว่างมนุษย์ผู้มีหลายอุดมการณ์
[เวราดิรอส : ทาสแมวทำใจไม่ได้ ต่อให้กัดกันเพื่อปกป้องคนงามก็ตาม]
[ผมเด็ดสุด : อย่าทำร้ายกันนะ เกิดเป็นแมวต้องรู้รักสามัคคีกันสิวะ!!!]
[มารวย : โดเนทๆ ถ้าชนะเสี่ยคนนี้จะโดเนทให้เลย 1,000 ดวงดาว]
[เวราดิรอส : กรี๊ด! ไอ้บ้านี่มันส่งเสริม!!!!]
[มารวย : ก็เจ้าแมวป่ามันจะมาทำร้ายคนสวยของผมก่อนนี่นา]
แต่ไม่ว่าจะคอมเมนต์ไหน หรือเสียงเรียกของใคร มันก็ไม่ได้เข้าหูหลี่โต๋วเปาจอมโหดเหี้ยมเลยสักราย จนกระทั่งจังหวะที่เจ้าแมวป่าลายหินอ่อนหลุดรอดจากเงื้อมมือ (อุ้งเท้ามังคุดคัดสีขาว)
ร่างของหลี่โต๋วเปาที่กำลังกระโดดตามไปก็ถูกจับไว้โดยมือเรียวสวยของฉินอี้หนิงแบบพอดีเป๊ะราวกับจับวาง เป็นเหตุให้นางถูกคมเขี้ยวของเจ้าแมวอ้วนสีขาวกัดเข้าไปเต็มๆ ที่บริเวณนิ้วโป้ง
[ฟรานซิสสส : กัดซะจมเขี้ยวเลยนะเจ้าสตรีมเมอร์แมว]
‘ยินดีด้วย! คุณได้รับ 1,000 ดวงดาวจากมารวย!’
หลี่โต๋วเปาหยุดนิ่ง ดวงตาเหี้ยมเกรียมที่เคยเบิกโพลงอย่างแข็งกร้าวเพื่อเตรียมออกรบ ยามนี้ฉายแววอ่อนลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะค่อยๆ ถอนคมเขี้ยวที่ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเฉาะโดนผิวเนื้อนุ่มออก แน่นอนว่าเลือดสีแดงสดมากมายก็ไหลตามมาราวกับเป็นต้นน้ำ
ฉินอี้หนิงที่กำลังนั่งจุมปุกบนกองใบไม้แห้ง เริ่มมีน้ำตาซึมออกมาจากสองหน่วยตา นางรีบปล่อยเจ้าแมวขาวลงบนพื้นก่อนจะใช้น้ำดื่มในกระบอกล้างแผล
“เสี่ยวหนิง!” แม้แต่ท่านยายที่เพิ่งวิ่งตามมาก็ตกใจไม่แพ้กัน “ทำไมถึงถูกกัดได้ล่ะ” หญิงชรารีบใช้น้ำสมุนไพรสีแดงอิฐล้างบาดแผลให้หลานสาว พร้อมทั้งใช้ใบสมุนไพรกลิ่นฉุนๆ แปะบาดแผลก่อนจะพันทับด้วยผ้าที่เพิ่งฉีกออกจากชุด
“ท่านยาย เอ่อ คือว่า…” เด็กหญิงพยายามตั้งสติ ก่อนจะรีบอธิบายไปตามความจริง “เป็นเพราะแมวป่าเจ้าค่ะ หนิงเอ๋อร์เกือบโดนแมวป่าทำร้าย ดีที่โต๋วเปาโผล่มาช่วยไว้ทัน แต่เพราะหนิงเอ๋อร์ประมาทไป ระหว่างที่คิดจะจับโต๋วเปาไม่ให้ตามมันเข้าป่าไป ก็เลยโดนกัดเข้า…”
“เวลาแมวกัดกันห้ามเข้าไปยุ่งแบบนี้อีก ต้องใช้อย่างอื่นเข้าใจหรือไม่?”
“เจ้าค่ะท่านยาย” เด็กหญิงรับคำพร้อมรอยยิ้ม แต่มันน่าเอ็นดูตรงที่สองตาของนางยังคงมีน้ำตาหยดเล็กๆ ไหลออกมาไม่หยุด
เมี้ยวววววว~
ชายหนุ่มผู้ไม่ได้รู้สึกผิด เดินมาตรงหน้าของฉินอี้หนิงพร้อมทั้งบ่นนางไม่หยุด ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นภาษาแมวที่ฟังไม่ออก ทำให้บรรยากาศตอนนี้ตรงข้ามไปโดยสิ้นเชิง
“ข้าไม่เป็นไรแล้วโต๋วเปา เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก” นางปลอบเจ้าแมวขาว พร้อมทั้งใช้มือลูบขนนุ่มฟูของมันเบาๆ “เจ้าเก่งจริงๆ ที่ไม่บาดเจ็บตรงไหน”
แม้หลี่โต๋วเปาจะไม่ได้เดินหลบการสัมผัสนั้นของฉินอี้หนิง แต่เขาก็มั่นใจว่าตนเองไม่ได้เป็นห่วงนางเสียหน่อย แถมเสียงเมี้ยวๆ นั่นก็คือเสียงบ่นด่าว่านางจะเข้ามายุ่งกับการต่อสู้ทำไม หาใช่การออดอ้อนอันไร้สาระแบบแมวๆ ไม่
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ถือโอกาสนี้ซื้อยารักษาให้เลยก็แล้วกัน!
แต่พอจะใช้เงินดวงดาวของตนเอง ระบบมันดันขึ้นตัวอักษรสีแดงเถือกว่า ไม่สามารถใช้ได้ ท่านต้องใช้เงินที่ได้จากการโดเนทเท่านั้น!
ถ้าซื้อภายใต้ระบบสตรีม (ซึ่งเป็นการคิดค้นและผูกขาดของบริษัทตระกูลหลี่ของตนเอง) ยารักษาแผลสดราคาจะอยู่ที่ห้าพันดวงดาวซึ่งแพงกว่าการซื้อจากร้านปกติถึงสองเท่า แต่ตอนนี้เขามีเงินโดเนทอยู่แค่สามพันกว่าดวงดาวเท่านั้น
อา…หลี่โต๋วเปาเพิ่งเล็งเห็นถึงการเอาเปรียบผู้คนด้วยน้ำมือตนเองก็คราวนี้ล่ะ ไว้เขาค่อยเปลี่ยนระบบหน้าเงินนี่ทีหลังก็แล้วกัน
‘ยินดีด้วย! คุณได้รับ 100,000 ดวงดาวจากจอมพลหลี่โต๋วเปา’
บรรลัยการช่างแล้วสิ เพราะรีบใช้เงินไปหน่อย ดันลืมเปลี่ยนชื่อเสียได้ หวังว่าหน้าจอจะไม่ได้แสดงอะไรแบบนี้ให้ผู้ชมคนอื่นเห็นนะ
แน่นอนว่าคำขอนั้นย่อมไร้สาระอยู่แล้ว…
[ฟรานซิสสส : ตั้งหนึ่งแสนดวงดาว!!! ขนาดท่านจอมพลยังมาดูเลย!!!]
แถมลงเล่นในสถานการณ์จริงเองด้วย (อันนี้ตอบในใจ)
[ลินเซ่โรแลน : หรือนี่จะเป็นการตลาดแบบใหม่ของธุรกิจสกุลหลี่]
โยงเข้าธุรกิจจนได้สินะคนพวกนี้
[มอนิ่งบรู๊ค : สตรีมเมอร์ช่องนี้คงถูกซื้อตัวแล้ว เราอย่าหวังคอนเทนต์เก็บของป่าแบบแปลกๆ นักเลย เพราะยังไงก็เป็นหนึ่งในเครือของสกุลหลี่ ยุคเราจะมีแหล่งข้อมูลเรื่องโลกเดิมมาจากไหนกันล่ะ?]
…..
[พี่สาวซวงซวง : ไม่จริงหรอกน่า เพราะสตรีมนี้เพิ่งออกข่าวไปเมื่อเช้า บอกว่าเป็นสตรีมเมอร์ปริศนาที่มีสัญญาณมาจากเครือขายดวงดาวอื่น]
…..
และในขณะที่ผู้ชมทุกคนกำลังถกเถียงกันอยู่นั่งเอง หลี่โต๋วเปาก็ซื้อยาสูตรพิเศษจากมาร์เก็ตได้สำเร็จ พร้อมทั้งใช้พลังพิเศษของตนในการนำยาเหล่านี้เข้าไปทาให้ฉินอี้หนิงโดยไม่ต้องแกะผ้าพันแผลของท่านยายสกุลฉินออก
ไม่รู้ว่านางจะรู้ตัวหรือไม่ แต่ยัยเด็กคนนี้ก็เอาแต่พุ่งเข้าไปเก็บของป่าไม่หยุด หลี่โต๋วเปาจึงได้เห็นอะไรแปลกๆ อย่างเห็ดไคล และเห็ดปะการัง
“ดมดูสิโต๋วเปา เห็ดไคลนี่หอมดีนะ”
แน่นอนว่าอดีตจอมพลอย่างเขาก็ยอมดมเห็ดแปลกๆ นี่ตามนาง…
หื่ม~ กลิ่นเหมือนธรรมชาติชุ่มฉ่ำ หรือก็คือสิ่งที่เรียกว่าขี้ไคลน้ำนั่นเอง
เด็กหญิงหัวเราะเบาๆ อย่างร่าเริง “สำหรับข้า การเก็บเห็ดแบบนี้ก็เป็นประเพณีอย่างหนึ่ง เหมือนกับงานเลี้ยงกินหมูตอนวันปีใหม่ในเดือนสิบสองนั่นล่ะ แล้วก็เหมือนกับการรับประทานอาหารคำในเทศกาลตรุษจีนด้วย เพราะเป็นกิจกรรมที่เราทำกันทุกปีเลย”
ขณะที่นางเอาแต่พูดบรรยายอะไรแปลกๆ หลี่โต๋วเปาก็เอาแต่เดินตามติดไม่ห่างไปไหน ทั้งที่ใบหน้าคล้ายจะรำคาญ แต่ขาก็ไม่ได้ทำตามสิ่งที่แสดงออกทางใบหน้าไปเสียหมด
บางทีเจ้าแมวตัวนี้ อาจจะกำลังหลงรักฉินอี้หนิงก็เป็นได้
[1] ชาวจีนชื่นชอบมาก เนื้อแน่น กลิ่นหอมคล้ายเนื้อสัตว์ (จึงเรียกว่าไก่ป่า) นิยมผัดหรือทำเป็นหม้อไฟเห็ด
[2] หน้าตาคล้ายแมวบ้านแต่มีลายจุดคล้ายเสือดาว พบในป่าจีนตอนใต้ ตัวเล็ก ว่องไว ชอบล่าสัตว์
จบตอนที่ 3 แล้ว สนุกมั้ยไม่รู้ แต่หม้อจะเขียนต่อ อิอิ ทุกคนโปรดรอติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ
กลับมาที่สถานการณ์ในปัจจุบัน…สิ้นเสียงเหี้ยมกับประโยคไร้มารยาทนั้น เมื่อหลี่หยางหนิงอันหันไปสบสายตากับอีกฝ่าย สิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นไม่ใช่เพียงใบหน้าที่ดูคล้ายเขาราวกับแกะ แต่เป็นโทสะและความเหี้ยมเกรียมในแบบที่เขารู้จักดี“เจ้ากล้ามาก ที่มาแตะต้องภรรยา และแตะต้องลูกของข้า” เสียงของหลี่โต๋วเปานิ่งงัน แต่ทุ้มต่ำจนเหมือนจะสามารถสะเทือนผนังหินของตำหนักได้อย่างง่ายดายหลี่หยางหนิงอันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ข้ากำลังจะสั่งให้หมอหลวงเอาเด็กในท้องนางออกพอดี แต่เพราะต้องพักฟื้นร่างกายนาน เลยคิดว่าจะพาขึ้นเตียงทั้งที่ยังท้อง คงให้อารมณ์แปลกใหม่ไม่น้อย” ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจงใจยั่วโมโหฝ่ายนั้น “เช่นนั้นเจ้าคงคิดจะฆ่าข้าสินะ?”ชายหนุ่มในชุดซอมซ่อสีเทาไม่ตอบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นช้าๆ ดวงตาของเขาเรืองแสงวาบสีฟ้าอความารีนแผ่วเบา คล้ายกระจกจักรวาลที่สามารถสะท้อนแรงโน้มถ่วงให้ย้อนคืนได้ฉับพลันที่อากาศรอบตัวเริ่มสั่นสะเทือน แรงกดดันไร้รูปประหนึ่งกำปั้นพลังจิตกระแทกเข้าที่กลางอกของจักรพรรดิหนุ่มหลี่หยางหนิงอัน จนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นป้องกันอันตรายที่มองไม่เห็น“อย่าคิดว่าต่อจากนี้เจ้ายังจะสามารถอยู่หายใจได้อีก…”
หนึ่งเดือนกับอีกสามสัปดาห์ที่หลี่โต๋วเปายังไม่กลับมา ฉินอี้หนิงนั่งจิบชากุหลาบอยู่ที่ชายเรือนสกุลฉิน ลมยามบ่ายพัดกรูจากทิศตะวันออก พาเอาใบไผ่ที่ลู่ลมอยู่บนเนินเตี้ยหล่นเกลื่อนทั่วลานทว่าเสียงกีบม้านับสิบและฝีเท้าเกราะเหล็กที่ดังกึกก้องยิ่งกว่าเสียงพายุ กลับทำให้หมู่บ้านฮุ่ยฟางที่เคยเงียบงัน เกิดความสนันหวั่นไหวราวกับมีเงามรณะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมทั่วผืนดินรถม้าขนาดใหญ่สลักลายมังกรดำขอบทอง เคลื่อนมาหยุดลงบริเวณหน้าบ้านสกุลฉิน ก่อนที่บรรดาทหารสวมเกราะดำประทับตราจักรพรรดิหลี่จะวิ่งเข้ามารายล้อมรอบบ้านเอาไว้ ตามมาด้วยเสียงแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งตวาดดังแทรกเสียงใบไม้ปลิว“เรามารับตัวหรันฝูหรง สตรีอายุสิบเก้าหนาวที่ซ่อนตัวในหมู่บ้านแห่งนี้!”ท่านตาฉินที่กำลังสานกระด้งไม้ไผ่รีบก้าวออกมาจากเรือน ร่างชราภาพฝืนฝ่าแนวทหารเข้ามาขวาง“ขออภัยด้วย ที่นี่ไม่มีใครชื่อเช่นนั้นหรอกขอรับ ข้าไม่รู้จัก! ส่วนสตรีที่อายุสิบเก้า ที่นี่ก็มีเพียงบ้านสกุลหลาน สกุลซ่ง สกุลกั๋ว และหลานสาวของข้า…นางชื่อฉินอี้หนิง”แม่ทัพผู้นั้นกระตุกยิ้มมุมปาก พร้อมทั้งจ้องมองฉินอี้หนิงอย่างเย้ยหยัน“เช่นนั้นข้าก็มาถูกแล้วล่ะ เพราะนามเ
ยุคจักรวรรดิอวกาศ ภายในสถานีวิจัยหลักของตระกูลหลี่ ชั้นบัญชาการพลังงานควอนตัม ความวุ่นวายกำลังเกิดขึ้นเมื่อคนที่หายตัวไปกลับเข้ามาสั่งงานจนกองพะเนิน“โธ่เอ๋ย…ครั้งแรกผมก็นึกว่าท่านประธานหลี่ของเราหลุดเข้าไปอยู่ในปฏิกรณ์ชีวภาพจนแยกโมเลกุลไม่ออกเสียแล้ว ที่แท้…ก็แค่ติดภรรยาเท่านั้น”ร่างสูงของหลี่โต๋วเปายืนพิงกรอบประตู มือซุกกระเป๋าเสื้อโค้ตสีเทาเรียบทว่าหรูหรา ไม่มีคำเถียงใด มีเพียงรอยยิ้มมุมปากที่เจือแววอ่อนโยนบางอย่าง…คล้ายไม่คิดปฏิเสธความจริงข้อนั้น“ก็แค่ใช้เวลาให้คุ้มกับชีวิตบ้าง คุณต้องลองไปปลูกฟักทองดูสักครั้งสิ แล้วจะเข้าใจว่าทุกเช้าในทุ่งหมอกนั้นมีค่ามากกว่างานวิจัยที่เขียนมาพันปีเสียอีก”หลี่เฮ้าถงกลอกตาเล็กน้อยขณะมองหลายชายเพียงคนเดียว ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ“อา…ฟักทองยังไม่เท่าไร แต่ถ้าประธานหลี่ของเราหายหน้าไปอีกสามเดือน ผมอาจจะกลับเข้าไปลักพาตัวภรรยาของท่านมาขังไว้ที่นี่แทน แล้วให้ท่านประธานเข้าออกห้องทดลองตลอดยี่สิบชั่วโมงเสียเลย”“แบบนั้นก็เป็นความคิดที่ดีนะ” หลี่โต๋วเปาพึมพำ พร้อมกับหยิบซาลาเปาไส้เห็ดหอมออกมาจากถุงเล็กๆ ในมือ ก่อนจะยื่นให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่รีบร้อน “ข
หลังเกี่ยวและตากข้าวจนเสร็จสรรพ ครอบครัวสกุลฉินก็เว้นช่วงเวลาสำหรับหยุดพักผ่อน ด้วยเพราะร่างกายที่ชราภาพของท่านตาท่านยาย พอทำงานไร่นานานเข้าจึงปวดเมื่อยมากกว่าปกติส่วนหลี่โต๋วเปาและฉินอี้หนิงก็ใช้เวลาส่วนมากอยู่กับการดูแลสวนผัก ขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาขาย และใช้เวลาร่วมกันในฐานะสามีภรรยาทว่าวันนี้ แขกผู้มาเยือนกลับเป็นอดีตขุนนางผู้ต้องสูญเสียบ้านให้หลี่โต๋วเปาอย่างสวี่อี้เจิน“คารวะผู้อาวุโส”เสียงทุ้มของหลี่โต๋วเปาเอ่ยช้าๆ ดวงตาเรียวคมสังเกตท่วงท่าการเดินของฝ่ายตรงข้าม รู้สึกคุ้นเคยนัก ทว่านี่ไม่ใช่ท่าทีของผู้อาวุโสสวี่อี้เจินที่เขาเคยประลองหมากล้อมด้วยอย่างแน่นอน“เจ้าน่ะใช้ชีวิตได้ดี กลายเป็นผู้เยาว์ที่สร้างครอบครัวอบอุ่นจริงเชียว” ชายชรามองสำรวจทั่วทุกมุมบ้านราวกับไม่เคยเห็น ก่อนที่สายตาจะพลันมาหยุดลงที่ร่างบอบบางของฉินอี้หนิงซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นสาวงามเต็มตัวไปเสียแล้ว “โอ้~ นี่คือฉินอี้หนิงคนนั้นรึ…” ชายชรายิ้มอย่างสดใสพลางมองสำรวจใบหน้างามอย่างชื่นชม“เชิญผู้อาวุโสสวี่นั่งพักก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะไปเอาชาอวิ๋นอู้ [1] ที่ได้จากภูเขาหลูซานมาให้” เสียงหวานกล่าวอย่างอ่อนโยน ขณะเดินหายเข้าไป
วันเวลาผ่านเลยไปจากวันกลายเป็นหนึ่งเดือน ยามนี้สายลมปลายเดือนเปลี่ยนผิวทุ่งนาหน้าบ้านให้กลายเป็นสีทองอร่าม ลำต้นข้าวโน้มลงตามแรงน้ำหนักของรวงเมล็ดที่สุกงอม ท่ามกลางแสงอาทิตย์อุ่นอ่อนในยามเช้า เสียงเคียวเกี่ยวข้าวเสียดสีเบาๆ สะท้อนชัดอยู่กลางนาหลี่โต๋วเปาค้อมตัวใช้เคียวไม้ด้ามสั้นในมือเกี่ยวรวงข้าวอย่างระมัดระวัง ท่วงท่าของเขาแม้ยังไม่คล่องแคล้วนัก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ มือทั้งสองที่แกร่งอยู่แล้วบัดนี้ยิ่งแกร่งขึ้นซึ่งเป็นผลจากการจับจอบ ขุดหลุม และหาบน้ำทุกวัน จนรอยด้านปรากฏชัดที่ฝ่ามือ“เจ้าหนุ่มจากเมืองหลวง เจ้าน่ะก้าวหน้ากว่าที่ข้าเคยคิดไว้มากจริงๆ”เสียงของท่านตาดังมาจากอีกฟากของแปลงข้าว ใต้หมวกฟางเก่าคร่ำ ดวงตาของชายชรายังสะท้อนความชื่นชมไม่เสื่อมคลายหลี่โต๋วเปาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วหัวเราะเบาๆ ชายหนุ่มย้อนนึกถึงตอนที่เขาอยู่ในตำแหน่งจอมพล ถ้าตอนนี้อยู่ในยุคจักรวรรดิ เขาคงสามารถสั่งคนให้ขุดหลุมปลูกข้าวได้เป็นพันหลุม แต่เพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ยากที่สุด คือการเกี่ยวข้าวแค่เพียงมัดเดียว“ฮ่าๆๆ เจ้ารู้วิธีปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งของชีวิต” ท่านต
หลังผ่านพ้นค่ำคืนของการร่วมหอ ร่างงามก็ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกแกร่งไม่ไปไหน หลี่โต๋วเปาไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะกว่าเขาจะเสร็จกิจแต่ละรอบก็ใช้เวลานานเสียจนตัวเขาเริ่มนอนไม่หลับ ได้แต่กอดฉินอี้หนิงไว้ ขณะมองใบหน้าขาวนวลในยามนิทราบนโต๊ะข้างเตียงมีกะละมังไม้ใส่น้ำอุ่นที่เริ่มจะเย็นชืด พร้อมด้วยผ้าขาวที่ถูกใช้แล้ววางพาดอยู่ แน่นอนว่าเป็นหลี่โต๋วเปาที่นำมันมาเพื่อเช็ดผิวกายให้ภรรยาตัวน้อย อาจเพราะเขาไม่ได้ปลดปล่อยตนเองมานานหลายปี เจ้าของเหลวสีขาวขุ่นเหล่านั้น จึงมีมากเสียจนอาจทำให้ฉินอี้หนิงนอนหลับแบบไม่สบายตัวนัก ซึ่งในฐานะผู้กระทำ เขาจึงต้องทำความสะอาดให้นางทุกครั้งแพขนตาหนาที่เริ่มขยับน้อยๆ ทำให้หลี่โต๋วเปาอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจุมพิตบนเปลือกตาของนาง ไล่เรื่อยลงไปจนถึงหน้าอกนุ่มที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบฉินอี้หนิงที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมา เผลอทำหน้าอิดออดน้อยๆ เมื่อส่วนล่างของนางมันทั้งบวมและเจ็บระบมอย่างที่ไม่เคยเป็น ค่ำคืนเข้าหอนี้ผ่านไปอย่างยากลำบากจริงๆ ยิ่งเมื่อผู้เป็นสามีไม่ยอมจบดังที่ควรเป็นใต้ผ้าห่มมีบางอย่างขยับอยู่ เคลื่อนจากหน้าอกสู่ส่วนล่างอย่างเชื่องช้า ทว่าทุกการสัมผัสล้วนเต็มไป