โฉมสะคราญค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ความอ่อนล้าของร่างกายและน้ำตาที่แห้งกรังบนใบหน้า ร่างกายของนางเจ็บปวดราวกับถูกบีบคั้นด้วยความทรมานที่ยากจะลืมเลือน
หานหยางนั้นยังจำได้ดีถึงภาพเหตุการณ์ที่นำพานางมาสู่จุดนี้ ครอบครัวที่เคยมีอยู่กลับถูกตราหน้าว่าสมคบคิดกับกบฏ ทุกคนในจวนถูกจับและทรัพย์สินทั้งหมดถูกยึดเป็นของหลวง
เมืองหนานซานในแคว้นเป่ยโจวนั้นถือว่าเป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีทรัพยากรตามธรรมชาติมากมาย เป็นที่ตั้งของตระกูลคหบดีที่มั่งคั่งหลายตระกูลด้วยกัน และตระกูลหานเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
วันก่อน ณ จวนของคหบดีตระกูลหาน แม้จะเป็นในยามที่สายลมเย็นของฤดูหนาวโชยเข้ามาปะทะ แต่มือเรียวบางของหานหยางยังคงบรรจงจับพู่กันด้ามโปรดตวัดเส้นสวยลงบนผ้าใบสีขาวผืนใหญ่
ภาพทิวทัศน์และขุนเขาถูกหญิงสาวรังสรรค์ขึ้นมาอย่างสวยงาม ไม่เพียงแค่ลายเส้นงดงามมีเอกลักษณ์เท่าแต่ทว่าภาพวาดนั้นกลับดูราวกับว่ามันมีจิตวิญญาณ
“ภาพวาดของคุณหนูงดงามเช่นเคย ไม่ทราบว่าคราวนี้คุณหนูจะนำภาพไปเข้าประกวดอีกหรือไม่เจ้าคะ?”
“ไม่ใช่หรอกอาเฟิ่ง ภาพวาดหุบเขาไป๋หูของข้าเพิ่งได้รับรางวัลมาไม่นานนี้เอง ข้าจึงยังไม่คิดจะลงประกวดในช่วงนี้ ท่านแม่บอกว่าภาพของข้าได้รับเกียรติสูงสุด ตอนนี้กรมพิธีการได้นำไปไว้ที่เมืองหลวงแล้ว เพื่อประดับในงานพิธีที่กำลังจะมีขึ้น”
หานหยางตอบกลับอาเฟิ่งบ่าวรับใช้ของนางด้วยนำเสียงที่เต็มไปด้วยความปลื้มปีติ เพราะพรสวรรค์อันโดดเด่นของนางได้รับการยอมรับในที่สุดจากแวดวงสังคมชั้นสูงรวมไปถึงเหล่าเชื้อพระวงศ์
ภาพวาดของหุบเขาไป๋หูของหานหยางนั้นเป็นภาพของทิวทัศน์ที่นางเคยไปเยือนเมื่อสมัยอดีต จำได้ว่าวันนั้นตนเองมีนัดกับคหบดีหานผู้เป็นบิดาว่าจะออกไปชมงานเทศกาลด้วยกัน แต่แล้วก็มีเหตุที่ทำให้ไม่สามารถไปชมงานเทศกาลร่วมกันได้
‘ท่านพ่อ ทำไมท่านถึงผิดสัญญากับข้าครั้งแล้วครั้งเล่ากัน ข้ารอคอยอย่างอดทนเพียงหวังว่าเราจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ครั้งนี้ท่านพ่อก็ทำผิดกับข้าอีกเช่นเคย’
ดวงตาสีนิลคู่งามของเด็กน้อยคลอไปด้วยหยาดน้ำตาสีใส ความเสียใจกดทับหัวใจเล็กๆ นั้นจนแทบแตกสลาย ตั้งแต่จำความได้นั้นบิดาของหานหยางมักออกไปทำการค้าต่างเมือง ไม่ค่อยมีเวลากลับมาอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวมากนัก
วันนั้นด้วยความที่เด็กน้อยอยากจะรู้ว่าบิดาออกจากบ้านยามตะวันลับขอบฟ้าเพื่อไปทำอะไรกันแน่ หานหยางจึงแอบลอบตามบิดาไปจนได้พบบิดากำลังยืนเสวนากับกลุ่มคนชุดดำในหุบเขาลึกลับแห่งหนึ่งบริเวณชานเมือง
ทิวทัศน์ที่ได้เห็นเบื้องหน้าช่างงดงามราวกับสรวงสวรรค์ แต่คนที่อยู่ในบริเวณนั้นกลับมีสีหน้าและท่าทางที่เคร่งเครียดราวกับว่ากลัวคนภายนอกจะมาเห็นสถานที่สวยงามนี้เข้าอย่างไรอย่างนั้น
หานหยางในวัยเยาว์ยืนแอบใต้ร่มเงาของต้นไม่ใหญ่ รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่เห็นบิดาของนางออกมา จึงตัดสินใจเดินกลับไปยังงานเทศกาลแต่เพียงผู้เดียว
แม้จะผิดหวังกับบิดา แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีอยู่บ้างเพราะนางยังมีมารดาคอยดูแลและปลอบโยนอยู่เสมอ อีกทั้งมารดาซึ่งเป็นบุตรสาวของจิตรกรเลื่องชื่อในเป่ยโจวยังถ่ายทอดศิลปะการเขียนพู่กันและวาดภาพให้กับหานหยาง
“จำไว้นะลูก การวาดภาพนั้นไม่เพียงแค่ลายเส้นต้องสวยงาม แต่เจ้าต้องถ่ายทอดชีวิตและจิตวิญญาณลงไปในภาพวาดนั้นด้วย ทำให้ภาพวาดนั้นดูมีชีวิตให้จงได้”
หานหยางจำคำของมารดาได้ขึ้นใจ หลังจากนั้นนางจึงหมั่นฝึกฝนวาดภาพของดอกไม้ ต้นไม้และภาพทิวทัศน์จนถึงวันนี้ที่ผลงานของนางเป็นที่ประจักษ์และเลื่องชื่อ
“อาเฟิ่ง ข้าอยากจะไปข้างนอกจวนสักหน่อย เจ้าไม่ต้องติดตามข้าออกมานะ” พูดจบหญิงสาวก็บรรจงเก็บอุปกรณ์วาดรูปของนางใส่ถุงย่ามหมายจะออกไปวาดภาพที่สวนนอกจวน
“แคร่ก!” พู่กันด้ามโปรดหักออกเป็นสองท่อนราวกับว่ามันเป็นลางร้ายว่าจะต้องสูญเสียของรักอย่างไรอย่างนั้น แววตาสีนิลคู่งามของหานหยางเศร้าสลดลงในทันใด
“ไม่เป็นไรนะเจ้าคะคุณหนู เดี๋ยวบ่าวจะไปหยิบด้ามใหม่มาให้ คุณหนูรอบ่าวสักประเดี๋ยว” อาเฟิ่งเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของผู้เป็นนาย จึงอยากรีบแก้สถานการณ์โดยเร็ว
“ขอบใจเจ้ามากนะ อาเฟิ่งที่แสนดีของข้า” หานหยางเอ่ยขอบคุณด้วยใจจริง นอกจากมารดาก็มีอาเฟิ่งนี่แหละที่รู้ใจนางเป็นอย่างดี
หานหยางนั่งอยู่ใต้ต้นพลัมที่ผลิดอกงดงาม ดอกพลัมสีขาวร่วงโปรยลงมาบางเบาตามสายลม มือข้างหนึ่งของนางจับพู่กันตวัดลายเส้นอย่างอ่อนช้อย บนใบหน้าหวานเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขสายตาจดจ่ออยู่กับภาพวาดตรงหน้า ขณะที่มืออีกข้างกลังลูบไล้เบาๆ บนหน้าท้องที่เริ่มขยายขึ้นเล็กน้อยสัมผัสอ่อนโยนนั้นราวกับกำลังส่งผ่านความรักและความอ่อนโยนไปยังชีวิตน้อยๆ ที่กำลังเติบโตอยู่ในครรภ์ของนางดวงตาของหานหยางเปล่งประกายด้วยความอบอุ่นและความหวัง ท่ามกลางความเงียบสงบของธรรมชาติ เสียงนกร้องคลอไปกับสายลม พื้นที่แห่งนี้เหมือนเป็นโลกที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อนางและชีวิตใหม่ที่กำลังจะมาแต่แววตานั้นกลับแศร้าหมองลงเมื่อนึกถึงคนๆ หนึ่งที่อยู่ไกลกัน ป่านนี้แล้วทำไมถึงยังไม่มา ได้ข่าวว่าการปราบปรามพวกกบฏส่วนที่เหลือเป็นไปอย่างยากลำบากหานหยางเคยบอกกับตัวเอง และยังย้ำมาตลอดว่าจะสนับสนุนเขาอยู่เงียบๆ ด้วยตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมานั้น ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่นางก้รับรู้ได้ว่าหลี่เจ๋อนั้นต้องแบกภาระมากมายเพียงใด“ข้าอาจไม่ใช่คนสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา แต่หากข้ารักเขาจริง ข้าก็ควรสนับสนุนเขาในสิ่งที่เขาพึงกระทำ”ขณะที่ตกอยู่ใน
"กลับไปแคว้นฉินหรือเพคะ?" หานหยางถามกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ"ใช่แล้ว" องค์หญิงหลิวอวี้เอื้อมมือไปจับมือนางไว้แน่น "เจ้าทำดีที่สุดแล้ว แต่หากเขายังไม่ทำอะไรเพื่อรักษาเจ้าไว้ เราก็ควรให้เขาได้คิด และให้เจ้ากลับไปในที่ที่เจ้าจะไม่ต้องทนกับความหวั่นไหวเช่นนี้"หานหยางนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะออกเดินทางกลับเป่ยโจวพร้อมกับมารดาของนางหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจปราบกบฏเพื่อไม่ให้ภัยใดๆ มาถึงหานหยางในอนาคตนั้น หลี่เจ๋อได้รับข่าวการจากไปของหานหยาง หญิงสาวที่เขาแอบรักมาโดยตลอด ความรู้สึกของเขาในตอนนี้เสมือนฝ้าผ่าลงที่กลางใจภายในจวนที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับเงียบสงัดราวกับเวลาหยุดนิ่ง หลี่เจ๋อก้าวเท้าเข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม สายตากวาดมองไปทั่วบริเวณ แต่ทุกมุมของจวนกลับไม่มีวี่แววของคนที่เขาโหยหาเขายืนนิ่งอยู่กลางห้อง สองมือกำแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาชัดเจน ดวงตาที่เคยแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นกลับคลอด้วยหยาดน้ำตาที่เขาพยายามกลั้นไว้ "เจ้าจากข้าไปแล้วจริงๆ หรือ หยางเอ๋อร์..." เสียงของเขาแผ่วเบาราวกับลมที่พัดผ่าน“ข้าผิดเองที่เอาแต่ทำงานจนไม่ใส่ใจความรู้สึกของเขา แต่เจ้าไม่ถามเห
หลี่เจ๋อยืนประจันหน้ากับฉู่หรงที่ถูกล้อมด้วยกำลังทหารของราชสำนัก ดวงตาสีน้ำตาลทองของเขาเยือกเย็นราวกับเหล็กกล้าที่พร้อมจะฟาดฟันศัตรูตรงหน้าของเขา“ฉู่หรง ตอนนี้เจ้าแพ้แล้ว เพราะบัดนี้ฮ่องเต้และเหล่าแม่ทัพหลวงได้จับคนของเจ้าที่แทรกซึมในเหมืองหลวงได้หมดสิ้น ทุกแผนการของเจ้าถูกข้าเปิดโปงหมดแล้ว”ฉู่หรงกัดฟันแน่น สายตาดุดันของเขาจับจ้องไปยังหลี่เจ๋อ พลางหัวเราะในลำคออย่างขมขื่น“เจ้ารู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...ว่าข้าแทรกซึมกำลังไว้ทั่วเมืองหลวง แถมยังรู้แม้กระทั่งวันเวลาที่พวกข้าจะลงมือ?”หลี่เจ๋อมองเขาอย่างสงบนิ่งก่อนจะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ราวกับจะบอกให้ฉู่หรงได้ตระหนักรู้ว่าความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดของเขาและกลุ่มกบฏเป็นเพียงการดิ้นรนที่ไร้ความหมาย“ข้ารู้ตั้งแต่แรกแล้ว และมั่นใจมากยิ่งขึ้นเมื่อได้เห็นตราประทับขุนนางอันนั้นที่เป็นของเจ้าอยู่ในหมู่บ้านชิงหรง คิดว่าตระกูลฉู่ของเจ้านั้นเฉลียวฉลาดอยู่ฝ่ายเดียวงั้นหรือ?”คำพูดของหลี่เจ๋อราวกับเข็มแหลมที่ทิ่มแทงเข้าไปในใจของฉู่หรง ความคับแค้นใจที่เก็บกดไว้พลันปะทุขึ้นท่านพ่อบอกว่าตัวเขานั้นเฉลียวฉลาดกว่าฮ่องเต้และอ๋องทุกๆ คนในราชวงศ์ เขาตากห
ดวงหน้าที่งดงามของหานหยางนั้น หากสังเกตุตรงบริเวณเนินผมอย่างละเอียดนั้นจะพบได้ว่ามีแผลเป็นเล็กๆ อยู่ สำหรับองค์หญิงหลิวอวี้แล้วนั้นรอยแผลเป็นเล็กกลับชัดเจนในความทรงจำของพระนาง เพราะมันเชื่อมโยงกับอดีตที่นางลืมไม่ลงแผลเป็นนี้ทำให้องค์หญิงรู้สึกถึงบางสิ่งที่ยากจะอธิบายตอนนั้นในความชุลมุนที่เกิดขึ้นในขณะที่องค์หญิงหลิวอวี้นั้นและเด็กสาวในวัยเพียงไม่กี่ขวบปีได้ตกอยู่ในวงล้อมของกลุ่มศัตรู ขณะที่พวกนางกำลังจะเดินทางกลับไปยังแคว้นฉินองค์หญิงหลิวอวี้พยายามยื้อลูกสาวสุดความสามารถไม่ให้คนมาลักตัวไป แต่ก็ไม่สำเร็จ แถมการยื้อแย่งเด็กน้อยยังทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ฝากร่องรอยแผลเป็นไว้ที่ดวงหน้าของลูกอันเป็นที่รักอีกต่างหาก“แม่นาง...” หลิวอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา นางก้าวเข้ามาใกล้หานหยางท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคนในที่นั้น“ข้าขอดูหลังใบหูของเจ้าด้วยได้หรือไม่?”หานหยางมององค์หญิงด้วยสายตาลังเล ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ นางหันศีรษะให้หลิวอวี้ดูเมื่อหลิวอวี้มองเห็นปานรูปหัวใจที่ซ่อนอยู่หลังใบหูของหานหยาง น้ำตาของนางก็ไหลรินลงอาบแก้มทันที“เป็นเจ้า...เจ้าคือลูกของข้า!” หลิวอวี้เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ
กลุ่มกบฏเองไม่ได้นิ่งนอนใจเมื่อได้รับข่าวจากเจ้าเมืองหนานซานที่แอบลอบติดต่อมาว่าได้พบตัวหานหยาง ซึ่งเป็นคนที่วาดภาพฐานลับของกบฏแล้ว สิ่งนี้สร้างความปั่นป่วนและความตื่นตัวในหมู่กบฏทันที เพราะหานหยางถือเป็นกุญแจสำคัญที่อาจเปิดโปงที่ซ่อนของพวกมันทั้งหมดได้โดยแท้จริงแล้วนั้น เจ้าเมืองหนานซานหวังผลประโยชน์ส่วนตัวมาโดยตลอด จึงทำตัวเป็นนกสองหัวและเป็นสายลับให้กับทั้งสองฝ่าย แถมยังวางแผนส่งบุตรสาวของตนเข้าไปในจวนเป่ยอ๋องในฐานะสายสืบ ทำให้บุตรสาวของเจ้าเมืองสามารถล่วงรู้ได้ว่าหานหยางนั้นถูกหลี่เจ๋อซ่อนตัวไว้อย่างปลอดภัยในจวนของเขาข่าวนี้ทำให้กลุ่มกบฏเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พวกเขาวางแผนที่จะตามสังหารหานหยางเพื่อให้มั่นใจว่านางจะไม่กลายเป็นภัยต่อแผนการใหญ่ที่ใกล้จะมาถึงแต่พวกมันหารู้ไม่ว่าหลี่เจ๋อเองก็เป็นคนระวังตัวและเจ้าแผนการมาก เขาได้พาหานหยางไปซ่อนในที่ปลอดภัยแห่งหนึ่งเรียบร้อย แถมยังรู้ถึงที่ซ่อนของพวกมันแล้วด้วยแผนที่ที่วาดขึ้นมาใหม่จากความทรงจำเก่าของหานหยางได้นำพาพวกของหลี่เจ๋อมาที่หมู่บ้านลับแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าชิงหรง ซึ่งมันเป็นอาณาเขตตีนเขาของหุบเขาลูกนั้นในกระท่อมหลังหนึ่งขอ
“ในวัยเด็ก ท่านพ่อมักจะทุ่มเทเวลาให้กับงานจนไม่สนใจข้ากับท่านแม่ ข้าจึงต้องคอยแอบหนีเพื่อไปติดตามท่านพ่อ ข้าจำได้ว่าท่านพ่อมักเดินทางไปยังภูเขาและหุบเขามากมาย เพื่อดูแลธุรกิจหรือเจรจาค้าขาย ข้าเองก็มักจะคอยจดจำภาพของหุบเขาและก็จะแอบนั่งวาดภาพเหล่านั้น แต่ไม่ได้คาดคิดว่ามันจะเป็นหลักฐานมัดตัวพวกกบฏไปได้ ข้าทำลายครอบครัวของข้าด้วยน้ำมือของข้าเอง เป็นข้าเองที่ผิดทั้งหมด”“ข้าคิดว่าหลิวจินหลันนั้นคงไม่ปรารถนาจะให้เจ้าเป็นเช่นนี้ นางคงอยากเห็นเจ้ากลับมายืนหยัดได้อย่างเข้มแข็ง และตามหาครอบครัวที่แท้จริงของเจ้าให้พบ”หัวใจของนางยังคงสั่นไหวเมื่อสายตาของหลี่เจ๋อจับจ้องมาที่นางอย่างลึกซึ้ง“ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า จับกลุ่มกบฏมาลงโทษ และช่วยเจ้าตามหามารดาของเจ้าให้พบ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้าจะไม่ทิ้งเจ้า หยางเอ๋อร์”หลี่เจ๋อยื่นมือไปแตะที่แก้มของหานหยางอย่างแผ่วเบา แม้คำว่า “รัก” จะยังไม่ออกมาจากปากของเขา ด้วยปณิธานว่าหากเรื่องทุกอย่างยังไม่จบ เขาจะไม่บอกความในใจอออกไป แต่ทุกการกระทำของเขานั้นมันคงจะชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดเสียอีกสัมผัสนั้นทำให้หานหยางตัวแข็งทื่อ ดวงตาคู่งามหลุบลงอย่างเขินอาย แต่ก็ไม