Share

๓ การตัดสินใจครั้งใหม่

last update Last Updated: 2025-10-25 00:55:49

บรรยากาศภายในเรือนนอนยังอบอวลด้วยกลิ่นยาสมุนไพร เหล่าสาวใช้ต่างยืนตัวสั่นมองคุณหนูที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงด้วยสายตาหวาดหวั่น น่าแปลกที่อีกฝ่ายไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญโวยวายเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับเงียบงันเย็นชาเสียจนกระอักกระอ่วนกดดันยิ่งนัก

เฟิ่งจิงหรงยกมือขึ้นแตะแก้มเนียนช้าๆ สัมผัสได้ถึงหยาดน้ำตาที่หลั่งรินอย่างไม่รู้ตัวของเจ้าของร่างเดิม

ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นเพราะความเจ็บช้ำที่ครั้งหนึ่งเคยทุ่มเททั้งหัวใจให้บุรุษผู้นั้นจนยอมแลกด้วยชีวิต หรือเพราะเพลิงแค้นที่ยังคงครุ่กขุ่นแน่นอยู่ในอกกันแน่

“เจ็บปวดถึงเพียงนี้…นางต้องทนแบกรับความอับอายมานานเท่าใดกัน” น้ำเสียงหวานพึมพำพูดแผ่วเบา

ความทรงจำของร่างเดิมถาโถมเข้ามาไม่หยุด ทั้งถูกเยาะหยันว่าเป็นสตรีเอาแต่ใจ ถูกตราหน้าว่าใช้อำนาจข่มขู่บุรุษแต่งงานด้วยอย่างดื้อรั้น

ทุกภาพชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเฟิ่งจิงหรงเริ่มตั้งสติได้

ริมฝีปากบางยกโค้งขึ้นเล็กน้อย หาใช่รอยยิ้มสดใสหากแต่เป็นรอยยิ้มเย็นชาเจือข่มความเจ็บปวดไว้ในอก

“หากสวรรค์กำหนดให้ข้ามาอยู่ในร่างนี้ เช่นนั้น…ข้าก็จะใช้โอกาสนี้กลายเป็นนายร้ายตัวมัมที่พ่อพระเอกโง่งมเสียดายจนตาย”

เฟิ่งจิงหรงหันขวับไปมองยังสาวใช้ที่ยืนก้มหน้าตัวสั่นอยู่ตรงหน้า น้ำเสียงเอ่ยช้าแต่หนักแน่น “รีบไปตามบิดาข้ากลับจวนมาเถอะ การกระทำเช่นนั้น มองดูแล้วน่าสมเพชอดสูไม่น้อย…บุรุษทั่วทั้งมีมากมาย ข้าหาได้สนใจบุรุษเห็นแก่ตัวผู้นั้นอีกแล้ว”

พอได้ยินถ้อยคำนั้น เหล่าสาวใช้ที่อยู่ในเรือนพลันเงยหน้าด้วยขึ้นมองความตกใจและตะลึงงันต่อท่าทีที่เปลี่ยนไปของคุณหนู แววตาที่เต็มไปด้วยความแน่วแน่ หาใช่เด็กสาวที่มีนิสัยเอาแต่ใจเฉกเช่นวันวานอีกต่อไป

เฟิ่งจิงหรงสูดลมหายใจลึก ยกมือกุมอกตนเองที่ยังเต้นแรงไม่หยุด เอ่ยเสียงแผ่ว “เป็นข้าที่โยนกระดูกชิ้นนั้นทิ้งไป หากสตรีใดอยากจะคาบไปแทะต่อก็เชิญเถอะ!”

ณ จวนสกุลเฟิ่ง

ข้าวของภายในห้องโถงใหญ่ถูกปัดกวาดล้มระเนระนาด เสียงถ้วยชามแตกกระจายก้องสะท้อนไปทั่ว ทั้งจวนเงียบงันไร้ผู้ใดกล้าแม้แต่จะเอ่ยปากห้ามปราม

นายท่านเฟิ่งยืนหอบหายใจถี่ ใบหน้าเคร่งขรึมมืดครึ้มแดงก่ำด้วยโทสะคับอก แววตาที่เคยแข็งกร้าวกลับสั่นระริกด้วยความคับแค้นข่มไม่อยู่แม้แต่น้อย

“สกุลเซียว…เหิมเกริมเกินไปแล้ว!” น้ำเสียงทุ้มตวาดลอดไรฟันอย่างเหลืออด คล้ายกำลังอดกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านคับอกไม่ให้ปะทุออกมา

ฝ่ามือใหญ่กำแน่นจนเส้นเลือดปูดนูน เสี้ยวความโกรธแค้นไม่ใช่เพียงเพราะบุตรสาวถูกหักหน้า แต่การกระทำเช่นนี้ยังเป็นการหยามศักดิ์ศรีสกุลเฟิ่งอย่างถึงที่สุด

“นายท่านเซียวคิดว่าขุนนางใหญ่แล้วจะเหยียบย่ำสกุลเฟิ่งได้ตามอำเภอใจงั้นหรือ” นายท่านเฟิ่งเลิกคิ้วถาม

เหล่าสาวใช้และบ่าวไพร่ต่างก้มหน้าหลุบสายตามองลงต่ำตัวสั่นสะท้านไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามอง ความกดดันแผ่ซ่านรอบจวนหนักอึ้งราวภูเขาโถมทับ

นายท่านเฟิ่งสูดลมหายใจลึก เงียบงันไปครู่ใหญ่ สายตาแข็งกร้าวราวกับคมมีด คำพูดดังขึ้นแผ่วต่ำแต่กลับทำให้ผู้ฟังต้องขนลุกไปทั้งร่าง “หากสกุลเซียวไม่เห็นข้า เช่นนั้น…ก็อย่ากล่าวโทษว่าสกุลเฟิ่งทารุณไร้เมตตา!”

ความสัมพันธ์ระหว่างสกุลเฟิ่งและสกุลเซียวขาดสะบั้นราวเส้นด้ายบางที่ถูกแรงดึงฉีกขาดไม่อาจเชื่อมประสานดังเดิม

ครั้งหนึ่งในอดีต เมื่อสกุลเซียวประสบเคราะห์ภัยใหญ่หลวงจนเกือบล้มระเนระนาด หากมิใช่เพราะสกุลเฟิ่งยื่นมือเข้าช่วยเหลือทันท่วงที เกรงว่าวันนี้คงไม่อาจยืนหยัดในฐานะตระกูลขุนนางใหญ่ได้อีกแล้ว

แม้สกุลเฟิ่งจะมิได้ร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองราวพ่อค้าวาณิช หากแต่เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึกมั่นคงในราชสำนัก เป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่กันมาหลายชั่วรุ่น ย่อมได้รับความไว้วางใจจากราชสำนักอย่างเหลือล้น

ครานั้นนายท่านเซียวไร้หนทางจึงจำต้องก้มหน้ารับไมตรีไว้ แม้รู้ดีว่าคือการก่อหนี้บุญคุณก้อนใหญ่ที่ไม่มีวันลบเลือน

กระทั่งเมื่อครานั้น นายท่านเฟิ่งเอ่ยปากต้องการให้เขารับคุณหนูเฟิ่งไว้ในฐานะลูกสะใภ้ ด้วยถ้อยคำกล่าวอ้างบุญคุณที่สกุลเซียวติดค้าง สุดท้ายนายท่านเซียวก็จำต้องกล้ำกลืนรับปากไว้

ทว่าเวลาล่วงเลยมานาน บุญคุณที่เคยมีก็ได้ชดใช้ให้จนสิ้นแล้ว ไม่เหลือสิ่งใดติดค้างกันอีกต่อไป

บรรยากาศจวนสกุลเซียวเงียบสงัด นายท่านเซียวยืนนิ่ง สีหน้ามืดครึ้มยากจะอ่านออก ความคิดวนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด

“สกุลเฟิ่งเอาแต่กล่าวอ้างบุญคุณอยู่ร่ำไป…คงมากพอแล้วกระมัง นายท่านเฟิ่ง” นายท่านเซียวเลิกคิ้ว เอ่ยเสียงเรียบเย็น

“นับจากนี้…ข้าขอปฏิเสธไม่ข้องเกี่ยวกับสกุลเฟิ่งอีกต่อไป จะหาว่าสกุลเซียวเห็นแก่ตัว ไม่สำนึกบุญคุณก็ช่างเถิด ทว่าบุตรชายของข้าแต่แรกก็หาได้มีใจผูกพันต่อคุณหนูเฟิ่งเลย มิหนำซ้ำในไม่ช้าในเร็ววันสกุลของข้ากำลังจะกลายเป็นทองแผ่นเดียวกันกับสกุลไป๋ หากสกุลเฟิ่งเห็นแล้วนอนหลับไม่ลง เช่นนั้นก็เลิกข้องเกี่ยวกันเสียเถิด” น้ำเสียงทุ้มแน่วแน่ชัดถ้อยชัดคำ ประกาศก้อง

หลังจากตั้งสติได้ เฟิ่งจิงหรงจึงสั่งสาวใช้ให้ไปตามบิดากลับมา จากนั้นนางจึงให้สาวใช้เตรียมรถม้าเพื่อไปยังจวนสกุลจ้าวทันที ท่ามกลางความตกใจและสายตาตื่นตระหนกของเหล่าสาวใช้ แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าแม้แต่จะขัดคำสั่ง

ไม่นานมานี้คุณหนูก็เพิ่งจะกระโดดน้ำประชดประชันบุรุษ และดำดิ่งลึกลงไปจนเกือบถึงก้นลำธาร เกรงว่าหากไม่ได้รับความช่วยเหลือไว้ทันคงได้ไปเยือนปรโลกดื่มน้ำแกงยายเมิ่งเสียแล้ว

ซ้ำช่วงนั้นร่างยังเย็นเฉียบเกินกว่าหมอจะช่วยรักษาได้

ทว่าหลังจากอีกฝ่ายหลับสลบไปหลายชั่วยาม แล้วตื่นฟื้นขึ้นมา ทั้งท่าทางและแววตาของกลับเปลี่ยนไปราวกับคนละคนและช่างน่าแปลกนักที่คุณหนูของพวกนางกลับกล่าวถึงคุณชายสกุลจ้าวแทนที่จะเป็นคุณชายเซียวแทน?

แม้พวกนางจะสงสัยทว่าด้วนฐานะที่เป็นเพียงแค่สาวใช้จึงไม่มีใครกล้าถามสักคำ

รถม้าเคลื่อนตัวออกจากจวนสกุลเฟิ่ง เสียงล้อไม้กระทบพื้นทางดังเสียงกรอบแกรบ เฟิ่งจิงหรงนั่งนิ่ง ทอดสายตามองผ่านหน้าต่าง เห็นแสงอาทิตย์ที่สาดผ่านกิ่งไม้ สะท้อนบนถนนเบื้องล่าง อย่างเหม่อลอยไร้จุดหมาย

นางสูดลมหายใจลึก…ภายในใจยังคงปั่นป่วนด้วยความทรงจำจากร่างเดิม อีกใจหนึ่งกลับเริ่มเยือกเย็นค่อยๆ สงบอารมณ์ดี

นี่คือตอนจบของนิยายเล่มโปรด

เซียวอี้หานและไป๋หว่านชิงได้ครองคู่แต่งงานกันอย่างมีความสุข ทว่าเฟิ่งจิงหรงกลับต้องเผชิญชะตากรรมเวทนา แม้ไม่ได้ทำผิดใดๆ มากนัก นอกจากมีความเอาแต่ใจและดื้อรั้า แต่กลับตกเป็นเหยื่อของแผนการร้ายของแม่นางเอกดอกบัวขาวแทน

และแม้ว่าไป๋หว่านชิงจะมีสามีแล้ว แต่ข้างกายของนางยังมีบุรุษผู้หนึ่งคอยอยู่ไม่ห่าง คอยหลอกใช้งานและจับตาดูทุกฝีก้าว นั่นคือ จ้าวอวี้หมิง…พระรองผู้ซึ่งนางสงสาร

หากพระเอกและนางเอกจะสมหวังไปตามเรื่องก็ให้เป็นไป แต่พระรองที่นางสงสาร ผู้นี้จะได้เป็นของนางเอง!

จ้าวอวี้หมิงกำลังนั่งอ่านหนังสือไปพลางๆ อยู่ข้างศาลาริมสระบัว บรรยากาศสงบร่มรื่นของร่มไม้ และสายลมอ่อนๆ ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง นานแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกเช่นนี้

จนกระทั่งมีสาวใช้เข้ามาแจ้งว่า คุณหนูเฟิ่งต้องการพบเขาอย่างดื้อรั้น อีกฝ่ายบอกว่า หากไม่พบหน้าก็จะไม่ยอมจากไป

จ้าวอวี้หมิงได้ยินชื่อนั้นแล้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ

ชื่อเสียงของคุณหนูผู้นี้เป็นที่เลื่องลือถึงความฉาวโฉ่จนถูกนำมาแต่งเป็นนิทานขบขันในโรงน้ำชา แม้เขาไม่เคยมีโอกาสพูดคุยกับสตรีผู้นั้นแม้แต่ครึ่งคำแต่อย่างไรก็ย่อมรู้จักเป็นแน่

และเมื่อถามสาวใช้อีกครั้ง นางก็ได้แต่ส่ายหน้า กล่าวเพียงว่า...คุณหนูเฟิ่งมีเรื่องสำคัญที่ต้องพูดกับเขาให้ได้

ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแตากลับมีเรื่องให้ต่องพูดคุย?

จ้าวอวี้หมิงละทิ้งหนังสือไว้ข้างๆ รู้สึกอยากรู้ว่าเรื่องสำคัญนั้นคืออะไร ก่อนจะพยักหน้าให้สาวใช้เปิดประตูเชิญอีกฝ่ายเข้ามา

ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าแผ่วแต่หนักแน่นก็ดังเข้ามา เมื่อบานประตูเปิดออก ปรากฏร่างคุณหนูเฟิ่งผู้มีชื่อเงสียงเชื่องลือเดินเข้ามาแต่ไกล ดวงตาคู่งามกลมโตเปล่งประกายฉายความมุ่งมั่นในแววตานั้นช่าโดดเด่นชัดราวกับประกายดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ

“ขออภัยที่รบกวน” น้ำเสียงของนางสั่นเล็กน้อยแต่ชัดเจนทุกคำ ใบหน้าของเฟิ่งจิ่ยหรงปรากฏรอยยิ้มจางๆ ออกมาอย่างกลั้นไมายูากับรูโฉมหล่อเหลาของบุรุษตรงหน้า

หากพระรองหลอเพียงนี้…แล้วพระเอกเล่า!?

หรือนางควรจะรอเห็นหน้าเซียวจิ้นอวิ๋นก่อนที่จะตัดสินใจเลือกดี?

นัยน์ตาเมล็ดซิ่งจ้องมองบุรุษตรงหน้าไม่กระพริบตา นางนิ่งงันไปครู่หนึ่งคล้ายกำลังตกตระลึง

จ้าวอวี้หมิงมองหน้านางกลับด้วยความสงสัย ริมฝปากหนาขยับเอื้อนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำเย็นเยียบแต่กลับนุ่มนวล “เชิญคุณหนูเข้ามานั่งก่อนขอรับ หากเรื่องใด ค่อยพูดคุยกันทีหลัง คุณหนูเฟิ่งจะได้ไม่กล่าวหาว่าสกุลจ้าวไร้มารยาทไม่ชวนแขกจิบน่ำชาสักอึกก่อน”

เฟิ่งจิงหรงสูดหายใจลึก ก่อนจะก้าวเข้าใกล้

“ข้า…ข้าจะขอแต่งงานกับท่าน จ้าวอวี้หมิง”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • นางร้ายผู้นี้ขอทวงคืนพระรอง   ๗ สตรีใสซื่อไร้เดียงสา

    พอได้ยินถ้อยนั้น ไป๋หว่านชิงลอบยิ้มออกมาซ่อนความพึงพอใจและสะใจลึกๆ อยู่ภายในใจนางไม่ได้แม้แต่ลงแรงคิดแผนการใด เพียงโยนกระดูกชิ้นหนึ่งขวางทางไว้เท่านั้น อีกฝ่ายกลับคาบแน่นไม่ยอมปล่อยเสียเอง“แต่คุณหนูเฟิ่ง นายท่านเฟิ่งรวมถึงทุกคนในสกุลเฟิ่งคงจะเกลียดข้ามากนัก เกรงว่าแม้แต่หน้ายังไม่อยากมองด้วยซ้ำกระมัง” เสียงหวานพึมพำคล้ายบ่นกับตนเอง หากแต่ดังชัดพอจะลอดเข้าไปในหูเซียวจิ้นอวิ๋นราวกับตั้งใจให้ได้ยินไป๋หว่านชิงเหลือบตาขึ้นมองเพียงเสี้ยวหนึ่ง ก่อนรีบก้มต่ำหลบสายตาดุดันอย่างหวาดระแวง ราวกับแบกรับความผิดอันใหญ่หลวงที่มิอาจลบเลือน มือเรียวทั้งสองกำจอกชาแน่นจนสั่นไหว เผยให้เห็นความเก้ๆ กังๆ อย่าประหม่าและรู้สึกผิด“สุดท้าย ความจริงก็ยังคงเป็นข้าที่ได้แย่งคุณชายมาอยู่ดี” น้ำเสียงหวานสั่นพร่าราวจะขาดห้วงลงกลางคันเซียวจิ้นอวิ๋นพลันเงียบงันไปครู่ใหญ่ พอได้ฟังน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยถ้อยคำตัดพ้อนี้ สายตาคมกริบที่มักจะแข็งกร้าวแจือแววเย็นชาค่อยๆ อ่อนยวบลงอย่างห้ามไม่อยู่เขาถอนหายใจยาวเหยียด แววตาที่ทอดมองสตรีตรงหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่ไม่เคยมีมาก่อน“ไป๋หว่านชิง…” เสียงทุ้มต่ำเรียกชื่ออย่างแผ่ว

  • นางร้ายผู้นี้ขอทวงคืนพระรอง   ๖ ช่วยเหลือผู้คน

    “นึกไม่ถึงว่าคุณชายจ้าวจะมีน้ำใจช่วยเหลือผู้คน”น้ำเสียงทุ้มต่ำของซูเหรินเจี๋ยเอ่ยขึ้นเจือความเหน็บแนม สายตาเหลือบมองสหายตรงหน้าที่เอาแต่ทอดสายตาลงไปจากชั้นสองของโรงเตี๊ยม มองไปยังร้านเครื่องปั้นเคลือบของสกุลไป๋อย่างไม่ลดละ ราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเขาซูเหรินเจี๋ยยกน้ำชาขึ้นจิบพลางๆ แววตาฉายแววครุ่นคิดเมื่อหลายวันก่อนหน้า เขาและสหายนั่งจิบชาดวลหมากกันอยู่โรงเตี๊ยมตรงข้ามกิจการของสกุลไป๋ ทว่ากลับเกิดเหตุโกลาหลวุ่นวายขึ้นหน้าร้านเสียงดังเอะอะโวยวาย จนเขาและสหายอดมองด้วยความสนใจไม่ได้แท้จริงแล้วเป็นเพียงคุณหนูสกุลเฟิ่งที่ตามตื้อเซียวจิ้นอวิ้น นางประกาศเสียงดังว่าจะกระโดดลงน้ำ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจ ใยดีเดินจากไปไม่เหลียวแลขณะที่เหตุการณ์ดูเสมือนจะสงบลง ทว่าไม่ทันไรเขากลับได้ยินเสียงดังโหวกวายตะโกนมาว่ามีคนกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย พอหันกลับไปมองสหาย กลับเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นลงไปยังชั้นล่างโรงเตี๊ยม วิ่งผ่าฝูงชนท่าทางคล้ายเข้าไปช่วยแล้วซูเหรินเจี๋ยไม่คาดคิดว่าสหายผู้นี้ที่มีนิสัยนิ่งเฉย หาได้สนใจเรื่องของผู้ใดหรือแม้แต่สตรีใด นอกจากคุณหนูไป๋ ทว่าเหตุใดกลับยอมเสี่ยงชีวิตช่วยคุณหนูเฟิ่งแทน ทั้งที่

  • นางร้ายผู้นี้ขอทวงคืนพระรอง   ๕ เริ่มเปลี่ยนแปลง

    นายท่านเฟิ่งในยามนี้โกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด แววตาแข็งกร้าวจนแทบจะยกดาบไปฟาดฟันกับสกุลเซียวเสียให้รู้แล้วรู้รอดบรรยากาศภายในห้องโถงอึมครึมราวกับมีเค้าเมฆฝนหนาทึบลอยทับอยู่เหนือหัว เพราะหนึ่งวันของสกุลเฟิ่งกลับยาวนานราวหนึ่งปี เต็มไปด้วยเรื่องวุ่นวายที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดราวกับคลื่นซัดแม้ยามนี้จะล่วงถึงมื้อค่ำแต่ความสงัดเงียบกลับไม่ก่อความสงบ หากแต่ทำให้ทุกผู้คนในจวนรู้สึกกดดัน หนักหน่วงจนแทบจะหายใจไม่ออกท้องฟ้าแปรเปลี่ยนสี เริ่มมืดสลัว ประหนึ่งสะท้อนอารมณ์ของนายท่านเฟิ่งที่ยังพลุ่งพล่านไม่คลาย ความเงียบงัดแผ่ปกคลุมไปทั่วจวน ไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุยหรือเสียงหัวเราะของบ่าวไพร่ บ้างก็ต่างก้มหน้าทำงานด้วยความหวาดกลัวเฟิ่งฮูหยินนั่งนิ่งอยู่ข้างสามี สายตาหันไปมองบุตรชายคนเล็กที่ซุกซนไปตามวัย ยามนี้เฟิ่งจื้อหานกำลังวิ่งเล่นอย่างไม่รู้เรื่องรู้ซุกซนตามวัย ไม่เข้าใจว่าบรรยากาศหนักอึ้งเพียงใด ตั้งแต่บุตรชายเริ่มเดินได้ นางเองก็ค่อยได้พักผ่อนนัก แล้วไหนจะเรื่องของบุตรสาวคนโตอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวราวกับมีเข็มนับร้อยทิ่มแทงอยู่ในขมับ“เรื่องนี้…จะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร!” น้ำเสียงทุ้มต่ำของนายท่า

  • นางร้ายผู้นี้ขอทวงคืนพระรอง   ๔ เจอหน้าพระรองครั้งแรก

    ดูเหมือนความคิดในหัวของนางจะดังเกินไปหน่อย ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความตกใจ ถ้อยคำที่เอ่ยออกไปยังสะท้อนก้องอยู่ในโสตประสาท ทั้งที่ความคิดก่อนหน้านี้ยังตีกันวุ่นวายอยู่ในหัว แต่ไฉนกลับพูดออกไปราวกับตกหลุมพรางของความหล่อเหลาของอีกฝ่ายเสียแล้วเฟิ่งจิ่นหรงยืนนิ่ง ตัวแข็งชะงักคล้ายหยุดหายใจไปชั่วขณะขณะที่จ้าวอวี้หมิงมองสตรีตรงหน้า หัวคิ้วเข้มขมวดอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าถ้อยคำเมื่อครู่ที่ได้ยินนั้นเป็นจริงหรือหูฝาดเพี้ยนไปเอง แต่กระนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าสติของสตรีตรงหน้าอาจเลอะเลือนไปเสียแล้ว“ข้าไม่ใช่คุณชายเซียว…” น้ำเสียงของเขาเข้มขรึม แต่แฝงด้วยความเย็นชา “หากคุณหนูอยากไปสกุลเซียวนั้นอยู่เส้นทางหน้าวังหลวง หากจำไม่ได้ก็บอกให้สารถีพาไป นี่คือจวนสกุลจ้าว”จ้าวอวี้หมิงถอนหายใจลึก ก่อนจะหันหลังจะเดินหนีคล้ายกับปฏิเสธพลางๆทว่าด้วยนิสัยดื้อรั้นเฟิ่งจิ่นหรงกลับก้าวตามเข้ามา ร่างบางยืนขวางทางอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาแน่วแน่“ข้า..ข้า มีเรื่องสำคัญจะพูดคุยด้วยเจ้าค่ะ” น้ำเสียงหวานตะกุกตะกะเต็มไปด้วยความประหม่า นางเงยหน้าขึ้นพลันประสานสบเข้ากับดวงตาคมกริบเย็นเยียบตรงหน้าพอดีจ้าวอวี้หมิงยืนนิ่ง มองสตร

  • นางร้ายผู้นี้ขอทวงคืนพระรอง   ๓ การตัดสินใจครั้งใหม่

    บรรยากาศภายในเรือนนอนยังอบอวลด้วยกลิ่นยาสมุนไพร เหล่าสาวใช้ต่างยืนตัวสั่นมองคุณหนูที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงด้วยสายตาหวาดหวั่น น่าแปลกที่อีกฝ่ายไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญโวยวายเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับเงียบงันเย็นชาเสียจนกระอักกระอ่วนกดดันยิ่งนักเฟิ่งจิงหรงยกมือขึ้นแตะแก้มเนียนช้าๆ สัมผัสได้ถึงหยาดน้ำตาที่หลั่งรินอย่างไม่รู้ตัวของเจ้าของร่างเดิมไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นเพราะความเจ็บช้ำที่ครั้งหนึ่งเคยทุ่มเททั้งหัวใจให้บุรุษผู้นั้นจนยอมแลกด้วยชีวิต หรือเพราะเพลิงแค้นที่ยังคงครุ่กขุ่นแน่นอยู่ในอกกันแน่ “เจ็บปวดถึงเพียงนี้…นางต้องทนแบกรับความอับอายมานานเท่าใดกัน” น้ำเสียงหวานพึมพำพูดแผ่วเบาความทรงจำของร่างเดิมถาโถมเข้ามาไม่หยุด ทั้งถูกเยาะหยันว่าเป็นสตรีเอาแต่ใจ ถูกตราหน้าว่าใช้อำนาจข่มขู่บุรุษแต่งงานด้วยอย่างดื้อรั้นทุกภาพชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเฟิ่งจิงหรงเริ่มตั้งสติได้ริมฝีปากบางยกโค้งขึ้นเล็กน้อย หาใช่รอยยิ้มสดใสหากแต่เป็นรอยยิ้มเย็นชาเจือข่มความเจ็บปวดไว้ในอก“หากสวรรค์กำหนดให้ข้ามาอยู่ในร่างนี้ เช่นนั้น…ข้าก็จะใช้โอกาสนี้กลายเป็นนายร้ายตัวมัมที่พ่อพระเอกโง่งมเสียดายจนตาย”เฟิ่งจิงหรงหันขวับไป

  • นางร้ายผู้นี้ขอทวงคืนพระรอง   ๒ ความทรงจำร่างเดิม

    ณ สกุลเซียวไป๋หว่านชิงเป็นเพียงบุตรสาวของตระกูลพ่อค้าที่ทำการค้าเปิดกิจการขายเครื่องปั้นเคลือบอยู่ในตลาด แม้เป็นเพียงสกุลพาณิชเล็กๆ หาได้มีเกียรติสูงส่งดังตระกูลขุนนางใหญ่ แต่ทว่าสวรรค์กลับประทานรูปโฉมอันงดงามให้ ที่ไม่ว่าผู้ใดที่เดินผ่านไปแล้วล้วนต้องเหลียวหลังหวนมองอีกทั้งยังมีวาทศิลป์การพูดจาละเมียดละไมอ่อนหวานจับใจ สามารถโน้มน้าวใจผู้คนให้ซื้อหาสินค้าได้โดยง่ายดังนั้น กิจการเครื่องปั้นเคลือบของสกุลไป๋จึงขายดิบขายดี มิใช่เพราะคุณภาพเพียงอย่างเดียว หากแต่ด้วยเสน่ห์การเจรจาของไป๋หว่านชิงเป็นสำคัญกระทั่งวันหนึ่ง…ในขณะที่ไป๋หว่านชิงเฝ้าร้านอยู่กับเหล่าคนงาน กลับถูกกลุ่มอันธพาลบุกเข้ามาก่อกวน หาได้หมายจะปล้นเครื่องปั้นราคาแพงไม่แต่กลับหมายจะฉุดนางไปเป็นภรรยาแทน!ทว่าสวรรค์เหมือนกำหนดไว้ เมื่อบุตรชายคนรองของสกุลเซียว…คุณชายเซียวจิ้งอวิ๋นผ่านมาพอดีและได้ช่วยเหลือนางเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิดวันนั้นจึงเป็นวันที่ทั้งสองพบพานกันครั้งแรกและกลายเป็นรักแรกพบของทั้งสองฝ่ายและไม่นานหลังจากนั้น คุณชายเซียวก็สร้างเรื่องอื้อฉาวไปทั่วเมือง หักหน้าสกุลเฟิ่งด้วยการประกาศยกเลิกการหมั้นหมายกับ เฟิ่งจิง

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status