แชร์

๓ การตัดสินใจครั้งใหม่

ผู้เขียน: วอลจู
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-10-25 00:55:49

บรรยากาศภายในเรือนนอนยังอบอวลด้วยกลิ่นยาสมุนไพร เหล่าสาวใช้ต่างยืนตัวสั่นมองคุณหนูที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงด้วยสายตาหวาดหวั่น น่าแปลกที่อีกฝ่ายไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญโวยวายเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับเงียบงันเย็นชาเสียจนกระอักกระอ่วนกดดันยิ่งนัก

เฟิ่งจิงหรงยกมือขึ้นแตะแก้มเนียนช้าๆ สัมผัสได้ถึงหยาดน้ำตาที่หลั่งรินอย่างไม่รู้ตัวของเจ้าของร่างเดิม

ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นเพราะความเจ็บช้ำที่ครั้งหนึ่งเคยทุ่มเททั้งหัวใจให้บุรุษผู้นั้นจนยอมแลกด้วยชีวิต หรือเพราะเพลิงแค้นที่ยังคงครุ่กขุ่นแน่นอยู่ในอกกันแน่

“เจ็บปวดถึงเพียงนี้…นางต้องทนแบกรับความอับอายมานานเท่าใดกัน” น้ำเสียงหวานพึมพำพูดแผ่วเบา

ความทรงจำของร่างเดิมถาโถมเข้ามาไม่หยุด ทั้งถูกเยาะหยันว่าเป็นสตรีเอาแต่ใจ ถูกตราหน้าว่าใช้อำนาจข่มขู่บุรุษแต่งงานด้วยอย่างดื้อรั้น

ทุกภาพชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเฟิ่งจิงหรงเริ่มตั้งสติได้

ริมฝีปากบางยกโค้งขึ้นเล็กน้อย หาใช่รอยยิ้มสดใสหากแต่เป็นรอยยิ้มเย็นชาเจือข่มความเจ็บปวดไว้ในอก

“หากสวรรค์กำหนดให้ข้ามาอยู่ในร่างนี้ เช่นนั้น…ข้าก็จะใช้โอกาสนี้กลายเป็นนายร้ายตัวมัมที่พ่อพระเอกโง่งมเสียดายจนตาย”

เฟิ่งจิงหรงหันขวับไปมองยังสาวใช้ที่ยืนก้มหน้าตัวสั่นอยู่ตรงหน้า น้ำเสียงเอ่ยช้าแต่หนักแน่น “รีบไปตามบิดาข้ากลับจวนมาเถอะ การกระทำเช่นนั้น มองดูแล้วน่าสมเพชอดสูไม่น้อย…บุรุษทั่วทั้งมีมากมาย ข้าหาได้สนใจบุรุษเห็นแก่ตัวผู้นั้นอีกแล้ว”

พอได้ยินถ้อยคำนั้น เหล่าสาวใช้ที่อยู่ในเรือนพลันเงยหน้าด้วยขึ้นมองความตกใจและตะลึงงันต่อท่าทีที่เปลี่ยนไปของคุณหนู แววตาที่เต็มไปด้วยความแน่วแน่ หาใช่เด็กสาวที่มีนิสัยเอาแต่ใจเฉกเช่นวันวานอีกต่อไป

เฟิ่งจิงหรงสูดลมหายใจลึก ยกมือกุมอกตนเองที่ยังเต้นแรงไม่หยุด เอ่ยเสียงแผ่ว “เป็นข้าที่โยนกระดูกชิ้นนั้นทิ้งไป หากสตรีใดอยากจะคาบไปแทะต่อก็เชิญเถอะ!”

ณ จวนสกุลเฟิ่ง

ข้าวของภายในห้องโถงใหญ่ถูกปัดกวาดล้มระเนระนาด เสียงถ้วยชามแตกกระจายก้องสะท้อนไปทั่ว ทั้งจวนเงียบงันไร้ผู้ใดกล้าแม้แต่จะเอ่ยปากห้ามปราม

นายท่านเฟิ่งยืนหอบหายใจถี่ ใบหน้าเคร่งขรึมมืดครึ้มแดงก่ำด้วยโทสะคับอก แววตาที่เคยแข็งกร้าวกลับสั่นระริกด้วยความคับแค้นข่มไม่อยู่แม้แต่น้อย

“สกุลเซียว…เหิมเกริมเกินไปแล้ว!” น้ำเสียงทุ้มตวาดลอดไรฟันอย่างเหลืออด คล้ายกำลังอดกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านคับอกไม่ให้ปะทุออกมา

ฝ่ามือใหญ่กำแน่นจนเส้นเลือดปูดนูน เสี้ยวความโกรธแค้นไม่ใช่เพียงเพราะบุตรสาวถูกหักหน้า แต่การกระทำเช่นนี้ยังเป็นการหยามศักดิ์ศรีสกุลเฟิ่งอย่างถึงที่สุด

“นายท่านเซียวคิดว่าขุนนางใหญ่แล้วจะเหยียบย่ำสกุลเฟิ่งได้ตามอำเภอใจงั้นหรือ” นายท่านเฟิ่งเลิกคิ้วถาม

เหล่าสาวใช้และบ่าวไพร่ต่างก้มหน้าหลุบสายตามองลงต่ำตัวสั่นสะท้านไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามอง ความกดดันแผ่ซ่านรอบจวนหนักอึ้งราวภูเขาโถมทับ

นายท่านเฟิ่งสูดลมหายใจลึก เงียบงันไปครู่ใหญ่ สายตาแข็งกร้าวราวกับคมมีด คำพูดดังขึ้นแผ่วต่ำแต่กลับทำให้ผู้ฟังต้องขนลุกไปทั้งร่าง “หากสกุลเซียวไม่เห็นข้า เช่นนั้น…ก็อย่ากล่าวโทษว่าสกุลเฟิ่งทารุณไร้เมตตา!”

ความสัมพันธ์ระหว่างสกุลเฟิ่งและสกุลเซียวขาดสะบั้นราวเส้นด้ายบางที่ถูกแรงดึงฉีกขาดไม่อาจเชื่อมประสานดังเดิม

ครั้งหนึ่งในอดีต เมื่อสกุลเซียวประสบเคราะห์ภัยใหญ่หลวงจนเกือบล้มระเนระนาด หากมิใช่เพราะสกุลเฟิ่งยื่นมือเข้าช่วยเหลือทันท่วงที เกรงว่าวันนี้คงไม่อาจยืนหยัดในฐานะตระกูลขุนนางใหญ่ได้อีกแล้ว

แม้สกุลเฟิ่งจะมิได้ร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองราวพ่อค้าวาณิช หากแต่เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึกมั่นคงในราชสำนัก เป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่กันมาหลายชั่วรุ่น ย่อมได้รับความไว้วางใจจากราชสำนักอย่างเหลือล้น

ครานั้นนายท่านเซียวไร้หนทางจึงจำต้องก้มหน้ารับไมตรีไว้ แม้รู้ดีว่าคือการก่อหนี้บุญคุณก้อนใหญ่ที่ไม่มีวันลบเลือน

กระทั่งเมื่อครานั้น นายท่านเฟิ่งเอ่ยปากต้องการให้เขารับคุณหนูเฟิ่งไว้ในฐานะลูกสะใภ้ ด้วยถ้อยคำกล่าวอ้างบุญคุณที่สกุลเซียวติดค้าง สุดท้ายนายท่านเซียวก็จำต้องกล้ำกลืนรับปากไว้

ทว่าเวลาล่วงเลยมานาน บุญคุณที่เคยมีก็ได้ชดใช้ให้จนสิ้นแล้ว ไม่เหลือสิ่งใดติดค้างกันอีกต่อไป

บรรยากาศจวนสกุลเซียวเงียบสงัด นายท่านเซียวยืนนิ่ง สีหน้ามืดครึ้มยากจะอ่านออก ความคิดวนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด

“สกุลเฟิ่งเอาแต่กล่าวอ้างบุญคุณอยู่ร่ำไป…คงมากพอแล้วกระมัง นายท่านเฟิ่ง” นายท่านเซียวเลิกคิ้ว เอ่ยเสียงเรียบเย็น

“นับจากนี้…ข้าขอปฏิเสธไม่ข้องเกี่ยวกับสกุลเฟิ่งอีกต่อไป จะหาว่าสกุลเซียวเห็นแก่ตัว ไม่สำนึกบุญคุณก็ช่างเถิด ทว่าบุตรชายของข้าแต่แรกก็หาได้มีใจผูกพันต่อคุณหนูเฟิ่งเลย มิหนำซ้ำในไม่ช้าในเร็ววันสกุลของข้ากำลังจะกลายเป็นทองแผ่นเดียวกันกับสกุลไป๋ หากสกุลเฟิ่งเห็นแล้วนอนหลับไม่ลง เช่นนั้นก็เลิกข้องเกี่ยวกันเสียเถิด” น้ำเสียงทุ้มแน่วแน่ชัดถ้อยชัดคำ ประกาศก้อง

หลังจากตั้งสติได้ เฟิ่งจิงหรงจึงสั่งสาวใช้ให้ไปตามบิดากลับมา จากนั้นนางจึงให้สาวใช้เตรียมรถม้าเพื่อไปยังจวนสกุลจ้าวทันที ท่ามกลางความตกใจและสายตาตื่นตระหนกของเหล่าสาวใช้ แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าแม้แต่จะขัดคำสั่ง

ไม่นานมานี้คุณหนูก็เพิ่งจะกระโดดน้ำประชดประชันบุรุษ และดำดิ่งลึกลงไปจนเกือบถึงก้นลำธาร เกรงว่าหากไม่ได้รับความช่วยเหลือไว้ทันคงได้ไปเยือนปรโลกดื่มน้ำแกงยายเมิ่งเสียแล้ว

ซ้ำช่วงนั้นร่างยังเย็นเฉียบเกินกว่าหมอจะช่วยรักษาได้

ทว่าหลังจากอีกฝ่ายหลับสลบไปหลายชั่วยาม แล้วตื่นฟื้นขึ้นมา ทั้งท่าทางและแววตาของกลับเปลี่ยนไปราวกับคนละคนและช่างน่าแปลกนักที่คุณหนูของพวกนางกลับกล่าวถึงคุณชายสกุลจ้าวแทนที่จะเป็นคุณชายเซียวแทน?

แม้พวกนางจะสงสัยทว่าด้วนฐานะที่เป็นเพียงแค่สาวใช้จึงไม่มีใครกล้าถามสักคำ

รถม้าเคลื่อนตัวออกจากจวนสกุลเฟิ่ง เสียงล้อไม้กระทบพื้นทางดังเสียงกรอบแกรบ เฟิ่งจิงหรงนั่งนิ่ง ทอดสายตามองผ่านหน้าต่าง เห็นแสงอาทิตย์ที่สาดผ่านกิ่งไม้ สะท้อนบนถนนเบื้องล่าง อย่างเหม่อลอยไร้จุดหมาย

นางสูดลมหายใจลึก…ภายในใจยังคงปั่นป่วนด้วยความทรงจำจากร่างเดิม อีกใจหนึ่งกลับเริ่มเยือกเย็นค่อยๆ สงบอารมณ์ดี

นี่คือตอนจบของนิยายเล่มโปรด

เซียวอี้หานและไป๋หว่านชิงได้ครองคู่แต่งงานกันอย่างมีความสุข ทว่าเฟิ่งจิงหรงกลับต้องเผชิญชะตากรรมเวทนา แม้ไม่ได้ทำผิดใดๆ มากนัก นอกจากมีความเอาแต่ใจและดื้อรั้า แต่กลับตกเป็นเหยื่อของแผนการร้ายของแม่นางเอกดอกบัวขาวแทน

และแม้ว่าไป๋หว่านชิงจะมีสามีแล้ว แต่ข้างกายของนางยังมีบุรุษผู้หนึ่งคอยอยู่ไม่ห่าง คอยหลอกใช้งานและจับตาดูทุกฝีก้าว นั่นคือ จ้าวอวี้หมิง…พระรองผู้ซึ่งนางสงสาร

หากพระเอกและนางเอกจะสมหวังไปตามเรื่องก็ให้เป็นไป แต่พระรองที่นางสงสาร ผู้นี้จะได้เป็นของนางเอง!

จ้าวอวี้หมิงกำลังนั่งอ่านหนังสือไปพลางๆ อยู่ข้างศาลาริมสระบัว บรรยากาศสงบร่มรื่นของร่มไม้ และสายลมอ่อนๆ ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง นานแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกเช่นนี้

จนกระทั่งมีสาวใช้เข้ามาแจ้งว่า คุณหนูเฟิ่งต้องการพบเขาอย่างดื้อรั้น อีกฝ่ายบอกว่า หากไม่พบหน้าก็จะไม่ยอมจากไป

จ้าวอวี้หมิงได้ยินชื่อนั้นแล้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ

ชื่อเสียงของคุณหนูผู้นี้เป็นที่เลื่องลือถึงความฉาวโฉ่จนถูกนำมาแต่งเป็นนิทานขบขันในโรงน้ำชา แม้เขาไม่เคยมีโอกาสพูดคุยกับสตรีผู้นั้นแม้แต่ครึ่งคำแต่อย่างไรก็ย่อมรู้จักเป็นแน่

และเมื่อถามสาวใช้อีกครั้ง นางก็ได้แต่ส่ายหน้า กล่าวเพียงว่า...คุณหนูเฟิ่งมีเรื่องสำคัญที่ต้องพูดกับเขาให้ได้

ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแตากลับมีเรื่องให้ต่องพูดคุย?

จ้าวอวี้หมิงละทิ้งหนังสือไว้ข้างๆ รู้สึกอยากรู้ว่าเรื่องสำคัญนั้นคืออะไร ก่อนจะพยักหน้าให้สาวใช้เปิดประตูเชิญอีกฝ่ายเข้ามา

ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าแผ่วแต่หนักแน่นก็ดังเข้ามา เมื่อบานประตูเปิดออก ปรากฏร่างคุณหนูเฟิ่งผู้มีชื่อเงสียงเชื่องลือเดินเข้ามาแต่ไกล ดวงตาคู่งามกลมโตเปล่งประกายฉายความมุ่งมั่นในแววตานั้นช่าโดดเด่นชัดราวกับประกายดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ

“ขออภัยที่รบกวน” น้ำเสียงของนางสั่นเล็กน้อยแต่ชัดเจนทุกคำ ใบหน้าของเฟิ่งจิ่ยหรงปรากฏรอยยิ้มจางๆ ออกมาอย่างกลั้นไมายูากับรูโฉมหล่อเหลาของบุรุษตรงหน้า

หากพระรองหลอเพียงนี้…แล้วพระเอกเล่า!?

หรือนางควรจะรอเห็นหน้าเซียวจิ้นอวิ๋นก่อนที่จะตัดสินใจเลือกดี?

นัยน์ตาเมล็ดซิ่งจ้องมองบุรุษตรงหน้าไม่กระพริบตา นางนิ่งงันไปครู่หนึ่งคล้ายกำลังตกตระลึง

จ้าวอวี้หมิงมองหน้านางกลับด้วยความสงสัย ริมฝปากหนาขยับเอื้อนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำเย็นเยียบแต่กลับนุ่มนวล “เชิญคุณหนูเข้ามานั่งก่อนขอรับ หากเรื่องใด ค่อยพูดคุยกันทีหลัง คุณหนูเฟิ่งจะได้ไม่กล่าวหาว่าสกุลจ้าวไร้มารยาทไม่ชวนแขกจิบน่ำชาสักอึกก่อน”

เฟิ่งจิงหรงสูดหายใจลึก ก่อนจะก้าวเข้าใกล้

“ข้า…ข้าจะขอแต่งงานกับท่าน จ้าวอวี้หมิง”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • นางร้ายผู้นี้ขอทวงคืนพระรอง   ๒๕ พระรองผู้นี้เป็นของข้า

    บรรยากาศภายในห้องโถงอาหารเงียบกริบลงชั่วขณะเมื่อคำถามของนายท่านเฟิ่งหลุดออกมา สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมองไปยังคุณชายจ้าวด้วยความคาดหวัง…ไม่เว้นแม้แต่เฟิ่งจิงหรงนางลอบเหล่หางตามองบุรุษข้างกาย หาได้หันไปสบตาเขาโดยตรง ริมฝีปากเม้มแน่น ก่อนจะหันไปมองบิดาราวกับห้ามปราม“ท่านพ่อ” น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้น พลางถอนหายใจหนักอึ้งออกมาเฮือกหนึ่ง นางหาได้ต้องการบีบบังคับให้จ้าวอวี้หมิงต้องรู้สึกกดดัน อึดอัดหรือลำบากใจอันใด“กินข้าวกันเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะเย็นชืดแล้วไม่อร่อยได้”เฟิ่งฮูหยินเข้าใจได้ว่าบุตรสาวคงรู้สึกลำบากใจใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มจางๆ ก่อนจะปรายไปมองบุรุษหนุ่มตรงหน้า “นายท่านเฟิ่งเพียงแค่หยอกล้อเท่านั้น คุณชายจ้าวอย่าได้กังวลไปเจ้าค่ะ”พอสิ้นคำ จ้าวอวี้หมิงนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าเคร่งขรึมฉายแววครุ่นคิดอย่างชัดเจน มุมปากหนาผุดรอยยิ้มจางๆ น้ำเสียงทุ้มเอ่ยราบเรียบก่อนจะยกตะเกียบคีบอาหารวางลงชามให้สตรีข้างกายราวกับเป็นสิ่งที่ควรทำ หาใช่เรื่องแปลก“คุณหนูเฟิ่งงดงามไม่น้อย ข้าว่าบุรุษใดที่เห็นแล้วก็ต้องหันกลับมามองทั้งสิ้น”ถ้อยคำเรียบง่ายกลับหนักแน่นดั่งหินผา ดังก้องสะท้อนอยู่ในห้องโถงร

  • นางร้ายผู้นี้ขอทวงคืนพระรอง   ๒๔ ความรักค่อยๆ งอก

    หลายวันผ่านไป หลังงานมงคลใหญ่ระหว่างสกุลเซียวและสกุลไป๋เสร็จสิ้น ทว่าเสียงซุบซิบนินทาก็ยังไม่ยอมจางหาย ข่าวคราวต่างเล่าลือกันไม่หยุด ว่าเจ้าบ่าวหรือคุณชายเซียวหาได้ชืนมื่นหรือมีสีหน้ายินดีไม่ แววตากลับเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมยามได้เห็นอดีตคนรักอย่างคุณหนูเฟิ่งมาร่วมงาน แถมยังเผลอทอดสายตามองด้วยความอาลัยอาวรณ์ ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายถอนหมั้นเสียเองส่วนคุณหนูไป๋ผู้เป็นเจ้าสาว แม้ใบหน้าจะถูกปกปิดด้วยผ้าคลุมผืนบาง แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมากลับขุ่นมัวและหม่นหมอง หาได้เบิกบานแต่อย่างใดเฟิ่งจิงหรงหาได้ใส่ใจคำพูดเหล่านั้นนัก หากคนร้อยคนเอ่ยปากก็เป็นร้อยความหมาย นางไม่อยากเก็บมาใส่ใจว่าเซียวจิ้นอวิ๋นจะยังคงเหลือเยื่อใยหรือไม่…?หรือคุณหนูไป๋จะทุกข์ใจเพียงใด…?เพราะนับจากวันที่นางเอ่ยปากหยอกล้อชักชวนบุรุษผู้นั้นให้มาเยือนจวนเล่นๆ ก็ไม่เคยคาดคิดว่าหลังจากนั้น จ้าวอวี้หมิงจะเริ่มแวะเวียนมาหาบ่อยครั้ง พร้อมข้ออ้างที่ชวนให้หัวเราะอยู่ร่ำไป“ข้าผ่านมาทางนี้พอดี…ในรถม้ามีขนมติดมาจึงนำมาฝาก”หรือไม่ก็ “วันนี้ฝนตกหนักยิ่งนัก ข้าเลยแวะมาดูว่าหลังคาเรือนคุณหนูเฟิ่งรั่วหรือไม่”เฟิ่งจิงหรงถึงกับหัวเราะร่อออกมาจนเ

  • นางร้ายผู้นี้ขอทวงคืนพระรอง   ๒๓ บทสรุปของพระนาง

    ยามเช้าของวันงานแต่ง แม้ว่าบรรยากาศจะอบอวลไปด้วยความเป็นมงคล ทั้งจวนสกุลไป๋และสกุลเซียวต่างเต็มไปด้วยความรื่นเริงยินดี หากแต่ภายใต้ความครึกครื้นนั้นกลับเจือปนด้วยความหม่นหมองของคู่บ่าวสาวไป๋หว่านชิงสวมชุดเจ้าสาวสีแดงฉาน ใบหน้างดงามถูกคลุมด้วยผ้าผืนบางรอคอยให้เจ้าบ่าวเป็นผู้เปิดในคืนเข้าหอ นางกล่าวลามารดาอยู่เพียงสองสามประโยค ก่อนจะขึ้นเกี้ยวรถม้า โดยมีสาวใช้คอยประคองอย่างระมัดระวังอยู่ไม่ห่างว่ากันตามตรงแล้ว ความรู้สึกในยามนี้ของเจ้าสาวควรเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี ทว่าในห้วงความคิดลึกๆ ของไป๋หว่านชิงกลับเต็มไปด้วยความขุ่นมัว ภาพของสตรีผู้นั้นยังคงฉายชัดในความทรงจำ และทุกครั้งที่นึกถึง แววตาของจ้าวอวี้หมิงที่ทอดมองสตรีผู้นั้นก็มักแวบขึ้นมาในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าเสียงฆ้องกลองและขบวนแห่เจ้าสาวดังขึ้นเอิกเกริกผู้คนมากมายต่างออกมายืนเบียดเสียดสองข้างทางเพื่อรอชมงานด้วยความตื่นตาตื่นใจ เพราะเดิมทีแล้วงานแต่งครั้งนี้ผู้ที่ควรได้เป็นเจ้าสาวคือคุณหนูเฟิ่งหากแต่ชะตากลับพลิกผัน กลายเป็นคุณหนูไป๋ซึ่งเป็นเพียงบุตรสาวตระกูลพ่อค้า กลับได้วาสนาดีแต่งเข้าสกุลขุนนางใหญ่โตขบวนเกี้ยวเคลื่อนไปยังจุดหม

  • นางร้ายผู้นี้ขอทวงคืนพระรอง   ๒๒ การกระทำอ่อนโยน

    บรรยากาศยามบ่ายคล้อยภายในจวนสกุลเฟิ่งเงียบสงัด มีสายลมเอื่อยเฉื่อยพัดผ่านสวนดอกเหมย กลีบดอกสีแดงสดโปรยปรายร่วงลงบนพื้นหินที่ชื้นเย็น เฟิ่งจิงหรงเพิ่งกลับถึงจวนได้ไม่นานก็พาลอารมณ์เสีย จนเหล่าสาวใช้ไม่กล้าแม้แต่จะสบตา นางกระทืบเท้าเดินกลับเรือนด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งฉายประกายแข็งกร้าว ทั้งตลอดทางน้ำเสียงหวานยังบ่นพึมพำไม่หยุดด้วยความหงุดหงิด ตั้งแต่ออกจากสกุลจ้าวจนถึงจวน“หึ! สกุลจ้าวหรือจะอดอยากถึงเพียงนั้น ขนมหวานพรรค์นั้นใช่ว่าจะหาซื้อไม่ได้ เพียงแต่ข้าอยากเจอหน้าเขาต่างหาก หาใช่อยากกินสิ่งใดเสียเมื่อไร!” นางบ่นพลางผลักบานประตูเรือนเสียงดัง กระแทกกำแพงจนเหล่าสาวใช้พากันก้มหน้าก้มตาเงียบกริบ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงทว่าไม่นานเสียงฝีเท้าเร่งรีบก็ดังขึ้น สาวใช้คนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งเข้ามาด้วยความเหน็ดเหนื่อย หอบหายใจแรงพลางรายงานเสียงตะกุกตะกัก “คุณหนูเจ้าคะ! คุณชายจ้าว…มาขอพบเจ้าค่ะ!”เฟิ่งจิงหรงสะดุ้งเล็กน้อย สีหน้าบึ้งตึงคลายลงชั่วขณะ ก่อนเชิดหน้าขึ้น ปั้นสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ราวกับไม่สนใจใยดีทว่าภายในใจกลับลอบยิ้ม เกรงว่าตอนนี้นางคงมีน้ำหนักไม่น้อยในใจบุรุษผู้นั้น เ

  • นางร้ายผู้นี้ขอทวงคืนพระรอง   ๒๑ ยื้อแย่งขนมหวาน

    เฟิ่งจิงหรงสบเข้าตากับไป๋หว่านชิง บรรยากาศในจวนพลันหนักอึ้งจนเหล่าสาวใช้ต่างรู้สึกกระอักกระอ่วนชวนให้อึดอัดอยากวิ่งหนีออกไปเสียให้พ้นจากตรงนี้ หากแต่ก็ไม่ผู้ใดกล้าแม้แต่ขยับตัวเพราะเหตุการณ์ตรงหน้านี้ หาใช่เพียงการยื้อแย่งขนมหวานเท่านั้น แต่ขนมหวานชิ้นนั้นกลับมีความหมายประหนึ่งแทนตัวคุณชายจ้าว มีหรือผู้ใดจะไม่รู้ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษกับสตรีนั้น ยากนักที่จะเป็นเพียงสหายโดยไร้ความหมายอื่นปะปน เหล่าสาวใช้ ได้แต่ยืนนิ่งมองเหตุการณ์ตรงหน้าตาปริบๆ ลุ้นระทึกว่าผู้เป็นนายจะตัดสินใจเช่นไร จะขับไล่คุณหนูไป๋ออกไปแล้วรั้งคุณหนูเฟิ่งให้อยู่ร่วมดื่มน้ำชากินขนม พูดคุยอย่างเช่นทุกวัน หรือจะเลือกให้คุณหนูเฟิ่งกลับไปก่อน แล้วเก็บคุณหนูไป๋ไว้ข้างกายดังเช่นที่ผ่านมา เฟิ่งจิงหรงยกมือกอดอก ริมฝีปากคลี่เหยียดยกยิ้มเย้ยหยัน กล่าวว่า “อือ! เช่นนั้นข้าจะจำเอาไว้ ว่าต่อให้เป็นเพียงขนมชิ้นเล็กๆ คุณหนูไป๋ก็ไม่มีน้ำใจแบ่งปันให้ผู้ใดเลย!” ไฉนนางจะไม่เข้าใจว่าคำพูดนี้ของไป๋หว่านชิงแท้จริงแล้วกำลังสื่อถึงสิ่งใดอยู่ หากเปรียบจ้าวอวี้หมิงเป็นขนม ยามนี้นางกำลังหยิบเอาเข้าปากอยู่แล้ว หากคิดจะมาแย่ง เกรงว

  • นางร้ายผู้นี้ขอทวงคืนพระรอง   ๒๐ ความอดทนขาดสะบั้น

    เสียงกรีดร้องเล็กแหลมบาดหูของไป๋หว่านชิงปะทุออกมาพร้อมโทสะที่สุมอยู่ในอกมานานหลายวัน ร่างบางสั่นสะท้านเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด นัยน์ตาเมล็ดซิ่งแดงก่ำราวกับมีเพลิงไฟกำลังลุกโชน เพียงเพราะแค่ได้ยินถ้อยคำเมื่อครู่ก็คล้ายกับว่ามีผู้จุดเชื้อเพลิงลงในกองไฟโทสะให้ลุกท่วมทันทีหมายความว่าอย่างไรกัน!?ที่ให้ต้มน้ำชาร้อน เตรียมขนมไว้เช่นนั้นก็เพื่อเฟิ่งจิงหรงงั้นหรือ!?สตรีผู้นั้นแวะเวียนมาที่นี่ลับหลังโดยที่นางไม่รู้ และไม่มีผู้ใดเอ่ยปากบอกแม้แต่น้อยอย่างงั้นหรือ!ไป๋หว่านชิงกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อหากแต่ไร้ความรู้สึกเจ็บปวด นางกัดฟันกรอด แค่นถ้อยคำลอดไรฟันด้วยน้ำเสียงหวานที่สั่นเครือเจือด้วยความน้อยใจ ขุ่นเคืองและประชดประชัน “นึกไม่ถึงว่าคุณชายจ้าวและคุณหนูเฟิ่งจะสนิทสนมถึงขั้นไปมาหาสู่กันเช่นนี้นะเจ้าคะ”ริมฝีปากนางคลี่ยกยิ้มเย็นเยียบ ความอดทนที่ยังเหลืออยู่ได้ขาดสะบั้นลงสิ้น ไม่อาจเสแสร้งปั้นหน้ายิ้มเข้าใจอีกต่อไปยามนี้ต่อให้จ้าวอวี้หมิงจะคิดอย่างไร นางก็ไม่ใส่ใจอีกแล้ว ขอเพียงได้ระบายโทสะที่อัดแน่นอยู่ในอกออกมาก่อนเช่นนั้น...เกรงว่าคงได้กระอักเลือดออกมาแทน!ใบหน้าคนงามบิดเบี

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status