LOGINณ สกุลเซียว
ไป๋หว่านชิงเป็นเพียงบุตรสาวของตระกูลพ่อค้าที่ทำการค้าเปิดกิจการขายเครื่องปั้นเคลือบอยู่ในตลาด แม้เป็นเพียงสกุลพาณิชเล็กๆ หาได้มีเกียรติสูงส่งดังตระกูลขุนนางใหญ่ แต่ทว่าสวรรค์กลับประทานรูปโฉมอันงดงามให้ ที่ไม่ว่าผู้ใดที่เดินผ่านไปแล้วล้วนต้องเหลียวหลังหวนมอง อีกทั้งยังมีวาทศิลป์การพูดจาละเมียดละไมอ่อนหวานจับใจ สามารถโน้มน้าวใจผู้คนให้ซื้อหาสินค้าได้โดยง่าย ดังนั้น กิจการเครื่องปั้นเคลือบของสกุลไป๋จึงขายดิบขายดี มิใช่เพราะคุณภาพเพียงอย่างเดียว หากแต่ด้วยเสน่ห์การเจรจาของไป๋หว่านชิงเป็นสำคัญ กระทั่งวันหนึ่ง…ในขณะที่ไป๋หว่านชิงเฝ้าร้านอยู่กับเหล่าคนงาน กลับถูกกลุ่มอันธพาลบุกเข้ามาก่อกวน หาได้หมายจะปล้นเครื่องปั้นราคาแพงไม่แต่กลับหมายจะฉุดนางไปเป็นภรรยาแทน! ทว่าสวรรค์เหมือนกำหนดไว้ เมื่อบุตรชายคนรองของสกุลเซียว…คุณชายเซียวจิ้งอวิ๋นผ่านมาพอดีและได้ช่วยเหลือนางเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด วันนั้นจึงเป็นวันที่ทั้งสองพบพานกันครั้งแรกและกลายเป็นรักแรกพบของทั้งสองฝ่าย และไม่นานหลังจากนั้น คุณชายเซียวก็สร้างเรื่องอื้อฉาวไปทั่วเมือง หักหน้าสกุลเฟิ่งด้วยการประกาศยกเลิกการหมั้นหมายกับ เฟิ่งจิงหรงที่มีพันธะสัญญาไว้ แล้วหันไปยกแม่สื่อไปสู่ขอคุณหนูไป๋แทน! เรื่องนี้ผิดศีลธรรมอย่างร้ายแรงแต่ผู้คนกลับแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเอ่ยชมไป๋หว่านชิงว่ามีรูปโฉมงดงาม กิริยาวาจาอ่อนหวาน อ่อนช้อย มีมารยาทใครเล่าจะไม่ปรารถนาเป็นภรรยาแต่อีกฝ่ายกลับเห็นใจเฟิ่งจิงหรง แม้จะเป็นสตรีเอาแต่ใจและแข็งกร้าวเพียงใด ก็หาใช่เหตุผลที่จะถูกคู่หมั้นหักหน้ากลางเช่นนี้! ทว่าเซียวจิ้งอวิ๋นกลับหาได้สนใจเสียงครหาไม่ ยิ่งเร่งรัดงานแต่งงานให้เร็วขึ้น ส่งสินสอดไปยังสกุลไป๋โดยไม่คิดเหลียวแลสตรีอีกคนเลยแม้แต่น้อย เดิมทีเฟิ่งจิ่หรงก็มีนิสัยเอาแต่ใจ เติบโตมาท่ามกลางความรักและการตามใจของบิดา เมื่อถูกหยามเกียรติถึงเพียงนี้ นางย่อมไม่ยอมทน ทำทุกวิถีทาง แม้แต่การกระโดดแม่น้ำประชดชีวิต หวังเพียงจะให้คุณชายเซียวหันกลับมามอง แต่สิ่งที่ได้รับกลับคือความเฉยชาเย็นชา ยิ่งทำให้งานแต่งระหว่างอีกฝ่ายกับไป๋หว่านชิงถูกเร่งเร้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิมเสียอีก! นายท่านเฟิ่ง…บิดาที่รักใคร่บุตรสาวดุจไข่ในหิน เมื่อเห็นสภาพของบุตรสาวที่คลุ้มคลั่งเสียใจก็มิอาจทนได้อีกต่อไป จึงบุกไปถึงจวนสกุลเซียวโดยไม่สนมารยาท ทว่าเพียงแค่ยกเท้าก้าวยังไม่พ้นธรณีประตู กลับได้ยินเสียงหัวเราะเจื้อยแจ๋วของสตรีดังลอดออกมาจากในเรือน เสียงนั้นใสราวกระดิ่งน้ำค้าง ทว่ากลับทำให้หนังตากระตุกถี่ มือใหญ่กำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ฟันขบกรอดด้วยโทสะที่เดือดพล่าน เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังสนั่นจนสะท้อนก้องไปตามทางเดิน นายท่านเฟิ่งเดินนำฝ่าประตูจวนเข้ามาอย่างไร้มารยาท ท่ามกลางเสียงร้องห้ามปรามของบ่าวไพร่ที่เฝ้าประตู ใบหน้าแดงก่ำด้วยโทสะ ดวงตาคมกริบดุจเพลิงไฟที่พร้อมเผาทุกสิ่งให้วอด เหล่าสาวใช้ในจวนต่างหันมองด้วยความตื่นตระหนก บ้างก็รีบหลีกทางราวกับเกรงว่าจะถูกแรงโทสะเผาไหม้ไปด้วย “เรียกคุณชายรองออกมา! วันนี้ข้าจะถามว่าเหตุใดจึงกล้าทำให้บุตรสาวข้าต้องอับอายเพราะความเห็นแก่ตัว!” เสียงตวาดดังสะท้อนกึกก้องไปทั้งเรือน “นายท่าน…นายท่านใจเย็นก่อนเถอะเจ้าค่ะ” แม่บ้านวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าเงยหน้ามอง นางยอบกลายคารวะอย่างนอบน้อม ท่านเฟิ่งแค่นเสียงฮึดฮัดในลำคอ ตวัดสายตามองก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “ไปตามคุณชายรองมาพบข้า บัดเดี๋ยวนี้!” “เจ้าค่ะ! เจ้าค่ะ!” แม่บ้านสะดุ้งเฮือกใหญ่ รีบถอยห่างและออกไปเรียกคุณชายรองทันที ไม่นานนักเซียวจิ้งอวิ๋นผู้เป็นต้นเหตุของเรื่องก็ปรากฏตัวในอาภรณ์หรูหรา ใบหน้าหล่อเหล่าเรียบเฉยสงบ ดวงตาเพียงเหลือบมองนายท่านเฟิ่งอย่างเฉยชา ริมฝีปากยกยิ้มบางราวกับเย้ยหยัน ก่อนจะประสานคารวะตามมารยาทอย่างไม่เต็มใจ “นายท่านเฟิ่ง บุตรสาวของท่านหาได้ถูกบังคับไม่ นางเป็นผู้เลือกเองว่าจะกระโดดลงน้ำ” น้ำเสียงทุ้มราบเรียบ แฝงความเย็นชาจนทำให้เส้นเลือดบนขมับของนายท่านเฟิ่งปูดโปนยิ่งกว่าเดิม วันนั้นเมื่อตอนเช้า เขาพาไป๋หว่านชิงไปตัดชุดแต่งงานแต่ระหว่างทางกลับพบเฟิ่งจิงหรงที่แอบตามมาดักหาเรื่อง ครานี้นางหาได้พูดพร่ำมากความ เพียงข่มขู่ว่า หากเขาไม่ยกเลิกงานแต่งก็จะกระโดดน้ำตาย เขาจำเป็นต้องสนใจด้วยหรือ!? อย่างไรก็มีเพียงวาสนาที่ได้พบพานหาได้ครองคู่ หากวันนี้เขาฝืนใจเลือกแต่งกับนาง วันข้างหน้าก็ย่อมเลิกราต่อกันอยู่ดี เดิมทีเซียวจิ้งอวิ๋นก็ไม่ได้ต้องการหมั้นกับนาง หากมิใช่ถูกบังคับ มิหนำซ้ำด้วยนิสัยเอาแต่ใจที่มากขึ้นทุกวัน ชีวิตของเขาก็คงกลืนฝืนราวกับถูกกลบฝังดินทั้งเป็นแน่! เซียวจิ้งอวิ๋นยิ่งหาได้สนใจสิ่งใด เขาจึงพาไป๋หว่านชิงไปร้านตัดผ้าตามนัดหมายดังเดิม ทว่าในระหว่างนั้น กลับสาวใช้วิ่งเข้ามาแจ้งว่า เฟิ่งจิงหรง กระโดดน้ำจริง แต่แล้วอย่างไร…หาใช่ความผิดของเขาที่บอกให้นางกระโจนลงน้ำ “สารเลว! หากมิใช่เพราะเจ้าหักหน้านาง ทำให้บุตรสาวข้าต้องเสียหน้าและถูกหัวเราะเยาะ ยังจะมีหน้ากล้ามากล่าวว่าไม่ใช่ความผิดของเจ้าอีกหรือ!” เสียงตวาดนั้นดังสะท้อนไปทั่ว จนทั้งจวนสั่นสะเทือนด้วยความโกรธของนายท่านเฟิ่ง ใบหน้าของนายท่านเฟิ่งบิดเบี้ยว เขียวคล้ำด้วยความโกรธ ความแค้นคับแน่นพลุ่งพุ่งอยู่เต็มอก ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายกดดันรุนแรง ทว่าเซียวจิ้งอวิ๋นกลับหาได้หวาดหวั่นหรือรู้สึกกลัว ใบหน้าของหล่อเหลายังคงปรากฏรอยยิ้มจางๆ “แล้วนางเป็นอย่างไรบ้างขอรับ...ตายหรือไม่” เขาเอ่ยถาม “นี่เป็นความผิดของข้าเอง” น้ำเสียงหวานสั่นเครือเจือด้วยความรู้สึกผิดของไป๋หว่านชิงดังขึ้น ไป๋หว่านชิงเดินออกมาจากด้านในจวนพร้อมนายท่านเซียวที่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธไม่แพ้กัน “นายท่านเฟิ่งอย่าลืมว่านี่คือจวนสกุลเซียว มิใช่ที่ที่ให้ท่านมาโวยวายอาละวาดได้ หากบุตรชายของข้าไม่รัก และไม่ปรารถนาจะเกี่ยวดองกับบุตรสาวท่าน จะบังคับฝืนใจไปทำไมกัน” น้ำเสียงของนายท่านเซียวเข้มขรึม แฝงความเด็ดขาดราวกับท้าทาย นายท่านเฟิ่งกำมือแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยโทสะ พลางแค่นเสียงรอดไรฟันพูดออกมา “เป็นบุตรชายของท่านกล้ากระทำเช่นนี้กับบุตรสาวข้า! กล้าหยามเกียรตินางต่อหน้าผู้คน!” เสียงทุ้มคำรามดังสะท้อนก้อง เส้นเลือดบนขมับเต้นตุบๆ ด้วยความโกรธเกรี้ยวและเดือดดางอย่างถึงที่สุด เซียวจิ้งอวิ๋นยังคงยืนสงบนิ่ง รอยยิ้มบางยังคงประดับบนใบหน้า “นายท่านเฟิ่ง…ข้าหาได้กระทำผิดประการใด เป็นบุตรสาวของท่านเลือกเองจะกระโดดน้ำเอง ข้าจะไปขัดใจทำไมกัน” เขาสวนกลับราบเรียบ แฝงความเย็นชา ทำให้ความโกรธของนายท่านเฟิ่งพลุ่งพล่านขึ้นเป็นเท่าทวี ไป๋หว่านชิงก้าวมาขวางไว้ระหว่างกลาง น้ำเสียงหวานสั่นเครือ “นายท่าน…นี่มิใช่ความผิดของเขา แต่เป็นความผิดของข้า” แต่คำพูดนั้นกลับยิ่งจุดไฟโทสะของนายท่านเฟิ่งให้พวยพุ่ง “นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า! ไป๋หว่านชิง!” เซียวจิ้งอวิ๋นสวนกลับทันที พร้อมดึงร่างบางของนางไว้ใกล้ตัว “เดิมทีระหว่างข้าและเฟิ่งจิงหรงก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอยู่แล้ว แต่ผู้ใดจะคิดเล่าว่าเพียงแค่การเดินผ่านของข้าจะไปต้องตาถูกใจจนทำให้นางพาบิดามาบังคับสกุลเซียวต้องหมั้นหมายกับนางโดยไร้ทางเลือก” เซียวจิ้งอวิ๋นกล่าวขึ้นน้ำเสียงหนักแน่น “หากต้องให้ข้าเป็นสามีของนาง…มิสู่กระโดดลงหน้าผาไม่ง่ายกว่าหรือ!” ณ จวนสกุลเฟิ่ง เฟิ่งจิงหรงยังคงนั่งหอบอยู่บนเตียง มือเรียวกุมขึ้นกอบอก ใบหน้าคนซีดเผือด นัยน์ตาคู่งามเต็มไปด้วยความสับสน ความทรงจำจากโลกปัจจุบันไหลทะลักเข้ามาปะปนพร้อมกับความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมที่ราวกับกระแสน้ำป่าที่ไม่อาจห้าม ภาพเลือด แสงไฟวาบวับ ความเจ็บปวดแสนสั้น และหัวใจที่หยุดเต้นชั่วขณะก่อนจะดับวูบไป… นางลืมตาขึ้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้…นางไม่ได้อยู่ในร่างเดิม หัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงด้วยความปั่นป่วนและความสับสน ความกลั และความโกรธที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น “นี่…ฉัน…ทะลุมิติมาอยู่ในร่างของคนนี้จริงหรือ” น้ำเสียงหวานพึมพึพูดถามตัวเองเบาๆ สั่นเครือ ทุกความทรงจำของร่างเดิมและเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในโลกนิยายประสานรวมกัน นัยน์ตาเมล็ดซิ่งฉายประกายวาววับ ตวัดไปมองสาวใช้ทันที ถ้อยคำพูดเมื่อครู่ยังดังสะท้อนก้องอยู่ในโสตประสาทของนางพร้อมกับความขึ้นหนึ่งที่ผุดขึ้นในหัว “น่าสมเพช!...บุรุษสารเลวผู้นั้นไม่สมควรได้รับความรักจากนางสักนิด!”พอได้ยินถ้อยนั้น ไป๋หว่านชิงลอบยิ้มออกมาซ่อนความพึงพอใจและสะใจลึกๆ อยู่ภายในใจนางไม่ได้แม้แต่ลงแรงคิดแผนการใด เพียงโยนกระดูกชิ้นหนึ่งขวางทางไว้เท่านั้น อีกฝ่ายกลับคาบแน่นไม่ยอมปล่อยเสียเอง“แต่คุณหนูเฟิ่ง นายท่านเฟิ่งรวมถึงทุกคนในสกุลเฟิ่งคงจะเกลียดข้ามากนัก เกรงว่าแม้แต่หน้ายังไม่อยากมองด้วยซ้ำกระมัง” เสียงหวานพึมพำคล้ายบ่นกับตนเอง หากแต่ดังชัดพอจะลอดเข้าไปในหูเซียวจิ้นอวิ๋นราวกับตั้งใจให้ได้ยินไป๋หว่านชิงเหลือบตาขึ้นมองเพียงเสี้ยวหนึ่ง ก่อนรีบก้มต่ำหลบสายตาดุดันอย่างหวาดระแวง ราวกับแบกรับความผิดอันใหญ่หลวงที่มิอาจลบเลือน มือเรียวทั้งสองกำจอกชาแน่นจนสั่นไหว เผยให้เห็นความเก้ๆ กังๆ อย่าประหม่าและรู้สึกผิด“สุดท้าย ความจริงก็ยังคงเป็นข้าที่ได้แย่งคุณชายมาอยู่ดี” น้ำเสียงหวานสั่นพร่าราวจะขาดห้วงลงกลางคันเซียวจิ้นอวิ๋นพลันเงียบงันไปครู่ใหญ่ พอได้ฟังน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยถ้อยคำตัดพ้อนี้ สายตาคมกริบที่มักจะแข็งกร้าวแจือแววเย็นชาค่อยๆ อ่อนยวบลงอย่างห้ามไม่อยู่เขาถอนหายใจยาวเหยียด แววตาที่ทอดมองสตรีตรงหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่ไม่เคยมีมาก่อน“ไป๋หว่านชิง…” เสียงทุ้มต่ำเรียกชื่ออย่างแผ่ว
“นึกไม่ถึงว่าคุณชายจ้าวจะมีน้ำใจช่วยเหลือผู้คน”น้ำเสียงทุ้มต่ำของซูเหรินเจี๋ยเอ่ยขึ้นเจือความเหน็บแนม สายตาเหลือบมองสหายตรงหน้าที่เอาแต่ทอดสายตาลงไปจากชั้นสองของโรงเตี๊ยม มองไปยังร้านเครื่องปั้นเคลือบของสกุลไป๋อย่างไม่ลดละ ราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเขาซูเหรินเจี๋ยยกน้ำชาขึ้นจิบพลางๆ แววตาฉายแววครุ่นคิดเมื่อหลายวันก่อนหน้า เขาและสหายนั่งจิบชาดวลหมากกันอยู่โรงเตี๊ยมตรงข้ามกิจการของสกุลไป๋ ทว่ากลับเกิดเหตุโกลาหลวุ่นวายขึ้นหน้าร้านเสียงดังเอะอะโวยวาย จนเขาและสหายอดมองด้วยความสนใจไม่ได้แท้จริงแล้วเป็นเพียงคุณหนูสกุลเฟิ่งที่ตามตื้อเซียวจิ้นอวิ้น นางประกาศเสียงดังว่าจะกระโดดลงน้ำ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจ ใยดีเดินจากไปไม่เหลียวแลขณะที่เหตุการณ์ดูเสมือนจะสงบลง ทว่าไม่ทันไรเขากลับได้ยินเสียงดังโหวกวายตะโกนมาว่ามีคนกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย พอหันกลับไปมองสหาย กลับเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นลงไปยังชั้นล่างโรงเตี๊ยม วิ่งผ่าฝูงชนท่าทางคล้ายเข้าไปช่วยแล้วซูเหรินเจี๋ยไม่คาดคิดว่าสหายผู้นี้ที่มีนิสัยนิ่งเฉย หาได้สนใจเรื่องของผู้ใดหรือแม้แต่สตรีใด นอกจากคุณหนูไป๋ ทว่าเหตุใดกลับยอมเสี่ยงชีวิตช่วยคุณหนูเฟิ่งแทน ทั้งที่
นายท่านเฟิ่งในยามนี้โกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด แววตาแข็งกร้าวจนแทบจะยกดาบไปฟาดฟันกับสกุลเซียวเสียให้รู้แล้วรู้รอดบรรยากาศภายในห้องโถงอึมครึมราวกับมีเค้าเมฆฝนหนาทึบลอยทับอยู่เหนือหัว เพราะหนึ่งวันของสกุลเฟิ่งกลับยาวนานราวหนึ่งปี เต็มไปด้วยเรื่องวุ่นวายที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดราวกับคลื่นซัดแม้ยามนี้จะล่วงถึงมื้อค่ำแต่ความสงัดเงียบกลับไม่ก่อความสงบ หากแต่ทำให้ทุกผู้คนในจวนรู้สึกกดดัน หนักหน่วงจนแทบจะหายใจไม่ออกท้องฟ้าแปรเปลี่ยนสี เริ่มมืดสลัว ประหนึ่งสะท้อนอารมณ์ของนายท่านเฟิ่งที่ยังพลุ่งพล่านไม่คลาย ความเงียบงัดแผ่ปกคลุมไปทั่วจวน ไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุยหรือเสียงหัวเราะของบ่าวไพร่ บ้างก็ต่างก้มหน้าทำงานด้วยความหวาดกลัวเฟิ่งฮูหยินนั่งนิ่งอยู่ข้างสามี สายตาหันไปมองบุตรชายคนเล็กที่ซุกซนไปตามวัย ยามนี้เฟิ่งจื้อหานกำลังวิ่งเล่นอย่างไม่รู้เรื่องรู้ซุกซนตามวัย ไม่เข้าใจว่าบรรยากาศหนักอึ้งเพียงใด ตั้งแต่บุตรชายเริ่มเดินได้ นางเองก็ค่อยได้พักผ่อนนัก แล้วไหนจะเรื่องของบุตรสาวคนโตอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวราวกับมีเข็มนับร้อยทิ่มแทงอยู่ในขมับ“เรื่องนี้…จะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร!” น้ำเสียงทุ้มต่ำของนายท่า
ดูเหมือนความคิดในหัวของนางจะดังเกินไปหน่อย ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความตกใจ ถ้อยคำที่เอ่ยออกไปยังสะท้อนก้องอยู่ในโสตประสาท ทั้งที่ความคิดก่อนหน้านี้ยังตีกันวุ่นวายอยู่ในหัว แต่ไฉนกลับพูดออกไปราวกับตกหลุมพรางของความหล่อเหลาของอีกฝ่ายเสียแล้วเฟิ่งจิ่นหรงยืนนิ่ง ตัวแข็งชะงักคล้ายหยุดหายใจไปชั่วขณะขณะที่จ้าวอวี้หมิงมองสตรีตรงหน้า หัวคิ้วเข้มขมวดอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าถ้อยคำเมื่อครู่ที่ได้ยินนั้นเป็นจริงหรือหูฝาดเพี้ยนไปเอง แต่กระนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าสติของสตรีตรงหน้าอาจเลอะเลือนไปเสียแล้ว“ข้าไม่ใช่คุณชายเซียว…” น้ำเสียงของเขาเข้มขรึม แต่แฝงด้วยความเย็นชา “หากคุณหนูอยากไปสกุลเซียวนั้นอยู่เส้นทางหน้าวังหลวง หากจำไม่ได้ก็บอกให้สารถีพาไป นี่คือจวนสกุลจ้าว”จ้าวอวี้หมิงถอนหายใจลึก ก่อนจะหันหลังจะเดินหนีคล้ายกับปฏิเสธพลางๆทว่าด้วยนิสัยดื้อรั้นเฟิ่งจิ่นหรงกลับก้าวตามเข้ามา ร่างบางยืนขวางทางอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาแน่วแน่“ข้า..ข้า มีเรื่องสำคัญจะพูดคุยด้วยเจ้าค่ะ” น้ำเสียงหวานตะกุกตะกะเต็มไปด้วยความประหม่า นางเงยหน้าขึ้นพลันประสานสบเข้ากับดวงตาคมกริบเย็นเยียบตรงหน้าพอดีจ้าวอวี้หมิงยืนนิ่ง มองสตร
บรรยากาศภายในเรือนนอนยังอบอวลด้วยกลิ่นยาสมุนไพร เหล่าสาวใช้ต่างยืนตัวสั่นมองคุณหนูที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงด้วยสายตาหวาดหวั่น น่าแปลกที่อีกฝ่ายไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญโวยวายเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับเงียบงันเย็นชาเสียจนกระอักกระอ่วนกดดันยิ่งนักเฟิ่งจิงหรงยกมือขึ้นแตะแก้มเนียนช้าๆ สัมผัสได้ถึงหยาดน้ำตาที่หลั่งรินอย่างไม่รู้ตัวของเจ้าของร่างเดิมไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นเพราะความเจ็บช้ำที่ครั้งหนึ่งเคยทุ่มเททั้งหัวใจให้บุรุษผู้นั้นจนยอมแลกด้วยชีวิต หรือเพราะเพลิงแค้นที่ยังคงครุ่กขุ่นแน่นอยู่ในอกกันแน่ “เจ็บปวดถึงเพียงนี้…นางต้องทนแบกรับความอับอายมานานเท่าใดกัน” น้ำเสียงหวานพึมพำพูดแผ่วเบาความทรงจำของร่างเดิมถาโถมเข้ามาไม่หยุด ทั้งถูกเยาะหยันว่าเป็นสตรีเอาแต่ใจ ถูกตราหน้าว่าใช้อำนาจข่มขู่บุรุษแต่งงานด้วยอย่างดื้อรั้นทุกภาพชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเฟิ่งจิงหรงเริ่มตั้งสติได้ริมฝีปากบางยกโค้งขึ้นเล็กน้อย หาใช่รอยยิ้มสดใสหากแต่เป็นรอยยิ้มเย็นชาเจือข่มความเจ็บปวดไว้ในอก“หากสวรรค์กำหนดให้ข้ามาอยู่ในร่างนี้ เช่นนั้น…ข้าก็จะใช้โอกาสนี้กลายเป็นนายร้ายตัวมัมที่พ่อพระเอกโง่งมเสียดายจนตาย”เฟิ่งจิงหรงหันขวับไป
ณ สกุลเซียวไป๋หว่านชิงเป็นเพียงบุตรสาวของตระกูลพ่อค้าที่ทำการค้าเปิดกิจการขายเครื่องปั้นเคลือบอยู่ในตลาด แม้เป็นเพียงสกุลพาณิชเล็กๆ หาได้มีเกียรติสูงส่งดังตระกูลขุนนางใหญ่ แต่ทว่าสวรรค์กลับประทานรูปโฉมอันงดงามให้ ที่ไม่ว่าผู้ใดที่เดินผ่านไปแล้วล้วนต้องเหลียวหลังหวนมองอีกทั้งยังมีวาทศิลป์การพูดจาละเมียดละไมอ่อนหวานจับใจ สามารถโน้มน้าวใจผู้คนให้ซื้อหาสินค้าได้โดยง่ายดังนั้น กิจการเครื่องปั้นเคลือบของสกุลไป๋จึงขายดิบขายดี มิใช่เพราะคุณภาพเพียงอย่างเดียว หากแต่ด้วยเสน่ห์การเจรจาของไป๋หว่านชิงเป็นสำคัญกระทั่งวันหนึ่ง…ในขณะที่ไป๋หว่านชิงเฝ้าร้านอยู่กับเหล่าคนงาน กลับถูกกลุ่มอันธพาลบุกเข้ามาก่อกวน หาได้หมายจะปล้นเครื่องปั้นราคาแพงไม่แต่กลับหมายจะฉุดนางไปเป็นภรรยาแทน!ทว่าสวรรค์เหมือนกำหนดไว้ เมื่อบุตรชายคนรองของสกุลเซียว…คุณชายเซียวจิ้งอวิ๋นผ่านมาพอดีและได้ช่วยเหลือนางเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิดวันนั้นจึงเป็นวันที่ทั้งสองพบพานกันครั้งแรกและกลายเป็นรักแรกพบของทั้งสองฝ่ายและไม่นานหลังจากนั้น คุณชายเซียวก็สร้างเรื่องอื้อฉาวไปทั่วเมือง หักหน้าสกุลเฟิ่งด้วยการประกาศยกเลิกการหมั้นหมายกับ เฟิ่งจิง







