ลมฝนห่าใหญ่พัดเกรียวกราว เปลวคบเพลิงที่ทหารองครักษ์นับสิบถืออยู่ไหวเอนแทบจะมอดดับ ทว่าแม้ไฟจะอ่อนแรงริบหรี่ สายตาของผู้คนในบริเวณนี้ก็ยังเห็นโลงศพไม้เนื้อดีตั้งตระหง่านกลางลานกว้าง ของเขตสุสานไร้ญาตินอกเมืองหลวงของต้าหรงราวเจ็ดสิบลี้อันรกร้างอยู่ดี
นอกจากองครักษ์ยังมีทหารในเกราะดำเรียงแถวรอบข้าง พลางจับด้ามดาบแน่น แต่พวกเขาล้วนเงียบงันจนได้ยินเสียงหายใจสั่นระคนสะอื้นของสตรีสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง
สตรีสูงศักดิ์นาม‘สวีเจียงหลัว’ถูกบังคับให้นั่งคุกเข่า ชุดอาภรณ์สีแดงดุจโลหิตถูกดึงทึ้งจนหลุดลุ่ย ผมยาวสลวยพันกันยุ่งเหยิง แต่กลับมิอาจกลบฝังความสง่างามที่นางมีติดกายมาแต่กำเนิด นางเงยหน้ามองบุรุษผู้เคยเป็นสวามีนาม ไป๋อี้เฉิน ที่ยืนตรงหน้าขณะนี้ สายตาของเขาที่ทอดมองลงมายังนางเย็นเยียบประดุจธารน้ำแข็ง
“เจียงหลัว...” เสียงของเขาเอื้อนเอ่ยอย่างแผ่วเบา หากแฝงความเด็ดขาดและอำมหิตยิ่งนัก
“เจ้าทำให้เจิ้นอับอายทั้งใต้หล้าไม่พอยังคิดลอบสังหารฮองเฮาที่กำลังอุ้มครรภ์มังกร เจ้าคิดว่าเจิ้นจะให้โอกาสเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าอีกหรือ”
“ฝ่าบาทกล่าวอันใดเพคะ หม่อมฉันไม่เข้าใจ” สวีเจียงหลัวกล่าวออกมาอย่างไม่รู้จริงๆ ว่าสวามีของตนเองกล่าวเรื่องอันใด นางไม่เคยทำอันใดเช่นที่เขากล่าวหา แต่กลับถูกจับกุมและฉุดกระชากลากถูมายังสุสานไร้ญาติเช่นนี้ทั้งที่นางกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ
“เจ้ายังจะทำไขสืออีกหรือเจียงหลัว เจ้าคิดหรือว่าเจิ้นนี้โง่เขลาจนไม่มีหลักฐานที่ว่าเด็กในครรภ์ของเจ้ามิใช่สายเลือดที่เกิดจากเจิ้น แต่เป็นสายเลือดกบฏของไป๋อี้หานกระมัง!”
“มิใช่! มิใช่นะเพคะ ฝ่าบาทรู้ดีที่สุดว่าอันใดเป็นอันใด เหตุฝ่าบาทจึงกล่าวเช่นนี้”
เสียงของสวีเจียงหลัวแหบแห้งนัก ร่างงามสั่นเทา มือทั้งสองกำขอบกระโปรงแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ นางไม่คิดเลย สวามีผู้เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดสามปี สวามีที่นางยอมกระทั่งให้ตนเองต้องมือเปื้อนเลือดสังหารคนด้วยตัวเองและไหว้วานผู้อื่นด้วยเล่ห์อุบาย เพื่อผลักดันเขาขึ้นบัลลังก์มังกรได้เป็น จักรพรรดิหย่งเฉิง ผู้นี้จะทำกับนางเช่นนี้
แน่นอนว่าสวีเจียงหลัวย่อมเคยคิดว่าวันที่เขาสมหวังได้เป็นใหญ่ จะเป็นวันที่ตนได้ยืนเคียงข้างฐานะสตรีสูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้า หาใช่วันที่เขาลงมือวางแผนใส่ร้ายป้ายสีเพื่อจะสังหารนางเช่นนี้
ขณะนั้นเองสายฝนเริ่มตกลงมากระทบเกราะดำดังเปาะแปะ มันดังปนเสียงสะอื้นแผ่วเบาของเสี่ยวจิ่วกับเสี่ยวผิงนางกำนัลที่ติดตามสวีเจียงหลัวมาแต่ยังเยาว์ บรรยากาศหนักอึ้งจนไม่มีใครกล้าสบตาสตรีผู้ถูกกล่าวหาว่าโฉดชั่วนอกจากหย่งเฉิงฮ่องเต้และสวีฮองเฮา
“ฝ่าบาทย่อมรู้ดีที่สุดว่าเด็กในครรภ์ของหม่อมฉันคือลูกของผู้ใด และฝ่าบาทย่อมรู้ดีที่สุดว่าตลอดมาเป็นผู้ใดกันแน่ที่มีสัมพันธ์สวาทลึกซึ้งกับไป๋อี้หาน!”
กล่าวจบดวงตาของสวีเจียงหลัวพลันตวัดไปมองยังสวีเจียงหลีในอาภรณ์สีชมพูอ่อนยืนเคียงข้างเขา ใบหน้างดงามฉาบรอยยิ้มอ่อนโยนผิดเวลา ดวงตาสุกใสแวววาวด้วยความพึงใจ พอเห็นพี่สาวมองตรงมาที่ตนเอง นางจึงค่อยโน้มกายต่ำลงหา มองพี่สาวด้วยแววตาสงสารและเห็นใจแสนจะเสแสร้ง
“ต้าหลัวเจี่ย ท่านนี่ช่างน่าสงสารยิ่งนัก หากมิได้ทำ...เหตุใดถึงมีพยานนับสิบ เห็นว่าท่านนัดพบกับไป๋อี้หานบ่อยครั้ง แม้แต่ในยามที่เขาจนตรอกถูกจับกุม ท่านก็ยังไม่เยี่ยมเขาที่คุกหลวง”
เสียงนั้นอ่อนหวาน แต่วาจาราวกับคมมีดกรีดซ้ำลงกลางใจ สวีเจียงหลัวจนนางเผลอกัดริมฝีปากจนได้กลิ่นคาวโลหิตพุ่งขึ้นในโพรงจมูก ทั้งตั้งใจจะไม่ร้องไห้แล้ว แต่น้ำตาที่ร้อนผ่าวกลับไหลออกมาทางหางตาโดยไม่รู้ตัว
นี่นะหรือบุรุษที่นางยอมทำทุกสิ่งที่เขาสั่งการ ยอมแม้แต่ไปยั่วยวนบุรุษอื่น มีสิ่งเดียวที่นางไม่ยอมก็คือทอดกายให้บุรุษอื่นเชยชม และเพราะเหตุนี้เองจึงกลายเป็นเหตุผลให้นางจำยอมคล้อยตาม ไป๋อี้เฉิน ที่เอ่ยปากขอร้องนางให้รับน้องสาวแท้ๆ ของตนเองมาเป็นภรรยาของเขาอีกคน!
เป็นเพราะสวีเจียงหลียินดีจะยอมพลีกายสวมรอยเป็นนางไปหลับนอนกับ ไป๋อี้หาน ชินอ๋องผู้มีอำนาจล้นเหลือแม้แต่อดีตฮ่องเต้ที่เป็นพระบิดาของเขายังต้องไว้หน้า ไป๋อี้เฉินจึงเอ่ยปากขอร้องนางให้เห็นใจ น้องสาว เช่นสวีเจียงหลีที่ยอมเสียสละตนเอง นางที่เป็นพี่สาวก็สมควรจะใจกว้าง ยอมแบ่งสวามีให้กับอีกฝ่าย
ใครเลยจะคาด พอไป๋อี้เฉินได้ครองราชย์ หลังไป๋อี้หานจากไปเมื่อเดือนก่อนด้วยโทษกบฏที่ถูกยัดเยียด เขากลับมาขอร้องกับนางให้ยอมสละตำแหน่งสวีฮองเฮาให้กับเจียงหลีไป ส่วนนางเขามอบให้เพียงฐานะ สวีหวงกุ้ยเฟย เหตุผลไม่มีอันใดมาก เพราะสวีเจียงหลีตั้งครรภ์แล้วส่วนนางนั้นยังไม่ตั้งครรภ์
ถึงคราวนั้นนางจะไม่เต็มใจ ทว่าท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านปู่ ท่านย่า แม้แต่ท่านตาก็ยังเห็นด้วย และกล่าวกับนางว่า นางคือพี่สาวต้องเสียสละ
เสียสละกับผีนะสิ!
เพราะนางถอยแล้วถอยอีก ถอยให้เพราะคำว่าพี่สาว ต้องใจกว้าง กับเรื่องที่สวีเจียงหลีเสียสละตนเองก่อน แต่สวีเจียงหลีที่ฉลาดเท่าทันคนทุกสิ่ง สุดท้ายก็มาจนมุมเพราะบุรุษที่รักกับน้องสาวใสไส้เช่นนี้
“เจ้า...เจียงหลี...หึ! หากจะกล่าวว่าบุตรในครรภ์ของข้าน่าสงสัย เช่นนั้นบุตรในครรภ์ของสวีฮองเฮาเล่าฝ่าบาท?”
ในที่สุดรุ่งอรุณของวันแต่งงานระหว่างชินอ๋องไป๋อี้หานกับคุณหนูใหญ่สวีเจียงหลัวก็มาถึง…ก่อนตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า ลมเหมันต์พัดความเย็นกระจายทั่วแผ่นดินต้าหรง เกล็ดหิมะโปรยบนพื้นขาวโพลน ดอกเหมยแดงเข้มบานสะพรั่งรอแสงแรกให้หยดน้ำค้างส่องประกายในจวนจวิ้นอันโหวยามโฉ่ว แม้ฟ้ายังมืด แต่บรรยากาศครึกครื้น กลิ่นธูปมงคลอบอวล บ่าวไพร่วิ่งวุ่นต้อนรับแขก ญาติมิตรกว่าห้าร้อยชีวิตหลั่งไหลเข้ามาผืนแพรแดงทอดจากประตูใหญ่สู่ลานใน ผ้าริ้วมงคลสะบัดไหว อักษร ซังซี่ สีทองสะท้อนแสงคบเพลิง เครื่องเซ่น ขนมมงคล โคมมังกรหงส์ถูกจัดรอฤกษ์สมเกียรติว่าที่สะใภ้ราชวงศ์ณ เรือนฉาฮวา บ่าวสาวขวักไขว่ “คุณหนูเจ้าคะ…ได้เวลาตื่นแล้ว”เสียงข่งหมัวมัว คนสนิทของสวีฮูหยินดังขึ้น นุ่มนวลพอปลุกคนบนเตียงได้ ม่านลูกไม้ปักโบตั๋นเลื่อมทองถูกรูดขึ้น กลิ่นกำยานผสานดอกเหมยแห้งโชย ร่างบอบบางใต้ผ้าห่มแพรขยับ ดวงตาเรียวยาวสะท้อนประกายเยือกเย็นลึกยากหยั่งถึงเจียงหลัวมิได้งัวเงีย นางตื่นก่อนนานแล้ว เฝ้าฟังเสียงวุ่นวายจากเรือนใหญ่ ทุกเสียงบอกว่าวันสำคัญเริ่มต้นแล้ว“ในที่สุด…วันนี้ก็มาถึง” นางพึมพำ แฝงทั้งความยินดีและความหมายที่ลึกกว่าเพียงการออ
หลังพระราชโองการสมรสประกาศออกมา พร้อมฤกษ์มงคลเพียงสิบห้าวันข้างหน้า จวนจิ้นอันโหวที่เคยสงบจึงพลันกลับมาคึกคักราวรังผึ้งแตกผู้ดูแลพิธีจากตำหนักกวางผิงในเมืองหลวงของชินอ๋องและคนจากตำหนักหนิงเฟิ่งของเว่ยไทเฮาผลัดกันเข้าออกเช้าเย็นไม่ขาด ราชเลขาฝ่ายในเองก็ส่งคนมาตรวจความพร้อมในทุกกระเบียดนิ้ว ตั้งแต่แบบพิธีฝ่ายเจ้าสาว รายการสินสอดและสินเดิมตำรานำขบวนหมั้น ไปจนถึงกระดาษมงคลที่จะใช้ในพิธีช่างหลวงตัดเย็บชุดสมรส ช่างไม้ ช่างแกะลาย ช่างเงิน ช่างทอง เดินเข้าออกจวนมิขาดสาย จนคฤหาสน์ขุนนางเก่าแก่แห่งนี้คล้ายกลายเป็นโรงพิธีของวังหลวงไปโดยปริยายเพราะหย่งหมิงฮ่องเต้กับพุดตานไทเฮากำชับมาด้วยพระองค์ว่าแต่งลูกสะใภ้กับน้องสะใภ้คนนี้ต้องยิ่งใหญ่ที่สุด!แม้ในใจของสวีฮูหยินและจวิ้นอันโหวจะอาลัยนักที่ต้องส่งบุตรีคนโตออกเรือนใกล้เคียงกันถึงสองคน ทว่าฐานะขุนนางชั้นสูงย่อมไม่มีทางปล่อยให้พิธีบกพร่องสักเสี้ยว ทั้งสองรักลูกเท่ากันไม่เคยลำเอียงคนรองเต็มที่เพียงใด คนพี่ก็ต้องเต็มที่ไม่ต่างกันและมิใช่เพียงจวนจวิ้นอันโหวแต่จวนสกุลโจวของท่านราชครูโจวอดีตอาจารย์ของหย่งหมิงฮ่องเต้และเป็นท่านตาของสวีเจียงหลัวเองก็จัดเ
ช่วงสายของวันที่เจ็ดหลังจบสิ้นเทศกาลล่าสัตว์หน้าประตูใหญ่ของจวนจวิ้นอันโหว ก็ปรากฏขบวนขันทีแปดคน ด้านหลังของพวกเขาเป็นองครักษ์ราชสำนักถืออาวุธครบมือดูสง่าและน่าเกรงขามยิ่งชาวบ้านมากมายเริ่มเยี่ยมหน้าออกมาดูชมความอึกทึกครึกโครมของจวนโหวในรอบสามเดือน บางคนเริ่มซุบซิบว่าจะมีเรื่องมงคลเกิดขึ้นอีกแล้วกระมังท่ามกลางสายลมโบกแรง แสงแดดยามเฉินแผดจ้า ธงประจำสำนักราชเลขาสีทองปักลายมังกรงามสง่าปลิวสะบัดอยู่หน้าขบวนขันทีหลวง คล้ายจะประกาศให้รู้ทั่วทั้งเมืองหลวงว่าพระราชโองการอันสำคัญกำลังจะตกลงสู่จวนนี้อีกครา…เสียงฆ้องทองสามครั้งดังก้องกังวาน ก่อนที่ขันทีหลวงผู้มีตำแหน่งสูงจะก้าวนำขบวนออกมาอย่างสง่างามโดยมีพ่อบ้านใหญ่ออกมาต้อนรับขับสู้ในมือของหัวหน้าขันทีใหญ่คือห่อผ้าแพรสีแดงสดล้อมปักทอง ลวดลายมังกรเหยียบเมฆาสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าจนแสบตาภายในคือพระราชโองการทองคำจำนวนหนึ่งฉบับ!เสียงของพ่อบ้านกวงผู้ดูแลเรือนหลักตะโกนประกาศด้วยอันดังเสียงให้บ่าวไพร่รีบคุกเข่านำหน้าขบวนอีกที“ทุกคนคุกเข่าเร็วเข้า พระราชโองการมาถึงแล้ว”เหล่าคนทั้งจวน ตั้งแต่ สวีเหล่าไท่เย่ สวีเหล่าไท่ไท่ จิ้นอันโหวผู้เป็นเจ้าเรื
ช่วงบ่ายของเดียวกันนั้นเอง...หย่งหมิงฮ่องเต้ได้เรียกสวีฉีฟ่านเข้ามาเจรจาส่วนตัวอีกครั้งในกระโจมหลวงบรรยากาศเงียบสงบแต่มากด้วยแรงกดดันไม่นานเสียงฝีเท้ามั่นคงเช่นนักรบกล้าแกร่งดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ“จวิ้นอันโหวมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขุนทีหน้ากระโจมหลวงรายงาน “เชิญเขาเข้ามาได้” ไป๋อี้เซียวที่กำลังกุมขมับรีบจัดอาภรณ์และทรงผมให้เข้าที่จึงเอ่ยอนุญาติจบคำของคนด้านใน ม่านกระโจมจึงถูกเปิดออกด้วยฝีมือขององครักษ์ ท่านโหวสวีฉีฟ่าน เดินเข้ามาอย่างสำรวม สีหน้าท่าทางแม้ดูสงบ หากแต่ใต้แววตานั้นเต็มไปด้วยความระวังและไม่วางใจ ร่างสูงก้มลงทำความเคารพ“ฉีฟ่านถวายพระพรฝ่าบาท อายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปีพ่ะย่ะค่ะ”“ลุกขึ้นเถิด” ฮ่องเต้รับคำเรียบ ๆ ดวงเนตรจับจ้องใบหน้าของขุนนางอาวุโสอย่างใคร่ครวญ“ฉีฟ่านนี่ก็ผ่านมาหลายชั่วยามแล้ว เจ้าได้เจียงหลัวกลับกระโจมไปแล้วตัดสินใจเช่นไรเล่า?”สวีฉีฟ่านนิ่งไปอึดใจ ก่อนจะอ้ำอึ้งเอ่ยด้วยเสียงต่ำติดขัด “คือว่า…กระหม่อม…”ฮ่องเต้หลุบพระเนตรลง คล้ายกลั้นลมหายใจไว้ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “เจิ้นรู้ว่ามันเร็วเกินไป…แต่เจ้าก็เห็นแล้ว ว่าอี้หานไม่ได้เอ่ยคำเหล่านั้นเพราะหล
ภาพที่ไป๋อี้หานทรุดกายคุกเข่าต่อหน้าทุกคนยังไม่สะเทือนใจผู้คนในโถงชั่วคราวนี้ได้เท่ากับตอนที่ชินอ๋องหนุ่มเอ่ยทวงความเป็นธรรมให้ตนเอง...อย่างหน้าด้านหน้าทน!หย่งหมิงฮ่องเต้ ทำสีหน้าราวกลืนยาขม ส่วนเกาฮองเฮาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นราวกับตนเองกลายเป็นอากาศไปแล้วท่านโหวสวีฉีฟ่านและฮูหยินโจวหรูเจี๋ยยืนอยู่ข้างกัน ใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและคาดไม่ถึงว่าชินอ๋องผู้มีสมยานาม ‘เทพสังหาร’ แห่งต้าหรงนั้นยามจะขอสตรีจากบิดามารดาจะหน้าด้านได้ถึงเพียงนี้นับว่าเกิดมาสี่สิบกว่าปีพวกเขาสองสามีภรรยาได้เปิดโลกแล้วจริงๆ ...แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือความกังวล ความห่วงใย และความหวงลูกสาวคนโตที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าคำพูดใดจะบรรยาย ชินอ๋องปกครองแคว้นอยู่เจียงหนานไกลจากเมืองหลวงห้าร้อยลี้สองเดือนก่อนพวกเขาทำใจปล่อยเจียงหลีให้แต่งกับองค์ชายสามอี้เฉินก็เพราะอีกฝ่ายยังอยู่เสวียนหยาง คิดถึงก็แค่ไปหาไม่ไกลถึงร้อยลี้ แต่เจียงหลัวออกแต่งออกไปไกลเพียงนั้นบิดามารดาเช่นพวกตนมิอาจทำใจท่านโหวถอนหายใจหนัก ๆ ดวงตาของเขาเปล่งประกายความปวดร้าว “ฝ่าบาท ได้โปรดเห็นใจกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ สองเดือนก่อนเพิ่งจะแต่งบุตรสาวคนรองไ
ยามอิ๋นสามเค่อ... แสงแรกของวันจากทิศตะวันออกยังไม่ปรากฏ ในกระโจมของชินอ๋องไป๋อี้หานที่เพิ่งสงบลงได้ไม่ถึงชั่วยาม...บัดนี้บนเตียงสองร่างที่เคียงกันหนึ่งคือเจ้าของกระโจมผู้กำยำ อีกหนึ่งคือร่างอรชรซึ่งหลับพริ้มอยู่ในอ้อมแขนของบุรุษ ที่ไม่เคยอ่อนโยนต่อใคร... ยกเว้นนางไป๋อี้หานจึงขยับกายลุกขึ้นมาแต่งกายอย่างเงียบเชียบ เขาห่มผ้าคลุมให้หญิงสาวแน่นหนา ก่อนรีบออกจากกระโจมของตนเองโดยใช้เส้นทางลับเร่งตรงไปพบจวิ้นอันโหวเขามิอาจเสี่ยงให้สวีเจียงหลัวตกเป็นเป้าสายตาและวาจาร้ายจากผู้คนในสนามล่าสัตว์ได้ถึงจะป้องกันเอาไว้ดีแล้วจากการกำชับคนของตนแต่ไป๋อี้หานไม่เสี่ยงให้คนนอกรู้ว่าตลอดคืนนางอยู่กับเขาแม้ในใจแทบพุ่งเข้าไปสังหารไป๋อี้เฉินและซูกุ้ยเฟยกับพวกของนาง แต่เขาก็ห้ามใจไว้ รอเวลา รอโอกาสเหมาะ เขาไม่ปล่อยแน่ ไม่ว่าผู้ใดที่แตะต้องสวีเจียงหลัว!เนื่องจากไป๋อี้หานคิดจนถี่ถ้วน เขามิอาจทำตามใจตนเองได้ เพราะหากเขาทำเช่นนั้น เรื่องที่สวีเจียงหลัวถูกวางยาจะต้องกระจ่ายไปทั่วค่ายพักแรมนี้ และไม่ถึงชั่วยามคงลื่อกระฉ่อนไปทั่วเสวียนหยางแต่จะให้เขาไม่เอาความเลยคงเป็นไปมิได้ ทว่าคนแรกที่เขาต้องไปพบย่อมเป็นบิดา