LOGINหิรัญออกจากบ้านไปทำงานตั้งแต่หกโมงเช้า เพราะเขาต้องนั่งเรือข้ามฟากไปยังเกาะรังนก เพื่อดูแลฟาร์มหอยมุกและบ่อเลี้ยงกุ้งในกระชัง ทำให้เขาต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้าในทุกๆ วัน กว่าจะถึงเกาะก็ใช้เวลาในการเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง
เมื่อถึงเกาะรังนก นายหัวหนุ่มก็เริ่มสำรวจบ่อเลี้ยงกุ้ง เขาสุ่มวัดอุณหภูมิของน้ำ จับกุ้งมาวัดขนาดและชั่งน้ำหนัก มีคนงานกำลังให้อาหาร เขาจึงไปดูหอยมุกต่อ หอยมุกที่เขาเลี้ยงคือหอยมุกซีกและหอยมุกจาน หอยมุกจานเป็นหอยสองฝาที่มีขนาดใหญ่สามารถผลิตหอยมุกได้เม็ดใหญ่และสีสวย ส่วนหอยมุกซีกคือหอยปีกนกจะมีขนาดเล็กกว่าหอยมุกจานและมีระยะเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตที่สั้นกว่า หอยมุกซีกใช้เวลาเลี้ยงแค่หนึ่งปีกว่าในขณะที่หอยมุกจานต้องเลี้ยงกันถึงสองปีถึงจะได้เก็บเกี่ยวผลผลิต นายหัวหิรัญเลี้ยงหอยมุกในกระชัง การดูแลไม่ต่างจากหอยมุกแบบธรรมชาติสักเท่าไหร่เพื่อให้ได้ไข่มุกที่มีความสวยงามจึงจำเป็นต้องใส่ใจในทุกรายละเอียด หอยมุกจะต้องเลี้ยงในระดับความลึกที่เหมาะสม อุณหภูมิและอาหารเป็นปัจจัยสำคัญ หอยมุกจะโตและให้สีสวยนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง แหล่งน้ำต้องเป็นธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ สงบ ไร้คลื่นลม มีการไหลเวียนของน้ำที่สม่ำเสมอ มีน้ำขึ้นน้ำลงวันละสองครั้ง ทำให้น้ำสะอาด มีแพลงก์ตอนตามธรรมชาติซึ่งเป็นอาหารของหอยมุกเพียงพอต่อการเจริญเติบโต หอยมุกที่นำมาเลี้ยงในกระชัง เมื่อได้พันธุ์หอยมาชาวประมงจะพักหอยในตะแกรงประมาณหกเดือนในเรือนเพาะเลี้ยง ก่อนจะฝังนิวเคลียสแล้วนำไปเลี้ยงเป็นเวลาหนึ่งปีหกเดือนถึงสองปีตามสายพันธุ์ของหอยที่ชาวประมงกำหนดว่าจะให้ผลิตไข่มุกชนิดใด กว่าหอยมุกจะให้ผลผลิตจนสามารถขายออกสู่ตลาดได้ จำเป็นต้องประคบประหงมกันตลอดเวลา นอกจากจะต้องดูแลเรื่องน้ำ เรื่องอาหาร การดูแลรักษาความสะอาดก็เป็นอีกเรื่องที่ขาดไม่ได้ เพราะหอยมุกจะมีศัตรูตัวร้ายคือเพรียง พวกมันจะชอบมาเกาะตามฝาหอยแล้วเจาะจนฝาหอยมุกเป็นรู ทำให้หอยตาย เพราะฉะนั้นต้องหมั่นคอยตรวจเช็กและทำความสะอาดโดยการขูดออกอยู่เป็นระยะ เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดกับหอยมุกได้ หิรัญสุ่มเช็กหอยมุกในกระชังแต่ละสายพันธุ์ ดูความเจริญเติบโตของมันอย่างพึงพอใจ หอยในกระชังของเขาสะอาด สวย และเจริญเติบโตตามวัยได้ดีไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง กุ้งบางบ่อก็โตพอที่จะทยอยจับออกไปขายในตลาดได้แล้ว เขายิ้มอย่างพึงพอใจ นายหัวหนุ่มเดินไปพักที่ใต้ต้นไม้ริมทะเลสาบ ดื่มน้ำมะพร้าวจากต้นที่เฉาะกันสดๆ ตรงนั้น "ฮ้าย! ชื่นใจดีจัง" หิรัญปาดริมฝีปากที่เลอะน้ำมะพร้าวออกด้วยหลังมือแกร่ง ภาพนายหัวหนุ่มที่ดูหล่อแมน เซอร์นิดๆด้วยผมยาวและหนวดเคราเต็มใบหน้า ไม่ได้คลาดจากสายตาของพวงผกาลูกสาวแม่บ้านที่จ้องจะงาบชายหนุ่มอยู่ทุกวี่ทุกวันแต่หิรัญไม่เล่นด้วย ทั้งที่แม่สาวคนสวยขยันอ่อยเช้าอ่อยเย็น แต่คนเย็นชาก็นิ่งเสียยิ่งกว่าพระ ไม่เคยตบะแตกแม้หล่อนจะพยายามใส่เสื้อผ้าทั้งเว้าทั้งแหวกจนเห็นสองเต้าเกือบเต็มสองตา นายหัวหนุ่มก็ไม่ชายตาแล จนหล่อนต้องยอมแพ้ไปเอง "อีนังผกา..นี่เองมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ยกกับข้าวกับปลาไปให้นายหัวสิ เที่ยงกว่าแล้ว นายหัวหิวแย่แล้วเนี่ย" "จ้ะแม่..จะยกไปเดี๋ยวนี้แหละจ้ะ น่ารำคาญ!" "แหม..ทำเป็นรำคาญ ทีเมื่อก่อนกูไม่เห็นต้องใช้ เสนอหน้ามาขอยกกับข้าวไปให้นายหัวอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน" "ก็นั่นมันเมื่อก่อน ตอนนั้นนายหัวหิรัญยังไม่มีเมีย ฉันก็ยังพอมีหวัง แต่วันนี้หมดหวังละ เฮ้อ! เสียดายจัง ไปก่อนนะแม่" "เออ..คิดได้ก็ดี รู้จักเจียมกะลาหัวเสียบ้าง เรากับเขามันต่างกันนัก อย่าใฝ่สูงนักเลยว่ะ" "จ๊ะ..รู้แล้วน่า บ่นจริง" คนเป็นแม่ส่ายหัวนิดๆ ให้กับพวงผกา นางพร่ำบ่น พร่ำสอนลูกสาวอยู่ตลอดเวลา ว่าอย่าคิดจับนายหัวหิรัญ แต่ลูกสาวหัวดื้อหัวรั้นก็ไม่ฟังเธอเลยสักนิด จนมาวันนี้พวงผกากลับคิดได้เอง ก็ยังดีที่เธอยังมีจิตสำนึกที่ดีอยู่บ้าง เลิกยั่วยวนนายหัวหิรัญเพราะตอนนี้ท่านมีภรรยาแล้ว มันน่าภูมิใจน้อยเสียที่ไหน "วันนี้ป้าแก้วแกงอะไรเหรอผกา" ทันทีที่สาวน้อยยกกับข้าวมาให้ เขาก็เอ่ยปากถามทันที เพราะตอนนี้เริ่มหิวจนตาลาย พวงผกาวางถาดอาหารลงตรงแคร่ไม้ไผ่ใกล้ๆ กระติกน้ำของหิรัญ "วันนี้มีแกงส้มชะอมกุ้งจ้ะ ไข่เจียว แล้วก็ปลาเค็มทอดเป็นกับแกล้มด้วยนะจ๊ะ" "ขอบใจมากนะผกา เดี๋ยวช่วยไปตามไอ้ทับกับไอ้ทีมาที่นี่ด้วยนะ" "ได้จ้ะนายหัว" พวงพผกาลูกสาวแม่ครัวเดินหาทับกับทีเสียทั่วกว่าจะเจอตัวก็ปาไปสิบนาทีน่าจะได้ "พี่ทับ พี่ที นี่พวกพี่มัวทำอะไรนายหัวให้มาตามไปกินข้าว" "จ้า จ้า ไปเดี๋ยวนี้แหละจ้า ขอบใจมากนะที่มาตามอะ" "จ้ะพี่ที งั้นฉันไปก่อนนะ รีบๆ ไปกันล่ะ" "จ้ะผกา" ทีส่งยิ้มให้พวงผกาเสียหวานหยดย้อย เขาแอบรักแม่สาวน้อยคนนี้มานาน แต่ไม่กล้าบอกรัก เพราะรู้ว่าหล่อนแอบรักนายหัวหิรัญ "เราไปกันเถอะพี่ทับ เดี๋ยวนายหัวจะคอยนาน" ทีหันไปกล่าวกับทับที่ยืนวัดขนาดกุ้งแต่ละไซซ์ เพื่อเช็กดูว่าบ่อไหนจะสามารถจับส่งให้แม่ค้าได้ในวันพรุ่งนี้ "อือ..ได้ๆ ไปกัน" เขาวางปากกาและกระดาษลงบนโต๊ะทำงาน รีบเดินไปหานายหัวหิรัญทันที ทับกับทีเป็นพี่น้องกัน สองคนนี้ถือว่าเป็นมือซ้ายมือขวาของหิรัญ คอยดูแลควบคุมคนงานให้อยู่กันอย่างสงบเรียบร้อย เพราะบนเกาะรังนกคนงานส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย 90 เปอร์เซ็น ส่วนอีก 10 เปอร์เซ็นเป็นผู้หญิง ซึ่งก็เป็นครอบครัวของคนงานในฟาร์ม พวกผู้หญิงมีหน้าที่ทำงานบ้าน ทำอาหารเลี้ยงคนงานและงานเบาๆ เท่านั้น ตกดึกเมื่อเสร็จงานก็จะมีการดื่มสังสรรค์ เมื่อเหล้าเข้าปากไม่แปลกที่จะมีปากเสียงกันบ้าง ทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง แต่ไม่เคยรุนแรงจนถึงขั้นเลือดตกยางออก ทับกับทีมีหน้าที่ไกล่เกลี่ยและทำโทษหากฝ่าฝืนกฎ "ขอโทษครับนาย พวกผมมาช้าไปหน่อย" ทับกับทีรีบขอโทษเจ้านายที่ต้องนั่งคอยพวกเขานาน นายหัวหิรัญจะรอกินข้าวพร้อมพวกเขาทุกวันเพราะจะได้ปรึกษาเรื่องงานไปด้วย "ไม่เป็นไรฉันรอได้ แล้วพวกแกมัวทำอะไรอยู่ล่ะ" "พอดีพรุ่งนี้มีออเดอร์กุ้งสองพันกิโลครับ ผมกับพี่ทับก็เลยต้องคัดขนาดตามที่ลูกค้าต้องการ น่าจะประมาณสามบ่อก็พอ" "ดูแลคนงานให้คัดขนาดให้ดี อย่าให้ผิดไซซ์ เดี๋ยวลูกค้าจะตำหนิเอาได้" "ครับเจ้านาย" "กินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวกับข้าวจะเย็นซะหมด" "ครับ" ชายหนุ่มสามคนกินข้าวกันจนหมดหม้อแล้วแยกย้ายกันไปทำงานต่อ นายหัวหิรัญทำงานหนักทุกวันคนงานในฟาร์มรักนายหัวหิรัญกันทุกคน การจะคุมคนที่มากเป็นร้อยคนต้องมีทั้งพระเดชพระคุณที่เท่าๆ กัน แต่นายหัวหิรัญจะหนักไปทางพระคุณเสียมากกว่า แล้วอย่างนี้จะไม่เป็นที่รักได้ยังไงล่ะ กว่าหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบห้าจะเดินทางกลับถึงบ้านก็มืดค่ำพอดี ก้าวแรกที่เหยียบเข้าประตูบ้าน เขาถึงกับตกใจชะงักค้าง "นี่มันอะไรกันครับ ใครสั่งอะไรมาเยอะแยะมากมายอย่างนี้" นายหัวสิบทิศนั่งอยู่บนเก้าอี้มองหน้าหิรัญยิ้มๆ "นี่ชะเอมก็ขนขึ้นไปบนห้องครึ่งหนึ่งแล้วนะคะ" สาวใช้บ่นพึมพำใบหน้างอง้ำ เพราะวันนี้เธอต้องขนพัสดุตั้งแต่เช้าจนค่ำไม่รู้กี่รอบ รอบนี้น่าจะเป็นรอบสุดท้าย "เธอว่ายังไงนะ! แล้วขนเข้าไปไว้ในห้องใคร" "ก็ห้องคุณผู้หญิงไงคะ คุณยุวดาน่ะค่ะ" "นี่ของทั้งหมดนี้ของยุวดาอย่างนั้นเหรอครับ" นายหัวสิบทิศพยักหน้ารับ แต่ไม่พูดอะไร "แล้วใครเป็นคนจ่ายให้เธอครับ ในเมื่อตอนนี้เธอไม่มีเงินติดตัวสักบาท" "แล้วแกคิดว่าใครเป็นคนจ่ายให้เธอล่ะ ก็นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ไง" "แล้วคุณพ่อไปจ่ายให้เธอทำไมครับ ทำไมไม่ปล่อยให้พัสดุตีกลับ" "จะทำอย่างนั้นได้ยังไงล่ะ เสียชื่อนายหัวสิบทิศหมด" นายหัวสิบทิศอมยิ้ม ส่ายหัวนิดๆ ให้กับการแผลงฤทธิ์ของลูกสะใภ้ วันนี้เขาหมดเงินไปเกือบแสนบาท "หนูยิ้มเธอเป็นคนฉลาด เธอสั่งของเก็บเงินปลายทางแล้วบอกคนส่งว่านายหัวหิรัญเป็นคนจ่าย "แล้วคุณพ่อจ่ายเงินค่าของให้เธอไปเท่าไหร่ ผมจะใช้คืนให้ครับ" "ไม่มาก..ขาดห้าร้อยครบแสน" "หนึ่งแสน!" หิรัญกำหมัดแน่น กัดกรามจนนูนเป็นสัน "ผมจะพาหนูยิ้มของคุณพ่อไปฮันนีมูนสักสองสามอาทิตย์นะครับ" "ก็ดีเหมือนกันนะ แล้วแกจะพาน้องไปฮันนีมูนที่ไหนล่ะ" "เกาะรังนกครับคุณพ่อ เดี๋ยวผมจะโอนเงินคืนให้คุณพ่อนะครับ ขอตัวไปชำระความกับแม่ตัวดีก่อน" "อย่าทำอะไรน้องนะหิน แกคงแค่อยากแกล้งแกเล่น" "แกล้งเล่นทีละเป็นแสนแบบนี้ก็ไม่ไหวนะครับ เธอต้องรับผิดชอบในการกระทำ หนูยิ้มของพ่อต้องโดนดัดสันดาน" หิรัญก้าวเดินอาดๆ ขึ้นไปบนห้อง เคาะประตูสองสามครั้งก่อนจะไขประตูเข้าไป "คุณเข้ามาในห้องฉันทำไม" "วันนี้คุณทำอะไรลงไปยุวดา สนุกมากสินะ" "ใช่ค่ะ..สนุกมาก พรุ่งนี้เตรียมเงินไว้อีกหลายๆ แสนนะคะ เพราะฉันกำลังจะสั่ง" "ไม่มีการสั่งอะไรอีกทั้งนั้น เพราะถึงคุณสั่งก็จะไม่มีใครจ่าย ผมเองก็ไม่จ่าย จะปล่อยให้พัสดุตีกลับ คุณคิดจะผลาญเงินผมอีกเท่าไหร่ครับ คุณยุวดา" "ไม่น่าถามเลยนะคะ ฉันก็จะผลาญจนคุณหมดตัว" "ยุวดา!" หิรัญคำรามออกมาเสียงดัง ฉวยข้อมือบางกระชากขึ้นมาจนเซถลาปะทะกับแผงอกกำยำ เขารัดร่างบางเอาไว้แน่น นิ้วมือแกร่งบีบแก้มเธอจนเจ็บ "ฉันเจ็บนะคะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!" เธอดิ้นขลุกขลัก พยายามกระทืบเท้าซ้ำๆ ใส่เท้าของคนตัวโต แต่เขาก็หลบได้ทันทุกที "เราจะไปฮันนีมูนกันที่เกาะของผมสักสองสามอาทิตย์ ที่นั่นมันไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ คุณจะได้เลิกผลาญเงินผมเสียที" "ฉันไม่ไป!" เธอแหวใส่ "แต่คุณต้องไป เพราะผมจะไม่ปล่อยคุณไว้ห่างตัวอีกแล้ว เก็บเสื้อผ้า แล้วตามผมลงมา เราจะไปกันคืนนี้เลย" หิรัญสั่งเสร็จก็ปล่อยตัวเธอให้เป็นอิสระ ยุวดาหน้างอง้ำแต่ก็ต้องทำตามคำสั่งของเขา เขานั่งคอยจนกว่าเธอจะจัดกระเป๋าเสร็จ รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของหิรัญ (คุณมันก็แค่ลูกไก่ในกำมือ..ยุวดา)หิรัญลากตัวหญิงสาวลงมาแบบถูลู่ถูกัง ยุวดาทำหน้างอง้ำ สะบัดข้อมือบางที่ถูกกอบกำไว้ด้วยมือแข็งแกร่ง"นี่คุณปล่อยแขนฉันนะ ฉันเจ็บรู้บ้างสิคะ"หิรัญไม่ฟังยังคงลากแขนของเธอต่อไป "ชะเอม..เดี๋ยวเธอขึ้นไปยกกระเป๋าของคุณยิ้มแล้วตามฉันไปที่รถนะ""ค่ะคุณหิน"หิรัญสั่งแม่บ้านเสร็จก็หันไปพูดกับคนเป็นพ่อต่อ"คุณพ่อครับ..ผมกลับเกาะก่อนนะครับ ถ้าพัสดุมาส่งคุณพ่อไม่ต้องรับปล่อยให้พัสดุตีกลับไปเลย""ได้" นายหัวสิบทิศรับคำลูกชาย "แกอย่าทำอะไรน้องรุนแรงนะ น้องยังเด็กมาก""ครับ"เขาตอบแค่นั้น จับกระชับข้อมือบางลากมายังรถกระบะแล้วยัดตัวเธอเข้าไป ชะเอมยกกระเป๋าเดินทางของยุวดามาให้ เขาก็จับยัดมันเข้าไปในรถดังโครม"นี่! เบาๆ หน่อยสิคุณ ทำแบบนี้กระเป๋าฉันก็พังหมดกันพอดี""ผมไม่สน พังก็ซื้อใหม่"หญิงสาวหันขวับไปทางด้านซ้ายจ้องมองใบหน้าคมคร้ามแล้วแหวใส่"คุณรู้รึเปล่าว่ากระเป๋าใบนี้ราคาเท่าไหร่""เท่าไหร่""หึ! ฉันก็ลืมไปคนบ้านนอกอย่างคุณคงอ่านยี่ห้อไม่ออกสินะ" หญิงสาวกรอกตาเบะปากอย่างน
หิรัญออกจากบ้านไปทำงานตั้งแต่หกโมงเช้า เพราะเขาต้องนั่งเรือข้ามฟากไปยังเกาะรังนก เพื่อดูแลฟาร์มหอยมุกและบ่อเลี้ยงกุ้งในกระชัง ทำให้เขาต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้าในทุกๆ วัน กว่าจะถึงเกาะก็ใช้เวลาในการเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงเมื่อถึงเกาะรังนก นายหัวหนุ่มก็เริ่มสำรวจบ่อเลี้ยงกุ้ง เขาสุ่มวัดอุณหภูมิของน้ำ จับกุ้งมาวัดขนาดและชั่งน้ำหนัก มีคนงานกำลังให้อาหาร เขาจึงไปดูหอยมุกต่อ หอยมุกที่เขาเลี้ยงคือหอยมุกซีกและหอยมุกจาน หอยมุกจานเป็นหอยสองฝาที่มีขนาดใหญ่สามารถผลิตหอยมุกได้เม็ดใหญ่และสีสวย ส่วนหอยมุกซีกคือหอยปีกนกจะมีขนาดเล็กกว่าหอยมุกจานและมีระยะเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตที่สั้นกว่าหอยมุกซีกใช้เวลาเลี้ยงแค่หนึ่งปีกว่าในขณะที่หอยมุกจานต้องเลี้ยงกันถึงสองปีถึงจะได้เก็บเกี่ยวผลผลิตนายหัวหิรัญเลี้ยงหอยมุกในกระชัง การดูแลไม่ต่างจากหอยมุกแบบธรรมชาติสักเท่าไหร่เพื่อให้ได้ไข่มุกที่มีความสวยงามจึงจำเป็นต้องใส่ใจในทุกรายละเอียด หอยมุกจะต้องเลี้ยงในระดับความลึกที่เหมาะสม อุณหภูมิและอาหารเป็นปัจจัยสำคัญ หอยมุกจะโตและให้สีสวยนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง แหล่งน้ำต้องเป็นธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ สงบ ไร้คลื่น
นายหัวสิบทิศเดินมาที่โต๊ะอาหารแต่กลับว่างเปล่า ไม่มีใครนั่งอยู่ตรงนั้น มีเพียงอาหารหลายอย่างที่วางเรียงกันอยู่บนโต๊ะกินข้าว และสาวใช้ที่ยืนรอตักข้าวให้เจ้านาย"ชะเอม..เธอขึ้นไปตามคุณหนูให้ลงมาทานข้าว ป่านนี้แกคงตื่นแล้วล่ะ""ได้ค่ะนายหัว""แล้วนี่ไอ้หินไปไหน ได้เวลากินข้าวแล้วยังไม่มา""หนูไม่ทราบค่ะ" สาวใช้รูปร่างสันทัดตอบกลับนายใหญ่ของบ้านด้วยถ้อยคำฉะฉาน"ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเลยไปดูคุณหินที่ห้องด้วยนะว่าอยู่หรือเปล่า บางทีเขาอาจจะนอนพัก""ได้ค่ะนายหัว"สาวใช้ตอบรับยังไม่ทันจะก้าวไปจากห้องรับประทานอาหารเสียงฝีเท้าหนักๆ ของหิรัญก็ดังขึ้นพร้อมเสียงทัก"ผมมาแล้วครับ แล้วนี่คุณหนูขี้วีนยังไม่ลงมาอีกเหรอครับ""ยัง..นี่พ่อกำลังจะให้ชะเอมขึ้นไปตามให้ลงมาทานอาหารพร้อมกัน ป่านนี้หนูยิ้มคงตื่นแล้วกระมัง""ครับ"นายหัวสิบทิศและนายหัวหิรัญนั่งรอยุวดาให้ลงมาทานอาหารพร้อมกัน ไม่อยากเสียมารยาททานก่อน สักพักชะเอมสาวใช้ก็เดินกลับมาบอกกับเจ้านายทั้งสองว่ายุวดาจะไม่ลงมา แต่จะให้ยกอาหารขึ้นไปให้เธอทานข้างบนหิรัญกัดกรามจนเป็นสันนูนด้วยความไม่พอใจ นึกว่าตัวเองใหญ่โตมาจากไหน ถึงได้ไม่ลงมาทานอาหารต้องให้คนยก
หลายชั่วโมงต่อมา..รถกระบะสี่ประตูเคลื่อนตัวไปข้างหน้าช้าๆ มุ่งหน้าลงใต้ หิรัญไม่แวะที่ไหนเพราะเติมน้ำมันมาเต็มถัง ส่วนคนที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลังนั่งทำหน้างอง้ำอยู่ได้สักพักใหญ่ๆ ก็ผล็อยหลับไปในที่สุด ทั้งคู่ไม่พูดอะไรกันสักคำ ชายหนุ่มทำหน้าที่พลขับได้เป็นอย่างดี เขาหรี่แอร์ลงเมื่อมองเห็นอาการขนลุกซู่ของยัยเด็กเอาแต่ใจ ชายหนุ่มขับรถต่อไปเรื่อยๆ จนถึงประจวบคีรีขันธ์ ภาพใบหน้าหวานในยามหลับก็ดูน่ารักอยู่หรอก แต่ถ้าตื่นขึ้นมาไม่รู้ว่าหล่อนจะแผลงฤทธิ์อะไรใส่เขาอีก เขาคิดพลันกระตุกยิ้มตรงมุมปาก หิรัญพาเธอมาถึงบ้านที่ประจวบคีรีขันธ์ เขาดับเครื่องยนต์ปลดเข็มขัดนิรภัย ก่อนจะหันไปมองสาวสวยที่นั่งหลับคอพับศีรษะเอนพิงพนักไปทางด้านซ้าย หิรัญถึงกับถอนหายใจ"นี่หลับหรือตาย"เขาถอนหายใจหนักๆ อีกครั้งก่อนจะเปิดประตูรถแล้วเดินลงไปทันที อันที่จริงยุวดาตื่นนานแล้วแต่แกล้งหลับต่อ เพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับคนตัวโตในขณะนี้ ทันทีที่รถจอดสนิทหญิงสาวแอบแย้มเปลือกตาเปิดออกนิดๆ เพื่อดูว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ปรากฏว่าเธอกำลังอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ใกล้ทะเลสาบหิรัญเดินอาดๆ มาทางคนหลับ หญิงสาวรีบปิดเปลือกตาลงฉับเมื่อ
นายหัวหิรัญ เขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของนายหัวสิบทิศเจ้าของบ่อเลี้ยงกุ้งและฟาร์มหอยมุกที่หมู่เกาะรังนก เกาะส่วนตัวที่เป็นทรัพย์มรดกตกทอดมารุ่นสู่รุ่นตั้งแต่รุ่นคุณปู่ ชายหนุ่มในวัย 45 เคยผ่านการแต่งงานมาแล้วหนึ่งครั้ง ซึ่งในขณะนั้นหิรัญมีอายุได้ 25 ปี ส่วนนรี หญิงสาวผู้โชคดีแต่อายุสั้น เธอแต่งงานกับนายหัวหิรัญในวัย 23 ชายหนุ่มหญิงสาวแต่งงานอยู่กินกันได้เพียงไม่นาน นรีก็ต้องลาจากด้วยอุบัติเหตุทางน้ำ จากเหตุการณ์ครั้งนั้น หิรัญได้แต่โทษตัวเองที่ไม่สามารถช่วยเหลือหญิงสาวอันเป็นที่รักของตนได้เลย เขาได้แต่ยืนมองเธอจมหายไปในทะเลต่อหน้าต่อตา เย็นวันนั้นนายหัวหิรัญพาเมียรักไปดูฟาร์มหอยมุกด้วยกัน แต่ตอนขากลับเกิดมีพายุฝนฟ้ากระหน่ำรุนแรงทำให้ท้องทะเลปั่นป่วนมีเกลียวคลื่นขนาดยักษ์ซัดเข้ามายังลำเรือขนาดกลางของนายหัวหิรัญครั้งแล้วครั้งเล่าจนโคลงเคลงไปหมด นรีพลัดตกลงไปในทะเล เกลียวคลื่นหมุนวนดูดกลืนร่างกายของเธอจมหายไปยังก้นบึ้งในพริบตา หิรัญพยายามตามหาเมื่อพายุฝนฟ้าสงบลงแต่ก็ไม่พบศพของเธอเลย ไม่รู้ว่าเกลียวคลื่นจะดูดกลืนและซัดจนร่างกายของเธอลอยไปติดอยู่แห่งหนใด หรืออาจจะกลายเป็นอาหารของฉลามเพชฌฆา
"ไม่!..หนูยิ้มจะไม่ไปไหนทั้งนั้น หนูยิ้มจะอยู่ที่นี่ จะอยู่กับพ่อกับแม่ที่นี่ได้ยินไหมคะ"เสียงกรีดร้องของยุวดาแสลงหูหิรัญยิ่งนัก ชายหนุ่มยืนหันหลังเอามือล้วงกระเป๋าไว้ทั้งสองข้าง ใช้ลิ้นดุนกระพุ้งปากอย่างคนอารมณ์เสีย เขาอยากจะไปกระชากตัวแม่ตัวดีมาตีก้นสักสองสามทีเสียจริง รูปร่างหน้าตาก็ดูน่ารักจิ้มลิ้มแต่เจ้าหล่อนฤทธิ์เยอะไม่ใช่เล่น แถมยังเป็นจอมอาละวาดโวยวาย ดูก็รู้ว่าคงเป็นเด็กเอาแต่ใจ คงจะถูกพ่อแม่ตามใจเสียจนเคยตัว ก็เจ้าหล่อนมันลูกคุณหนูนี่นะ เขาก็ลืมไป"หนูยิ้มหยุดโวยวายได้แล้วนะ ไม่อายคุณหิรัญเขาบ้างเหรอ ความเป็นผู้ดีมีบ้างไหม"บิดาทนความเอาแต่ใจของบุตรสาวไม่ได้จึงขึ้นเสียงใส่หล่อน แต่แทนที่หญิงสาวจะสลด กลับเชิดหน้าขึ้นอย่างคนลำพองตน"จะอายทำไมคะ กะอีแค่ผู้ชายจนๆ หน้าตาก็คงอัปลักษณ์สุดๆ ถึงได้ไว้หนวดไว้เคราอย่างกับโจร" เธอแหวใส่คนที่ความอดทนเริ่มจะเป็นศูนย์"ก็ผู้ชายจนๆ ทรงโจรคนนี้นี่แหละที่กำลังจะเป็นผัวคุณ..คุณยุวดา"เพียงเท่านั้น เสียงกรีดร้องสิบแปดหลอดก็ถูกส่งออกมาพร้อมเท้าที่ขยับย่ำไปมากระทืบเต้นเร่าๆ"เอ้า! กรี๊ดเข้าไป เพิ่งรู้ว่าคนที่พ่อให้ผมมารับกลับไปเป็นบ้า""อ๊าย!!!







