ในกระจกเงานั้น...คือภาพของหญิงสาววัยแรกแย้ม ผิวขาวอมชมพูราวกลีบดอกพีชที่เพิ่งแย้มบาน ผิวพรรณของเธอสะท้อนแสงเช้าแวววาวนวลเนียน ไม่มีรอยใดต้องซ่อน
เส้นผมยาวดำขลับ หยักศกเล็กน้อยจากไอน้ำ ปล่อยยาวระต้นคอจนถึงสะโพก ราวม่านราตรีที่คลุมความฝันไว้ทุกเส้นสายใบหน้าของเธอได้รูป พวงแก้มกลมละมุน ดวงตากลมโตซ่อนแววฝันและความอ่อนโยนขนตายาวพริ้มรับแสงธรรมชาติ จมูกโด่งรั้นน้อย ๆ เพิ่มความน่าเอ็นดูริมฝีปากอิ่มนุ่มแดงจางราวดอกทับทิมที่เพิ่งแตะน้ำค้างยามรุ่งสาง
เรือนร่างของไป๋หลิน...ช่างเป็นหุ่นซ้อนรูปที่บรรพชน ในบทกวีจะต้องเอ่ยชมทรวงอกได้รูปแน่นกระชับนุ่มนวลไม่ใหญ่เกินไป แต่สะกดตาให้ไม่อาจละเอวคอดกิ่ว จนคนมองต้องกลืนน้ำลาย กลมกลืนรับกับสะโพกผายได้สัดส่วนทุกเส้นสายช่าง ถูกวาดขึ้นจากปลายพู่กันเทพยดา
ในสายตาของใครคนหนึ่งเมื่อคืนนี้...เธออาจจะเป็น ภรรยาแต่ในกระจกเช้านี้เธอคือ หญิงสาวเต็มตัว ทั้งน่าทะนุถนอม ทั้งงดงามเกินคำใดจะพรรณนา และที่สำคัญที่สุด...ไป๋หลิน ในกระจก…คือหญิงสาวผู้กำลังจะเปลี่ยนชะตาชีวิตในนิยายที่เธอเคยรู้ตอนจบ "ฉันจะหนีตอนนี้ไม่ได้... เพราะในจวนมีทหารเฝ้าแน่นหนา และฉันเพิ่งโดนเขาเย- จนเดินแทบไม่ไหว"
เธอเหลือบมองขาเปลือยของตัวเองใต้ชุดหลวม
หัวนมยังขึ้นเป็นไตจากลมเช้า ผิวหนังตรงต้นขาแดงช้ำ จากแรงมือเขาเมื่อคืน แต่ฉันยังมีเวลาอีกสองคืนคืนนี้.. เธอจะซักผ้าในห้องอาบน้ำ แล้วซ่อนชุดบ่าวรับใช้ไว้ใต้ถังไม้
คืนที่สอง.. เธอจะแอบขโมยตราประทับจากห้องหนังสือของเขา เพื่อผ่านประตูทางออกนอกเมือง
คืนที่สาม.. ช่วงที่บ่าวสาวเผลอ..เธอจะหลุดออกจาก
บทที่เขียนไว้ ไม่มีใคร…ไม่มีนักเขียนหน้าไหนจะ “กำกับ” เธอได้อีกแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้โง่พอจะหนีแบบไม่มีทางกลับ
สายลมค่ำพัดแรงขึ้นเมื่อดวงจันทร์ลอยเหนือเส้น ยอดไม้ เสียงม้า เสียงล้อเกวียน เสียงคนเมา เสียงน้ำรินลงชาจากกระบอกไผ่ปะปนกันในโรงเตี้ยมชายเมืองตะวันตกที่ห่าง จากเมืองหลวงหลายสิบลี้
ไป๋หลินดึงผ้าคลุมให้ปิดไหล่ ร่างเธอซ่อนอยู่ในมุมมืด ของห้องพักชั้นบนกลิ่นยา กลิ่นฝุ่น กลิ่นฟางบนเตียงแข็ง ๆ ที่ไม่อบอุ่นเท่าผ้าห่มในจวนขุนนางแต่ที่นี่…คือ “อิสระ”
เธอหนีออกมาได้สำเร็จเมื่อคืนผ่านเงาทหาร ผ่านประตูเมืองผ่านกับดักของพล็อตเดิมที่เขียนไว้ให้เธอตายด้วยยาพิษ ในสามวันแต่ตอนนี้ วันที่สามผ่านไปแล้วเธอยังไม่ตาย ไม่มีน้ำชา วางให้เธอไม่มีคำสั่งประหารไม่มีบท… เหลือ
เธอกำลัง “ลบ” พล็อตเดิม ทีละฉาก แต่…เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นใต้พื้นไม้ โรงเตี้ยมที่เคยเงียบงันในยามค่ำเหมือนจู่ ๆ ก็กลั้นหายใจ ประตูไม้ที่ขึ้นสนิมแง้มแผ่วเบา ก่อนเงาสูงใหญ่ ของใครบางคนจะทาบลงบนผนัง หัวใจของไป๋หลินกระตุกวูบ
เธอชะโงกหน้ามองลอดรอยแตกตรงไม้กั้นบานหน้าต่าง…
ชุดคลุมขุนนางสีเข้มแหวกสายลม เปื้อนฝุ่นทางไกลแต่ยัง ทรงอำนาจ ใต้ผ้าคลุมตัวนั้นคือร่างแกร่งสูงสง่า ไหล่กว้าง ขายาว เส้นผมรวบไว้หลวม ๆ แบบที่เธอเคยเห็นในเงาเทียนยามค่ำคืนเขาไม่ควรอยู่ที่นี่ เขาไม่ควรตามเธอมาเพราะ…ในพล็อตเดิม หยางเซวียนไม่เคยสนใจตัวประกอบอย่างเธอแม้แต่นิดเดียว!
แต่แล้ว…เสียงของเขาก็ดังขึ้นกลางโรงเตี้ยมทุ้ม แผ่ว และชัดเจนราวกับจงใจให้เธอได้ยิน
หากเจ้าเห็นข้า…ก็ออกมา “ข้ามิคิดไล่ตามผู้ใดให้เหนื่อยเปล่า” แต่กับเจ้า…ข้าจะให้โอกาส...เพียงครานี้เท่านั้น
เสียงนั้นแทงเข้ากลางใจของไป๋หลินหญิงสาวกำชายเสื้อแน่น ริมฝีปากสั่นน้อย ๆ เธอไม่รู้ว่าในน้ำเสียงนั้นคือคำขู่ คำสั่ง หรือคำวอน แต่ที่แน่ ๆ มันไม่ใช่ประโยคที่เคยมีในนิยายต้นฉบับ
เธอกำลังเจอบทใหม่…
บทที่ไม่มีนักเขียนคนไหนเขียนไว้บทที่ ‘หยางเซวียน’ ตัดสินใจเองและบทที่ ‘ไป๋หลิน’ … ต้องเลือกว่าจะหนีต่อไป
หรือหันกลับไป “เขียนเรื่องนี้ร่วมกัน” กับเขาเสียงรองเท้าหนังขัดมันก้าวเข้ามาใกล้ ลมหายใจ เธอสะดุด ใจเต้นแรงไม่แพ้ตอนเข้าหอคืนนั้น แต่นี่ไม่ใช่ความตื่นเต้นจากการถูก “ครอบครอง” มันคือความรู้สึกของใครบางคน ที่กำลังจะเปลี่ยนเป็น “นางเอกตัวจริง” เธอกระซิบกับตัวเองเบา ๆ
“ถ้าเจ้าคือคนเขียนบทตอนนี้…
ก็อย่าเขียนจบแบบที่ข้าคาดเดาได้เลย…หยางเซวียน”
โรงเตี้ยมแสงเทียนสลัว ๆ กระพริบไหวในห้องพัก ๆ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารร้อนและไม้หอมไป๋หลินนั่งลงที่โต๊ะเล็ก ๆ ด้านมุมห้อง สั่งอาหารจากคนใช้ในโรงเตี้ยมด้วยเสียงเรียบเฉย ไม่มองหน้าใคร“บะหมี่ซุปสามรสร้อน ๆ หนึ่งชาม” เสียงของเธอเย็นชา แต่มือกลับสั่นเล็กน้อยเมื่อรับจดหมายและของที่ขาฝากไว้เมื่อเช้าอาหารร้อนถูกวางลงตรงหน้าไป๋หลินจ้องมองไปยังประตูไม้ที่ถูกปิดสนิท เธอพยายามกล้ำกลืนความรู้สึกที่ปะทุขึ้นในใจ“ไม่สนใจเขา ไม่คิดถึงเขา”เธอวางช้อนอย่างมั่นคง แล้วยกมือไปจับผ้าคลุมที่แขวนอยู่ข้างเตียง ไอร้อนในอ่างไม้ลอยฟุ้งหนาแน่น ราวกับม่านหมอก ที่บดบังเส้นแบ่งระหว่างความฝันกับความจริง น้ำเก๊กฮวยอุ่นถูกเทลงผสมน้ำจนกลิ่นหอมจาง ๆ กระจายไปทั่วห้องอาบน้ำแสงตะเกียงสั่นไหว ละอองไอน้ำเกาะกระจกเป็นหยด ไป๋หลินถอดเสื้อผ้าอย่างไม่รีรอ ฝ่ามือของนางลูบผ่านต้นคอเปลือยช้า ๆ ดวงตาเหม่อลอย สะท้อนแสงไฟเหมือนกระจกหยกปล่อยให้ความร้อนของน้ำชะล้างความเหนื่อยล้าและความคิดยุ่งเหยิงแม้ร่างกายจะเหนื่อยล้าแต่จิตใจของเธอก็ยังคงเข้มแข็งไม่ไหวหวั่น แต่สำหรับไป๋หล
เสียงของเขาไม่ต้องตะโกน ก็สะเทือนใจจนเธอเผลอกลืนน้ำลาย “ข้าเหมาห้องทั้งหมดในโรงเตี้ยมนี้แล้ว”เสียงนั้นสงบ เย็นชา แต่มีกระแสพลังบางอย่างแฝงอยู่ สายตาทุกคนในโรงเตี้ยมหันไปมองผู้มาใหม่ขุนนางหนุ่มร่างสูง ในชุดคลุมดำขลับ ปักตราหยกประจำตระกูลเขายืนอยู่กลางห้องราวเจ้าของโรงเตี้ยม“ใครอยากพักต่อ คืนเงินไปข้างนอก”“คืนนี้ โรงเตี้ยมนี้คือเรือนหอของภรรยาข้า”ไป๋หลินที่แอบฟังอยู่ข้างบน รู้สึกเหมือนมีลูกไฟเล็ก ๆ วิ่งวนไปทั่วร่างเขาพูดว่า "ภรรยา"…ประโยคนั้นไม่มีอยู่ในบทเดิมและในตอนนั้นเอง มีเสียงเคาะประตูห้องเธอเบา ๆ ก่อนประตูก็ถูกผลักเข้ามา หยางเซวียนเดินเข้ามาอย่างเงียบงัน ไม่แม้แต่จะถามว่าเธออยู่ไหมเขาวางห่อผ้าลงบนโต๊ะไม้เสียงดัง “ตุบ” แล้วค่อย ๆ คลี่ออกข้างในมี…เหรียญทองน้ำหนักดีถุงเงินที่เธอเคยซ่อนไว้ใต้เตียง…ซึ่งควรจะหายไปตอนหนีกับข้าวร้อน ๆ ที่มีกลิ่นอาหารโปรดของเธอและ “จี้หยกดอกเหมย” ที่เธอเคยทำตกไว้ในห้องหอ“เจ้าหนีเก่ง” เขาเอ่ยขณะยืนพิงเสากลางห้อง“แต่ข้าเรียนรู้มานานว่า...ของมีค่าไม่ควรปล่อยให้หายไปสอ
ในกระจกเงานั้น...คือภาพของหญิงสาววัยแรกแย้ม ผิวขาวอมชมพูราวกลีบดอกพีชที่เพิ่งแย้มบาน ผิวพรรณของเธอสะท้อนแสงเช้าแวววาวนวลเนียน ไม่มีรอยใดต้องซ่อนเส้นผมยาวดำขลับ หยักศกเล็กน้อยจากไอน้ำ ปล่อยยาวระต้นคอจนถึงสะโพก ราวม่านราตรีที่คลุมความฝันไว้ทุกเส้นสายใบหน้าของเธอได้รูป พวงแก้มกลมละมุน ดวงตากลมโตซ่อนแววฝันและความอ่อนโยนขนตายาวพริ้มรับแสงธรรมชาติ จมูกโด่งรั้นน้อย ๆ เพิ่มความน่าเอ็นดูริมฝีปากอิ่มนุ่มแดงจางราวดอกทับทิมที่เพิ่งแตะน้ำค้างยามรุ่งสางเรือนร่างของไป๋หลิน...ช่างเป็นหุ่นซ้อนรูปที่บรรพชน ในบทกวีจะต้องเอ่ยชมทรวงอกได้รูปแน่นกระชับนุ่มนวลไม่ใหญ่เกินไป แต่สะกดตาให้ไม่อาจละเอวคอดกิ่ว จนคนมองต้องกลืนน้ำลาย กลมกลืนรับกับสะโพกผายได้สัดส่วนทุกเส้นสายช่าง ถูกวาดขึ้นจากปลายพู่กันเทพยดาในสายตาของใครคนหนึ่งเมื่อคืนนี้...เธออาจจะเป็น ภรรยาแต่ในกระจกเช้านี้เธอคือ หญิงสาวเต็มตัว ทั้งน่าทะนุถนอม ทั้งงดงามเกินคำใดจะพรรณนา และที่สำคัญที่สุด...ไป๋หลิน ในกระจก…คือหญิงสาวผู้กำลังจะเปลี่ยนชะตาชีวิตในนิยายที่เธอเคยรู้ตอนจบ "ฉันจะหนีตอนนี้ไม่ได
ฟ้าสางแล้ว แสงยามเช้าเล็ดลอดผ่านผ้าม่านสีเลือดนก ร่างของนางนอนแนบแผ่นอกกว้าง หายใจช้า ริมฝีปากเผยอเล็กน้อยจากความเหนื่อยล้าแบบที่ไม่ใช่แค่นอนกับใคร แต่เหมือน…ถูก “กลืนกิน” ทั้งตัวเขาลุกขึ้นจากเตียงราวกับยังไม่รู้สึกพอ ผิวกายเขาร้อนผ่าว เหงื่อซึมตามหน้าผากและแผ่นหลัง สายตาคมทอดมองร่างเธอที่ยังนอนหมดแรงเรียวขาเธอสั่นน้อย ๆ ขณะพยายามขยับตัว แต่ขาเปลี้ยเกินกว่าจะหนี เขาหยิบเสื้อคลุมมาพาดไหล่ตัวเอง แล้วช้อนร่างเธอขึ้นจากฟูกอย่างไร้คำพูด เธอผวา ซุกหน้ากับอกเขา“ท่าน… จะพาข้าไปที่ใด…”เสียงเธอแผ่วจัด แทบไม่มีแรง แต่ยังเต็มไปด้วย แรงต้านจาง ๆ เขาโน้มใบหน้าลงข้างหูเธอ กระซิบเสียงต่ำชิด เนื้อแก้มที่ยังแดงร้อนจากการถูกเขารังแกทั้งคืน“ข้าจะพาเจ้าไป… ล้าง”เพียงคำเดียว กล้ามเนื้อในท้องของเธอก็กระตุกเบา ๆเสียงน้ำในอ่างกระทบไม้ดังกึกก้อง กลิ่นสมุนไพรผสมดอกบัวคลุ้งในอากาศ หยางเซวียนวางร่างเธอลงในน้ำอุ่น แล้วถอดเสื้อคลุมตนเองตามลงมาทันที ร่างสูงล่ำเปลือยเปล่า… พร้อมสายตาที่ราวกับกำลัง “อ่าน” ร่างเธอทุกส่วนอีกครั้งมือเขาลงน้ำช้า ๆ ตักน้ำร้อนรินจากไหล่เธอ แล้วไล้ผ่านซอกคอ สบตาเธอชิด จนลมหายใจแทบจะเ
เมื่อเธอถูกเขา ครอบครอง อย่างที่ไม่มีใครเตรียมใจ เสียงผิวหนังกระแทกกันดังต่อเนื่อง เฉอะแฉะ ลื่นเปียก จนได้ยินเสียงของเธอชัดเจนเกินจะหลอกตัวเองได้ร่างของลี่เหยา สั่นระริกใต้ร่างของเขา… ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะความรู้สึกมัน ล้น จนไม่รู้จะจัดการยังไง"ข้าไม่รักเจ้า" คำพูดนั้นยังวนในหู แต่กลับกระตุ้นหัวใจ ให้ยิ่งเต้นแรง… เพราะการกระทำมันตรงข้ามทุกคำพูดความหนักของเขา ความดิบของเขา… เขาไม่ได้โอบเธอไว้แบบรัก เขากด กร้าว บด ขยี้ ทุกจังหวะเหมือนจะเอาเธอให้ "ยับ" จนไม่มีชิ้นดีสะโพกเขาเคลื่อนลึก กระแทกอัดเข้ามาไม่หยุดอัดแน่นเสียจนเธอเผลออ้าปาก…ส่งเสียงครางน่าอาย..“อ๊ะ… อ๊ะ… มะ… ไม่… ได้…”เธอพูดออกไป แต่เสียงที่หลุดออกมากลับแหบพร่า หอบ ครางสะท้านในใจเธอประท้วง "นี่มันขืนใจ! เขาไม่ได้ขอ เขาไม่รัก!" แต่ในร่างกายกลับรู้สึกถึงความร้อนวูบวาบที่ก้นท้อง ความเสียวแล่นผ่านสันหลัง หัวนมชูชัน ก้นเด้งสวนโดยไม่รู้ตัวเหมือนร่างกายอยากถูกกระแทกซ้ำอีกแรงกว่าเดิมเขากระชากผมเธอขึ้นมากระซิบ“เจ้าก็ครางเหมือนต้องการอยู่ดี ไป๋หลิน”น้ำเสียงเขาขบขันแต่ต่ำลึก… แล้วเขาก็จับขาเธอพาดบ่า อ้าขาออกกว้างจนช่องทางของเธ
“บัดซบ! แม่งจบแบบนี้เหรอ!? สารเลวววววววววววว!!!”ลี่เหยาปาโทรศัพท์ลงบนเตียงแรงพอให้ตุ๊กตาปลาวาฬกลิ้งตกพื้น หัวใจเธอยังเต้นระรัวด้วยความหัวร้อนเต็มขั้น น้ำเสียงเกรี้ยวกราดปนสิ้นหวังเหมือนคนที่เพิ่งเสียเวลาไปสามวันไถฟีดมืออถืออ่านนิยาย…แล้วเจอจบแบบขมปี๋นิยายเรื่อง "ชะตานางหงส์เจ็ดมังกร" พระเอกเจ็ดคน ‘แต่งงานกับนางเอกและไม่มีใครรักนางจริงซักคน ไม่มีแม้แต่ตอนจบที่มันอบอุ่น สักนิด! แล้วจะให้อ่านไปทำเพื่อ?! สรุปแล้วทั้งเรื่องคือโศกนาฏกรรมจุดจบของผู้หญิงที่ไม่มีใครรัก…แม่งโคตร toxic!“ให้ตายเหอะ คนเขียนแมร่งใจหมาจริงๆ ขอสาปให้หล่อน โดนดูดเข้านิยายตัวเอง แล้วโดน…..” เธอปิดตาแน่น ซุกหน้า ในหมอน พึมพำราวกับบทสาปส่งนักเขียน...ทันใดนั้น แสงสว่างพวยพุ่งออกมาจากหน้าจอ ตู้ม! โลกทั้งห้องเหมือนระเบิด กลิ่นเหมือนดิจิทัลไหม้ลอยเข้าจมูก เสียงแหลมแทรกกับเสียงประหลาดราวเปลวไฟกำลังเผาสคริปต์ ลี่เหยากรีดร้อง ก่อนที่ความมืดจะกลืนกินทุกอย่างกะพริบตาอีกที เธอก็ไม่อยู่ในโลกเดิมอีกต่อไปแล้วทันใดนั้นเอง...เสียงฟ้าผ่าราวกับรอยขีดจากสวรรค์ ฉีกม่านฟ้า และร่างของลี่เหยา หายไปจากโลกใบนี้เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดัง