“กำลังจะมีงานเลี้ยงกันเหรอครับ”
ชายหนุ่มถามขึ้นอย่างสงสัยมาหลังจากเข้ามาด้านในก็เห็นว่ามีการรวมตัวของชาวบ้านมากมายตรงลานกว้างซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นจุดศูนย์กลางประกอบพิธีกรรมของหมู่บ้านมีการแบ่งหน้าที่ของใครของมัน อย่างพวกชายฉกรรจ์ที่แข็งแรงหน่อยก็ช่วยกันแบกแท่นขนาดใหญ่มาตั้งไว้ตรงกลางลานที่ตอนนี้ถูกประดับตกแต่งรอบๆอย่างสวยงามตามความเชื่อ บ้างก็ช่วยกันหุงหาอาหารส่วนทางนั้นก็มีกลุ่มหญิงสาวที่กำลังพับบายศรี
การที่ทุกคนเห็นคนต่างถิ่นแปลกหน้าเข้ามาถึงด้านในนิลคีรีได้ย่อมสร้างความประหลาดใจเหมือนกับตอนที่กอหลิ่งเจอชลทิตย์ครั้งแรกและตกใจเป็นอย่างมากที่อีกฝ่ายไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเสียงกระซิบกระซาบเป็นภาษาเผ่าจึงดังขึ้นแผ่วตลอดทางที่ผ่าน
“ใช่ เป็นพิธีบูชาประจำเผ่าจัดขึ้นตอนเย็นเดี๋ยวคืนนี้เอ็งไปพักที่เรือนข้าแล้วกันเพราะอย่างไรข้าก็อยู่คนเดียวอยู่แล้วไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเลยใช่หรือไม่”
หนุ่มชาติพันธุ์พาร่างสันทัดเดินเลี่ยงเส้นทางตรงมายังบ้านของตนที่อยู่เกือบท้ายหมู่บ้านเพราะไม่อยากให้คนนอกรู้เห็นอะไรในเผ่ามากนัก ที่พามากลับมาก็เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงถูกยอมรับจากท่านนิลคีรีแล้วไม่อย่างนั้นคงเป็นผีเฝ้าป่าไปก่อนแน่นอน
“ใช่ครับ ตอนนี้ทั้งตัวมีแค่ชุดนี้กับสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว”
แม้จะไม่ได้รู้จักไอ้เครื่องสี่เหลี่ยมสีดำที่คนตรงหน้าบอกแต่ก็ปล่อยผ่านไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม
“แปลกที่รอดมาได้”
เสียงพึมพำเบาๆฟังไม่ชัดจนชลทิตย์เอ่ยถาม
“อะไรนะครับ”
“ไม่มีอะไร งั้นเอ็งขึ้นเรือนตามข้ามาแล้วไปนั่งแคร่นั้นรอนะเดี๋ยวข้ายกสำรับมาให้กินข้าวกินปลาก่อนดูท่าว่าจะหิวแล้วใช่หรือไม่
“ให้ผมช่วยนะครับ”
“ไม่ต้องหรอกแค่สำรับเดียวว่าแต่เอ็งจะกินได้ไหม”
“สบายมากครับผมทานง่าย”
กอหลิ่งพยักหน้าก่อนจะพากันเดินขึ้นไปบนบ้านไม้ยกพื้นใต้ถุนมีบันไดพาดห้าขั้นขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ทำชานยื่นออกมาเหมือนกับหลังอื่นๆ ข้าวของเครื่องใช้ที่มีไม่ได้มากตามประสาคนที่ยังไม่มีครอบครัว
อาหารพื้นถิ่นง่ายๆถูกจัดลงบนถาดไม้ไผ่สานลักษณะคล้ายกับขันโตกวางลงบนแคร่ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกายเพราะชอบลิ้มลองรสชาติอาหารใหม่ๆในละพื้นที่นั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเพราะถึงส่วนใหญ่แม้เขาจะไม่รู้จักแต่แทบทุกอย่างล้วนอร่อยถูกปาก
“เอ็งต้องอยู่แค่ที่เรือนนี้นะอย่าเดินเพ่นพ่านออกไปไหนเสียล่ะวันนี้ในหมู่บ้านจัดงานประจำเผ่ามีข้อห้ามหลายอย่างโดยเฉพาะคนนอก ส่วนตอนเย็นเดี๋ยวข้ายกสำรับมาให้”
“ครับ”
หลังจากที่อิ่มแล้วชลทิตย์อาสาจะล้างภาชนะให้แต่กอหลิ่งปฏิเสธเพราะเดี๋ยวเอาไปจัดการทีเดียวตรงลานครัวพร้อมกำชับอีกครั้งก่อนจะมีเสียงเรียกจากหน้าเรือน
“พี่กอหลิ่งอยู่ไหม”
“อยู่ๆว่าไงวะปีซอ”
“แม่เฒ่าเรียกให้ไปหา”
“เดี๋ยวข้าตามไป”
หลังจากที่คุยกับปีซอเสร็จก็หันมาพูดกับชลทิตย์เพิ่มเติมก่อนที่จะเดินตามปีซอออกไป
“ส่วนเสื้อผ้าข้าเอามาพร้อมสำรับเย็นนะเพราะเอ็งใส่ของข้าไม่ได้ เดี๋ยวไปยืมจากพวกผู้ชายที่ตัวพอๆกันมาให้”
“ขอบคุณครับ”
“ไม่เป็นไรเรื่องแค่นี้เอง”
กอหลิ่งที่เดินตามหลังปีซอมาถึงเรือนแม่เฒ่าจันตาก็พากันเข้ามาด้านในเห็นหญิงชรานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“เอ็งพาใครมากอหลิ่ง”
“แม่เฒ่ารู้หรือจ๊ะ”
ชายหนุ่มร่างเล็กถามด้วยความกังวลใจว่าการให้ความช่วยเหลือคนนอกมันจะนำความเดือดร้อนมาสู่หมู่บ้านจึงเป็นสาเหตุที่แม่เฒ่าเรียกเขามา
“ข้ารู้สึกได้ถึงท่านนิลคิรี”
“งั้นเดี๋ยวข้าจะพาไอ้หนุ่มนั่นออกไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ได้ยินดังนั้นกอหลิ่งก็ระล่ำระลักหน้าซีดทันที
“ไม่ต้องหรอกข้าก็ยังแปลกใจที่ไม่ได้สัมผัสถึงความโกรธมีแค่การหยั่งเชิงเพียงเสี้ยวเท่านั้นก่อนจะเลือนหายไป หากยามปกติแล้วไม่ว่าใครแค่พ้นเขตเข้ามาก็ไม่อาจมีลมหายใจได้หรือว่าเกี่ยวกับเรื่องนั้น”
“เรื่องอะไรหรือจ๊ะ”
หญิงชรามองหน้าปีซอที่สภาพอิดโรยเหนื่อยล้าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักเพราะหากพ้นคืนนี้ไปเขาไม่มีโอกาสได้อยู่กับลูกและเมียตลอดกาล
“คนผู้นี้แหละชะตาแทนที่เอ็งได้ปีซอ”
“แม่เฒ่า…”
ดวงตาเบิกกว้างสั่นระริกอย่างตกใจปากพะงาบเปิดแล้วปิดลงสมองราวกับถูกสับสวิตช์กระทันหันไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรออกไปก่อนดี ถึงแม้จะเคยคิดว่าหากมีใครสักคนเป็นเครื่องสังเวยแทนเขาได้ก็ดีไม่น้อย แต่พอเจอสถานการณ์จริงความรู้สึกผิดกลับมีมากเกินกว่าจะลากคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาตายแทนแถมอีกฝ่ายก็เป็นเพียงคนจากภายนอกเพราะหลงทางมา
“เอ็งคิดให้ดีและข้าก็รู้ว่าเอ็งเป็นคนดีนะปีซอแต่อย่าลืมว่าอีกไม่นานลูกก็จะคลอดแล้วหรือถ้ายอมรับชะตากรรมได้ข้าก็ไม่ติดขัดอะไร”
ไม่ใช่แค่ปีซอตอนนี้กอหลิ่งก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกเช่นเดียวกัน
“ข้าเรียกพวกเอ็งมาแค่นี้แหละเสร็จเรื่องแล้วไปเถอะ”
หญิงชราพูดเสร็จก็ลุกออกไปไม่ได้หันกลับมามองคนทั้งคู่อีกส่วนตัวแล้วเข้าใจความรู้สึกของปีซอเป็นอย่างดีทั้งไอ้หนุ่มนั่นก็ไม่ได้มีความผิดอะไรด้วยซ้ำถึงต้องส่งไปเซ่นสังเวยชีวิตแทนผู้อื่น แม่เฒ่าจันตาเพียงแค่มาแจ้งสารที่ผีปู่ย่าสื่อมาเท่านั้น
“ขะ…ข้าจะทำจ้ะ”
ปีซอเอ่ยออกมาหลังตรองดีแล้วจะว่าเขาเห็นแก่ตัวอย่างไรก็ช่าง
“ปีซอ”
“พี่กอหลิ่งข้าไม่มีทางเลือกพี่ก็รู้เมื่อในมีทางรอดที่เป็นแสงสว่างเดียวมาเสนอให้ถึงที่แล้ว ลูกข้ามันยังต้องการพ่อเมียข้ายังต้องการเสาหลัก พี่จำความรู้สึกนั้นไม่ได้หรือวันที่เมียพี่ต้องตกเป็นเครื่องเซ่นสังเวย”
จำได้สิทำไมจะจำไม่ได้วันนี้ก็ครบรอบหนึ่งปีที่เมียรักของเขาถูกเลือกให้เป็นเครื่องเซ่นกอดกันร่ำไห้แทบขาดใจ รู้สึกแตกสลายเพราะกำลังสูญเสียสิ่งที่รักพวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กผูกพันกันมาตั้งนานแต่แต่งงานได้ไม่กี่เดือนก็ต้องพรากจากกันตลอดชีวิตไม่อาจหวนคืนดังเดิมได้ กว่าจะผ่านแต่ละวันช่างยากเย็นหลังจากพิธีบูชายัญเสร็จสิ้นหากเมียของเขาไม่ฝากฝังดูแลพ่อแม่ชราแทนตนคงตายตามไปนานแล้ว
“ตามใจเอ็ง”
“เย็นนี้ก็จัดการสำรับอาหารกับชุดเปลี่ยนของแขกให้ดีล่ะกอหลิ่ง”
คราวนี้แม่เฒ่าพูดจบก็เดินหายเข้าไปในห้องทันที
“ถือเสียว่าเป็นเพราะโชคชะตาที่ต้องพบเจอสำหรับเอ็งแล้วกันนะทะเล”
ทางด้านชลทิตย์เผลองีบหลับอยู่บนแคร่ใต้ต้นไม้ใหญ่เพราะอากาศดียิ่งหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อนหาวแล้วหาวอีกสุดท้ายก็เลยไม่ทนฝืนอีกต่อไปเอนตัวลงนอนคิดว่าพักสายตาครู่เดียว แต่พอลมหายใจสม่ำเสมอได้สักพักกลับรู้สึกกระสับกระส่ายไม่ค่อยสบายตัวนักเพราะกำลังฝันว่ามีสัมผัสลื่นๆค่อยๆไล้ผิวกายและถูกโอบรัดจนอึดอัดขยับตัวไม่ได้ กลีบปากนิ่มถูกคลอเคลียจนรู้สึกรำคาญแต่กลับไม่สามารถเบี่ยงหน้าหนีได้สุดท้ายสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการตัวชา
“หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนของแท้เลยไอ้ทะเล แถมยังนอนทับแขนตัวเองอีก”
ชายหนุ่มลุกขึ้นมานั่งบ่นกระปอดกระแปดกับตัวเองพร้อมนวดแขนทั้งสองทั้งสองข้างไปด้วยหยิบสมาร์ทโฟนไร้สัญญาณมาดูเวลาก็พบว่าเกือบห้าโมงแล้วนั่งตั้งสติอยู่สักพักเพราะยังตื่นไม่เต็มตา
“นี่ขนาดแค่พักสายตานะยังหลับยาวขนาดนี้แล้วคืนนี้จะนอนหลับไหมเนี่ย”
โดยหารู้ไม่ว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็นไกลออกไปกำลังยกยิ้มมุมปากภายในถ้ำอนธการ
ชลทิตย์นั่งอยู่สักพักกอหลิ่งก็ยกอาหารมาให้
“ทำอะไรอยู่หรือ”
“แหะ ผมเพิ่งตื่นน่ะครับลมมันเย็นสบายมากตอนแรกกะว่าจะพักสายตาแป๊บเดียวหลับยาวเลย”
“ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มบอกข้าแล้วกัน”
“ขอบคุณครับ แค่นี้ก็พอแล้ว”
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองดูอาหารที่กอหลิ่งเอามาวางก็เห็นว่ามีทั้งคาวหวานกำลังส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ
“เอ็งกินเลยนะเดี๋ยวข้าต้องไปช่วยตรงนั้นต่ออีกหน่อย อ้อ นี่ชุดผลัดอาบน้ำกับผ้าไว้เช็ดตัว เอ็งเดินไปข้างหลังนะแล้วเลี้ยวขวาจะเจอลำธารเลยข้าไปล่ะ”
“ครับ”
ร่างโปร่งคิดว่าตัวเองนั้นโชคดีมากที่ได้เจอคนใจดีทั้งที่ไม่ได้รู้จักกันและสามารถเลือกที่จะปล่อยผ่านไปได้ด้วยซ้ำ ชุดที่กอหลิ่งเอามาให้เป็นชุดประจำเผ่าของที่นี่แต่กลับเป็นสีขาวแตกต่างจากสีที่เห็นชาวบ้านนั้นสวมใส่
“หรือปกติเขาแยกสีชุดำหรับใส่นอนวะ”
ชลทิตย์ยักไหล่อย่างไม่คิดมากจากนั้นก็คิดว่าจะอาบน้ำก่อนหรือจัดการอาหารตรงหน้าก่อนดี สุดท้ายแล้วก็ทนกลิ่นหอมๆของอาหารไม่ไหวจากที่ไม่หิวเพราะเพิ่งจะทานไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงแท้ๆ
“เอาเถอะงั้นทานก่อนแล้วกันค่อยไปอาบน้ำ เสียดายแฮะถ้าไม่มีพิธีกรรมเผ่าคงจะดีอาจจะได้เดินดูรอบหมู่บ้าน”
อาหารทั้งหมดถูกกวาดลงท้องไม่เหลือแต่หลังจากนั้นไม่นานชายหนุ่มก็หาวออกมาภาพตรงหน้าเริ่มจะพร่าเบลอจนต้องสะบัดหัวเรียกสติแต่ไม่สามารถทนได้ก่อนที่จะสลบพับลงไปบนแคร่
“ขอโทษนะทะเลข้าจำเป็นจริงๆ”
ชายชาติพันธุ์ทั้งสองที่เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ตั้งแต่ต้นรีบตรงเข้ามาแบกร่างของคนนอกไปอาบน้ำชำระร่างกายด้วยสมุนไพรตามขั้นตอนที่แม่เฒ่าบอกมา จากนั้นก็สวมใส่ชุดประจำเผ่าสีขาวที่เพิ่งทอขึ้นมาใหม่แบบพอดีตัวทั้งที่ชุดนี้เดิมทีนั้นเป็นของปีซอ
ก่อนถูกจัดแจงให้นอนอยู่บนตั่งที่โรยด้วยกลีบดอกไม้ป่ากลิ่นหอมหลากสีตรงกลางลานพิธีโดยมีแม่เฒ่าจันตาเป็นผู้นำกล่าวสรรเสริญบูชาพญางูยักษ์นิลคีรี จากนั้นร่างไร้สติก็ถูกพาออกจากหมู่บ้านโดยการหามสี่มุมแห่ไปยังด้านในปากถ้ำนิลคีรีก่อนนำไปมัดตรึงกับเสาไม้และรีบพากันออกด้านนอกทันที
หลังจากที่ทุกคนกลับไปหมดแล้วจากถ้ำอันมืดมิดกลับปรากฏคบไฟหลายสิบอันจนภายในถ้ำนั้นสว่างจ้าราวกับเวลากลางวัน พญางูยักษ์ตัวเขื่องสีดำเลื้อยออกมาจากด้านในดวงตาสีแดงเพลิงราวกับสีของทับทิมสยามมองมนุษย์ตัวจ้อยเจ้าของกายหอมกลิ่นดอกราชาวดีตรงหน้าที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่รับรู้ถึงความเย้ายวนนี้ถูกสับเปลี่ยนตัวเพื่อบูชายัญยังคงสลบไม่รู้เรื่องด้วยความพึงใจ
กลิ่นหอมจากเรือนกายของเจ้ากำลังทำให้ข้าแทบคลั่งตื่นเถิดเครื่องเซ่นสังเวยของข้า
ลิ้นยาวไล้สัมผัสไปตามกรอบหน้าเนียนไล่ลงมาที่คอขาวส่วนลำตัวนิ่มลื่นค่อยๆม้วนโอบรอบตัวชลทิตย์ไว้ ความรู้สึกอึดอัดจนหัวคิ้วขมวดมุ่นเหมือนกับตอนที่งีบหลับบนแคร่กลับมาอีกครั้งทำให้อยากดิ้นรนฟื้นตื่นขึ้นมา
เปลือกตาสีอ่อนค่อยๆขยับก่อนเปิดขึ้นเผยดวงตาสีน้ำตาลอ่อนยังคงง่วงงุนแต่แล้วก็หายเป็นปลิดทิ้งหลังจากเห็นสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าไม่ใช่แคร่ที่นอนแต่กลับเป็นงูยักษ์ตัวเป็นๆในขณะที่ลำตัวค่อยๆเลื้อยเสียดสีนอกร่มผ้าจนยับย่น ยิ่งนัยน์ตาสีทับทิมที่กำลังจดมองมาให้ความรู้สึกถึงการคุกคามอันหยาบโลนจากดวงตาคู่นั้นจากตอนแรกแววตาสั่นไหวดูตะลึงและขลาดกลัวกลับกรุ่นโกรธทันทีและยิ่งโกรธเกรี้ยวมากยิ่งขึ้น ตอนที่ปลายหางเริ่มไล่ปลดปมเชือกลางตัวเสื้อที่สวมใส่ยิ่งเห็นถึงการพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากพันธนาการนิลคีรีก็ยิ่งรู้สึกสนุกอยากจะลอกคราบออกให้หมดคงสวยงามน่าดู
“ไอ้งูลามก!!!ปล่อยนะไอ้บ้าเอ้ย !!!”
ยิ่งสาบเสื้อถูกเปิดออกเผยผิวเนียนกระจ่างจนตอนนี้คนที่ดิ้นรนขัดขืนกำลังรู้สึกประสาทเสียมากยิ่งขึ้นเพราะกางเกงที่สวมใส่เป็นปราการสุดท้ายถูกกระตุกคลายปมเชือกจนหลุดไปกองที่ข้อเท้านึกก่นด่าชาวบ้านในใจเปลี่ยนชุดแล้วทำไมไม่ใส่กางเกงในให้เขาด้วยวะ
“รู้หรือไม่ว่าเจ้าช่างงามไปทั้งตัวอย่างที่ข้าคิดไว้”
ลมหนาวปะทะร่างกายเปลือยเปล่าจนขนลุกซู่ยังไม่เท่ากับเรียวขาถูกความลื่นขดม้วนบังคับให้อ้ากว้างแยกออกจากกัน ลำตัวสีนิลเริ่มขยับถูไถกลางกายจนเผลอครางออกมาจนต้องขบปากแน่นความรู้สึกทั้งกลัวทั้งโกรธสิ่งที่ชาวบ้านและงูยักษ์บ้ากามตรงหน้าทำจนน้ำตาไหลอาบแก้ม ข้อมือขาวขึ้นเป็นรอยแดงเลือดซิบจากรอยเชือกที่เสียดสีผิวอ่อนยิ่งถูกกระทำหยาบคายยิ่งกระชากหนัก
“ปล่อย อื้อ”
เจ้าของลำตัวสีดำสนิทกลั่นแกล้งหนักขึ้นเมื่อเห็นว่ากลีบปากสวยขบแน่นไม่ยอมเปล่งเสียงครางออกมา ปลายลิ้นลื่นลากผ่านตรงส่วนไหนจุดนั้นก็ร้อนผ่าววาบหวามจนอุณหภูมิในร่างกายไต่ระดับขึ้นตามแรงกระตุ้น ชลทิตย์หอบฮั่กดวงตาฉ่ำเยิ้มแต่ยังคงคุกกรุ่นด้วยไฟโทสะไม่จางหาย
“แฮ่ก ไม่นะ!”
ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุลิ้นยาวชำแรกเข้าช่องทางคับแคบกลางกายทันทีหมุนควงอยู่ภายในอย่างไม่ทันตั้งตัวจนตาเหลือกลาน รู้สึกมวนท้องด้วยความซ่านสยิวจนขนลุกซู่ สมองขาวโพลนครางลั่น
แม้ไม่อยากยอมรับแต่แก่นกายกลับแข็งขึงกระตุกหงึกปลายมนชะโลมเยิ้มไปด้วยเมือกสีใส ผนังนุ่มตอดรัดสิ่งแปลกปลอมอย่างยินดีร่างกายกระตุกถี่สุขสมปลดปล่อยความข้นคาวในเวลาต่อมา สติคืนมาอีกครั้งตอนที่ช่องทางด้านหลังถูกเปลี่ยนจากลิ้นร้อนเป็นสิ่งที่ใหญ่กว่าจนขาสั่นระริกน้ำตาไหลพรากราวกับท่อนล่างถูกฉีก
"อย่า!!!ไม่!!!!ไอ้งูสารเลว!!!!"
โลหิตฉานไหลหลั่งชโลมพื้นคำรามครืนคลื่นสายประกายไหววชิระทัณฑ์พาดฟาดก้องไกลสองสายใยโยงเพริศกำเนิดพรายกุดั่นแก้วแวววับระยับแสงทิวาแรงแซงแทรกแหวกธารสายหมอกสีชาดร้อยรัดกระหวัดกลายโอบกำจายเวียนวนล้นคณาราตรีอันมืดมิดและหม่นหมองค่อยๆถูกแทนที่ด้วยแสงแห่งอรุณรุ่งเสียงแว่วหวานขับขานของสกุณาดังขึ้น ความเงียบเดิมถูกเหล่าสรรพชีวิตในผืนป่าเริ่มออกมาใช้ชีวิตกันเป็นเรื่องปกติ บ้างออกล่าหาอาหาร บ้างลงเล่นน้ำในลำธารใส บ้างหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานแต่ไม่ใช่ที่ผืนพนาต้องห้ามทิศใต้อย่างนิลคีรีผลของทัณฑ์อสนีบาตจากฝีมืออรุคผู้ปกปักษ์นั้นทำให้เกือบทั้งป่าราบเป็นหน้ากลองสนั่นฟ้าสะเทือนดินลามไปจนสร้างความประหลาดใจไปถึงป่าต้องห้ามอีกสามทิศที่เหลือเกิดอะไรขึ้นที่นิลคีรี?สร้างความโกลาหลอย่างถ้วนทั่วทิ้งไว้เพียงเศษซากของต้นไม้ที่ถูกฟ้าผ่าจนหักโค่นลงจนล้มระเนระนาดบ้างก็ดำเป็นตอตะโกตายคาต้น รวมไปถึงสัตว์ป่าน้อยใหญ่ที่เคยหนีตายกันจ้าละหวั่นมีส่วนน้อยไม่อาจรอดจากสายฟ้าได้กลิ่นเนื้อไหม้คละคลุ้งไปทั่วบริเวณเพราะเพชรถวนาเคนทร์เปล่งประกายแสงคุ้มภัยทันเวลาไม่อย่างนั้นคงไม่เหลืออะไรให้ดูต่างหน้ากลายเป็นป่าที่ดับสูญก
โครมอุกร่างสูงใหญ่ที่คล่อมทับร่างบางที่เหลือแค่โจงนุ่งเป็นปราการสุดท้ายที่กำลังจะถูกถอดก็มีเสียงดังขึ้นจากทางหน้าต่างพร้อมพรรวินท์ลอยหวือไปกระแทกพื้นปรากฏเชือกพันธนาการรอบตัวหมัดหนักถูกกระแทกเข้าที่ใบหน้าพร้อมกลางอกถูกถีบจนล้มกลิ้งไปกับพื้นอีกครั้ง “พี่อยู่นี่”ร่างสูงของอุรคหนุ่มตรงเข้าไปหยิบแพรผืนใหญ่คลุมกายโอบกอดชายคนรักที่กำลังร้องไห้เนื้อตัวสั่นเทาแน่น“ทะ..ท่านจะรังเกียจข้าหรือไม่ ฮึก”มือหนาเช็ดน้ำตาบนแก้มนวลกุมใบหน้าหวานให้เงยขึ้นมอง“ฟังพี่หนาคนที่น่ารังเกียจคือไอ้ยูงทองชั่วนั่นต่างหาก น้ำตาของเจ้านั้นกำลังทำให้พี่นั้นเจ็บปวดใจยิ่ง”พูดจบปากหยักสีอ่อนจรดทาบทับกลีบปากอิ่มนุ่มนวลก่อนผละออกไปกระทืบตัวต้นเรื่องด้วยสถานะของอีกฝ่ายจึงได้เพียงแค่สั่งสอน ทั้งที่ฆ่ามันได้เพียงแค่พลิกฝ่ามือแต่นิลคีรีเลือกที่จะสะกดกลั้นความเดือดดาลของตน เพราะมันจะกลายเป็นชนวนสงครามระหว่างฝั่งเหนือกับฝั่งใต้ทันทีนำพาความเดือดร้อนมาสู่ผู้บริสุทธิ์จึงทำได้แค่สั่งสอนให้หนักและเนรมิตให้รอยช้ำหายไปหลังจากเสร็จสิ้นก็ถีบส่งพรรวินท์เข้าห้องตัวเองไปเดินทางออกนอกนครฝั่งเหนือเมื่อใดวันนั้นคือวันตายของพวกเจ้าทั้
เมื่ออุรคหนุ่มก้าวเท้าออกมาจากภายในถ้ำอสนีสีหนาทก็พบว่าด้านนอกนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากโข ในความทรงจำเมื่อหนึ่งพันสองร้อยปีก่อนไม่รกครึ้มและเต็มไปด้วยเถาวัลย์น้อยใหญ่ถึงเพียงนี้ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามาช้านานแล้วนิลคีรีหลับตาเพ่งสมาธิดูก็พบอีกอย่างว่าอุรคที่เคยอาศัยยังป่าหิมพานต์ได้ย้ายออกไปด้านนอกจนหมดไม่หลงเหลือผู้ใดแล้วก็คงมีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่เป็นงูเพียงหนึ่งเดียวอีกทั้งด้านนอกดูแปลกตาไปหมดหอมนักเป็นกลิ่นของดอกไม้ชนิดใดกันทันทีที่หายตัวออกมาถึงด้านหน้าพ้นป่าที่รกชัฏกลับได้กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยลมมา“สมน้ำหน้า เจ้าพวกกินนรนิสัยไม่ดีชอบรังแกผู้อื่นดีนัก”ปึก “อ๊ะ”ในขณะที่นิลคีรีกำลังหาต้นตอของกลิ่นอยู่นั้นก็ถูกร่างอรชรของยูงทองหนุ่มที่วิ่งหนีพวกกินนรเกเรสามตน หลังจากไปแอบขว้างก้อนหินใส่ตอนที่กำลังรุมแกล้งกินนรผู้หนึ่งอยู่จนพวกมันหัวแตกเลือดอาบแต่ไม่ได้มองทางข้างหน้าเลยชนเข้าเต็มอกของอุรคหนุ่ม วงแขนแกร่งคว้าเอวบางทันท่วงทีก่อนจะร่วงลงไปกองกับพื้น“เจ้าเจ็บตรงไหนหรือไม่”คนที่รู้สึกราวกับว่าชนกำแพงเหล็กเงยหน้าขึ้นถามคนตัวโตเพราะเขาเป็นคนผิดที่ไม่มองทางเองตึกหั
บ่ายวันหนึ่งในแดนหิมพานต์ฝั่งทิศตะวันออกเปลือกไข่สีครีมใบสุดท้ายถูกกระเทาะออกจนเกิดเป็นรอยร้าวและแตกในที่สุด สิ่งมีชีวิตตัวเล็กจิ๋วค่อยๆเผยดวงตาสีแดงใสแจ๋วโผล่พ้นออกมางูน้อยตัวสีดำสนิทได้ลืมตาขึ้นเป็นวันแรกในป่าหิมพานต์ แต่สีกลับผิดแผกจากบรรดาพี่น้องตนอื่นที่มีดวงตาสีมรกตรับกับสีเกล็ดที่ขาวสว่างนวล จากวันแรกเด็กน้อยแสนสดใสเพราะได้เห็นโลกกว้างมองดูสิ่งมีชีวิตอื่นในป่าหิมพานต์ต่างพากันเล่นสนุกสนานเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ผิดจากเขาที่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีผู้ใดอยากเล่นด้วยเพียงเพราะว่ามีเกล็ดสีดำจึงถูกมองว่าตัวกาลกิณีนำพาความโชคร้ายมาสู่ตน ไม่เว้นแม้กระทั่งในครอบครัวที่ถูกเลือกปฏิบัติราวกับคนแปลกหน้า บรรดาพี่น้องทั้งห้าตนที่สีเดียวกันต่างเลือกเล่นกันเองโดยไม่สนใจและกีดกันงูน้อยตัวจิ๋วสีดำที่มองด้วยสายตาเศร้าสร้อยออกจากวงโคจร“ท่านแม่กลับมาแล้ว” “ต่อไปห้ามเรียกข้าว่าแม่ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าหรือลับหลังผู้อื่น” แม้กระทั่งที่ไม่มีสิทธิ์เรียกผู้ให้กำเนิดว่าแม่เลยด้วยซ้ำเพราะในใจอุรคสูงใหญ่ตรงหน้าคิดว่าคงมีงูตนใดแอบเอามาใส่ไว้เป็นแน่เขาผิดหรือที่กำเนิดมาไม่เหมือนใคร ฮึก เหตุใดพวกท่านจึงไม่รักข้าบ้
มหาสมุทรฝั่งตะวันออกอยู่ในการปกครองขององค์จักเรศวรนาคราชกษัตริย์นักรบตระกูลกัณหาโคตมะผู้ที่ขึ้นชื่อเรื่องความปรีชาและเก่งกาจชำนาญการรบมามากมาย มเหสีคู่พระทัยเพียงหนึ่งเดียวก็คือพระนางจันทราภาวดีนาคราชสีทองตระกูลวิรูปักษ์ ทั้งสองมีพระโอรสหนึ่งพระองค์ที่เกิดแบบโอปปาติกะที่เปรียบดั่งลูกไม้ใต้ต้นถอดแบบผู้เป็นบิดามาแทบทั้งหมดทั้งความปรีชาและยึดมั่นในรักเดียว“เจ้าพี่ท่านทำสิ่งใดอยู่หรือ”“คันศรอันใหม่จากหินศิลากาฬที่เจ้าอยากได้อย่างไรเล่า”“ทำไมถึงตามใจข้าอยู่เรื่อยเลยจนข้าเสียนิสัยแล้วรู้หรือไม่”หนึ่งใบหน้าคมคายสันกรามชัดคิ้วเข้มพาดเฉียงรับกับตาคมดุจเหยี่ยวสีรัตติกาลที่กำลังมองคนตรงหน้าด้วยความเอื้อเอ็นดูปากหยักยกยิ้มยามเห็นอีกฝ่ายบ่นว่าเขาตามใจจนเสียนิสัยแต่กลับตาเป็นประกายทุกครั้งที่ได้ของถูกใจ “งั้นคราวนี้เจ้าต้องให้รางวัลพี่แทนแล้วหนา”“ท่านประสงค์สิ่งใดหากข้าหาได้ย่อมไม่อิดออดเป็นแน่ สัญญา”หนึ่งใบหน้ารูปไข่ทั้งงดงามและสลักเสลาในคนๆเดียวคิ้วเข้มรับกับแพขนตาหนาดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนจมูกโด่งรั้นปากอิ่มสีชมพูอ่อนเอื้อนเอ่ยรับปากคนพี่“เป็นสิ่งที่เจ้านั้นหาได้ง่ายมาก” “จริงหรือ งั้นเจ
หลังจากอสูรกายปีซอดับสูญบุคคลที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเจ้าของตำหนักราพณาลัยจากตอนแรกที่มองดูผลงานหลังจากฟาดแส้ใส่นิลคีรีด้วยความสะใจ ในระหว่างที่รออสูรกายใต้อาณัติไปพาตัวชายหนุ่มเจ้าของดวงตาคู่สวยสีน้ำตาลอ่อนมาเล่นสนุกแต่แล้วอยู่ๆก็รู้สึกปวดร้าวขึ้นที่เบ้าตาขวาอย่างรุนแรง “อึก ไอ้งูเวรมึงทำอะไรกู อ๊าก”ร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีควันบุหรี่ที่ถือแส้อาลัมพายน์ทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นหน้าตาบิดเบี้ยวเส้นเลือดข้างขมับปูดโปนเด่นชัด เสียง‘โพล๊ะ’ดังขึ้นพร้อมกับมือใหญ่ยกกุมที่ตาข้างขวาเลือดสีแดงฉานทะลักอาบย้อมเปรอะเปื้อนเล็ดลอดออกมาตามง่ามนิ้วไหลยาวลงไปตามหลังมือไม่มีทีน่าว่าจะหยุดง่ายๆ เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นยิ่งเมื่ออยู่ภายในถ้ำปิดไร้ช่องลมด้วยแล้วกลับยิ่งสะท้อนหนักดังก้องกว่าปกติ สายใยที่ถูกสะบั้นจึงรับทันทีรู้ว่าอสูรกายที่ตนส่งไปยังเป้าหมายถูกทำลายแล้วสิ้นจนเป็นฝุ่นผงไม่เหลือเศษเสี้ยววิญญาณแม้แต่น้อย หากเป็นในยามปกติแล้วนั้นเมื่อใดที่กายสามานย์ถูกทำลายจนดับสูญจิตวิญญาณย่อมแตกสลายแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงถูกชำระจนสะอาดใสได้เช่นนี้ส่วนกระแสจิตที่เชื่อมใส่เมื่อใดที่ตัดสะบ