สิ่งที่เขาพูดขึ้นมานางไม่มีทางยอมรับได้ แม้ว่าจะไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในเมือง เพราะถูกส่งมาที่อารามนี้ได้สามเดือนกว่าแล้ว และทางวังหลวงได้แจ้งมาว่านางจำเป็นต้องอยู่อีกสองเดือนเพื่อรักษาศีลให้กับบรรพบุรุษ
“ข้าไม่เชื่อ บรรณาการอันใดกัน”
“ดูเหมือนว่าองค์หญิงจะไม่ทราบสินะ ว่าในเมืองหลานเจียงเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้ไม่มีเวลามากนัก ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังทีหลัง…เจ้า!”
นางไม่มีทางยอมรับได้ บรรณาการก็ไม่ต่างกับเชลย หากเป็นเช่นนั้นสู้นางตายเสียตรงนี้ดีกว่า ร่างบางเอียงคอเข้าหาคมดาบอย่างกล้าหาญ ท่านอ๋องไม่คาดคิดแต่เขาเร็วกว่านางมาก จึงรีบดึงดาบออกและรวบตัวนางเข้ามาพร้อมกับฟาดไปที่ท้ายทอยจนนางสลบไป
“สตรีน่ารังเกียจ! พาคนที่เกี่ยวข้องกับนางไปให้หมด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
วันถัดมา
คิดไม่ถึงว่าฝ่ามือเดียวของเขา จะทำให้นางสลบไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม ๆ เมื่อถึงค่ายทหาร นางก็ถูกจับแยกกับสาวใช้ของตัวเอง คนที่ถูกจับมาทั้งหมดมีเพียงองครักษ์ของนาง ซึ่งท่านอ๋องจับเป็นเชลย แต่ไม่ได้ทำร้ายใคร
เฮือก!
ปิงเยว่ตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวนางอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จัก เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าเหมือนเป็นที่พักและกระโจม แขนทั้งสองข้างของนางถูกมัดเอาไว้ ไม่นานเจ้าของกระโจมก็เดินเข้ามาถึงเตียงของนาง
“ปล่อยข้านะ”
“เจ้าตื่นแล้วงั้นหรือ หึ คิดไม่ถึงเลยว่าองค์หญิงของต้านชิง จะใจกล้ามากกว่าพี่ชายของเจ้า ที่ข้าพึ่งตัดหัวไปเมื่อวันก่อนเสียอีก”
“พะ พี่ชายข้างั้นหรือ… ฟ่านอี้เฉิน… นี่ท่าน!”
“เขาตายแล้ว”
“ท่านมันคนสารเลว”
“เจ้าเป็นแค่บรรณาการศึกของต้านชิง มีสิทธิ์ที่จะด่าข้าเช่นนี้หรือ”
แควก!
“คนสารเลว! ฮึก หยุดนะ”
เขาดึงเสื้อนางออกจนขาด บัดนี้เหลือเพียงอีกนิดเดียวก็จะเห็นเนินอกขาวผุดผ่องตรงหน้า แม้นว่าจะเคยพบกับสตรีที่งดงามมามากมาย หรือแม้กระทั่งชุนหลันฮวาเองก็ตาม ก็ยังไม่เท่ากับคนตรงหน้านี้เลยสักนิด
“ฟ่านปิงเยว่ องค์หญิงแปดแห่งต้านชิง ธิดาที่เกิดจากพระสนมเอกขององค์จักรพรรดิ “ฟ่านเติ้งจั๋ว” กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับแม่ทัพเกราะเหล็ก ขุนพลแห่งน่านน้ำซีหูผู้โด่งดังไปทั่วหลานเจียงนามว่า “อู๋ซ่างหลี่” ช่างน่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสแล้ว”
“คนสารเลว ข้าจะฆ่าท่าน!”
“อยากฆ่าข้าหรือ ออกจะยากสักหน่อยนะองค์หญิง เพราะก่อนที่เจ้าจะได้ฆ่าข้า มันคือหลังจากคืนนี้ ที่เจ้าต้องทำหน้าที่บรรณาการแคว้นที่แพ้ศึกให้ข้าเสียก่อน”
“ไม่นะ คนสารเลว เพราะเหตุใดกัน ทำไมต้องเป็นข้า!”
“เอาไว้ค่อยถามหลังจากนี้เถอะ”
ท่านอ๋องในชุดลำลองเริ่มถอดชุดออก เสื้อด้านในของเขาแหวกจนนางเห็นร่องอกที่ทั้งใหญ่และกำยำของบุรุษหนุ่มเต็มตัว กล้ามท้องที่โผล่พ้นชายเสื้อทำเอาหัวใจของหญิงสาวเต้นรัว แม้ว่าจะเกลียดกลัวเขาเพียงใด แต่ก็รู้สึกใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก
“ดูสายตาของเจ้าสิ เหมือนว่าเจ้าจะชอบเรือนร่างของข้านะ แน่ละเพราะไม่มีสตรีคนใดปฏิเสธข้าได้”
“ออกไปนะ คนสารเลว เดรัจ…อื้อ”
ริมฝีปากอิ่มถูกครอบครองทันทีเมื่อนางเริ่มแผดเสียง แต่ค่ำคืนนี้จะไม่มีผู้ใดเข้ามารบกวนทั้งคู่ แขนที่ถูกมัดเอาไว้แน่นไม่สามารถทำอะไรได้เลย ลิ้นหนาเริ่มตวัดเปิดทางออก ปิงเยว่เริ่มหายใจไม่ออก สติของนางค่อย ๆ เลือนหายไปพร้อมกับสัมผัสที่เขารุกเข้ามา
“อื้อ…อย่านะ!”
“เสียงดังดีนี่องค์หญิง ร้องอีกทีสิ อยากรู้ว่าหากจับตรงนี้ของเจ้า…”
เขาเลื่อนไปที่หน้าอกที่เริ่มโผล่พ้นปกเสื้อออกมา ทำเอาท่านอ๋องคอแห้งเมื่อเห็นผิวขาว ๆ ดุจหิมะแรก
“หรือว่าตรงนี้”
นิ้วของเขากรีดกรายลงไปที่หน้าขาของนาง ฟ่านปิงเยว่ทั้งกลัวและตื่นเต้น เสียงของเขาปลุกเร้าอารมณ์บางอย่างของนางได้ แต่ทว่านางก็ยังกลัวเขาอยู่ดี
“ปล่อยข้า มิเช่นนั้นหากข้าหลุดไปได้ ข้าจะฆ่าตัวตาย”
“เพราะแบบนี้ข้าจึงต้องมัดเจ้าไว้อย่างไรเล่า แต่หลังจากค่ำคืนนี้ไป เกรงว่าเจ้าอาจจะเปลี่ยนใจ”
“อ๊าา!! ปล่อยนะเจ้าคนชั่ว! อย่ากัด อย่านะ ฮืออ…”
แต่ความแค้นที่ฝังแน่นในหัวใจ สตรีที่เขาเคยรักถูกข่มเหงรังแกจนนางสิ้นใจตาย แม้ว่าจะฆ่าศัตรูไปแล้วแต่มิอาจจะดับไฟแค้นในครั้งนี้ของเขาลงได้หมด ในเมื่อกล้าทำร้ายคนของฉินโจว เช่นนั้นเขาก็จะเอาคืนด้วยวิธีเดียวกัน
“ขอโทษด้วยนะองค์หญิง คงต้องโทษที่เจ้าเกิดผิดที่ไปสักหน่อย”
“อื้อ…ปล่อยนะ คนชั่ว สารเลว อ๊ะ! อื้อ”
ม่านในกระโจมโบกปลิวไปมา ไม่นานชุดของนางก็ถูกเขากระชากออกทีละชิ้นจนไม่เหลือสิ่งใดปกปิดกายเอาไว้ ปิงเยว่หลับตาลงรับความอัปยศในครั้งนี้ หมดสิ้นแล้วกับสิ่งที่นางเคยหวังเอาไว้ ทั้งงานแต่งที่ถูกเตรียมเอาไว้ กับแม่ทัพหนุ่มผู้กล้า ที่เสด็จพ่ออยากให้นางแต่งเป็นสามี
“อื้อ…ฮึก เจ็บนะ”
“อีกเดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว”
เดิมทีเขาคิดจะทรมานนาง แต่เรือนร่างบอบบางเช่นนี้จะทนความกระหายของเขาได้สักแค่ไหนกัน เพียงแค่สัมผัสริมฝีปากนุ่มนั้นเขาก็รู้ทันทีว่ามันทั้งหวานและน่ากินมากเพียงใด ลิ้นหนารุกล้ำไปยังสองเต้าคู่งามที่ยังไม่เคยมีผู้ใดแตะต้อง ยอดปทุมสีชมพูหวานตั้งชูรอปากและลิ้นเขาไปสัมผัส ร่างบางเอนแอ่นราวกับป้อนเขา
“อาา…อื้อ…ข้าเจ็บ”
“หวานยิ่งนัก เจ้ามัน…อาา”
ลิ้นที่ดูดดึงจนเกิดเสียงชวนสะท้าน ทำเอาผู้ที่ร้องไห้อยู่เมื่อครู่เริ่มหวั่นไหว นางไม่ควรเข้าร่วมและเผลอใจไปกับสัมผัสของมัจจุราชผู้นี้ แต่ทว่าเขาก็ชักชวนเก่งเหลือเกิน
“อ๊าา อื้อ…”
แผล็บ จุ๊บ…จ๊วบ
เสียงหยาบคายนั้นทำให้นางเริ่มทนไม่ไหว น้ำลายเหนียวเริ่มเปื้อนเต็มหน้าอกที่เปลือยเปล่า ความเหนียมอายที่เคยมีถูกสลัดออกไปจนสิ้น ไม่นานมือหนาก็เอื้อมมาปลดพันธนาการของนางออก และจับข้อมือเล็กนั้นมาจูบ
“ฮึก เจ็บ”
เขาไม่พูดอะไรอีก ตอนนี้ท่านอ๋องเริ่มไม่รู้แล้วว่า คนตรงหน้านี้เป็นเชลยที่เขาต้องนำมาทรมาน แต่บัดนี้เมื่อได้สัมผัสนางและเห็นน้ำตานั้น หัวใจบุรุษหนุ่มที่คั่งแค้นมานาน กลับสงบลงและรู้สึกอยากครอบครอง มากกว่าจะลงทัณฑ์
“อย่านะ! ได้โปรดอย่ามอง ฮือ….”
เขามิอาจทำตามที่นางร้องขอได้ เรียวขาสองข้างถูกเขากางออกและนิ้วสากที่จับดาบอยู่ทุกวันค่อย ๆ คลี่กลีบบางตรงหน้านั้นออกมา ไม่นานน้ำหวานก็เริ่มไหลออกมาตามร่องกลีบนั้น เขาแสยะยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“เพียงแค่ถูกนิ้วกระตุ้นไปนิดหน่อยเจ้าก็แฉะจนเปียกขนาดนี้ ยังจะปากแข็งอีกงั้นหรือ…องค์หญิง”
“ฮึก! อ๊าา ท่านเบาลงหน่อย ข้าเจ็บ!”ความอัดอั้นของท่านอ๋อง ถูกส่งผ่านด้วยแรงกระแทกไม่ยั้งที่ทำเอาปิงเยว่ทั้งจุกและเสียวไปถึงท้องน้อย แต่ขอบสระที่เย็นและเปียกชื้นก็ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัว ท่านอ๋องอุ้มนางลงมาในน้ำและจุมพิตแผ่วเบาเพื่อให้นางได้พัก แต่กายล่างยังไม่ยอมถอดออก“ข้าจะเบาลงก็ได้ เริ่มอุ่นหรือยัง”“เหตุใดท่านชอบทำเช่นนี้อยู่เรื่อย อื้อ..อื้อ หยุดนะ!”“เจ้ามันก็แค่คนปากแข็ง แค่ข้าขยับตัวนิดหน่อยก็ครางเสียงหลง แล้วยังมาถามอีกงั้นหรือ”“ท่านมันคนหน้าไม่อาย”“พอได้แล้ว หากแช่น้ำนานเกินไปอาจจะเป็นหวัดได้ ข้ายังมีเรื่องอื่นให้สะสางอีก”“อ๊าาา อึ๊ยยย อ๊าาา!!!”เสียงครางของนางเร่งให้อารมณ์ดิบเขาตื่นขึ้น แม้จะบอกว่ามีเรื่องอื่นต้องสะสาง แต่ท้ายที่สุดทั้งคู่ก็ใช้เวลาในห้องอาบน้ำนั้นเกือบครึ่งชั่วยาม สุดท้ายท่านอ๋องก็ต้องอุ้มร่างที่หมดสติของฟ่านปิงเยว่ออกมา และพาไปที่ห้องนอนของตัวเองทันที เมื่อห่มผ้าให้นางเสร็จแล้วจึงได้เรียกองครักษ์ของตัวเองที่ยืนรออยู่หน้าห้อง“มู่ไป๋”“พ่ะย่ะค่ะ”“ไปกับข้า”“พ่ะย่ะค่ะ”เขาสั่งให้ซูหมัวมัว เรียกสตรีที่มาพร้อมกับองค์รัชทายาทเข้าเฝ้าที่ห้องโถงกลางในจวน พ
“เจ้าเจ็ดนี่เจ้าจะบอกว่า ไปฉุดนางมาอย่างนั้นหรือ นี่มันนอกเหนือจากกฎกองทัพ เช่นนี้แล้วทางต้านชิงจะไม่คิดว่าเจ้าทำเกินไปงั้นหรือ”“ก่อนหน้านั้นคิดแค่อยากแก้แค้น แต่ดูแล้วทางต้านชิงจะมิได้ให้ความสำคัญกับองค์หญิงแปดผู้นี้เท่าใดนัก พวกเขากลับดูยินยอมเสียด้วยซ้ำที่เราไม่เรียกค่าธรรมเนียมแพ้ศึกไปมากกว่านี้”“แน่ใจหรือว่าพวกเขาจะไม่หาเรื่องเจ้าอีก เพราะการที่พานางมาที่นี่ เรื่องขององค์หญิงมิได้มีในรายงานการชนะศึก เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ หากเสด็จพ่อทรงทราบคงจะรีบให้เจ้าประหารนางอย่างแน่นอน”“นางเป็นของข้า! หากว่าผู้ใดจะตัดสินโทษนาง คนนั้นก็ต้องเป็นข้า พี่ใหญ่ไหน ๆ ท่านก็มาแล้วเรื่องนี้ท่านก็…”“ไม่ได้ เรื่องนี้ข้าช่วยเจ้าไม่ได้ นอกจากว่าเจ้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ทูลขอพระองค์เอง”“ท่านหมายความว่า…”“เจ้าต้องยกนางให้แต่งงานกับคนอื่น เรื่องนี้ถึงจะจบลงได้อย่างสันติ อีกอย่างเรื่องดินแดนที่ได้มาเสด็จพ่อพอพระทัยมาก คิดว่าเรื่องนี้ก็คงไม่มีปัญหา”“ไม่ได้!”“น้องเจ็ดนี่เจ้าคงจะมิได้ หลงรักนางเข้าไปแล้วหรอกนะ”“ข้า… นอนกับนางแล้ว”“แล้วอย่างไรเล่า ใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยนอนกับสตรีเสียหน่อย นี่น้องพี่ข้าขอร้องล
กว่าที่ทั้งคู่จะออกจากห้องอาบน้ำได้ก็อีกพักใหญ่ นางต้องทำหน้าที่จัดชุดและแต่งตัวให้เขา เมื่อมองแบบนี้ท่านอ๋องก็รู้สึกว่านางทำหน้าที่ได้ดีมากเช่นกัน“หลังจากเข้าเมืองฉินโจวแล้ว ต้องไปที่จวนของข้า ทุกเช้าเจ้าก็ต้องทำหน้าที่นี้”“ทุกวันหรือ”“ใช่น่ะสิ ถามทำไม”“นี่มันหน้าที่สาวใช้”“ไม่พอใจงั้นหรือองค์หญิง หรือลืมไปแล้วว่าตอนนี้เจ้า…”“ข้ารู้ฐานะตัวเองดี ท่านเองก็เลิกเรียกข้าด้วยฐานะนั้นได้แล้ว”“เจ้าโกรธงั้นหรือ”“เปล่า เดิมทีก็ไม่เคยสนใจตำแหน่งบ้า ๆ นั่นอยู่แล้ว ข้าสวมชุดให้ท่านเสร็จแล้ว ออกไปได้หรือยังข้าจะได้เปลี่ยนชุด”“เจ้าก็เปลี่ยนไปสิ”“ท่าน!”“ทำไมเล่า มิใช่ว่าข้าเห็นจนหมดทุกส่วนหรืออย่างไรกัน อย่าบอกนะว่า เจ้ายังอายอยู่”“ข้าขอร้องล่ะ อย่าให้ข้ารู้สึกอดสูจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ ไปมากกว่านี้อีกเลย”นางใช้เสียงค่อนข้างทุ้มต่ำ ราวกับพยายามกดความน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้ ท่านอ๋องรู้สึกเย็นวาบลงที่ท้องทันที เขาไม่เคยคิดว่าคำพูดเพียงแค่อยากล้อเล่น จะทำให้นางคิดมาก“เอาเถอะ อย่างไรเจ้าก็เป็นสตรีที่เรื่องมากอยู่วันยังค่ำ ข้ามิได้อยากจะมองเสียหน่อย แค่ที่นี่ไม่ได้ปลอดภัยก็เลยอยากคุ้มกันให้เท่าน
“กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นกระหม่อมจะรีบไปแจ้งกับทุกคนว่าองค์หญิงมิใช่เชลยหรือเครื่องบรรณาการ แต่เป็นองค์ประกันของพระองค์... พ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องทรงนิ่งไป เขาเองก็ไม่ทันได้คิดเรื่องนี้มาก่อน “ให้คนมาเฝ้านางเอาไว้ แล้วก็… จัดการตามที่เจ้าว่าโดยเร็วที่สุด”“พ่ะย่ะค่ะ!”มู่ไป๋รีบดำเนินการทันที โดยที่ไม่รอคำสั่งอื่น ๆ แค่เขาเพียงเฉียดไปถามเรื่องขององค์หญิงแปดผู้นี้เพียงเล็กน้อย ท่านอ๋องก็พร้อมที่จะสั่งลงโทษเขาเสียแล้ว“เกือบได้ไปเก็บขี้ม้าแล้วอย่างไรเล่า”หลังจากที่อี้ฝูทำความสะอาดห้องจนเสร็จแล้ว ท่านอ๋องก็กลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง ซึ่งทำให้ทั้งสองคนแปลกใจมาก“เจ้าออกไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ต้องกลับเข้าเมืองฉินโจวแล้ว ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมาก”อี้ฝูหันมามององค์หญิงที่มีท่าทางตกใจไม่แพ้กัน ทั้งคู่คิดว่าเขาจะไม่เข้ามาอีกแล้วในคืนนี้ แต่อี้ฝูก็ยากจะขัดขืน“เพคะท่านอ๋อง”เมื่อนางเดินออกไปแล้ว ท่านอ๋องจึงเดินเข้ามาในห้อง ปิงเยว่มองหาทางหนี ซึ่งเขารู้ดีและรีบถามอย่างรู้ทัน“ไม่ต้องหาทางหนีหรอก อย่างไรก็หนีไม่พ้น คืนนี้เราก็ต้องอยู่ด้วยกันในห้องนี้”“ไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าท่านงั้นหรือ”“เช่
“จริงหรือ!”“ใช่แล้ว ครั้งนั้นท่านอ๋องไปช่วยทางใต้รับศึกกับเมืองหยาง เจ้าจำได้หรือไม่”“ข้าย่อมจำได้ เพราะข้าเองก็ไปด้วย พอกลับมาก็รู้ว่าฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งบุตรีเจ้ากรมกลาโหมเป็นท่านหญิง และมีราชโองการแต่งไปเชื่อมสัมพันธ์กับองค์ชายรองแคว้นต้านชิง ที่มาสู่ขอถึงเมืองฉินโจว”“พวกเจ้ากินกันไปเงียบ ๆ เถอะ หากยังไม่ถูกสั่งโบย”มู่ไป๋พูดขึ้นมา และเดินไปหยิบไหสุรามาดื่มต่อเงียบ ๆ แน่นอนว่าเรื่องที่ทุกคนพูดเป็นเรื่องจริง เรื่องนี้มิได้เป็นความลับแต่อย่างใด ในตอนนั้นแม้ว่าท่านอ๋องจะเคยรักกันกับชุนหลันฮวา แต่เพราะศึกแดนใต้ที่เรื้อรังนับห้าเดือน และมักจะมีข่าวลืออยู่เนือง ๆ ว่าอาจจะแพ้ศึกและท่านอ๋องอาจจะสิ้นพระชนม์ในศึกนั้นเมื่อกลับมาเมืองหลวงก็พบว่า สตรีที่รักได้แต่งงานไปกับผู้อื่นเสียแล้ว หลังจากนั้นท่านอ๋องเสียพระทัย และทรงกริ้วฝ่าบาทมาก จนไม่ยอมกลับเมืองหลวงอีกเลย กระทั่งได้ข่าวการตายของนาง ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการหยามเกียรติของฉินโจวท่านอ๋องตัดสินใจยกทัพไปแก้แค้นศัตรูหัวใจ อย่างองค์ชายรองฟ่านอี้เฉินแห่งตานชิง เรื่องนี้องค์ชายผู้สิ้นชื่อเป็นคนพูดออกมาก่อนที่จะถูกท่านอ๋องสังหารกลางสมรภูมิเดือดที
“องค์หญิง…. ฮือ… แต่ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร ข้าก็จะติดตามท่านตลอดไปเพคะ”“ข้าเหนื่อยเหลือเกิน อยากนอนและไม่ต้องตื่นมาพบกับความทรมานเหล่านี้อีก”“องค์หญิง ข้าจะรีบเช็ดตัวให้ท่านนะเพคะ”เสียงสะอื้นของสาวใช้ยังคงดังให้ได้ยินเป็นพัก ๆ จนเงียบไป ท่านอ๋องที่ยืนพิงอยู่ข้างรถม้าก็ตกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่พวกนางคุยกัน แต่เรื่องนั้นก็มิได้เกี่ยวอะไรกับเขา“ฟ่านปิงเยว่ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”สองวันถัดมาเมื่อมี “อี้ฝู” สาวใช้ข้างกายมาอยู่ด้วย ปิงเยว่ก็ยอมที่จะกินข้าวและดื่มยาที่หมอประจำกองทัพต้มมาให้ นางยอมเดินทางมาที่เฉินโจวพร้อมกับเขาแต่โดยดี “สีหน้าดูดีขึ้นมากเลยนี่”นางยังไม่พูดอะไรกับเขาทั้งสิ้น ท่านอ๋องหมั่นไส้กับท่าทางนี้ของนางมาก ก่อนจะเข้าเมืองฉินโจวจึงนึกอยากจะสั่งสอนนางสักหน่อย เพราะเขารู้มาว่านางหายดีแล้ว หลังจากมีสาวใช้ข้างกายกลับไปอยู่ด้วย“ลงมานี่”“ข้าไม่ไป”“เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือก”“ท่านจะพาข้าไปไหน”“มีแรงพูดแล้วนี่ หึ”“ข้า…”“ไม่มีสิทธิ์ถาม ตามมา”เขาจับมือนางพาเดินลงจากรถม้า และบอกให้ทุกคนอยู่ที่นี่และไม่ต้องตามมา เขารู้จักที่นี่เป็นอย่างดี และตอนนี้ก็เป็นตอนเย็นซึ่งพระอาทิต