ผืนฟ้าในห้วงฝันเป็นสีแดงอมทอง คล้ายยามเย็นที่กำลังลาลับแต่กลับสว่างวาบด้วยไอแดดพิกล กลิ่นหอมจางของดอกไม้ป่าอบอวลในอากาศร้อนจัด ราวกับกำลังลุกไหม้บางอย่างในอก
อินยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้า แต่สิ่งที่ดึงสายตาเขาไม่ใช่ภูมิทัศน์รอบตัว แต่คือร่างเปลือยเปล่าของเปรมที่ยืนหันหลังให้เขา ท่ามกลางแสงสีทองที่ร่วงหล่นลงบนไหล่กว้างและแผ่นหลังเนียนละเอียดเหมือนรูปสลักชั้นดี เขาๅเดินเข้าไปใกล้ในฝันช้าๆ หัวใจเต้นแรงจนแทบระเบิดทุกก้าวที่เข้าใกล้ ใบหน้าของเปรมหันกลับมา ดวงตาเรียวยาวปรือเยิ้มด้วยแรงอารมณ์ที่อัดแน่น “อิน…ข้า…” เปรมเอื้อมมือมาแตะแก้มเขา เสียงนุ่มพร่าราวกระซิบสะกดหัวใจและสติสัมปชัญญะจนดับวูบ ปลายนิ้วของอินลูบผ่านเอวเปรม ไล่ลงสู่บั้นท้ายแน่นเนียนนั้นอย่างห้ามใจไม่ได้ ริมฝีปากทั้งคู่จูบกันอย่างร้อนแรง เนื้อตัวบดเบียด ไม่มีคำใดหลุดจากปาก มีแต่เสียงหอบและเสียงครางกระซิบชิดใบหู อินปลุกเร้าร่างในฝันราวกับหลงทางในแดนต้องห้าม มือเขากำแน่นบนสะโพกเปรม ขณะที่เปรมบิดเร้าอยู่ใต้ร่าง เสียงครางอู้อี้ดังข้างหูจนเขาตัวสั่น แต่แล้ว… แรงขยับเบาๆ บนอก และไออุ่นจากร่างข้างกายที่แนบแน่นจนได้กลิ่นหอมจางจากเส้นผม ทำให้สติของอินค่อยๆ ผุดขึ้นจากฝัน เปลือกตาค่อยๆ เปิดช้าๆ… ใบหน้าของเปรมอยู่ตรงหน้า เขานอนหลับพริ้ม ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ ใบหน้าที่ในฝันนั้นเร่าร้อน บัดนี้สงบ น่าทะนุถนอมยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด อินกะพริบตา รู้สึกถึงความแข็งตึงของตัวเองที่ยังไม่คลายจากภาพในฝัน ใบหน้าเขาขึ้นสีจัดในความมืด ร่างของเขากำลังกอดเปรมแน่นจากด้านหลัง ขาของเขาสอดอยู่ระหว่างเรียวขาเปรมอีกต่างหาก เวรเอ๊ย… เขาแทบกลั้นหายใจ กลัวจะปลุกเปรมให้ตื่นขึ้นมาพบว่าเขานอนกอดแน่นแถมมีของแข็งดุนหลังเปรมอยู่แบบนี้ อินค่อยๆ คลายวงแขนอย่างระวังสุดชีวิต หัวใจเต้นรัวเหมือนกลองศึก สายตาเลื่อนไปมองใบหน้าหลับพริ้มของเปรมอีกครั้ง แล้วถอนหายใจยาว… “อย่าฝันแบบนั้นอีกเลยนะอิน…เดี๋ยวได้โดนต่อยหน้าหลุดจริงๆ แน่…” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเอาหน้าไปซุกตรงหลังไหล่เปรมอีกหน …ให้ตายเถอะ ถึงจะกลัวก็เถอะ แต่การได้นอนกอดเขาแบบนี้มันก็โคตรดีเลย. แสงอาทิตย์แรกของวันค่อยๆ ลูบไล้ผ่านแนวไม้สูง ส่งแสงสีอุ่นลอดผ้าใบเกวียนเข้ามาเป็นลำพาดผ่านร่างของคนที่กำลังตื่นตัวแต่เช้า อินลุกขึ้นจากที่นอน ม้วนผ้า หยิบขันน้ำไม้ไผ่มาตักน้ำล้างหน้า เสียงน้ำกระทบกับฝ่ามือเย็นเฉียบแต่กลับไม่อาจกลบร้อนในอกที่ยังอุ่นวาบจากความฝันและเหตุการณ์เมื่อคืน เขาถอนหายใจเบาๆ ก้มหน้าซบมือ พลางพูดกับตัวเองในใจ “ไม่รู้ว่าควรจะเรียกแบบนั้นว่า ‘เซ็กซ์’ ไหม…หรือมันคือ…การปลอบโยน…หรือว่าเพราะใจมันเผลอไปกับเขาแล้วจริงๆ” เสียงกรอบแกรบเบาๆ จากผ้าใบเกวียนด้านหลังทำให้เขาเงยหน้า ก่อนจะหันกลับไปตั้งใจจะขึ้นนั่งตำแหน่งควบม้า ทว่า… แขนเรียวยาวกลับโอบรอบเอวเขาไว้จากด้านหลังอย่างนุ่มนวล อินถึงกับชะงัก ใบหน้าร้อนวาบขึ้นมาทันทีเมื่อร่างด้านหลังแนบชิดจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดต้นคออ่อนๆ “ตื่นแต่เช้าเลยนะ อิน…” เสียงเปรมอู้อี้ปนง่วง พูดใกล้หูจนขนลุกซู่ อินไม่กล้าหันกลับไป กลัวจะเผชิญหน้ากับคนที่เมื่อคืนเขา…ทำเรื่องแบบนั้นด้วย แต่ในความเงียบที่ตกค้าง ใจเขากลับไม่อาจห้ามสายตาตัวเองไม่ให้จินตนาการถึงใบหน้าของเปรมได้ …ผิวเนียนนวลราวหยกขาวที่เพิ่งถูกขัดใหม่ แก้มแดงระเรื่อจากไอเช้า ปากบางสีกลีบบัวที่เมื่อจูบแล้วติดตรึงใจจนไม่รู้ลืม… ดวงตาคมเรียวยามมองมาเต็มไปด้วยทั้งความดื้อดึงและเศษเสี้ยวความอ่อนแอที่เขาอยากจะปกป้องนักหนา “คุณเปรมผมขะ…ขอโทษครับเรื่องเมื่อคืน” อินพึมพำเสียงแผ่ว เปรมเงียบไปนิดหนึ่งก่อนเอาหน้าซุกหลังอินพร้อมยิ้มกว้างอย่างเจ้าเล่ห์ “หืม ขอโทษเรื่องไหนล่ะ…เรื่องจูบเหรอ หรือเรื่องที่เจ้ายกก้นข้าจนลอย กันนะ?” “คุณเปรม!” อินแทบอยากกระโดดลงจากเกวียนหนีไปตรงนั้น หน้าแดงจัดถึงหู เส้นเลือดตรงขมับเต้นตุ้บๆ เปรมหัวเราะในลำคออย่างพึงใจ ก่อนจะเอียงคอเข้าไปใกล้ขึ้นอีก กระซิบเบาๆ “ข้าไม่ได้โกรธหรอกนะ…แต่อาจจะ ‘น้อยใจ’ นิดหน่อยที่ตื่นมาทำเป็นเฉยเมยใส่กันนี่แหละ” พูดจบ คนขี้แกล้งก็คว้าแก้มของอินไปหอมฟอดใหญ่แบบไม่ให้ตั้งตัว จุ๊บ! อินถึงกับสะดุ้ง กะพริบตาปริบ หัวหมุนติ้วเหมือนจะตกจากเกวียน “ลงโทษ…สำหรับการทำเมินใส่กันตอนเช้า” เปรมยิ้มทะเล้นก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในเกวียน ร่างนั้นมีเพียงเสื้อลำลองตัวบางคลุมไว้ ปล่อยผมเผ้ายุ่งๆ อย่างไม่ได้จัดแต่ง แต่ในสายตาอินกลับงดงามยิ่งกว่าภาพฝัน “น่ารักจนใจจะขาดอยู่แล้ว…” อินคิดเงียบๆ ก่อนจะหลุดยิ้มทั้งที่ใบหน้ายังแดงจัด มือเขาจับเชือกม้าแน่นขึ้น สูดลมหายใจลึก แล้วเปรยออกมาเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่ “ถ้าเป็นแบบนี้ ผมก็ยิ่งไม่อยากกลับโลกเดิมเลยน่ะสิ ” เมืองสุพรรณในยามเช้าแสงแดดอ่อนส่องต้องยอดไม้และหลังคาบ้านเรือนอย่างอ่อนโยน ถนนดินแดงทอดยาวแทรกผ่านชุมชนที่เต็มไปด้วยชีวิต เสียงแม่ค้าเจื้อยแจ้ว เรียกลูกค้าหน้าร้านค้าวางเรียงรายด้วยผลไม้สด ผ้าแพรพรรณ เครื่องทองเหลือง และสมุนไพรหลากชนิด ผู้คนแต่งกายด้วยผ้านุ่งผ้าห่มสีสดใสตามยุครัชกาลที่ 3 เดินสวนกันขวักไขว่ บ้างขี่เกวียน บ้างหาบของ บ้างก็ยืนสนทนากันเป็นกลุ่มตามหัวมุมถนน “คุณเปรม มาดูสิครับ เมืองสุพรรณนี่งามกว่าที่ผมคิดอีกนะเนี้ย” อินเอ่ยขึ้น ขณะหยุดเกวียนริมทาง พลางยื่นมือเรียกเพื่อนร่วมทางให้โผล่ออกมาจากผ้าใบหลังเกวียน เปรมยันตัวขึ้นมานั่งข้างๆ อิน กวาดสายตามองไปทั่วด้วยแววตาเปล่งประกาย “อืมม…ดูมีชีวิตชีวาเชียวล่ะ ข้าชักชอบที่นี่ขึ้นมานิดๆ แล้วสิ” อินหัวเราะเบาๆ ก่อนหยิบแผ่นกระดาษจากอกเสื้อออกมา ยื่นให้ชายชราคนหนึ่งที่นั่งใต้ร่มต้นโพธิ์ใกล้ๆ “ลุงขอรับ ไม่ทราบว่าเรือนท่านเจ้าพระยา…เอ่อ…เจ้าพระยาพิศาล อยู่ทางไหนหรือขอรับ?” ชายชราหรี่ตามองแผ่นกระดาษก่อนจะยิ้มเมตตา “เจ้าพระยาพิศาลหรือ…เอ็งมาถูกทางแล้ว เดินไปทางโน้นไม่ไกลหรอก…แต่ถ้าไม่แน่ใจ ลุงว่ารอถามคนในตลาดหน่อยก็ได้” ยังไม่ทันได้หันไปถามใคร เสียงหญิงสาวคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมา “เรือนเจ้าพระยาใช่ไหมเจ้าคะ ข้าไปส่งให้ได้” อินและเปรมหันขวับไปยังที่มาของเสียง และสิ่งที่อินเห็นก็ทำให้เขานิ่งงันไปชั่วขณะ หญิงสาวผิวขาวผ่องในชุดผ้าซิ่นสีมรกตทอเส้นทองลายดอกพิกุลปักละเอียด เดินเข้ามาอย่างสง่างาม ดวงตาเรียวคมแฝงความมั่นใจ ใบหน้ารูปไข่เปื้อนยิ้มบาง ๆ มีเสน่ห์อย่างประหลาด ผมยาวดำขลับถูกรวบขึ้นอย่างเรียบร้อยด้วยหวีเงินลวดลายละเอียด เปรมตาโตขึ้นเล็กน้อยก่อนเอ่ยชื่อออกมาอย่างแผ่วเบา “...แม่บุหลัน?” หญิงสาวชะงักเล็กน้อยก่อนจะมองเปรมด้วยแววตาเปลี่ยนไปทันที “ท่านคือ…คุณพี่เปรม?! ใช่หรือไม่?” เปรมพยักหน้า ยิ้มอ่อน “จำข้าได้ด้วยรึ?” แม่บุหลันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “รูปงามเช่นนี้ ต่อให้แต่งตัวเหมือนชาวบ้านทั่วไป ข้าก็ยังจำได้ว่าเป็นท่านเจ้าค่ะ พี่ชายของแม่ปิ่นแก้วเหตุใดจะลืมละเจ้าคะ อินยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับอึ้งเบาๆ เหมือนเขาจะจำหญิงงามตรงหน้าได้ เคยพบเธอที่ตลาดยามเมื่อเขาหลุดมายุคนี้ใหม่ๆ แต่การที่คุณเปรมถูกชื่นชมจากปากหญิงสาวต่อหน้าเขา ช่างหาดูได้ยากนัก แต่นี่แม่บุหลันพูดออกมาอย่างจริงใจและดูยินดีไม่น้อย “ขออภัยที่เสียมารยาทเจ้าค่ะ ข้าชื่อบุหลัน เป็นธิดาของท่านเจ้าพระยาพิศาลเจ้าค่ะ” เธอกล่าวต่อพร้อมรอยยิ้ม “ลูกท่านเจ้าพระยา? ก็ว่าถึงรู้ทางดีนัก” อินพูดขึ้นเบาๆ แต่ไม่วายหันไปกระซิบกับเปรม “นี่ยังกับนางในวรรณคดีแน่ะ” แม่บุหลันหัวเราะอีกครั้งเมื่อได้ยิน อินหน้าแดงเรื่ออย่างเขินอาย ส่วนเปรมที่เห็นภาพแบบนั้นก็ขยี้หัวของอินอย่างหมั่นไส้ไปมา ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงเรือนเจ้าพระยาเรือนไม้ทรงไทยหลังใหญ่ทอดตัวอยู่ริมน้ำ ต้นพิกุลบานส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาตามลม หญิงใช้และชายรับใช้ในเรือนแต่งกายเรียบร้อย ดูขยันขันแข็งกับการทำงานของตน ท่านเจ้าพระยา พ่อของบุหลัน เป็นชายสูงวัยน่าเกรงขาม ใส่โจงกระเบนและเสื้อชั้นในแพรบางทับด้วยสไบเฉียงสีคราม ท่าทางสุขุมและมีเมตตา เมื่อเห็นเปรมก็ลุกขึ้นยิ้มกว้างทันที “โอ้! เปรมลูกชายเจ้าคุณมณีหรือ? โตจนจำแทบไม่ได้ รูปงามเหมือนพ่อเจ้าไม่มีผิด” เปรมยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “ขอรับ ข้ามีธุระสำคัญมาขอความช่วยเหลือจากท่าน” หลังจากรับน้ำดื่มเย็นชื่นใจจากหญิงใช้ และได้นั่งพักในศาลาริมน้ำใต้ร่มเงาไม้ เปรมก็เริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตั้งแต่การทรยศของหลวงวิษณุที่ไปเข้าขากันกับพวกวิลาท การที่เขาและอินต้องหลบหนี จากเรือนที่ถูกเผาไหม้เพราะความเหิมเกริมของวิษณุ และความอันตรายที่ยังคืบคลานมาถึงแม่ปิ่นแก้ว เสียงลมพัดใบไม้ไหวเบาๆ ตัดกับความเงียบขณะเปรมเล่า ท่านเจ้าพระยาเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะพูดเสียงขรึม “หลวงวิษณุกล้าทำถึงเพียงนี้เชียวรึ…น่าอัปยศนัก! คนเช่นนี้หากปล่อยไว้ ต้องมีผู้เดือดร้อนอีกเป็นอันมากแน่” แม่บุหลันเม้มปากแน่น สีหน้าตกใจไม่ต่างกัน “เขาเป็นสามีของแม่ปิ่นแก้วและยังเป็นน้องเขยของคุณพี่เปรม…ทำไมถึงกล้าลงมือเช่นนี้…” “ข้าจะช่วยเจ้าเปรม” ท่านเจ้าพระยาพูดอย่างหนักแน่น “เจ้าจงอยู่ที่นี่กับเพื่อนเจ้าก่อน ให้ปลอดภัย แล้วข้าจะติดต่อหาผู้ที่ไว้ใจได้…ให้มาเป็นกำลังแก่เจ้า ข้าจะไม่ปล่อยให้ความยุติธรรมถูกเหยียบย่ำเพียงเพราะอำนาจของคนเลว” เปรมโค้งคำนับอย่างซาบซึ้ง “ขอบพระคุณขอรับท่าน…ข้าไม่รู้จะตอบแทนท่านอย่างไรดี” “ตอบแทนด้วยการดูแลตัวเจ้าให้ดีเถิด” ท่านเจ้าพระยายิ้มอย่างอ่อนโยน “และดูแลเพื่อนเจ้าด้วย ดูจากสายตาเขานั่นสิ…แววตาแบบนั้นน่ะ เจ้ากับเขาต้องผ่านอะไรมามากแน่ๆ” เปรมหันไปมองอินที่นั่งอยู่ข้างๆ และพบว่าอินก็กำลังมองเขาอยู่พอดี ทั้งสองสบตากันเพียงครู่เดียว แต่อะไรบางอย่างก็สื่อถึงกันได้มากมาย แม่บุหลันลอบยิ้ม ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง “เรือนนี้ยินดีต้อนรับพวกท่านทั้งสอง...พักกายเถิด แล้วพรุ่งนี้เราจะเริ่มแผนกันใหม่” แสงแดดยามบ่ายทอดผ่านสระบัวหน้าศาลา กลีบบัวสีชมพูเริ่มบานท่ามกลางเสียงจั๊กจั่นที่ร้องระงมเป็นจังหวะของโลกที่ยังคงหมุนต่อไป แม้ในหัวใจของใครบางคนจะเริ่มสั่นคลอน...เพราะบางสิ่งที่เกินกว่ามิตรภาพ และอาจเรียกว่า ความรัก ก็เป็นได้. .... ยามเช้าตรู่ที่เรือนเจ้าพระยามาเยือน ดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าอย่างเชื่องช้า สาดแสงอุ่นละมุนลงบนผืนน้ำในสระบัวเบื้องหน้าศาลา บัวสีชมพูอ่อนเริ่มแย้มกลีบรับแสงเช้า ทาบทอแสงทองไว้บนกลีบบางราวกับผ้าไหมพับซ้อน กลิ่นดอกไม้ที่ปลูกเรียงรายรอบสวนลอยแตะจมูก เป็นกลิ่นหอมจางๆ ที่แฝงไว้ด้วยความสงบ เยียวยาจิตใจจากโลกภายนอกที่สั่นคลอน ทางปีกขวาของเรือนใหญ่ เป็นที่ตั้งของเรือนพักเล็กๆ ซึ่งถูกจัดสรรไว้อย่างเป็นส่วนตัว มีฉากระแนงไม้และต้นโมกช่วยบังสายตาจากผู้คนได้อย่างแนบเนียน ข้างในห้องตกแต่งเรียบง่ายแต่พิถีพิถัน เครื่องเรือนทุกชิ้นถูกดูแลอย่างดี กลิ่นหอมอ่อนของตะไคร้และการบูรจากถุงผ้าเล็กๆ ตามมุมห้องช่วยขับไล่ยุงและเพิ่มความรู้สึกเย็นสบาย เปรมนั่งเอนหลังอยู่ที่ระเบียงไม้ สายตาเหม่อมองออกไปยังสระบัวเบื้องหน้า ปลายนิ้วประคองถ้วยชาร้อน กลิ่นใบเตยลอยกรุ่นชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ข้างกายเขา อิน ชายหนุ่มผู้เป็นทั้งบ่าว ทั้งเพื่อน และบางครั้งก็เหมือนเป็นเงาสะท้อนของหัวใจ นั่งอยู่บนเบาะผ้าทอ พิงเสาไม้ หลับตาพริ้มราวกับไม่มีเรื่องใดให้ระแวงอีก “เรือนนี้ช่างเงียบดีเหลือเกิน” เปรมพูดขึ้นเบาๆ พลางละสายตาจากดอกบัวมายังอีกฝ่าย “เงียบจนข้าไม่แน่ใจว่า ข้ายังอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง หรือฝันไปเสียแล้ว…” อินลืมตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนยิ้มเอื่อย “ถ้าฝัน... ผมก็อยากให้คุณอยู่ในฝันนี้กับผมตลอดไป” เปรมหัวเราะเบาๆ พร้อมกับหยิกไหล่อินอย่างเอ็นดู “เจ้าช่างพูดเก่งเหลือเกินเดี๋ยวนี้” “ผมไม่ได้พูดเล่นนะ” อินตอบเรียบๆ แล้วเอนศีรษะลงบนต้นขาของเปรมอย่างไม่สนใจมารยาท “อยู่ที่นี่ ผมไม่ต้องหนี ไม่ต้องกลัว ได้อยู่ข้างคุณเปรม... มันก็ดีพอแล้ว” เปรมมองเขาเงียบๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบผมอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา “หากเจ้ามีความสุข... ข้าก็ยินดี” และช่วงเวลาเช้านั้นก็เคลื่อนผ่านไปอย่างแช่มช้า ท่ามกลางแสงแดดอุ่น สายลมเบา และเงาของต้นไม้ที่พาดทับพื้นศาลา มีบางสิ่งบางอย่างงอกเงยขึ้นมาอย่างเงียบงัน ความรักที่ค่อยๆ ผลิบานในความสงบเหมือนดอกบัวในสระบัวนั้นเอง ค่ำคืนที่ดวงจันทร์เป็นพยาน ราตรีมาถึงพร้อมเงาเงียบที่คลี่คลุมทั่วเรือนท่านเจ้าพระยา แสงจันทร์ตกกระทบบานระแนงไม้เป็นลวดลายบนพื้นห้อง เสียงจั๊กจั่นและเขียดจากบึงใกล้เรือนประสานเสียงกันแผ่วเบา กลิ่นหอมจากตะเกียงน้ำมันและดอกลำดวนที่ปลูกริมชานเรือนพัดตามลมเข้ามาในห้อง เติมเต็มความสงบให้ค่ำคืนนี้อย่างสมบูรณ์ ภายในห้องนอนซึ่งตกแต่งอย่างวิจิตร เปรมเอนกายนอนบนฟูกนุ่ม ผ้าปูที่นอนเนื้อดีปักดิ้นทองสะท้อนแสงจันทร์อ่อนๆ เขากำลังจะหลับ หากไม่ใช่เสียงบานประตูที่เปิดออกแผ่วเบา ร่างสูงโปร่งของอินย่องเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ถือหมอนหนึ่งใบกับผ้าห่มผืนบาง เปรมเหลือบตามองก่อนถอนหายใจ “จะตีเนียนอีกแล้วหรืออิน เมื่อคืนยังแยกห้องอยู่เลย” อินไม่ตอบ เดินมาวางหมอนลงบนที่ว่างข้างๆ แล้วทิ้งตัวนอนลงแนบหลังเปรมอย่างหน้าตาเฉย “ข้าไม่ได้บอกใครว่าเจ้าเป็นบ่าวนะ” เปรมบ่นเบาๆ “เดี๋ยวคนในเรือนเขาจะคิดว่าเจ้าเป็นสหายข้าเสียอีก” อินกระซิบเสียงแผ่ว “ข้าอยากเป็นมากกว่าสหายของท่านต่างหาก” เปรมหลุดหัวเราะในลำคอ “เดี๋ยวนี้ปากหวานนักนะ” “ก็ข้าติดท่านแล้ว” อินตอบ ขณะที่ซุกหน้าลงกับต้นคอ สูดกลิ่นหอมจากกายเปรมอย่างชื่นใจ “ติดกลิ่นท่าน ติดจริงๆ” เปรมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงฟันคมๆ ขบลงเบาๆ บริเวณลำคอ “โอ๊ย เจ้าอิน! เจ้าจะเป็นหมาหรือไร มากัดข้าอยู่ได้!” อินหัวเราะเบาๆ พลางกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น “หมาก็หมาเถิด ข้าจะเฝ้าท่านไว้ทั้งคืน” “แล้วข้าจะได้นอนหรือไม่เล่า…” เปรมพูดเสียงอ่อน แต่ก็ไม่ได้ดิ้นหนี อ้อมแขนของอินให้ความอบอุ่นที่เขาไม่เคยกล้าขอจากใคร เสียงลมหายใจของคนทั้งคู่หลอมรวมกันเป็นจังหวะเดียว เสียงลมพัดยอดไม้ดังแผ่ว เงาร่างสองร่างที่แนบชิดทอดทาบลงบนพื้นไม้อย่างแน่นแฟ้น “คืนนี้จันทร์สวยดีนะครับ” อินกระซิบ “อืม… สวย” เปรมตอบเบาๆ ก่อนหลับตาลง “แต่ข้าว่าคืนนี้... เจ้าสวยกว่าจันทร์อีก” อินนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพึมพำ “ท่านชมข้าอีกแล้วนะ เดี๋ยวข้าหลงรักท่านมากกว่าเดิมจะทำอย่างไร” “ก็รักไปเถิด” เปรมตอบเสียงพร่า “ข้าจะคอยรองรับมันไว้เอง” แล้วพวกเขาก็ปล่อยให้รัตติกาลกลืนกินทุกเสียง เหลือไว้เพียงหัวใจสองดวงที่แนบแน่นอยู่ข้างกัน ภายใต้จันทร์แจ่มและความเงียบงันของค่ำคืนความรักนั้นไม่ต้องพูดให้ใครฟัง... ขอแค่รู้กันสองคน ก็เพียงพอแล้วหลังจากพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลครบกำหนดสองวันตามคุณหมอสั่ง ธีรัชก็ได้กลับมาที่บ้านของตนเองอีกครั้ง บ้านที่เขาควรจะเคยคุ้นแต่กลับรู้สึกแปลกตา เหมือนกลายเป็นแค่ฉากในละครที่ไม่ได้ฉายให้ใครดู เขาเดินช้า ๆ ผ่านห้องนั่งเล่น มองเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัวล้ำสมัย ตู้เย็น ทีวี และโซฟานุ่ม ๆ ที่เคยนั่งดูซีรีส์กับตัวเองในทุกคืนวันศุกร์จนลากไปเช้าของอีกวัน... ชีวิตที่สะดวกสบายและบ้านหลังใหญ่โตที่เขาสร้างมันขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ด้วยความภาคภูมิใจที่แต่ก่อนเขาต้องรู้สึกดีใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับมาเหยียบที่แห่งนี้แต่ครั้งนี้ทำไมมันกลับไม่อุ่นเหมือนอ้อมแขนของใครบางคนที่เขาคิดถึงจับใจ หรือเพียงเพราะโลกใบนี้ ไม่มีคุณเปรมอยู่ด้วย...ธีรัชนั่งลงกับพื้นเบา ๆ ตรงระเบียงหลังบ้าน ลมฤดูหนาวพัดแผ่วผ่านใบหญ้า เสียงนกกระจอกยังคงร้องเจื้อยแจ้วไม่รู้วันเวลาผ่านไปแค่ไหนสำหรับพวกมัน ต่างจากหัวใจของธีรัชที่เหมือนหยุดเดินตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาจาก “บ้าน” หลังหนึ่งในยุคต้นรัตนโกสินทร์กลับมาเขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่ก็ไม่ได้กลิ่นดอกมะลิที่เคยหอมกรุ่นในยามเช้า กลิ่นหอมน้ำอบไทยที่มักจะติดต
ทินกรรุ่งอรุณ แสงแดดอุ่น ๆ สาดผ่านม่านผืนบาง ละไล้ลงบนใบหน้าของอินที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เปรมยืนอยู่มุมห้องอย่างเงียบเชียบ จนเมื่อหมอที่เขาเรียกมาตรวจอาการเดินออกมาจากห้อง อินหันไปมองด้วยสายตาเป็นกังวล“เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านแพทย์?” เสียงเปรมเต็มไปด้วยความห่วงใยแพทย์หมอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยคำวินิจฉัย “จากที่ฉันตรวจดูทั้งหมดแล้ว คิดว่านายคนนี้น่าจะแพ้พิษบางอย่างที่สะสมในร่างกาย และเพิ่งจะแสดงอาการออกมา โชคดีที่ตรวจพบเร็ว ฉันจัดยาไว้ให้แล้ว ให้กินเช้าเย็นนะหลวงเปรม”เปรมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเครียด“ที่สำคัญ ช่วงนี้อย่าให้เขาใช้ร่างกายหนัก ๆ ยิ่งถ้ามีไข้ พิษจะยิ่งกระจายเร็วขึ้น ต้องระวังให้ดี”“ขอรับ… ขอบพระคุณมากขอรับท่านแพทย์ขอบคุณจริง ๆ”คุณเปรมส่งหลวงแพทย์หมอจนลับสายตา ก่อนจะรีบกลับเข้าห้อง เขาเปิดประตูเบา ๆ เหมือนกลัวเสียงจะไปรบกวนคนป่วย บนเตียง อินนอนเอนพิงหมอนอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมใสสบกับเขาอย่างแนบแน่น มีแววซุกซนผสมความอ่อนล้าอยู่ในนั้น“ไม่ต้องทำหน้ากังวลขนาดนั้นก็ได้นะครับ” อินพูดเบา ๆ น้ำเสียงพยายามกลั้วหัวเราะ “ผมสบายดีม๊ากก ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน
แสงแดดยามสายทอดผ่านม่านโปร่งบางภายในโถงของเรือนหลังใหญ่ เสียงจิบน้ำชาดังแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงบที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของใบชาและมะลิอบแห้งเปรมนั่งเอนหลังบนเบาะรองตัวยาว ร่างกายที่เคยแบกรับภาระหนักอึ้งมาหลายวันคล้ายได้หย่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน เขาสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ผ้าคลุมบางสีอ่อนพาดบ่า ใบหน้าเริ่มมีรอยอ่อนล้าจาง ๆ แต่แววตายังคงหนักแน่นและแน่วแน่เช่นเดิมอินนั่งอยู่พื้นข้าง ๆ มือหนึ่งหยิบหนังสือ อีกมือก็ไม่วายวางไว้บนขาของคนรัก พยักหน้าเบา ๆ รับฟังอย่างตั้งใจ แม้บทสนทนาที่เอ่ยออกมาจะชวนให้ใจสั่นไม่น้อย“อีกไม่กี่วัน…” เปรมเอ่ยเสียงเรียบ ขณะทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังบ้าน“หลวงวิษณุจะถูกนำตัวไปประหาร พร้อมกับ พักพวกอีกสามคน”อินชะงักมือที่กำลังเปิดหน้ากระดาษ เสียงคำว่า “ประหาร” กระแทกเข้าหูราวกับสายลมหนาวเฉียบ เขาเงยหน้ามองอีกคน ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องของความแค้นส่วนตัวธรรมดา หากแต่เป็น ความยุติธรรมที่คนบาปสมควรได้รับเปรมวางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันมาสบตาอินตรง ๆ“ข้ารู้ว่าเจ้าหวั่นใจ แต่การลอบสังหาร เจตนาโค่นล้มอำนาจ
แสงแดดยามสายทอดผ่านหมู่เมฆลงมากระทบผิวน้ำในท่าเรือ เกลียวคลื่นเบาๆ ซัดกระทบข้างลำเรือสำเภาอย่างสม่ำเสมอ เสียงเชือกเสียดสีกับเสากระโดง สลับกับเสียงกลาสีเรือร้องสั่งงานก้องไปทั่วท่าเรือ เปรมยืนอยู่ที่หัวท่า ชุดเครื่องแบบขุนนางขอบทองดูขรึมขลัง เขากำลังไล่ตรวจตราสินค้าที่ถูกขนลงจากเรือ สำรวจบัญชีรายชื่อสินค้าจากแดนไกลพลางใช้แววตาเคร่งขรึมพินิจทุกรายละเอียดทว่ากระแสลมเย็นที่พัดมากลับนำพาบางสิ่งมาให้เขา กลาสีเรือชาววิลาทคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา มอบจดหมายเก่าๆ ซองขาดปลายให้โดยไม่เอ่ยคำใด เปรมรับไว้ด้วยความสงสัย ครั้นเปิดจดหมายอ่าน ความสงบของเช้าวันนั้นก็ถูกฉีกทึ้งข้อความที่เขาได้อ่านนั้นสั้น เรียบง่าย แต่ราวกับเสียงระเบิดในอก> “รีบกลับมาดูผลงานข้าสิขอรับคุณพี่เปรม ก่อนที่มันจะตายน่ะ”เส้นเลือดที่ขมับเขาปูดพองขึ้น มือข้างหนึ่งกำกระดาษจนยับยู่ยี่ ขณะที่อีกมือแทบสั่นเทา ใจของเปรมกระโจนไปข้างหน้าเร็วกว่าความคิด เขารู้ดี ใครเป็นคนทำเรื่องนี้ได้ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าเยาะหยันเขาเช่นนี้ หลวงวิษณุ“รีบส่งกำลังตามจับหลวงวิษณุเดี๋ยวนี้!” เขาสั่งเสียงกร้าวกับทหารที่ติดตามมาด้วย" มันยังอยู่พ
เสียงฝีเท้าดังสม่ำเสมอบนพื้นไม้สักของตำหนักฝ่ายในเรือน เปรมเดินกลับมายังห้องพักชั้นบนอย่างเหนื่อยล้า แขนเสื้อถูกร่นขึ้นครึ่งหนึ่ง เหงื่อชื้นผุดบนหน้าผากแต่ไม่ทันได้ซับ เจ้าตัวก็ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ไม้ฝังลายอย่างหมดแรงบนโต๊ะข้างเตียงมีจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่เรียบร้อย ลายมือเจ้าหนุ่มคนรักวางซองกระดาษไว้แนบด้วยใบไม้สีเขียวที่แห้งไปบ้างจากการเดินทางไกล เปรมมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแกะเปิดด้วยมือที่ยังเปรอะหมึกจากเอกสารเมื่อบ่ายเขาอ่านมันช้าๆ เงียบๆ ไม่มีใครในที่นี้รู้ว่าอินเขียนอะไรในนั้น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีน้ำตา มีเพียงรอยยิ้มบางที่คลี่ออกบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เก็บงำความรู้สึกจนคนรอบตัวเรียกเขาว่า ‘คุณเปรมจอมบึ้งตึง’เปรมยกใบไม้นั้นขึ้นแนบจมูก สูดกลิ่นจาง ๆ ที่หลงเหลืออยู่พลางหลับตาลงอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเปิดสมุดบันทึกเก่าหนังวัว หย่อนใบมะลิลงบนหน้าหนึ่งที่ยังว่าง แล้วจดบางสิ่งไว้ด้วยลายมือเรียบร้อยเพียงไม่กี่คำ"ยังมีบ้านให้กลับเสมอ"เขามองออกไปยังท้องฟ้ากลางคืนผ่านหน้าต่าง บนฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาว และพระจันทร์ทรงกลดก็สุกสว่างอย่างสงบ เป็นค่ำคืนที่สวยงามเกินกว่าจะเก็บไว้ในควา
หลายต่อหลายวันผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะวันนี้กลับเป็นวันที่ต้องส่งคนรักออกไปทำงานไกลตัวเสียแล้ว รุ่งเช้าตรู่ แสงแดดแรกของวันทอดผ่านหน้าต่างเรือนไทยส่องสะท้อนกับผืนน้ำที่สงบเงียบ เสียงไก่ขันยังไม่ทันจางหาย อินก็ตื่นขึ้นมาอย่างรู้งาน เขาเตรียมน้ำท่าร้อนอุ่นอย่างพอดี กลิ่นมะลิจากเกลืออาบน้ำที่ตั้งใจผสมด้วยมือของตนเองลอยคลุ้งทั่วห้อง อินขัดผิวและเช็ดตัวให้เปรมอย่างอ่อนโยน ทุกจังหวะของนิ้วและฝ่ามือเหมือนตั้งใจจดจำสัมผัสของคนรักไว้ในใจ“คุณเปรม…” อินพูดขึ้นในขณะที่กำลังติดกระดุมเสื้อผ้าให้ “ถ้าเดินทางไปถึงที่โน่นแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาผมนะครับ อย่างน้อยก็...เดือนละสองฉบับก็ยังดี”เปรมยกมือขึ้นลูบศีรษะของอินเบา ๆ “เจ้าจะไม่เขียนตอบกลับข้ารึ?”“ผมกลัวว่าจะเขียนไม่ทันคุณเปรมต่างหาก” อินแสร้งเบะปาก พลางส่งยิ้มละมุน “แค่คิดถึงก็แทบจะเขียนทุกวันอยู่แล้ว”เปรมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกดจูบลงที่หน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย และความเสียดายเมื่อถึงเวลาต้องไปที่ท่าเรือ อินช่วยขนของและจัดแจงทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว เขายกกระเป๋า ผูกเชือกมัดปากถุง เดินขึ้นลงเรือจนเหงื่
ประตูห้องบานไม้ปิดลงเบา ๆ พร้อมเสียงกลอนที่ถูกหมุน เสียงฝีเท้าของอินหยุดชะงักอยู่หน้าประตู ก่อนจะหันกลับมา“จะให้ผมหาน้ำให้ดื—”เขาพูดได้แค่นั้นก่อนที่ร่างกำยำจะถูกคว้าหมับเข้ามาในอ้อมกอดแน่นหนา กลิ่นน้ำอบอ่อนๆจากเสื้อลินินของคุณเปรมยังไม่ทันจาง ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประกบลงมาทาบปิดคำพูดของเขาแรงแต่ไม่รุนแรง เร่าร้อนแต่มั่นคง และเต็มไปด้วยความคิดถึงที่อัดแน่นจนล้นขอบใจอินนิ่งไปชั่วครู่ สมองขาวโพลน ก่อนที่มือจะเลื่อนขึ้นจับแผ่นอกแข็งแรง แล้วหลับตาตอบรับจูบนั้นอย่างเงียบงันแฮ่ก เสียงหอบหายใจดังขึ้นเป็นระยะ ต้นขาเรียวถูกสอดเข้าไปแทรกอยู่ระหว่างขาของคนตัวใหญ่กว่า ร่างทั้งสองบดเบียดเข้าหากันจนหลังพิงผนังไม้ ลิ้นร้อนดูดดึงรสหวานขมปลายจากปากของอีกฝ่าย มือหนากอดรัดเอวคอดไว้หลวมๆ ขนาดที่พยายามจูบตอบ" อดทนมาทั้งวันแล้ว แฮ่ก.. " เสียงพูดสุดเร้าใจดังขึ้นอยู่ข้างหูของอิน " ถอดผ้าออกสิอิน " ปากอิ่มพึมพำพ้นลมร้อนใส่ ก่อนจะใช้มือขยำก้นของอินอย่างปลุกเร้าเป้าที่นูนขึ้นโผล่พ้นผ้าโจงออกมาอย่างเห็นได้ชัดกำลังถูกันไปมาทุกครั้งที่ร่างเบียดเข้าไปใกล้ชิดจนแทบไม่มีช่องให้อากาศลอดผ่าน " เร็วเข้า.. " มือเรี
พระจันทร์ลอยเด่นเหนือเรือนพัก เสียงกรอบแกรบของไม้เก่าที่ขยับตามลมเบาๆ แทบจะกลบเสียงหัวใจที่เต้นดังตุบๆ ของคนสองคนไม่ได้เลยอินขยับฟูกเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด… แล้วก็อีกนิด จนได้กลิ่นน้ำอบอ่อนๆ จากเสื้อผ้าคุณเปรมที่พาดไว้มุมฟูก"วันนี้ข้าตรวจบัญชีจนตาแทบบอด" เปรมบ่นเสียงเบา ขณะเอนตัวลงข้างอิน แขนข้างหนึ่งยันศีรษะ ส่วนอีกข้างปล่อยวางสบายๆ"ผมก็ขายของจนปากแห้ง คิดว่าจะไม่ได้ขายอะไรเลยด้วยซ้ำ… แต่แม่บุหลันมาช่วยไว้ทันครับ""นางมักใจดีเช่นนั้น…""แล้วคุณเปรมล่ะครับ วันนี้นอกจากจ้องตัวเลข ยังคิดถึงผมบ้างไหม?" อินแกล้งถามเสียงเบา ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับใต้แสงตะเกียงเปรมเลิกคิ้วมอง ก่อนเอื้อมมือมาดีดหน้าผากอีกคนเบาๆ "ข้าคิดถึงเจ้าทุกคราวที่หยุดหายใจ… แบบนี้พอหรือยัง?"อินหัวเราะคิก แต่ใบหน้ากลับแดงก่ำ "จะหวานไปไหนครับท่าน!"เปรมหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะขยับมือไปแตะแก้มอินแผ่วเบา นิ้วหัวแม่มือลูบวนเบาๆ ราวกับสำรวจทุกอณู"คราวหน้า อย่าเอาเงินทั้งหมดมาให้ข้าอีก เข้าใจหรือไม่""แต่ผมอยากให้คุณ…""เจ้าจะไถ่ตัวเองไม่ใช่หรือ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถูกจองจำตลอดชีวิตดอกหนา""แล้วถ้า… ผมยินดีจะเป็นทาสคุณตลอดช
แสงแดดอ่อนยามเช้าโรยตัวลงบนระเบียงเรือน เสียงไก่ขันเบา ๆ เคล้าเสียงนกกระจิบที่บินวนอยู่ตามชายคา เรือนเปรมในยามเช้าช่างสงบงามราวภาพวาด แต่บรรยากาศบนเรือนกลับไม่เงียบเหงาเหมือนวันก่อน ๆ เพราะชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งจิบชาร้อน พลางสนทนากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย"เจ้าจะกลับไปอยู่เรือนท้ายอย่างเดิมจริง ๆ หรือ อิน?" คุณเปรมวางถ้วยชาลงบนถาดไม้ไผ่ เคลื่อนตัวนั่งหลังตรง สีหน้าไม่เห็นด้วยนิด ๆ "ข้าไม่เข้าใจ…เหตุใดเจ้าจึงต้องทำเยี่ยงนั้น ทั้งที่บัดนี้เจ้าอยู่ตรงนี้ก็สุขสบายดี"อินนั่งก้มหน้า มือเกาะแก้วชาราวกับมันเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายของชีวิต“ก็เพราะว่าข้ามันเป็นทาสน่ะสิครับ” เสียงเขาเบาจนแทบเป็นกระซิบ “มันก็ไม่ยุติธรรมนักที่ผมได้อยู่เรือนหน้า กินดีอยู่ดี ขณะที่คนอื่นลำบากกันอยู่นั่น”คุณเปรมถอนใจยาว พยายามเก็บอารมณ์ไม่ให้ดูหงุดหงิด เขาไม่อยากบังคับอิน แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้คนตรงหน้าเลือกทางที่ทำร้ายตัวเองโดยไม่จำเป็น" เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าข้ารักเจ้าน่ะอิน " เปรมกุมขมับปลายตามองคนตรงหน้า" รู้ครับ..ผมเองก็รักคุณเปรม " เขาลอบกลืนน้ำลายลงคอ นี่มันไม่ใช่ความรู้สึกผิดที่ใช้ชีวิตเกินฐานะ แต่ถ้า