แมกไม้เขียวครึ้มในสวนหลวงรอบเรือนไทยทรงสูงโบราณไหวพลิ้วราวต้องมนตร์ สายลมยามเย็นพัดผ่านปลายใบไม้แผ่วเบา พาเสียงนกกระเรียนที่เกาะอยู่บนกิ่งไผ่ส่งเสียงครางแผ่ว คล้ายรับรู้ว่าความสงบที่ปกคลุมมายาวนาน กำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
ภายในโถงเรือนไทยไม้สักอายุหลายชั่วคน กลิ่นไม้เก่าผสานกลิ่นกำยานจากตะเกียงน้ำมันหอมลอยอวลในอากาศ กลางห้องมีโต๊ะไม้ฉลุลายปิดทองตั้งอยู่ รายล้อมด้วยผู้คนไม่มากนัก แต่ล้วนเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในชะตากรรมครั้งนี้ เจ้าพระยาพิศาล เจ้าของเรือน ผู้อาวุโสผู้เปี่ยมด้วยบารมี นั่งอยู่หัวโต๊ะ ใบหน้าทรงอำนาจแต่ไม่อาจกลบความเคร่งเครียดในแววตาได้ เคียงข้างคือ คุณเปรม หลวงพิชิตเดโช แห่งกรมคลัง ผู้นั่งนิ่งในชุดขาวเรียบ ดวงตาคมปลาบจ้องพื้นเรือนไม้เบื้องหน้า ราวกำลังข่มอารมณ์บางอย่างที่กำลังพลุ่งพล่าน ถัดไปคือ แม่บุหลัน แม่หญิงผู้สูงศักดิ์ ใบหน้าซีดเซียวแต่แววตากลับเปล่งประกายความแน่วแน่ สายตาของนางทอดมองบิดาตนอย่างสงบ เยือกเย็น แต่หนักแน่น และสุดท้ายคือ นายอิน หรือธีรัช วิญญาณจากยุคปัจจุบันที่อาศัยร่างของบ่าวหนุ่มผิวแทน เรือนร่างกำยำในชุดผ้าไทยสีหม่น เขายืนอยู่ข้างแม่บุหลัน ก้มหน้าเล็กน้อยอย่างเคารพ แต่แววตากลับแน่วแน่ ราวกับพร้อมจะพูดในสิ่งที่ไม่มีใครในยุคนี้กล้าพูด "หากจะแทรกซึมเข้าโรงบ่มเหล้าได้ คนผู้นั้นต้องทนทาน ฉลาด และไม่สะดุดตา... อิน เจ้าคือคนที่เหมาะที่สุดในที่นี้" อินนั่งหลังตรง ดวงตาคมกริบสบสายตาทุกคนก่อนตอบรับ "ขอรับ ผมจะไม่ให้คุณเปรมต้องเสียใจอีกเป็นครั้งแน่" "โรงบ่มเหล้านั้น..." บุหลันเอ่ยเบา ๆ เสียงสั่นไหว "เป็นที่ที่พวกวิลาทซุกซ่อนอาวุธผิดกฎหมายกับเอกสารค้าทาส ฝิ่น อาวุธ หากเรามีหลักฐานชัดเจน ก็จะสามารถลากหลวงวิษณุขึ้นเขียงได้เสียที" เปรมกุมมือตนแน่น สีหน้าเจ็บปวดแต่แฝงไว้ด้วยความแข็งแกร่ง "ข้าจะไม่ยอมให้น้องสาวของข้าต้องถูกใช้เป็นเครื่องมืออีก แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต" ...กลางคืนแผ่คลุมทั่วเรือนหลวง ดวงดาวพราวพร่างราวโปรยน้ำตาแห่งฟ้า ศาลาริมน้ำที่ครั้งหนึ่งเคยใช้สำหรับจัดงานมหรสพ เสียงดนตรีขับกล่อม ขันหมากหลากสีพาดผ้าระย้า บัดนี้กลับเงียบงัน เหลือเพียงเสียงจิ้งหรีดขับขานเหมือนบทเพลงล่ำลาที่ไม่มีทำนองซ้ำ เสมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนเพื่อเฝ้ามองสองดวงใจที่กำลังจะห่างกันโดยไม่รู้ว่าจะได้กลับมาพบอีกเมื่อใด... อินยื่นมือไปแตะปลายนิ้วนางของคุณเปรมแผ่วเบา ปลายนิ้วเรียวสัมผัสกันด้วยแรงที่เบาจนแทบไม่รู้สึก แต่มากพอจะสั่นสะเทือนหัวใจ “คุณเปรม...” เสียงของอินพร่า คล้ายจะละลายไปกับสายลมยามราตรี “แม้เวลาจะพรากเรา...ผมก็จะหาทางกลับมาหาคุณเสมอ” ดวงตาคุณเปรมสั่นระริก น้ำใสคลอหน่วงที่หางตา บ่ากว้างไหวตามจังหวะลมหายใจที่ไม่เป็นจังหวะของคนที่ใจยังไม่ยอมรับความจริง “ข้ามิอยากให้เจ้าไปเลยอิน...” เสียงเขาแผ่วเสียยิ่งกว่าลมผ่านชายผ้า เสียงของคนที่รู้ว่ากำลังจะสูญเสียแต่ไม่สามารถเหนี่ยวรั้งได้อีกแล้ว ใบหน้าของเขาโน้มลงมาใกล้จนลมหายใจของอินอุ่นอยู่บนผิวแก้ม ความใกล้นั้นเจ็บปวด เพราะรู้ว่าทันทีที่ห่างกัน มันจะกลายเป็นความว่างเปล่าที่อาจไม่มีวันเติมเต็ม อินสบตากับคนตรงหน้า ชายผู้ที่เขารักยิ่งกว่าชีวิต แม้จะไม่เคยพูดคำนั้นตรง ๆ แต่ทุกอย่างในสายตาคู่นั้นก็กล่าวแทนไปหมดแล้ว “ต่อให้ผมอยู่คนละยุคกับคุณเปรม...ผมก็จะทำทุกอย่าง เพื่อได้อยู่กับคุณ” น้ำเสียงมั่นคงแฝงไว้ด้วยแรงปรารถนาและคำสาบานเงียบงัน อินค่อย ๆ โน้มตัวลง วางศีรษะบนตักคุณเปรมด้วยความอ่อนหวานราวบทกวีเก่า ท่ามกลางเงาสะท้อนของจันทร์ที่แตะผิวน้ำ ทุกอย่างรอบข้างนิ่งงัน เหลือเพียงเสียงหัวใจที่เต้นสะท้อนกันในอก คุณเปรมก้มลงลูบเรือนผมของอินอย่างแผ่วเบา มือสั่นน้อย ๆ เหมือนรู้ว่าคืนนี้จะถูกจารึกไว้เป็นความทรงจำสุดท้าย ใบหน้าเขานิ่ง แต่หยาดน้ำอุ่นก็ไหลซึมออกจากหางตา กลิ่นไม้จันทน์จากแถบผ้าโบราณยังอ้อยอิ่งในลมหายใจ กลิ่นที่เขารู้ดีว่าอีกไม่นานคงจะได้กลายเป็นเพียงความทรงจำ “หากชาติหน้ามีจริง...ข้าขอเพียงเจ้า...แค่เจ้าอีกครั้งเดียวก็พอ” น้ำเสียงนั้นฟังดูไม่เหมือนคำขอ หากแต่คือคำอธิษฐาน ดาวตกสายหนึ่งพาดผ่านฟ้า เหมือนคำตอบจากจักรวาล แต่ไม่มีใครพูดอะไรต่อ ต่างคนต่างนิ่งอยู่อย่างนั้น แนบชิดแต่ปวดร้าว โอบกอดแต่รู้ดีว่าต้องปล่อย เพราะเมื่อเสียงระฆังของรุ่งสางดังขึ้น...ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป และคืนสุดท้ายในห้วงเวลาร่วมกันนี้ จะถูกเก็บไว้เป็นประกายสุดท้ายของความรักที่แม้สรรพสิ่งจะลบเลือน...ก็ไม่มีวันตายจากหัวใจ. ...ภารกิจเริ่มต้นขึ้นในคืนเดือนดับ แสงดาวริบหรี่พอให้เห็นเพียงเงาเลือนลางของรั้วไม้สูงล้อมรอบโรงบ่มสุราของหลวงวิษณุ อาณาเขตกว้างขวางถูกปกคลุมด้วยหมอกควันจากเตาหมักที่ลอยอบอวลทั่วบริเวณ กลิ่นฉุนของเหล้าดิบกับกลิ่นเปรี้ยวหมักหมมของกากอ้อยผสมปนเปกันจนแทบกลืนลมหายใจให้ติดขัด อิน ในร่างบ่าวหนุ่ม เงียบขรึมและไม่เป็นที่สะดุดตา ปรากฏตัวในคราบคนงานขนเหล้าผู้ต่ำต้อย มีเพียงผ้าโพกหัวสีหม่นและเสื้อฝ้ายเปื้อนคราบหมักเป็นเครื่องพราง เขาถูกส่งตัวเข้ามาภายในตามคำแนะนำจากผู้มีอำนาจนิรนามในวังหลวง แต่ภารกิจครั้งนี้ เขาไม่ได้ทำเพื่อใครอื่น นอกจากเพื่อความจริง เพื่อคุณเปรม วันแล้ววันเล่า เขาทำงานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ขนถังเหล้า ตักกากหมัก ล้างบ่อ กลิ่นฉุนเผ็ดปลายจมูกจนตาแสบ แต่ก็ไม่มีวันไหนที่อินปล่อยให้โสตประสาทหยุดทำงาน เขาฟังทุกเสียง จำทุกคำพูด จดจำใบหน้า เสียงพูด เส้นทางที่คนสำคัญเดินเข้าออก จังหวะเวลาของพวกยามในเวร ช่วงที่โรงบ่มหยุดทำงาน ช่วงที่มีคนลักลอบขนของออกไปในยามค่ำ เขาค่อย ๆ สืบสาวจนพบทางเดินลับเชื่อมต่อจากโรงบ่มไปยังโกดังด้านหลัง ซึ่งภายนอกดูเหมือนเป็นแค่โรงเก็บอ้อยร้าง แต่เมื่อยามวิกาลมาถึง ประตูบานหนาที่อยู่ภายในกลับเปิดรับคนเพียงไม่กี่คนทั้งหมดคือคนสนิทของหลวงวิษณุ อินเฝ้าดู และเฝ้ารอจังหวะอย่างอดทน เขาแฝงตัวอย่างแนบเนียนไม่ต่างจากเงา หนึ่งเดือนผ่านไป เขากลายเป็นส่วนหนึ่งของโรงบ่มโดยไม่มีใครสังเกต ไม่มีใครรู้เลยว่าเบื้องหลังแววตานิ่งเฉยของคนงานหนุ่ม คือสายลับผู้เฝ้าเก็บข้อมูลทุกวินาที ทุกลมหายใจ และในคืนนั้น เมื่อเงาจันทร์บดบังเสี้ยวฟ้า อินก็ได้หลักฐานที่เขารอคอยมานานเกือบเดือน... หลักฐานที่จะเปิดโปงการค้าของต้องห้ามที่หลวงวิษณุซุกซ่อนไว้ภายใต้ชื่อเสียงอันเงางามของตน และแล้ววันหนึ่ง ท่ามกลางเสียงกระซิบของสายลมและกลิ่นดอกพุดซ้อนในยามเช้า คุณเปรมก็สามารถลอบติดต่อกับแม่หญิงปิ่นแก้ว น้องสาวของนางได้อีกครั้ง หลังจากต้องรอคอยอย่างทรมานมานานนับเดือนผ่านโดยไม่มีวี่แววหรือข่าวคราวใด ๆ เล็ดลอดออกมาจากเรือนหลังนั้น นางได้พบกับปิ่นแก้วที่ศาลาเก่าแห่งหนึ่งในสวนหลังเรือน วินาทีนั้นเมื่อสองสายตาประสานกัน น้ำตาของทั้งคู่ก็ร่วงหล่นก่อนเสียงใดจะเอื้อนเอ่ย คุณเปรมผวาเข้าสวมกอดน้องสาวแน่นราวกับจะกลืนเธอไว้ในอ้อมอก สัมผัสถึงความสั่นไหวของร่างเล็กที่ยังคงอบอุ่นอยู่ภายใต้ผ้าไหมสีจาง “ข้าคิดว่า...ข้าจะไม่มีวันได้เห็นเจ้าอีก” เสียงคุณเปรมสั่นพร่า ปิ่นแก้วยิ้มบาง ๆ ดวงตาหม่นเศร้าแต่ยังคงความอ่อนโยนอย่างเคย “ข้า...ยังอยู่ พี่เปรม ข้าแข็งแรงดี” เธอเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะลดเสียงลงแทบเป็นกระซิบ “เขามิได้...ทำอันใดกับข้า” แล้วนางเว้นวรรคไปเล็กน้อย คล้ายรื้อค้นคำพูดที่เหมาะสมออกจากความเจ็บในใจ “...แต่ข้ารู้ว่าเขารู้” คำพูดนั้นราวมีดปลายแหลมเฉือนลงกลางอกของคุณเปรม ความเงียบโรยตัวในอากาศหนักอึ้ง เธอเบือนหน้าหลบเพียงครู่ ก่อนจะกลั้นเสียงสะอื้นไว้แทบขาดใจ หญิงสาวกอดน้องแน่นยิ่งกว่าเดิม ลมหายใจสั่นพร่าเปื้อนแก้มที่ชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา “พี่จะไม่ให้เจ้าต้องอยู่ในที่แบบนี้อีก” เธอคิดในใจแน่วแน่ “ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใด พี่จะพาเจ้าออกจากขุมนรกนี้ให้จงได้” และในอ้อมแขนที่ยังไม่ปล่อย ความเงียบอันขมขื่นของสองพี่น้องยังคงกอดประคองกันไว้ท่ามกลางโลกที่โหดร้าย ใต้ศาลาเก่าที่กลายเป็นที่พึ่งสุดท้ายของหัวใจสองดวง แต่ความลับย่อมไม่มีในโลก... บ่ายวันหนึ่ง ท้องฟ้าเริ่มปกคลุมด้วยหมอกควันจากโรงบ่มที่ยังคงส่งกลิ่นฉุนเฉพาะตัวของแอลกอฮอล์หมัก อินอยู่ในชุดคนงานผ้าสีซีด มีคราบเหงื่อและฝุ่นจับแน่นทั่วร่าง เขากำลังแบกถังไม้ผ่านลานกลาง ท่ามกลางเสียงพูดคุยตะโกนข้ามกันของคนงานนับสิบ ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นทางฝั่งประตูโรงบ่ม เขาหยุดนิ่งเพียงชั่วขณะ แผ่นหลังตึงราวกับรับรู้ได้ถึงอันตราย และแล้ว...เสียงเย็นเฉียบที่คุ้นเคยก็เอ่ยขึ้นจากด้านหลัง “ไออิน!...เจ้าทาสหน้าด้านที่พาคนของข้าหนีไป!” อินหันกลับไปทันที แววตาตอบสนองก่อนสมองจะประมวลผลครบถ้วน หลวงวิษณุยืนอยู่เบื้องหน้า ดวงตาคมกริบของเขาวาววับด้วยความโกรธแค้นจัด พร้อมปืนในมือที่เล็งตรงมาไม่ลังเล เสียงปืนแหวกอากาศดังก้อง ปัง! อินเบี่ยงตัวหลบกระสุนอย่างฉิวเฉียด แรงสะท้อนของเสียงและแรงกระแทกของเศษไม้ที่แตกกระจายทำให้หัวใจเต้นโครม เขาไม่ทันคิด แค่พุ่งตัวออกไปตามทางแคบของโรงบ่ม ร่างกระแทกกับผนังและเสาไม้หลายครั้ง ท่ามกลางเสียงตะโกนด่าลั่นของวิษณุ เลือดอุ่น ๆ ไหลอาบจากต้นขา กระสุนที่ปาดเฉียดทำให้กล้ามเนื้อด้านหนึ่งเจ็บปวดแปลบ แต่เขายังฝืนวิ่ง เสียงรองเท้ากระทบพื้นไม้ดังก้องในหัวพร้อมกับจังหวะหัวใจที่เหมือนจะระเบิด ทางตัน... ตรงหน้าคือแม่น้ำกว้าง สายน้ำไหลเชี่ยวสะท้อนแสงอาทิตย์สีมืดของยามบ่ายคล้อย ด้านหลังเสียงฝีเท้าของวิษณุดังเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที “จะหนีไปอีกที่ไหนล่ะวะ ไอ้แมลงวัน!!” เสียงตะโกนตามมาพร้อมกับเสียงสับไก ปืนยังจ่อพร้อมยิงซ้ำ อินหอบหายใจหนัก เท้าเปื้อนเลือดของเขาก้าวไปจนถึงขอบตลิ่ง แสงสะท้อนจากผิวน้ำแยงตา พร้อมกับภาพหนึ่งวาบขึ้นมาในหัว...แม่น้ำสายเดียวกับที่เขาเคยจมน้ำตายเมื่อข้ามยุคมา “ไม่มีทางเลือก...” เขาพึมพำกับตัวเอง ดวงตากร้าวขึ้น “ไม่ว่ายังไงเราก็ห้ามตาย ธีรัชห้ามตายเด็ดขาด” เขาหันกลับไปสบตากับวิษณุ แววตาสองคู่ประสานกันเพียงชั่ววินาที ก่อนที่อินจะก้าวถอยหลัง แล้วกระโจนสู่แม่น้ำเบื้องล่าง! เสียงสายน้ำแตกกระจายพร้อมเสียงตะโกนโกรธจัดของวิษณุ “เจ้าบ้าทำอะไรวะน่ะ!” คลื่นน้ำกลืนกินร่างอินในชั่วพริบตา สายน้ำเย็นจัดบีบรัดร่างราวกับอ้อมแขนของยมทูต ร่างเขาจมดิ่งสู่ก้นแม่น้ำอย่างไร้เรี่ยวแรง เสียงตะโกน เสียงปืน เสียงลมหายใจของเขาเอง...ถูกกลืนหายไปในห้วงเงียบของโลกใต้น้ำ ดวงตาที่พร่ามัวของเขาเบิกโพลงในวินาทีสุดท้าย เมื่อเห็นภาพหนึ่งปรากฏใต้ผืนน้ำ... ...‘อิน’ เจ้าของร่างเดิม ยืนอยู่ที่นั่นใต้สายน้ำ ดวงหน้าของเขาซีดเผือด ทว่าแฝงไว้ด้วยความโศกเศร้าลึกซึ้ง ดวงตาเว้าวอน ราวกับร้องขอในสิ่งที่เขาไม่อาจพูดออกมาได้ ธีรัชได้แต่ยิ้มเศร้าในใจ ขณะที่ร่างเขาค่อย ๆ ดิ่งลึกลง “...ขอโทษนะ” เสียงในใจเบาดุจสายลม “ขอโทษที่ผม...ปกป้องเขาไม่ได้” เปลือกตาเขาหนักอึ้ง โลกค่อย ๆ มืดดับลง... และทุกสิ่งเข้าสู่ห้วงนิมิตอันไร้กาลเวลา ...เสียงเพลงไทยโบราณยังแว่วอยู่ไกล ๆ ราวกับลอยมาจากอดีตกาล กลิ่นธูปลอยอ้อยอิ่งในอากาศ เย็นชาแต่เปี่ยมด้วยความสงบ เยี่ยงคืนเงียบสงัดที่มีเพียงดวงจันทร์เป็นพยาน ธีรัชลืมตาช้า ๆ เบื้องหน้าคือแสงขาวเจิดจ้าเหนือหัว ไฟห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลส่องสว่างจ้าจนดวงตาต้องหรี่ลง ภาพทุกอย่างพร่าเบลอ แต่เขากลับรู้สึกชัดเจนกว่าครั้งไหน ๆ เสียงเครื่องวัดชีพจรที่เคยเงียบสงัดกลับเริ่มกระพริบถี่ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เหนือกว่าความจริงเบื้องหน้า คือร่างของเขาเอง นอนนิ่งไร้สติอยู่บนนั้น ขณะที่ดวงจิตของเขาล่องลอยอยู่เหนือเตียง...เหนือกาลเวลา... ความรู้สึกของการหลุดพ้นจากร่างกายเหมือนละลายเป็นละอองฝุ่น แทรกซึมไปกับแสง กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลอันกว้างใหญ่ เขามองเห็นทุกสิ่งจากที่ไกลแสนไกล เห็นแม้กระทั่งน้ำตาของใครบางคนที่กำลังยืนเฝ้าเขาอยู่อีกด้านของประตู... แต่แล้ว ภาพทุกอย่างก็แปรเปลี่ยนอีกครั้ง ท่ามกลางห้วงว่างอันไร้ที่สิ้นสุด มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นฝั่งตรงข้ามของเตียง ชายหนุ่มในชุดบ่าวโบราณ อินในร่างเดิม ดวงตาเปล่งประกายเศร้าลึก บ่งบอกถึงความทรมานที่เขาต้องจมอยู่กับความผิดบาป ความเสียใจ และความรักที่ไม่สมบูรณ์ “เจ้าจะกลับเลยก็ได้...” อินกล่าวแผ่วเบา “…ขอโทษที่ฝากเรื่องส่วนตัวไว้กับเจ้า ข้าควรเป็นคนจัดการมันเอง...แต่ข้าทำไม่ได้” เสียงนั้นเหมือนลมหายใจสุดท้ายของฤดูหนาวบางเบาและเปี่ยมความเจ็บปวด แต่ก่อนที่อินจะหันหลังจากไป ธีรัชกลับก้าวออกไปข้างหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงชัดเจน เด็ดเดี่ยว “มันไม่ใช่เรื่องของคุณอีกต่อไปแล้วครับ…ตอนนี้มันคือเรื่องของผมกับคุณเปรมด้วย ผมมีสิทธิ์เลือกแล้ว และผมจะไม่ปล่อยเขาไว้คนเดียว” คำพูดของธีรัชเหมือนกระแทกกลางอกของอิน เขาหยุดก้าว ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มจาง ๆ แต่ชัดเจนที่สุดในรอบชีวิต รอยยิ้มที่ไม่ใช่เพราะความโล่งใจเพียงอย่างเดียว แต่เป็นความหวังใหม่ที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้รับ “ข้าคิดไม่ผิดเลย...ที่ให้เจ้ามาดูแลท่านแทนข้า” วินาทีนั้น ทุกอย่างก็สลายกลายเป็นแสง... ธีรัชสะดุ้งสุดตัว สำลักน้ำแรงจนจุก รู้สึกเหมือนมีลมหายใจแผดเผาปอดจากภายใน ร่างเปียกโชกสะท้านไปทั้งตัว ขณะที่ลมหายใจหอบหนักแทบขาดใจ มือสั่นเทาแต่ยังควานหาพื้นใต้ร่าง จับต้องอะไรบางอย่างได้พื้นไม้ เขากลับมาแล้ว ริมตลิ่งแม่น้ำในยามโพล้เพล่ แสงสุดท้ายของวันทาบทอลงบนผิวน้ำเป็นสีเงินหม่น เงาไม้ทอดยาวราวกับจะโอบกอดพื้นที่ทั้งหมดไว้ และตรงนั้น...คือชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างกายเขา คุณเปรม..ชุดสีกรมที่เปียกชุ่มแนบลำตัวจนเห็นสัดส่วนชัดเจน แต่ในแววตาที่แดงก่ำและเปียกชื้นของเขา ไม่มีความเขินอายใดหลงเหลือ มีเพียงน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม และใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ไม่ใช่เพราะบาดแผลของร่างกาย แต่เป็นบาดแผลของหัวใจ “เจ้ากลับมาแล้ว…เจ้ากลับมาแล้วจริง ๆ ใช่ไหม…” เสียงเปรมสั่นระรัวคล้ายจะร้องไห้อีกครั้ง แต่เขายังฝืนพูดออกมา มือกอดธีรัชไว้แน่นจนฝ่ายหลังแทบหายใจไม่ออก ร่างของเขาสั่นสะท้านแต่กลับไม่ยอมปล่อย ธีรัชยกมือกอดตอบ แรงแค่นิดเดียวที่เขาพอมี เสียงของเขาแหบพร่าและเบาหวิว “ผมสัญญาแล้ว…ว่าจะไม่จากคุณไปไหนอีก ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน” และในช่วงเวลานั้นเอง เสียงของธรรมชาติก็เริ่มกลับมา เสียงจิ้งหรีดเรไรเริ่มขับขาน สายลมแผ่วเบาพัดกลิ่นหญ้าและแม่น้ำผ่านร่างทั้งสอง ใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาเบื้องบน ทั้งสองกอดกันแน่น กลืนหายไปในอ้อมกอดของคืนยาวนาน ราวกับทุกสิ่งที่แตกสลาย ได้กลับมาประกอบกันใหม่อีกครั้งในภพเดียวกัน… ในห้วงเวลาเดียวกัน… ขอแค่ได้อยู่เคียงข้างกันแบบนี้หลังจากพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลครบกำหนดสองวันตามคุณหมอสั่ง ธีรัชก็ได้กลับมาที่บ้านของตนเองอีกครั้ง บ้านที่เขาควรจะเคยคุ้นแต่กลับรู้สึกแปลกตา เหมือนกลายเป็นแค่ฉากในละครที่ไม่ได้ฉายให้ใครดู เขาเดินช้า ๆ ผ่านห้องนั่งเล่น มองเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัวล้ำสมัย ตู้เย็น ทีวี และโซฟานุ่ม ๆ ที่เคยนั่งดูซีรีส์กับตัวเองในทุกคืนวันศุกร์จนลากไปเช้าของอีกวัน... ชีวิตที่สะดวกสบายและบ้านหลังใหญ่โตที่เขาสร้างมันขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ด้วยความภาคภูมิใจที่แต่ก่อนเขาต้องรู้สึกดีใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับมาเหยียบที่แห่งนี้แต่ครั้งนี้ทำไมมันกลับไม่อุ่นเหมือนอ้อมแขนของใครบางคนที่เขาคิดถึงจับใจ หรือเพียงเพราะโลกใบนี้ ไม่มีคุณเปรมอยู่ด้วย...ธีรัชนั่งลงกับพื้นเบา ๆ ตรงระเบียงหลังบ้าน ลมฤดูหนาวพัดแผ่วผ่านใบหญ้า เสียงนกกระจอกยังคงร้องเจื้อยแจ้วไม่รู้วันเวลาผ่านไปแค่ไหนสำหรับพวกมัน ต่างจากหัวใจของธีรัชที่เหมือนหยุดเดินตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาจาก “บ้าน” หลังหนึ่งในยุคต้นรัตนโกสินทร์กลับมาเขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่ก็ไม่ได้กลิ่นดอกมะลิที่เคยหอมกรุ่นในยามเช้า กลิ่นหอมน้ำอบไทยที่มักจะติดต
ทินกรรุ่งอรุณ แสงแดดอุ่น ๆ สาดผ่านม่านผืนบาง ละไล้ลงบนใบหน้าของอินที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เปรมยืนอยู่มุมห้องอย่างเงียบเชียบ จนเมื่อหมอที่เขาเรียกมาตรวจอาการเดินออกมาจากห้อง อินหันไปมองด้วยสายตาเป็นกังวล“เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านแพทย์?” เสียงเปรมเต็มไปด้วยความห่วงใยแพทย์หมอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยคำวินิจฉัย “จากที่ฉันตรวจดูทั้งหมดแล้ว คิดว่านายคนนี้น่าจะแพ้พิษบางอย่างที่สะสมในร่างกาย และเพิ่งจะแสดงอาการออกมา โชคดีที่ตรวจพบเร็ว ฉันจัดยาไว้ให้แล้ว ให้กินเช้าเย็นนะหลวงเปรม”เปรมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเครียด“ที่สำคัญ ช่วงนี้อย่าให้เขาใช้ร่างกายหนัก ๆ ยิ่งถ้ามีไข้ พิษจะยิ่งกระจายเร็วขึ้น ต้องระวังให้ดี”“ขอรับ… ขอบพระคุณมากขอรับท่านแพทย์ขอบคุณจริง ๆ”คุณเปรมส่งหลวงแพทย์หมอจนลับสายตา ก่อนจะรีบกลับเข้าห้อง เขาเปิดประตูเบา ๆ เหมือนกลัวเสียงจะไปรบกวนคนป่วย บนเตียง อินนอนเอนพิงหมอนอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมใสสบกับเขาอย่างแนบแน่น มีแววซุกซนผสมความอ่อนล้าอยู่ในนั้น“ไม่ต้องทำหน้ากังวลขนาดนั้นก็ได้นะครับ” อินพูดเบา ๆ น้ำเสียงพยายามกลั้วหัวเราะ “ผมสบายดีม๊ากก ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน
แสงแดดยามสายทอดผ่านม่านโปร่งบางภายในโถงของเรือนหลังใหญ่ เสียงจิบน้ำชาดังแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงบที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของใบชาและมะลิอบแห้งเปรมนั่งเอนหลังบนเบาะรองตัวยาว ร่างกายที่เคยแบกรับภาระหนักอึ้งมาหลายวันคล้ายได้หย่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน เขาสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ผ้าคลุมบางสีอ่อนพาดบ่า ใบหน้าเริ่มมีรอยอ่อนล้าจาง ๆ แต่แววตายังคงหนักแน่นและแน่วแน่เช่นเดิมอินนั่งอยู่พื้นข้าง ๆ มือหนึ่งหยิบหนังสือ อีกมือก็ไม่วายวางไว้บนขาของคนรัก พยักหน้าเบา ๆ รับฟังอย่างตั้งใจ แม้บทสนทนาที่เอ่ยออกมาจะชวนให้ใจสั่นไม่น้อย“อีกไม่กี่วัน…” เปรมเอ่ยเสียงเรียบ ขณะทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังบ้าน“หลวงวิษณุจะถูกนำตัวไปประหาร พร้อมกับ พักพวกอีกสามคน”อินชะงักมือที่กำลังเปิดหน้ากระดาษ เสียงคำว่า “ประหาร” กระแทกเข้าหูราวกับสายลมหนาวเฉียบ เขาเงยหน้ามองอีกคน ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องของความแค้นส่วนตัวธรรมดา หากแต่เป็น ความยุติธรรมที่คนบาปสมควรได้รับเปรมวางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันมาสบตาอินตรง ๆ“ข้ารู้ว่าเจ้าหวั่นใจ แต่การลอบสังหาร เจตนาโค่นล้มอำนาจ
แสงแดดยามสายทอดผ่านหมู่เมฆลงมากระทบผิวน้ำในท่าเรือ เกลียวคลื่นเบาๆ ซัดกระทบข้างลำเรือสำเภาอย่างสม่ำเสมอ เสียงเชือกเสียดสีกับเสากระโดง สลับกับเสียงกลาสีเรือร้องสั่งงานก้องไปทั่วท่าเรือ เปรมยืนอยู่ที่หัวท่า ชุดเครื่องแบบขุนนางขอบทองดูขรึมขลัง เขากำลังไล่ตรวจตราสินค้าที่ถูกขนลงจากเรือ สำรวจบัญชีรายชื่อสินค้าจากแดนไกลพลางใช้แววตาเคร่งขรึมพินิจทุกรายละเอียดทว่ากระแสลมเย็นที่พัดมากลับนำพาบางสิ่งมาให้เขา กลาสีเรือชาววิลาทคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา มอบจดหมายเก่าๆ ซองขาดปลายให้โดยไม่เอ่ยคำใด เปรมรับไว้ด้วยความสงสัย ครั้นเปิดจดหมายอ่าน ความสงบของเช้าวันนั้นก็ถูกฉีกทึ้งข้อความที่เขาได้อ่านนั้นสั้น เรียบง่าย แต่ราวกับเสียงระเบิดในอก> “รีบกลับมาดูผลงานข้าสิขอรับคุณพี่เปรม ก่อนที่มันจะตายน่ะ”เส้นเลือดที่ขมับเขาปูดพองขึ้น มือข้างหนึ่งกำกระดาษจนยับยู่ยี่ ขณะที่อีกมือแทบสั่นเทา ใจของเปรมกระโจนไปข้างหน้าเร็วกว่าความคิด เขารู้ดี ใครเป็นคนทำเรื่องนี้ได้ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าเยาะหยันเขาเช่นนี้ หลวงวิษณุ“รีบส่งกำลังตามจับหลวงวิษณุเดี๋ยวนี้!” เขาสั่งเสียงกร้าวกับทหารที่ติดตามมาด้วย" มันยังอยู่พ
เสียงฝีเท้าดังสม่ำเสมอบนพื้นไม้สักของตำหนักฝ่ายในเรือน เปรมเดินกลับมายังห้องพักชั้นบนอย่างเหนื่อยล้า แขนเสื้อถูกร่นขึ้นครึ่งหนึ่ง เหงื่อชื้นผุดบนหน้าผากแต่ไม่ทันได้ซับ เจ้าตัวก็ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ไม้ฝังลายอย่างหมดแรงบนโต๊ะข้างเตียงมีจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่เรียบร้อย ลายมือเจ้าหนุ่มคนรักวางซองกระดาษไว้แนบด้วยใบไม้สีเขียวที่แห้งไปบ้างจากการเดินทางไกล เปรมมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแกะเปิดด้วยมือที่ยังเปรอะหมึกจากเอกสารเมื่อบ่ายเขาอ่านมันช้าๆ เงียบๆ ไม่มีใครในที่นี้รู้ว่าอินเขียนอะไรในนั้น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีน้ำตา มีเพียงรอยยิ้มบางที่คลี่ออกบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เก็บงำความรู้สึกจนคนรอบตัวเรียกเขาว่า ‘คุณเปรมจอมบึ้งตึง’เปรมยกใบไม้นั้นขึ้นแนบจมูก สูดกลิ่นจาง ๆ ที่หลงเหลืออยู่พลางหลับตาลงอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเปิดสมุดบันทึกเก่าหนังวัว หย่อนใบมะลิลงบนหน้าหนึ่งที่ยังว่าง แล้วจดบางสิ่งไว้ด้วยลายมือเรียบร้อยเพียงไม่กี่คำ"ยังมีบ้านให้กลับเสมอ"เขามองออกไปยังท้องฟ้ากลางคืนผ่านหน้าต่าง บนฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาว และพระจันทร์ทรงกลดก็สุกสว่างอย่างสงบ เป็นค่ำคืนที่สวยงามเกินกว่าจะเก็บไว้ในควา
หลายต่อหลายวันผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะวันนี้กลับเป็นวันที่ต้องส่งคนรักออกไปทำงานไกลตัวเสียแล้ว รุ่งเช้าตรู่ แสงแดดแรกของวันทอดผ่านหน้าต่างเรือนไทยส่องสะท้อนกับผืนน้ำที่สงบเงียบ เสียงไก่ขันยังไม่ทันจางหาย อินก็ตื่นขึ้นมาอย่างรู้งาน เขาเตรียมน้ำท่าร้อนอุ่นอย่างพอดี กลิ่นมะลิจากเกลืออาบน้ำที่ตั้งใจผสมด้วยมือของตนเองลอยคลุ้งทั่วห้อง อินขัดผิวและเช็ดตัวให้เปรมอย่างอ่อนโยน ทุกจังหวะของนิ้วและฝ่ามือเหมือนตั้งใจจดจำสัมผัสของคนรักไว้ในใจ“คุณเปรม…” อินพูดขึ้นในขณะที่กำลังติดกระดุมเสื้อผ้าให้ “ถ้าเดินทางไปถึงที่โน่นแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาผมนะครับ อย่างน้อยก็...เดือนละสองฉบับก็ยังดี”เปรมยกมือขึ้นลูบศีรษะของอินเบา ๆ “เจ้าจะไม่เขียนตอบกลับข้ารึ?”“ผมกลัวว่าจะเขียนไม่ทันคุณเปรมต่างหาก” อินแสร้งเบะปาก พลางส่งยิ้มละมุน “แค่คิดถึงก็แทบจะเขียนทุกวันอยู่แล้ว”เปรมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกดจูบลงที่หน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย และความเสียดายเมื่อถึงเวลาต้องไปที่ท่าเรือ อินช่วยขนของและจัดแจงทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว เขายกกระเป๋า ผูกเชือกมัดปากถุง เดินขึ้นลงเรือจนเหงื่
ประตูห้องบานไม้ปิดลงเบา ๆ พร้อมเสียงกลอนที่ถูกหมุน เสียงฝีเท้าของอินหยุดชะงักอยู่หน้าประตู ก่อนจะหันกลับมา“จะให้ผมหาน้ำให้ดื—”เขาพูดได้แค่นั้นก่อนที่ร่างกำยำจะถูกคว้าหมับเข้ามาในอ้อมกอดแน่นหนา กลิ่นน้ำอบอ่อนๆจากเสื้อลินินของคุณเปรมยังไม่ทันจาง ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประกบลงมาทาบปิดคำพูดของเขาแรงแต่ไม่รุนแรง เร่าร้อนแต่มั่นคง และเต็มไปด้วยความคิดถึงที่อัดแน่นจนล้นขอบใจอินนิ่งไปชั่วครู่ สมองขาวโพลน ก่อนที่มือจะเลื่อนขึ้นจับแผ่นอกแข็งแรง แล้วหลับตาตอบรับจูบนั้นอย่างเงียบงันแฮ่ก เสียงหอบหายใจดังขึ้นเป็นระยะ ต้นขาเรียวถูกสอดเข้าไปแทรกอยู่ระหว่างขาของคนตัวใหญ่กว่า ร่างทั้งสองบดเบียดเข้าหากันจนหลังพิงผนังไม้ ลิ้นร้อนดูดดึงรสหวานขมปลายจากปากของอีกฝ่าย มือหนากอดรัดเอวคอดไว้หลวมๆ ขนาดที่พยายามจูบตอบ" อดทนมาทั้งวันแล้ว แฮ่ก.. " เสียงพูดสุดเร้าใจดังขึ้นอยู่ข้างหูของอิน " ถอดผ้าออกสิอิน " ปากอิ่มพึมพำพ้นลมร้อนใส่ ก่อนจะใช้มือขยำก้นของอินอย่างปลุกเร้าเป้าที่นูนขึ้นโผล่พ้นผ้าโจงออกมาอย่างเห็นได้ชัดกำลังถูกันไปมาทุกครั้งที่ร่างเบียดเข้าไปใกล้ชิดจนแทบไม่มีช่องให้อากาศลอดผ่าน " เร็วเข้า.. " มือเรี
พระจันทร์ลอยเด่นเหนือเรือนพัก เสียงกรอบแกรบของไม้เก่าที่ขยับตามลมเบาๆ แทบจะกลบเสียงหัวใจที่เต้นดังตุบๆ ของคนสองคนไม่ได้เลยอินขยับฟูกเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด… แล้วก็อีกนิด จนได้กลิ่นน้ำอบอ่อนๆ จากเสื้อผ้าคุณเปรมที่พาดไว้มุมฟูก"วันนี้ข้าตรวจบัญชีจนตาแทบบอด" เปรมบ่นเสียงเบา ขณะเอนตัวลงข้างอิน แขนข้างหนึ่งยันศีรษะ ส่วนอีกข้างปล่อยวางสบายๆ"ผมก็ขายของจนปากแห้ง คิดว่าจะไม่ได้ขายอะไรเลยด้วยซ้ำ… แต่แม่บุหลันมาช่วยไว้ทันครับ""นางมักใจดีเช่นนั้น…""แล้วคุณเปรมล่ะครับ วันนี้นอกจากจ้องตัวเลข ยังคิดถึงผมบ้างไหม?" อินแกล้งถามเสียงเบา ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับใต้แสงตะเกียงเปรมเลิกคิ้วมอง ก่อนเอื้อมมือมาดีดหน้าผากอีกคนเบาๆ "ข้าคิดถึงเจ้าทุกคราวที่หยุดหายใจ… แบบนี้พอหรือยัง?"อินหัวเราะคิก แต่ใบหน้ากลับแดงก่ำ "จะหวานไปไหนครับท่าน!"เปรมหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะขยับมือไปแตะแก้มอินแผ่วเบา นิ้วหัวแม่มือลูบวนเบาๆ ราวกับสำรวจทุกอณู"คราวหน้า อย่าเอาเงินทั้งหมดมาให้ข้าอีก เข้าใจหรือไม่""แต่ผมอยากให้คุณ…""เจ้าจะไถ่ตัวเองไม่ใช่หรือ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถูกจองจำตลอดชีวิตดอกหนา""แล้วถ้า… ผมยินดีจะเป็นทาสคุณตลอดช
แสงแดดอ่อนยามเช้าโรยตัวลงบนระเบียงเรือน เสียงไก่ขันเบา ๆ เคล้าเสียงนกกระจิบที่บินวนอยู่ตามชายคา เรือนเปรมในยามเช้าช่างสงบงามราวภาพวาด แต่บรรยากาศบนเรือนกลับไม่เงียบเหงาเหมือนวันก่อน ๆ เพราะชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งจิบชาร้อน พลางสนทนากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย"เจ้าจะกลับไปอยู่เรือนท้ายอย่างเดิมจริง ๆ หรือ อิน?" คุณเปรมวางถ้วยชาลงบนถาดไม้ไผ่ เคลื่อนตัวนั่งหลังตรง สีหน้าไม่เห็นด้วยนิด ๆ "ข้าไม่เข้าใจ…เหตุใดเจ้าจึงต้องทำเยี่ยงนั้น ทั้งที่บัดนี้เจ้าอยู่ตรงนี้ก็สุขสบายดี"อินนั่งก้มหน้า มือเกาะแก้วชาราวกับมันเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายของชีวิต“ก็เพราะว่าข้ามันเป็นทาสน่ะสิครับ” เสียงเขาเบาจนแทบเป็นกระซิบ “มันก็ไม่ยุติธรรมนักที่ผมได้อยู่เรือนหน้า กินดีอยู่ดี ขณะที่คนอื่นลำบากกันอยู่นั่น”คุณเปรมถอนใจยาว พยายามเก็บอารมณ์ไม่ให้ดูหงุดหงิด เขาไม่อยากบังคับอิน แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้คนตรงหน้าเลือกทางที่ทำร้ายตัวเองโดยไม่จำเป็น" เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าข้ารักเจ้าน่ะอิน " เปรมกุมขมับปลายตามองคนตรงหน้า" รู้ครับ..ผมเองก็รักคุณเปรม " เขาลอบกลืนน้ำลายลงคอ นี่มันไม่ใช่ความรู้สึกผิดที่ใช้ชีวิตเกินฐานะ แต่ถ้า