เสียงขยับตัวเบา ๆ บนเตียงปลุกให้อินที่กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขากะพริบตาช้า ๆ เห็นเปรมพลิกตัวหันมาหา ท่อนแขนเรียวพาดมาที่อกเขาอย่างงัวเงีย ใบหน้าคมคายติดซุกซอกคอเขาแบบไม่รู้ตัว
“อืมม...อิน...” เปรมครางเสียงแหบพร่าเหมือนคนยังไม่ตื่นดี แต่ประโยคถัดมาทำเอาอินที่พยายามรักษาความสงบมาทั้งเช้าหน้าร้อนผ่าวทันที “เมื่อคืน...ไปเอาแรงมาจากไหนกันนะ เล่นเอาข้าระบมไปหมด” น้ำเสียงเจือขำเบา ๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนริมฝีปากน่าจูบ อินหน้าเห่อร้อนแทบจะทันที เขาหลบตาแล้วกระแอมไอกลบเกลื่อน “ไม่ใช่สักหน่อยครับ...ผมแค่...แค่สะดุดรักเอ่อคุณเปรม...” เปรมหัวเราะพรืดอย่างไม่ไว้หน้า มือบางจับหน้าอกเขาโยกไปมาเบา ๆ อย่างล้อเลียน “แหม...สะดุดรักจน หอบหายใจฟืดฟาดเลยรึอิน” “คุณเปรม!” อินครางเบา ๆ เสียงติดจะอ้อน ๆ โอดครวญแบบคนจนมุมหมดรูป ดวงตาคมฉายแววเขินแบบสุดชีวิต แต่เปรมไม่หยุดแค่นั้น เขาขยับตัวขึ้นมาโน้มหน้าเข้าไปใกล้ ๆ เอียงคอยิ้มเจ้าเล่ห์ ปลายจมูกเฉียดแก้มอีกฝ่ายที่แดงแปร๊ดน่าขำ “แล้ว...เมื่อคืนใครกันนะ...ที่กระซิบข้างหูข้าว่า ‘คืนนี้ผมไม่ปล่อยให้คุณหนีแน่’ ฮึ?” เปรมลากเสียงยั่ว ก่อนจะกดจูบเบา ๆ ลงที่ข้างคางอินอย่างหยอกเอิน อินกัดฟันแน่น หลับตาปี๋ เหมือนโดนขุดความลับแบบเครื่องช็อตไฟฟ้าใส่กลางแสกหน้า “คุณเปรม! หยุดพูดเลยนะครับ!” เขาโวยวายพลางรวบเอวอีกคนมากอดแน่น หน้าซุกอกเปรมไม่ยอมเงย เปรมหัวเราะเสียงใส ลูบผมนุ่ม ๆ ของอินเบา ๆ อย่างเอ็นดู ยอมปล่อยอีกคนจากการแซวในที่สุด เสียงหัวเราะเบา ๆ ของเปรมยังคงก้องอยู่ในอก อินที่หน้าร้อนจนแทบลุกไหม้พยายามซุกซ่อนตัวเองในอ้อมอกอีกคน แต่ก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เขาขมวดคิ้ว รวบพลังที่มีเงยหน้าขึ้นมาเถียงเสียงแข็งทั้งที่หน้าก็ยังแดงไม่เลิก “ก็ผมรักคุณเปรมจริง ๆ นี่ครับ! จะพูด จะทำอะไร...ก็เพราะว่ารัก!” คำสารภาพตรง ๆ โพล่งออกมาจากใจ ทำเอาเปรมที่ตั้งใจจะแกล้งต่อถึงกับนิ่งไปนิด ดวงตาคมไหววูบ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์หายไปชั่วขณะ เหลือเพียงความประหลาดใจอ่อนโยนแทนที่ อินที่เห็นอีกฝ่ายเงียบไปคิดว่าตัวเองเสียเปรียบ เลยรีบพูดพล่ามต่อแบบรัว ๆ “ในยุคของผม...คนเราจะบอกรักกันตรง ๆ แบบนี้แหละ ไม่ต้องเก็บไว้ให้เสียเวลา! ถ้ารักก็ต้องบอก ถ้าอยากอยู่ด้วยก็ต้องแสดงออก ไม่งั้นเดี๋ยวจะพลาดไปทั้งชีวิต!” น้ำเสียงจริงจังผสมอาการงอแงทำให้เปรมหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ อีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช่เสียงหัวเราะเย้าแหย่...เป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูจนล้นอก เปรมยกมือขึ้นลูบแก้มแดง ๆ ของอินอย่างแผ่วเบา ก้มลงกระซิบใกล้ ๆ ริมฝีปากคนตัวโตที่กำลังเม้มแน่นด้วยความเขิน “ยุคที่เจ้าจากมาทุกคนพูดเกี้ยวเก่งขนาดนี้เชียวหรือ...ฮึ อิน” เสียงทุ้มต่ำกระซิบแนบผิวกาย ทำเอาอินแทบจะละลายคาเตียง เขาพยักหน้าหงึกหงักอย่างมั่นใจ ทั้ง ๆ ที่ใจเต้นเหมือนกลองรัวในอก “ใช่ครับ! ถ้าไม่พูด...เดี๋ยวคนที่รักจะหนีไปกับคนอื่น!” เปรมหลุดหัวเราะอีกครั้ง ดวงตาเปล่งประกายอย่างอ่อนหวาน เขาขยับตัวขึ้นมาแนบชิดกว่าเดิม ก่อนจะกระซิบตอบกลับเสียงทุ้มพร่า “ข้าจะหนีเจ้าไปไหนได้...หัวใจของข้าก็ตกอยู่ในกำมือเจ้าแล้วทั้งดวง” พูดจบ เปรมก็โน้มตัวจูบริมฝีปากอินอย่างแผ่วเบา เนิบช้า ราวกับจะย้ำความรู้สึกทั้งหมดที่แผ่ซ่านอยู่ในอากาศรอบตัว อินครางในลำคอเบา ๆ มือกอดรัดอีกฝ่ายแน่นเหมือนกลัวว่าฝันหวานนี้จะสลายหายไปเสียเฉย ๆ หลังจากรสจูบหวานละมุนผละจากกัน อินก็ยังไม่ยอมปล่อยเปรมออกจากอ้อมแขนง่าย ๆ เขาแกล้งกอดรัดแน่นกว่าเดิม หน้าตาซุกอกอีกฝ่ายอย่างคนขี้อ้อนเต็มขั้น เปรมหัวเราะน้อย ๆ ลูบหัวเขาเบา ๆ "ตัวโตเท่าหมาใหญ่ แล้วยังทำตัวเหมือนหมาน้อยขี้อ้อนอีกนะอิน" น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเอ็นดูจนอินแทบจะหลุดยิ้ม แต่วันนี้เขาคิดในใจ จะไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกแกล้งอยู่ฝ่ายเดียวอีกแล้ว! อินชำเลืองตาขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเอื้อมมือไปจั๊กจี้เอวคุณเปรมเข้าให้ "อ๊ะ!" เปรมสะดุ้งเฮือกทั้งตัว แล้วพลิกตัวจะหนีแต่ก็ไม่ทัน อินจับตัวไว้แน่น แถมยังจั๊กจี้ซ้ำอีกชุดใหญ่ จนคุณเปรมที่ปกติสง่างามเยือกเย็น ต้องดิ้นพล่านหัวเราะเสียงใส "อิน! พอ...พอแล้ว ฮะๆๆ เจ้าเด็กบ้า!" "ไม่พอครับ!" อินประกาศเสียงดัง "คุณเปรมชอบแกล้งผมก่อนเอง วันนี้ถึงคิวผมบ้างแล้ว!" เปรมพยายามดิ้นหนี ทว่าคนตัวโตกว่ากอดรัดแน่นเป็นปลาหมึก มือก็ไม่หยุดขยับจั๊กจี้ไปทั่วเอวและสีข้างที่รู้ว่าเปรมขี้จั๊กจี้สุด ๆ เสียงหัวเราะใส ๆ ของเปรมดังลั่นห้องจนอินต้องหลุดหัวเราะตามไปด้วย ทั้งคู่กลิ้งไปมาบนเตียงเหมือนเด็ก ๆ เล่นกัน ในที่สุดเปรมก็ดิ้นจนพอมีช่อง หันขวับมาตะครุบตัวอินไว้บ้าง กดอีกฝ่ายลงกับที่นอนโดยขึ้นคร่อมไว้ มือทั้งสองจับข้อมืออินตรึงกับเตียง เปรมหอบหายใจนิด ๆ ใบหน้าแดงเรื่อจากทั้งหัวเราะและความเหนื่อย ดวงตาคมยังระยิบระยับด้วยความสนุก "เจ้าเด็กดื้อ...ทำเอาข้าเสียรูปเสียทรงหมด..." เปรมกระซิบชิดใบหู จนอินขนลุกวาบทั้งตัว อินหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ ดวงตาวิบวับไม่ยอมแพ้ "ก็คุณเปรมบอกเองไม่ใช่เหรอครับ ว่าชอบหมาน้อยขี้อ้อน...แบบนี้แหละ อ้อนแล้วกัดด้วยนะ" คำสุดท้าย อินเอียงคอทำท่าจะงับเบา ๆ ที่ไหล่เปรมจริง ๆ เปรมถึงกับตาโตรีบเบี่ยงตัวหลบ ก่อนจะหลุดหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่ จากที่หยอกล้อกันพอหอมปากหอมคอ ก็คิดว่าเวลานี้คงจะสายมากแล้ว แม่ปิ่นแก้วคงเตรียมสำหรับอาหารเช้ากับพวกบ่าวเสร็จสิ้นพร้อมทาน และพวกเราก็ควรไปอาบน้ำเตรียมตัวไปกินได้แล้วเช่นกัน เสียงน้ำกระเพื่อมเบา ๆ คลอเคล้าอยู่ในห้องสรงไม้เก่า เรือนไทยทั้งหลังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมละมุนของสมุนไพรต้มเคี่ยว ราวกับหมอกบาง ๆ ห่อหุ้มเวลาให้เชื่องช้าและอบอุ่นกว่าที่เคย อินทอดตัวไหลเอื่อยอยู่ในอ่างไม้กลางห้องอย่างเงอะงะ มือซ้ายเช็ดแขนตัวเอง มือขวาปัดน้ำออกจากต้นขาแบบพยายามไม่คิดถึงความกระอักกระอ่วนที่บีบรัดหัวใจ บ้าจริง... อินพึมพำในใจ นี่มันอ่างอาบน้ำโบราณ ไม่ใช่สปาโรงแรมหรูอย่างที่เขาเคยรู้จัก แต่ทุกอย่างก็เลือนหายไปทันที เมื่อเสียงน้ำสาดเบา ๆ ดังขึ้นข้างตัว ก่อนที่ใครอีกคนจะก้าวลงมาในอ่างเดียวกัน...คุณเปรม ชายหนุ่มที่แม้เพียงรอยยิ้มบาง ก็สามารถทำให้หัวใจของอินโอนเอนอย่างไม่รู้ตัว ผิวขาวสะอาดราวหยดน้ำนม แถมตามตัวยังมีรอยแตมสีน่ารักที่เกิดจากการหยอกล้อกันเมื่อคืนตกแต่งอยู่ตามเรือนร่าง ตัดกับกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ไทย ดวงตาคู่นั้นมองเขาอย่างไม่มีซึ่งความรังเกียจ ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของการถือดีในศักดิ์ศรี "เจ้าหลบหน้าข้าอีกแล้วนะ อิน" น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยทักอย่างอ่อนโยน ปลายนิ้วที่ไล้ลงบนไหล่อินเบา ๆ ราวกับสัมผัสกลีบกุหลาบ ทำเอาความกลัวและเขินอายทั้งมวลแทบระเหิดหาย อินกลืนน้ำลายฝืดคอ หันหน้าหนีพลางบ่นงึมงำ "ก็คุณเปรมให้ผมอาบน้ำอ่างเดียวกันแบบนี้...ผมก็ทำตัวไม่ถูกนะครับ" เสียงหัวเราะแผ่วเบาของคุณเปรมดังขึ้นข้างหู นุ่มนวลเหมือนกล่อมโลกทั้งใบให้สงบนิ่ง "งั้นต่อไปนี้ก็ทำตัวให้ชินซะนะ เด็กน้อย..." ปลายนิ้วเคาะเบา ๆ ลงบนหน้าผากเขาอย่างหยอกเย้า "เพราะต่อไป เจ้าต้องมาอาบกับข้าทุกวัน" อินหน้าร้อนวูบวาบอย่างห้ามไม่อยู่ รีบก้มหน้างุด ซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำจนแทบจะเดือดระอุ เสียงน้ำไหลกระทบกันเบา ๆ เมื่อคุณเปรมขยับตัวเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด จนระยะห่างระหว่างพวกเขาแทบไม่เหลือ "อิน..." เสียงกระซิบเบาจนแทบไม่ต่างจากลมหายใจ "ช่วยขัดหลังให้ข้าหน่อยเถิด" ถ้อยคำขอร้องนั้นไม่ได้มีแม้เศษเสี้ยวของการสั่งการ มีแต่ความวางใจและอ่อนโยนที่สื่อถึงกันอย่างไม่ต้องมีถ้อยคำใดเพิ่มเติม อินรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝัน ทั้งประหม่า ทั้งตื่นเต้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาก้มหน้าตักน้ำอย่างเก้ ๆ กัง ๆ แล้วเริ่มขัดหลังให้คุณเปรมอย่างเงอะงะ นิ้วมือหยาบกร้านจากการทำงานหนักแตะลงบนแผ่นหลังเนียนละเอียด อบอุ่นและเปียกชื้นจากสายน้ำ ในอากาศเต็มไปด้วยเสียงหายใจแผ่ว ๆ ของกันและกัน อินตั้งใจจดจ่อกับการขัดหลังจนไม่ทันได้รู้ตัวว่า คุณเปรมหันตัวกลับมาเผชิญหน้าเสียแล้ว อินสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อพบว่าตัวเองกำลังใกล้ชิดกับคุณเปรมเหลือเกิน ใกล้จนสามารถเห็นหยดน้ำที่เกาะพราวตามขนตายาวละเอียด "อิน..." เสียงเรียกชื่อเขาในโทนเสียงนั้น ช่างอบอุ่นและอ่อนโยนเสียจนหัวใจอินแทบละลาย "ถ้าเจ้ากลับไปยังโลกที่เจ้าจากมา...เจ้ายังจะตามหาข้าหรือไม่" ถ้อยคำโบราณนั้น ทว่ากลับกรีดลึกลงในหัวใจอิน เขาเงยหน้าขึ้น สบตาคู่นั้นที่เปล่งประกายอ่อนโยนราวแสงดาว แล้วริมฝีปากสั่นระริกก็เอื้อนเอ่ยตอบด้วยความจริงแท้ทั้งหมดของหัวใจ "ผม..." อินกลืนน้ำลาย "ผมคิดว่า...แค่ได้อยู่กับคุณเปรมทุกวัน ก็มีความสุขดีแล้วครับ ต่อให้ได้กลับไปโลกเดิม...ผมก็จะทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้กลับมาอยู่กับคุณอีกครั้ง" คุณเปรมไม่พูดอะไรต่อ ริมฝีปากอ่อนนุ่มแนบลงบนหน้าผากอินอย่างแผ่วเบา เป็นจุมพิตที่อ่อนโยน ราวกับสัญญานิรันดร์ที่ไม่มีวันเปลี่ยนผัน ในห้องสรงเก่าแก่ที่อวลด้วยกลิ่นสมุนไพรโบราณ อินรู้แน่ชัดแล้ว... ไม่ว่าโลกเก่าจะเรียกหาเขาเพียงใด หัวใจของเขา...ได้ฝากไว้กับคุณเปรมไปตลอดกาล กลิ่นข้าวสวยหอมใหม่ลอยเอื่อยไปทั่วเรือนไทย ขับให้บรรยากาศเช้านี้ยิ่งดูชวนให้อุ่นใจ หากแต่สำหรับอินแล้ว แค่ก้าวขาขึ้นมานั่งร่วมโต๊ะ ก็รู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองหนักอึ้งราวหินทับ เขาลอบกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ มองอาหารที่จัดวางเรียบร้อยตรงหน้า แล้วแอบเหลือบมองสองคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว ปิ่นแก้วและคุณเปรม ผู้มีศักดิ์สูงกว่าเขานักในสายตาบ่าวไพร่ทั้งหลาย อินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง... ก้าวขาแทบไม่ออกด้วยซ้ำ รู้สึกเหมือนกำลังทำอะไรที่เกินตัว ถึงจะเคยนั่งกินข้าวกับคุณเปรมสองคนมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่พอครั้งนี้ทุกอย่างที่ปกติดี สถานการณ์ที่เหมิอนเดิมก่อนเกิดเรื่อง การที่ต้องมานั่งกินข้าวกับคุณเปรมและคุณปิ่นแก้วแบบนี้ มันค่อนข้างจะดูไม่เหมาะสมสุดๆ เมื่อวานถึงจะมานั่งร่วมวงกินข้าวด้วยกันไปแล้ว แต่วันนี้กลับโดนมองด้วยสายตาแปลกๆ จนทำเอาเกร็งไปหมด แต่ทว่าจู่ๆเสียงนุ่ม ๆ ของปิ่นแก้วก็ดังขึ้นอย่างใจดี "อย่าไปสนใจพวกสายตาข้างนอกเลย อิน" ปิ่นแก้วว่า ยิ้มตาหยีอย่างอ่อนโยน "สำหรับข้าน่ะ...เจ้าก็เหมือนพี่ชายอีกคนของข้าเหมือนกัน" คุณเปรมที่นั่งข้างกันพยักหน้าช้า ๆ สีหน้าแม้ยังนิ่งขรึม แต่แววตานั้นอ่อนลงมากจนอินสัมผัสได้ถึงความจริงใจ "นั่งลงเถอะอิน" เขาว่าเสียงเรียบแต่หนักแน่น "ที่นี่...เจ้าก็เป็นคนของเราเหมือนกัน ไม่เห็นต้องลังเล" อินเม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างแล่นวูบผ่านอก ...ครอบครัว เขาไม่เคยคิดเลยว่าคำนี้จะมีที่สำหรับตัวเองได้ง่าย ๆ เช่นนี้ สุดท้าย อินจึงยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ก่อนจะนั่งลงข้างโต๊ะด้วยท่าทีที่ยังเกร็งนิด ๆ ทว่าก็ไม่ถึงกับเครียดขึงเหมือนก่อนหน้า มือที่ตักข้าวยังสั่นเล็กน้อยในตอนแรก แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มขี้เล่นของปิ่นแก้ว และสายตาอบอุ่นที่คุณเปรมมองมา อินก็อดยิ้มเขิน ๆ ออกมาไม่ได้ แม้จะยังมีความตึงตัวอยู่ในใจนิดหน่อย... แต่อินก็เริ่มรู้สึกแล้วว่ามื้อนี้ คงไม่ใช่แค่อาหารที่ทำให้เขาอิ่มท้องเท่านั้น หากแต่เป็นความอบอุ่นบางอย่างที่ค่อย ๆ เติมเต็มหัวใจเขาทีละน้อย แม่ปิ่นแก้วในชุดซิ่นไหมเรียบร้อยแต่แววตาเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าผู้ใด กำลังนั่งยิ้มกริ่มอยู่ข้างโต๊ะ ราวกับรอเวลาอะไรสักอย่าง และแล้ว...เธอก็เปิดฉากทันที ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย "เมื่อคืนเสียงดังเชียวหนา..." ปิ่นแก้วว่าพลางกอดอก ทำตาโตโอเวอร์เกินจริง "ฮิ ๆ ๆ ข้ากับบ่าวไพร่เข้านอนกันยังไม่ทันหลับ ก็ได้ยินเสียงไม้ดังโครมครามปนกับเสียงร้องเสียงหลงระงมจากห้องคุณพี่เปรม เสียจนข้าคิดว่า งานบุญหรืองานมงคลอันใดกำลังจะเกิดขึ้นเสียอีก!" อินที่กำลังจะตักข้าวชะงักมือแทบค้างกลางอากาศ หน้าแดงเถือกอย่างช่วยไม่ได้ "ม...ไม่ใช่นะครับ! พวกเราก็แค่...คุยเล่นกันเฉย ๆ" อินรีบโบกไม้โบกมือแก้ต่างลนลาน แต่ดูเหมือนยิ่งแก้ ยิ่งเข้าทางปิ่นแก้ว "คุยกันเสียงหวานเชียว!" ปิ่นแก้วแกล้งทำเสียงกระแอมกระไอ "เสียงดังกันจนไก่ในเล้าแตกตื่น เจ้ารู้ตัวบ้างหรือไม่ อินเอ๋ย?" คุณเปรมที่นั่งข้างกัน หัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะหันมาเอื้อมมือตักแกงตำลึงให้อินอย่างใจเย็น ราวกับจะบอกว่าไม่ต้องไปใส่ใจนักหรอก อินก้มหน้างุด ๆ หน้าร้อนจนเหมือนจะสุกยิ่งกว่าข้าวใหม่ในหม้อ ...แม่เอ๊ย ถ้าแม่ปิ่นแก้วเกิดมาในโลกของเขาในอีกหลายร้อยปีข้างหน้า อินกล้าพนันเลยว่าเธอคงเป็น "สาววายตัวแม่" ที่แซวแรงยิ่งกว่านี้แน่นอน... คิดแล้วอินก็ได้แต่ถอนใจพรืดอย่างปลงตก เพราะแม้แต่ในยุคนี้ ปิ่นแก้วก็เล่นชงเก่งเสียยิ่งกว่าคนขายน้ำปั่นตลาดนัด! "ข้าวเช้านี้ต้องกินให้อิ่มนะ อิน" ปิ่นแก้วกระเซ้าไม่หยุด "จะได้มีแรงเล่นกับคุณเปรมอีกหลาย ๆ คืน" อินแทบสำลักข้าว แทบจะเอาหน้ามุดชามแกงให้รู้แล้วรู้รอดไป ขณะที่คุณเปรมหัวเราะเบา ๆ ยื่นขันน้ำมาให้อย่างเอ็นดู สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความใจดีที่ทำให้อินใจสั่นไม่หยุด ท่ามกลางเสียงหัวเราะครื้นเครงและบรรยากาศอบอุ่นบนเรือนไทย อินก็อดคิดไม่ได้ว่า... บางที การติดอยู่ในห้วงเวลานี้ไปตลอดก็คงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลย ถ้าผู้หญิงที่ชื่อว่าปิ่นแก้วจะเรียบร้อยและพูดน้อยกว่านี้อ่ะนะ!!หลังจากพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลครบกำหนดสองวันตามคุณหมอสั่ง ธีรัชก็ได้กลับมาที่บ้านของตนเองอีกครั้ง บ้านที่เขาควรจะเคยคุ้นแต่กลับรู้สึกแปลกตา เหมือนกลายเป็นแค่ฉากในละครที่ไม่ได้ฉายให้ใครดู เขาเดินช้า ๆ ผ่านห้องนั่งเล่น มองเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัวล้ำสมัย ตู้เย็น ทีวี และโซฟานุ่ม ๆ ที่เคยนั่งดูซีรีส์กับตัวเองในทุกคืนวันศุกร์จนลากไปเช้าของอีกวัน... ชีวิตที่สะดวกสบายและบ้านหลังใหญ่โตที่เขาสร้างมันขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ด้วยความภาคภูมิใจที่แต่ก่อนเขาต้องรู้สึกดีใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับมาเหยียบที่แห่งนี้แต่ครั้งนี้ทำไมมันกลับไม่อุ่นเหมือนอ้อมแขนของใครบางคนที่เขาคิดถึงจับใจ หรือเพียงเพราะโลกใบนี้ ไม่มีคุณเปรมอยู่ด้วย...ธีรัชนั่งลงกับพื้นเบา ๆ ตรงระเบียงหลังบ้าน ลมฤดูหนาวพัดแผ่วผ่านใบหญ้า เสียงนกกระจอกยังคงร้องเจื้อยแจ้วไม่รู้วันเวลาผ่านไปแค่ไหนสำหรับพวกมัน ต่างจากหัวใจของธีรัชที่เหมือนหยุดเดินตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาจาก “บ้าน” หลังหนึ่งในยุคต้นรัตนโกสินทร์กลับมาเขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่ก็ไม่ได้กลิ่นดอกมะลิที่เคยหอมกรุ่นในยามเช้า กลิ่นหอมน้ำอบไทยที่มักจะติดต
ทินกรรุ่งอรุณ แสงแดดอุ่น ๆ สาดผ่านม่านผืนบาง ละไล้ลงบนใบหน้าของอินที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เปรมยืนอยู่มุมห้องอย่างเงียบเชียบ จนเมื่อหมอที่เขาเรียกมาตรวจอาการเดินออกมาจากห้อง อินหันไปมองด้วยสายตาเป็นกังวล“เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านแพทย์?” เสียงเปรมเต็มไปด้วยความห่วงใยแพทย์หมอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยคำวินิจฉัย “จากที่ฉันตรวจดูทั้งหมดแล้ว คิดว่านายคนนี้น่าจะแพ้พิษบางอย่างที่สะสมในร่างกาย และเพิ่งจะแสดงอาการออกมา โชคดีที่ตรวจพบเร็ว ฉันจัดยาไว้ให้แล้ว ให้กินเช้าเย็นนะหลวงเปรม”เปรมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเครียด“ที่สำคัญ ช่วงนี้อย่าให้เขาใช้ร่างกายหนัก ๆ ยิ่งถ้ามีไข้ พิษจะยิ่งกระจายเร็วขึ้น ต้องระวังให้ดี”“ขอรับ… ขอบพระคุณมากขอรับท่านแพทย์ขอบคุณจริง ๆ”คุณเปรมส่งหลวงแพทย์หมอจนลับสายตา ก่อนจะรีบกลับเข้าห้อง เขาเปิดประตูเบา ๆ เหมือนกลัวเสียงจะไปรบกวนคนป่วย บนเตียง อินนอนเอนพิงหมอนอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมใสสบกับเขาอย่างแนบแน่น มีแววซุกซนผสมความอ่อนล้าอยู่ในนั้น“ไม่ต้องทำหน้ากังวลขนาดนั้นก็ได้นะครับ” อินพูดเบา ๆ น้ำเสียงพยายามกลั้วหัวเราะ “ผมสบายดีม๊ากก ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน
แสงแดดยามสายทอดผ่านม่านโปร่งบางภายในโถงของเรือนหลังใหญ่ เสียงจิบน้ำชาดังแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงบที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของใบชาและมะลิอบแห้งเปรมนั่งเอนหลังบนเบาะรองตัวยาว ร่างกายที่เคยแบกรับภาระหนักอึ้งมาหลายวันคล้ายได้หย่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน เขาสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ผ้าคลุมบางสีอ่อนพาดบ่า ใบหน้าเริ่มมีรอยอ่อนล้าจาง ๆ แต่แววตายังคงหนักแน่นและแน่วแน่เช่นเดิมอินนั่งอยู่พื้นข้าง ๆ มือหนึ่งหยิบหนังสือ อีกมือก็ไม่วายวางไว้บนขาของคนรัก พยักหน้าเบา ๆ รับฟังอย่างตั้งใจ แม้บทสนทนาที่เอ่ยออกมาจะชวนให้ใจสั่นไม่น้อย“อีกไม่กี่วัน…” เปรมเอ่ยเสียงเรียบ ขณะทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังบ้าน“หลวงวิษณุจะถูกนำตัวไปประหาร พร้อมกับ พักพวกอีกสามคน”อินชะงักมือที่กำลังเปิดหน้ากระดาษ เสียงคำว่า “ประหาร” กระแทกเข้าหูราวกับสายลมหนาวเฉียบ เขาเงยหน้ามองอีกคน ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องของความแค้นส่วนตัวธรรมดา หากแต่เป็น ความยุติธรรมที่คนบาปสมควรได้รับเปรมวางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันมาสบตาอินตรง ๆ“ข้ารู้ว่าเจ้าหวั่นใจ แต่การลอบสังหาร เจตนาโค่นล้มอำนาจ
แสงแดดยามสายทอดผ่านหมู่เมฆลงมากระทบผิวน้ำในท่าเรือ เกลียวคลื่นเบาๆ ซัดกระทบข้างลำเรือสำเภาอย่างสม่ำเสมอ เสียงเชือกเสียดสีกับเสากระโดง สลับกับเสียงกลาสีเรือร้องสั่งงานก้องไปทั่วท่าเรือ เปรมยืนอยู่ที่หัวท่า ชุดเครื่องแบบขุนนางขอบทองดูขรึมขลัง เขากำลังไล่ตรวจตราสินค้าที่ถูกขนลงจากเรือ สำรวจบัญชีรายชื่อสินค้าจากแดนไกลพลางใช้แววตาเคร่งขรึมพินิจทุกรายละเอียดทว่ากระแสลมเย็นที่พัดมากลับนำพาบางสิ่งมาให้เขา กลาสีเรือชาววิลาทคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา มอบจดหมายเก่าๆ ซองขาดปลายให้โดยไม่เอ่ยคำใด เปรมรับไว้ด้วยความสงสัย ครั้นเปิดจดหมายอ่าน ความสงบของเช้าวันนั้นก็ถูกฉีกทึ้งข้อความที่เขาได้อ่านนั้นสั้น เรียบง่าย แต่ราวกับเสียงระเบิดในอก> “รีบกลับมาดูผลงานข้าสิขอรับคุณพี่เปรม ก่อนที่มันจะตายน่ะ”เส้นเลือดที่ขมับเขาปูดพองขึ้น มือข้างหนึ่งกำกระดาษจนยับยู่ยี่ ขณะที่อีกมือแทบสั่นเทา ใจของเปรมกระโจนไปข้างหน้าเร็วกว่าความคิด เขารู้ดี ใครเป็นคนทำเรื่องนี้ได้ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าเยาะหยันเขาเช่นนี้ หลวงวิษณุ“รีบส่งกำลังตามจับหลวงวิษณุเดี๋ยวนี้!” เขาสั่งเสียงกร้าวกับทหารที่ติดตามมาด้วย" มันยังอยู่พ
เสียงฝีเท้าดังสม่ำเสมอบนพื้นไม้สักของตำหนักฝ่ายในเรือน เปรมเดินกลับมายังห้องพักชั้นบนอย่างเหนื่อยล้า แขนเสื้อถูกร่นขึ้นครึ่งหนึ่ง เหงื่อชื้นผุดบนหน้าผากแต่ไม่ทันได้ซับ เจ้าตัวก็ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ไม้ฝังลายอย่างหมดแรงบนโต๊ะข้างเตียงมีจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่เรียบร้อย ลายมือเจ้าหนุ่มคนรักวางซองกระดาษไว้แนบด้วยใบไม้สีเขียวที่แห้งไปบ้างจากการเดินทางไกล เปรมมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแกะเปิดด้วยมือที่ยังเปรอะหมึกจากเอกสารเมื่อบ่ายเขาอ่านมันช้าๆ เงียบๆ ไม่มีใครในที่นี้รู้ว่าอินเขียนอะไรในนั้น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีน้ำตา มีเพียงรอยยิ้มบางที่คลี่ออกบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เก็บงำความรู้สึกจนคนรอบตัวเรียกเขาว่า ‘คุณเปรมจอมบึ้งตึง’เปรมยกใบไม้นั้นขึ้นแนบจมูก สูดกลิ่นจาง ๆ ที่หลงเหลืออยู่พลางหลับตาลงอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเปิดสมุดบันทึกเก่าหนังวัว หย่อนใบมะลิลงบนหน้าหนึ่งที่ยังว่าง แล้วจดบางสิ่งไว้ด้วยลายมือเรียบร้อยเพียงไม่กี่คำ"ยังมีบ้านให้กลับเสมอ"เขามองออกไปยังท้องฟ้ากลางคืนผ่านหน้าต่าง บนฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาว และพระจันทร์ทรงกลดก็สุกสว่างอย่างสงบ เป็นค่ำคืนที่สวยงามเกินกว่าจะเก็บไว้ในควา
หลายต่อหลายวันผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะวันนี้กลับเป็นวันที่ต้องส่งคนรักออกไปทำงานไกลตัวเสียแล้ว รุ่งเช้าตรู่ แสงแดดแรกของวันทอดผ่านหน้าต่างเรือนไทยส่องสะท้อนกับผืนน้ำที่สงบเงียบ เสียงไก่ขันยังไม่ทันจางหาย อินก็ตื่นขึ้นมาอย่างรู้งาน เขาเตรียมน้ำท่าร้อนอุ่นอย่างพอดี กลิ่นมะลิจากเกลืออาบน้ำที่ตั้งใจผสมด้วยมือของตนเองลอยคลุ้งทั่วห้อง อินขัดผิวและเช็ดตัวให้เปรมอย่างอ่อนโยน ทุกจังหวะของนิ้วและฝ่ามือเหมือนตั้งใจจดจำสัมผัสของคนรักไว้ในใจ“คุณเปรม…” อินพูดขึ้นในขณะที่กำลังติดกระดุมเสื้อผ้าให้ “ถ้าเดินทางไปถึงที่โน่นแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาผมนะครับ อย่างน้อยก็...เดือนละสองฉบับก็ยังดี”เปรมยกมือขึ้นลูบศีรษะของอินเบา ๆ “เจ้าจะไม่เขียนตอบกลับข้ารึ?”“ผมกลัวว่าจะเขียนไม่ทันคุณเปรมต่างหาก” อินแสร้งเบะปาก พลางส่งยิ้มละมุน “แค่คิดถึงก็แทบจะเขียนทุกวันอยู่แล้ว”เปรมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกดจูบลงที่หน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย และความเสียดายเมื่อถึงเวลาต้องไปที่ท่าเรือ อินช่วยขนของและจัดแจงทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว เขายกกระเป๋า ผูกเชือกมัดปากถุง เดินขึ้นลงเรือจนเหงื่
ประตูห้องบานไม้ปิดลงเบา ๆ พร้อมเสียงกลอนที่ถูกหมุน เสียงฝีเท้าของอินหยุดชะงักอยู่หน้าประตู ก่อนจะหันกลับมา“จะให้ผมหาน้ำให้ดื—”เขาพูดได้แค่นั้นก่อนที่ร่างกำยำจะถูกคว้าหมับเข้ามาในอ้อมกอดแน่นหนา กลิ่นน้ำอบอ่อนๆจากเสื้อลินินของคุณเปรมยังไม่ทันจาง ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประกบลงมาทาบปิดคำพูดของเขาแรงแต่ไม่รุนแรง เร่าร้อนแต่มั่นคง และเต็มไปด้วยความคิดถึงที่อัดแน่นจนล้นขอบใจอินนิ่งไปชั่วครู่ สมองขาวโพลน ก่อนที่มือจะเลื่อนขึ้นจับแผ่นอกแข็งแรง แล้วหลับตาตอบรับจูบนั้นอย่างเงียบงันแฮ่ก เสียงหอบหายใจดังขึ้นเป็นระยะ ต้นขาเรียวถูกสอดเข้าไปแทรกอยู่ระหว่างขาของคนตัวใหญ่กว่า ร่างทั้งสองบดเบียดเข้าหากันจนหลังพิงผนังไม้ ลิ้นร้อนดูดดึงรสหวานขมปลายจากปากของอีกฝ่าย มือหนากอดรัดเอวคอดไว้หลวมๆ ขนาดที่พยายามจูบตอบ" อดทนมาทั้งวันแล้ว แฮ่ก.. " เสียงพูดสุดเร้าใจดังขึ้นอยู่ข้างหูของอิน " ถอดผ้าออกสิอิน " ปากอิ่มพึมพำพ้นลมร้อนใส่ ก่อนจะใช้มือขยำก้นของอินอย่างปลุกเร้าเป้าที่นูนขึ้นโผล่พ้นผ้าโจงออกมาอย่างเห็นได้ชัดกำลังถูกันไปมาทุกครั้งที่ร่างเบียดเข้าไปใกล้ชิดจนแทบไม่มีช่องให้อากาศลอดผ่าน " เร็วเข้า.. " มือเรี
พระจันทร์ลอยเด่นเหนือเรือนพัก เสียงกรอบแกรบของไม้เก่าที่ขยับตามลมเบาๆ แทบจะกลบเสียงหัวใจที่เต้นดังตุบๆ ของคนสองคนไม่ได้เลยอินขยับฟูกเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด… แล้วก็อีกนิด จนได้กลิ่นน้ำอบอ่อนๆ จากเสื้อผ้าคุณเปรมที่พาดไว้มุมฟูก"วันนี้ข้าตรวจบัญชีจนตาแทบบอด" เปรมบ่นเสียงเบา ขณะเอนตัวลงข้างอิน แขนข้างหนึ่งยันศีรษะ ส่วนอีกข้างปล่อยวางสบายๆ"ผมก็ขายของจนปากแห้ง คิดว่าจะไม่ได้ขายอะไรเลยด้วยซ้ำ… แต่แม่บุหลันมาช่วยไว้ทันครับ""นางมักใจดีเช่นนั้น…""แล้วคุณเปรมล่ะครับ วันนี้นอกจากจ้องตัวเลข ยังคิดถึงผมบ้างไหม?" อินแกล้งถามเสียงเบา ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับใต้แสงตะเกียงเปรมเลิกคิ้วมอง ก่อนเอื้อมมือมาดีดหน้าผากอีกคนเบาๆ "ข้าคิดถึงเจ้าทุกคราวที่หยุดหายใจ… แบบนี้พอหรือยัง?"อินหัวเราะคิก แต่ใบหน้ากลับแดงก่ำ "จะหวานไปไหนครับท่าน!"เปรมหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะขยับมือไปแตะแก้มอินแผ่วเบา นิ้วหัวแม่มือลูบวนเบาๆ ราวกับสำรวจทุกอณู"คราวหน้า อย่าเอาเงินทั้งหมดมาให้ข้าอีก เข้าใจหรือไม่""แต่ผมอยากให้คุณ…""เจ้าจะไถ่ตัวเองไม่ใช่หรือ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถูกจองจำตลอดชีวิตดอกหนา""แล้วถ้า… ผมยินดีจะเป็นทาสคุณตลอดช
แสงแดดอ่อนยามเช้าโรยตัวลงบนระเบียงเรือน เสียงไก่ขันเบา ๆ เคล้าเสียงนกกระจิบที่บินวนอยู่ตามชายคา เรือนเปรมในยามเช้าช่างสงบงามราวภาพวาด แต่บรรยากาศบนเรือนกลับไม่เงียบเหงาเหมือนวันก่อน ๆ เพราะชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งจิบชาร้อน พลางสนทนากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย"เจ้าจะกลับไปอยู่เรือนท้ายอย่างเดิมจริง ๆ หรือ อิน?" คุณเปรมวางถ้วยชาลงบนถาดไม้ไผ่ เคลื่อนตัวนั่งหลังตรง สีหน้าไม่เห็นด้วยนิด ๆ "ข้าไม่เข้าใจ…เหตุใดเจ้าจึงต้องทำเยี่ยงนั้น ทั้งที่บัดนี้เจ้าอยู่ตรงนี้ก็สุขสบายดี"อินนั่งก้มหน้า มือเกาะแก้วชาราวกับมันเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายของชีวิต“ก็เพราะว่าข้ามันเป็นทาสน่ะสิครับ” เสียงเขาเบาจนแทบเป็นกระซิบ “มันก็ไม่ยุติธรรมนักที่ผมได้อยู่เรือนหน้า กินดีอยู่ดี ขณะที่คนอื่นลำบากกันอยู่นั่น”คุณเปรมถอนใจยาว พยายามเก็บอารมณ์ไม่ให้ดูหงุดหงิด เขาไม่อยากบังคับอิน แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้คนตรงหน้าเลือกทางที่ทำร้ายตัวเองโดยไม่จำเป็น" เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าข้ารักเจ้าน่ะอิน " เปรมกุมขมับปลายตามองคนตรงหน้า" รู้ครับ..ผมเองก็รักคุณเปรม " เขาลอบกลืนน้ำลายลงคอ นี่มันไม่ใช่ความรู้สึกผิดที่ใช้ชีวิตเกินฐานะ แต่ถ้า