อินเม้มปากแน่น ใบหน้าร้อนผ่าวจนไม่ต้องส่องกระจกดูก็รู้ว่าตัวเองแดงแค่ไหน เขาจ้องมองแคร่ไม้ที่เปรมนอนหนุนแขนตัวเองอยู่ ดวงตาสีเข้มที่เปี่ยมไปด้วยเล่ห์กลเหลือบมองเขาพลางยกยิ้มกวนอารมณ์
"ก็เจ้านั่งมองข้ามาตั้งนาน นอนที่ดีๆ บ้างจะเป็นไรไป” เปรมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ มือยื่นออกไปดึงชายเสื้ออินเบาๆ เป็นเชิงเร่งให้ขึ้นไปนอนด้วยกัน อินสะดุ้งสุดตัว รีบสะบัดมือเปรมออกพร้อมส่ายหน้ารัว "ไม่ครับ! ผมจะนอนพื้นข้างล่าง คุณเปรมรีบพักผ่อนเถอะ!" พูดจบ อินก็ดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นมาคลุมตัว รีบพลิกตัวหันหลังให้เปรม แต่เพียงไม่นานเขาก็สัมผัสได้ถึงไออุ่นที่แนบชิดเข้ามาจากด้านหลัง แขนแข็งแกร่งพาดลงบนเอวเขาแบบหน้าตาเฉย! "คุณเปรม! ทำอะไรครับ!" อินโพล่งขึ้นเสียงหลง เปรมหัวเราะเบาๆ ก่อนซุกหน้าลงกับแผ่นหลังของอินอย่างออดอ้อน “คืนนี้ช่างหนาวนัก นอนกอดกันอุ่นกว่านอนคนเดียวเป็นไหนๆ” อินเม้มปากแน่นขึ้น รู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนที่เป่ารดต้นคอจนขนลุก เขาพยายามจะขยับออกห่าง แต่เปรมกลับกระชับกอดแน่นขึ้น แถมยังซุกไซร้แผ่นหลังของเขาเหมือนแมวหาที่อุ่น! “คุณเปรม! พอเลยนะ!” อินรีบดันเปรมออก พลางพ่นลมหายใจแรง เปรมหัวเราะเบาๆ “ก็เจ้ามาเป็นหมอนข้างให้ข้าเอง จะโทษใครได้” อินรู้ว่าถ้าปล่อยให้เปรมมานอนเบียดตัวเองแบบนี้ ทั้งคืนเขาคงไม่ได้นอนแน่ๆ ตัดสินใจแน่วแน่ เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ก้มตัวอุ้มเปรมขึ้นมาวางบนแคร่ไม้แทนที่ตัวเอง ก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างๆ ทันทีแล้วกอดซุกเข้ากับอกของเปรมอย่างไม่พูดไม่จา เปรมที่ยังตั้งตัวไม่ทัน กะพริบตามองอินที่กำลังกอดตัวเองแน่น ใบหน้าหล่อเหลาของอินซุกเข้ากับแผงอกเขา ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดที่แผ่นอกเบาๆ อินกระซิบเสียงแผ่ว “ถ้าหนาว ก็นอนกอดกันบนนี้ดีกว่าครับ” เปรมหลุดหัวเราะ พลางกระชับอ้อมแขนกอดอีกฝ่ายไว้แน่นขึ้น “งั้นก็หลับเถิด” กลิ่นหอมอ่อนๆ ของอินลอยมาแตะจมูกของเปรม ทำให้เขารู้สึกสงบอย่างประหลาด สัมผัสอบอุ่นจากอ้อมแขนของอินทำให้หัวใจเขาเต้นแผ่วเบาลง สุดท้ายเปรมก็หลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา แต่เพียงไม่นาน ลุงเพิ่มที่กลับมาถึงบ้านก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นภาพตรงหน้า อินที่นอนกอดเปรมกลมดิก แผ่นหลังกว้างของอินบังเปรมมิดชิด ลุงเพิ่มยกมือขึ้นเกาหัวพลางยิ้มอย่างรู้ทัน เปรมที่ยังไม่หลับสนิท แอบลืมตาขึ้นมองลุงเพิ่มที่ทำหน้าตา ‘รู้เห็นทุกอย่าง’ เปรมรีบยกนิ้วชี้แตะปากเป็นเชิงบอกให้ลุงเพิ่มเงียบ ๆ ลุงเพิ่มพยักหน้าเข้าใจ ก่อนกวักมือเรียกเปรมออกมาคุยกันข้างนอก เปรมพยายามจะลุกขึ้น แต่ก็ต้องชะงักเมื่ออินกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น พลางพึมพำเสียงสะลึมสะลือ “ไม่ ..ไม่ใช่ผมไม่ได้ทิ้งเขา ไม่ใช่นะ” เปรมหยุดนิ่งไปชั่วขณะ มองใบหน้าของอินที่หลับตาพริ้มแต่ยังคงแสดงสีหน้าหวาดกลัว ราวกับกำลังฝันร้าย เปรมยิ้มบาง ๆ ก่อนยกมือขึ้นลูบศีรษะของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน แล้วกระซิบข้างหูเบา ๆ “ข้ารู้แล้ว...ธีรัช” เสียงกระซิบนุ่มนวลและอ้อมกอดอบอุ่นของเปรม ทำให้อินคลายสีหน้ากังวลลงอย่างช้า ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมออีกครั้ง เปรมจึงได้แต่หัวเราะเบา ๆ ก่อนกดจูบลงบนหน้าผากของอิน แล้วค่อย ๆ ดึงตัวเองออกจากอ้อมแขนแกร่ง เพื่อออกไปคุยกับลุงเพิ่ม แต่ในใจของเขา กลับอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างพอใจ คืนนี้...ช่างเป็นคืนที่อบอุ่นจริง ๆ เปรมก้าวออกมานอกเรือนไม้ ยืดเส้นยืดสายเล็กน้อยก่อนจะเผชิญหน้ากับลุงเพิ่ม ชายชราเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ยืนกอดอกมองเขาด้วยสายตาคล้ายจะล้อเลียนเสียมากกว่าจริงจัง “ว่าแต่เจ้าหนุ่ม… เจ้านี่มันเกินไปหน่อยกระมัง กอดเขาซะกลมแน่นเชียว” ลุงเพิ่มกล่าวพร้อมกับหัวเราะในลำคอ เปรมไม่ได้แสดงอาการอายแม้แต่น้อย กลับยักไหล่แล้วกล่าวติดตลก “ก็มันหนาว จะให้ข้านอนหนาวๆ คนเดียวได้ที่ไหนเล่า” เขาตอบพลางทำหน้าทะเล้น “อีกอย่าง เจ้านั่นก็ดูเต็มใจให้ข้ากอด ข้าจะไปขัดศรัทธาได้หรือ?” ลุงเพิ่มถอนหายใจแล้วส่ายหัวเบาๆ “เจ้ามันกะล่อนจริงๆ” เขาว่าก่อนจะกลับเข้าสู่โหมดจริงจังขึ้นมา “เอาล่ะ เข้าเรื่องกันเถิด” เปรมพยักหน้า แววตาของเขากลับมาเฉียบคมอีกครั้ง “เจอข่าวอะไรที่ตลาดบ้างหรือไม่?” “นั่นล่ะที่น่าสงสัยนัก” ลุงเพิ่มเอ่ย “ปกติหากมีเหตุโจรปล้นเรือนใหญ่เช่นนี้ ข่าวลือย่อมแพร่สะพัดทั่วตลาด ทว่าในครั้งนี้… ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเลย เหมือนทุกคนถูกสั่งให้เงียบ หรือไม่ก็มีอำนาจบางอย่างคอยกดไว้” เปรมขมวดคิ้วแน่น ความเงียบสงัดของเหตุการณ์ที่ควรเป็นข่าวใหญ่ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติ นั่นหมายความว่าเบื้องหลังต้องมีผู้ที่มีอำนาจพอจะควบคุมกระแสข่าวอยู่ “แล้วมีผู้ใดรอดจากเหตุการณ์คืนนั้นบ้าง?” “มีบ่าวประมาณสิบคนที่รอด” ลุงเพิ่มตอบ “ข้าให้พวกเขากลับเรือนของตนเองไปก่อน เพื่อความปลอดภัย ส่วนทรัพย์สินทุกอย่างในเรือนของเจ้า… ไม่ได้ถูกแตะต้องเลยสักชิ้น” เปรมเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงด้วยความเย็นชา “ชัดเจนแล้วว่าเป้าหมายของพวกมันคือข้า… ไม่ใช่โจรกระจอกแน่นอน” ลุงเพิ่มพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ข้าก็คิดเช่นนั้น” " อีกอย่างเมื่อเดือนก่อน อินก็โดนคนจับตัวไปเพื่อถามหาข้า...ดูแล้วน่าจะพวกเดียวกันกลับครั้งนี้ " " พวกมันก็กัดไม่ปล่อยเสียจริง เจ้าไปขัดขาใครไว้หรือเปล่า " ลุงเพิ่มพูดเสริม " เยอะแยะไปลุง พวกขุนนางสยามโลภกันทั้งนั้น ใครก็รู้ว่าข้าคุมการคลัง จะซื้อจะขายอะไรก็ต้องผ่านข้าก่อน " " รับราชการมันก็ลำบาก ไม่เลิกเลยเสียจริง " ลุงเพิ่มส่ายหัวอย่างหน่าย เปรมเม้มริมฝีปาก ความเงียบเข้าครอบงำทั้งสองชั่วขณะก่อนที่ลุงเพิ่มจะพูดขึ้น “อีกเรื่อง น้องสาวของเจ้า นางตกใจมากเมื่อข้าบอกว่าเจ้าเกือบเอาชีวิตไม่รอด นางแทบจะมาหาเจ้าเดี๋ยวนั้นเลย แต่ข้าไม่ได้บอกที่อยู่ของเจ้าให้” เปรมเลิกคิ้ว “เพราะอะไร?” “เพราะแม้แต่คนใกล้ตัวยามนี้ก็ยังไว้ใจไม่ได้” ลุงเพิ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าไม่ต้องการให้พวกมันรู้ว่าเจ้ารอดมาได้” "ลุงจะบอกว่าน้องสาวข้าก็ไม่น่าไว้ใจรึ? " " ปร่ะ ไอนิ ข้ากังวลผัวหล่อนมากกว่า " เปรมพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะถามต่อ “แล้วแม่ข้าล่ะ?” ลุงเพิ่มเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ข้าบอกนางแล้ว แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้สนใจใยดีเจ้าเลย” เปรมหัวเราะออกมาเบาๆ แต่เป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูว่างเปล่า เขาหันไปมองท้องฟ้ายามราตรีที่เงียบสงบ แต่ในหัวใจกลับปั่นป่วนด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ “ข้าก็ไม่ได้หวังอะไรหรอก” เขากล่าวอย่างเฉยชา “นางไม่สนใจลูกชายที่ผิดเพศอย่างข้าอยู่แล้ว” ลุงเพิ่มมองเขาด้วยสายตาสงสาร แต่เปรมกลับยิ้มบางๆ ให้ ก่อนจะกล่าวขึ้น “ลุงเพิ่ม เราต้องหาต้นตอของเรื่องนี้ให้ได้ คืนวันนั้น… พวกมันต้องการฆ่าข้า และข้าต้องรู้ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง” ลุงเพิ่มยืนกอดอกมองเปรมด้วยแววตาครุ่นคิด แสงจันทร์ส่องกระทบใบหน้าของชายสูงวัยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก เขาพ่นลมหายใจออกมาช้าๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่นิ่งลึกแต่แฝงไปด้วยความห่วงใย "แล้วหลังจากนี้ เจ้าจะเอาอย่างไรต่อ?" เปรมเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืน มือหนึ่งลูบไล้ข้อมือตัวเองเบาๆ ราวกับใช้ความรู้สึกสัมผัสร่องรอยบาดแผลที่ยังหลงเหลืออยู่ เขาไม่ได้ตอบทันที ปล่อยให้ความเงียบโรยตัวอยู่ชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น "ข้าคงต้องอยู่แบบคนที่ตายไปแล้ว... อย่างน้อยก็ในสายตาของพวกมัน" ลุงเพิ่มเลิกคิ้วขึ้นมอง "หมายความว่ายังไง?" เปรมหันมาสบตากับลุงเพิ่ม ริมฝีปากแย้มรอยยิ้มที่ไม่ได้เจือไปด้วยความสุขเลยสักนิด "พวกมันต้องการให้ข้าตาย และข้าจะใช้ความเข้าใจผิดของพวกมันให้เป็นประโยชน์ "ข้าจะรักษาตัวให้หายดีเสียก่อน แล้วหลังจากนั้น ข้าจะกลับไปตรวจสอบเรือนใหญ่ให้ละเอียด พวกมันทำให้ที่นั่นกลายเป็นซากไปแล้ว แต่บางที... " เขาเว้นช่วงก่อนจะกล่าวต่อ "อาจจะมีบางอย่างที่รอดจากเพลิงไหม้ บางอย่างที่สามารถใช้เป็นหลักฐานสาวไปถึงตัวคนบงการ" ลุงเพิ่มพยักหน้าอย่างเข้าใจ "ก็ดี... แต่ข้าอยากให้เจ้าระวังตัวให้มาก แม้แต่ในเงามืดยังอาจมีสายตาของศัตรูจ้องมองอยู่ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไปที่นั่นโดยไม่ให้ใครรู้?" เปรมหัวเราะเบาๆ "ข้าเคยหลบซ่อนตัวมาตลอดชีวิต ลุงเพิ่ม ข้าเรียนรู้ที่จะซ่อนตัวจากเงื้อมมือของผู้คนตั้งแต่ยังเด็ก สิ่งที่ข้ากลัวไม่ใช่การซ่อนตัว แต่เป็นความจริงที่อาจจะรออยู่ในซากเรือนมากกว่า ข้าอยากรู้ว่ามันคือใครกันแน่ที่คิดฆ่าข้า ใครกันที่สั่งพวกมันมา" ลุงเพิ่มถอนหายใจแล้วตบไหล่เปรมเบาๆ "เช่นนั้นข้าจะช่วยอีกแรง ข้าจะลองไปฟังข่าวจากชาวบ้าน เผื่อจะมีเบาะแสอะไรหลุดออกมา แม้จะดูเหมือนไม่มีข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยก็ตาม แต่การที่มันเงียบเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี น่าจะพอมีข่าวจากวงในอยู่" เปรมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย "ข้าก็คิดเช่นนั้น พวกมันมีการวางแผนรัดกุมเกินไป และเป้าหมายที่ชัดเจน" ลุงเพิ่มมองเปรมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่หนักแน่น "เจ้านี่นะ... ยังนิสัยไม่เปลี่ยนเลยสักนิด ไม่ว่ายังไงก็ยังเป็นเปรมคนเดิม ดื้อรั้นและไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ" เปรมยิ้มมุมปาก "ลุงก็รู้จักข้าดีอยู่แล้วนี่นา" ลุงเพิ่มหัวเราะเบาๆ ส่ายหัวน้อยๆ "เอาเถอะ อย่างน้อยก็อย่าฝืนตัวเองมากเกินไป ข้าว่าเจ้ากลับเข้าไปพักเถิด ยังมีเวลาให้เราคิดอ่านเรื่องนี้อีกมาก" เปรมยกมือขึ้นทำท่าเคารพลุงเพิ่มแบบล้อเล่นก่อนจะพูดว่า "รับทราบขอรับท่านผู้บัญชาการ พรุ่งนี้เช้าข้าจะวางแผนต่อให้รัดกุมขึ้น" ลุงเพิ่มหัวเราะ "เออๆ เข้าไปพักได้แล้ว เดี๋ยวข้าจะคอยดูแลรอบๆ เรือนให้เอง" เปรมพยักหน้าแล้วเดินกลับเข้าไปข้างในเรือนไม้ เสียงฝีเท้าของเขาค่อยๆ จางหายไป ทิ้งให้ลุงเพิ่มยืนมองแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เขาเฝ้าดูแลมาตั้งแต่เด็กด้วยความเป็นห่วง เขารู้ดีว่าเปรมต้องผ่านอะไรมามากมาย และสิ่งที่กำลังรออยู่ข้างหน้าก็อาจจะโหดร้ายยิ่งกว่าเดิม ลุงเพิ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆ "ขอให้เจ้าได้พบความสุขกับเขาเสียทีเถอะ เปรม..." ย้อนไปเกือบ7 ปีก่อน ในค่ำคืนหนึ่งที่ไร้แสงจันทร์ สายลมเย็นพัดผ่านเรือนไม้อย่างแผ่วเบา เสียงฝีเท้าของผู้บุกรุกดังขึ้นในความมืดเงียบ ลุงเพิ่มในวัยหนุ่มแอบย่องเข้ามาภายในเรือนของเปรม ดวงตาคมกริบไล่มองหาของมีค่าที่จะสามารถนำไปแลกเป็นเงินซื้อยาให้ลูกชายของเขาที่กำลังป่วยหนัก แต่เพียงแค่ย่างก้าวเข้าไปใกล้ห้องรับแขกก็ต้องชะงัก เมื่อพบกับร่างของเด็กชายวัยสิบหกปีที่ยืนอยู่กลางห้อง มองเขาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก เปรมมิได้แสดงความตกใจหรือตะโกนเรียกให้ใครมาจับโจร แต่กลับเพียงแค่จ้องมองและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คนที่ไม่ได้กำลังลำบาก คงไม่อยู่ดี ๆ มาลักขโมยของคนอื่นเช่นนี้... ช่างน่าสงสาร” คำพูดเพียงประโยคเดียว ทำให้ลุงเพิ่มรู้สึกราวกับถูกกดให้จมลึกลงไปในความรู้สึกผิด ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยคำใด เด็กชายตรงหน้าก็หมุนตัวจากไป ปล่อยให้เขายืนงุนงงและเต็มไปด้วยคำถามในใจ วันถัดมา ลุงเพิ่มถูกจับได้เมื่อไปขโมยของจากเรือนอื่น เขาถูกลากไปตามถนน ถูกชาวบ้านรุมตีและสาปแช่งอย่างไร้ความปรานี ก่อนที่เขาจะสิ้นหวังถึงขีดสุด ร่างของเด็กชายเมื่อวานก็ปรากฏขึ้น เปรมยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน แววตาของเขาไม่ได้เต็มไปด้วยความเหยียดหยามเหมือนที่คนอื่นมองมา แต่กลับมีความสงสารปะปนอยู่ในนั้น เปรมไม่เพียงแต่ช่วยห้ามปรามชาวบ้านไม่ให้ลงโทษลุงเพิ่มอย่างโหดร้าย เขายังเสนอซื้อชีวิตของลุงเพิ่มให้มาเป็นบ่าวในเรือนของตนเอง ลุงเพิ่มไม่เข้าใจว่าเหตุใดเด็กคนนี้ถึงเลือกช่วยเขา แต่เมื่อลูกชายของเขาได้รับอาหารและยาอย่างเพียงพอจากการทำงานให้กับเปรม เขาก็เริ่มเข้าใจว่าความเมตตานั้นมีอยู่จริง เปรมในวัยสิบหกปีแตกต่างจากเด็กคนอื่น เขาไม่ได้มีท่าทางเย่อหยิ่งของผู้ดี แต่กลับมีความเข้าใจในความลำบากของผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง แม้แต่คนที่ถูกตราหน้าว่าเป็นโจรอย่างลุงเพิ่ม เขาก็ยังยื่นมือช่วยโดยไม่มีเงื่อนไข เวลาผ่านไปเกือบสองปี ลุงเพิ่มได้รับรู้ถึงชีวิตของเปรมมากขึ้น เขาเห็นกับตาว่าเด็กชายคนนี้เติบโตมาอย่างโดดเดี่ยว มีเพียงเรือนกว้างและความเย็นชาของแม่ที่แทบไม่เคยเหลียวแลลูกชายตนเอง เปรมเหมือนเด็กที่เติบโตมาโดยไม่มีอ้อมกอดของครอบครัว แต่กลับเป็นฝ่ายมอบความเมตตาให้กับผู้อื่น เมื่อลูกชายของลุงเพิ่มจากไปด้วยโรคร้าย เปรมก็ยังเป็นผู้ที่คอยอยู่เคียงข้าง เป็นคนเดียวที่คอยปลอบโยนโดยไม่รังเกียจน้ำตาของชายที่เคยเป็นโจร ลุงเพิ่มซาบซึ้งในพระคุณนี้จนไม่อาจหาคำใดมาขอบคุณได้ เขาจึงตั้งปณิธานว่าจะรับใช้และปกป้องเปรมตราบจนสิ้นลมหายใจ เวลาผ่านไป เปรมย้ายออกจากเรือนใหญ่ ไปสร้างเรือนใหม่เพื่อใช้ชีวิตของตนเอง แม้ว่าเขาจะบอกให้ลุงเพิ่มไปใช้ชีวิตของตัวเองตามที่ต้องการ แต่ลุงเพิ่มเลือกที่จะอยู่ไม่ไกลจากเรือนของเปรม ด้วยหวังว่าในยามที่เปรมต้องการใครสักคน เขาจะสามารถอยู่ตรงนั้น เป็นเสาหลักที่เปรมสามารถพึ่งพิงได้ แม้จะไม่ได้เกี่ยวพันกันทางสายเลือด แต่สำหรับลุงเพิ่มแล้ว เปรมก็คือหลานแท้ ๆ ที่เขาพร้อมจะปกป้องด้วยชีวิต วาสนาของไอเพิ่มยิ่งนักที่ได้มาเจอกับพ่อเทวดาตัวน้อยองค์นี้.. รุ่งอรุณแห่งความหวาน ยามเช้าอันสดใส ท้องฟ้าโปร่งโล่ง แสงแดดยามเช้าทาบทอผ่านหน้าต่างไม้ไผ่ สาดกระทบลงบนใบหน้าคมสันของอินเบา ๆ ทำให้เขาค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา ดวงตาคมเข้มกะพริบไล่ความง่วงก่อนจะหันไปมองร่างของใครอีกคนที่ซุกอยู่ในอ้อมอกของเขา เปรมยังคงหลับตาพริ้ม ลมหายใจสม่ำเสมอ นอนตะแคงหันหน้าเข้าหาเขา ผมสีนิลสลวยตกกระจายลงบนหมอน ล้อมกรอบใบหน้าหล่อคมคายอย่างพอดิบพอดี อินเผลอจ้องมองอย่างเงียบงัน แสงแดดอ่อนสะท้อนผิวเนียนละเอียดราวกับหยก ปลายขนตายาวเป็นแพทอดเงาบางเบาลงบนพวงแก้ม ริมฝีปากอวบอิ่มที่ปิดสนิทดูราวกับกำลังเชิญชวนให้คนมองเผลอใจ อินขยับตัวไม่ได้ ไม่ใช่เพราะหนักหรือเมื่อย แต่เพราะไม่อยากรบกวนคนที่กำลังซุกอกเขาอยู่ ยิ่งได้มอง ยิ่งรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบางสิ่งบางอย่างกอบกุมไว้ แต่แล้ว... ในขณะที่อินกำลังเพลิดเพลินกับการชมความงามตรงหน้า ริมฝีปากที่เขาเฝ้ามองอยู่นานก็ค่อย ๆ ขยับขึ้นช้า ๆ "อยากจูบก็ทำเสียก่อนที่ข้าจะตื่น" เสียงแหบพร่าในยามเช้าเอ่ยขึ้นโดยที่เปรมยังไม่ลืมตา แต่เล่นเอาคนฟังสะดุ้งเฮือก อินเบิกตากว้าง รีบผละออกทันที ใบหูขึ้นสีแดงก่ำพลางลุกพรวดขึ้นมานั่งด้วยความลุกลี้ลุกลน "คุณตื่นแล้วทำไมไม่บอกผมล่ะครับ!" อินอุทานเสียงหลง เปรมที่ยังคงนอนนิ่งค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มองใบหน้าของอินที่ขึ้นสีจัดแล้วระบายยิ้มขำออกมาอย่างอดไม่ได้ "ก็ถ้าข้าบอกเจ้า ข้าคงอดเห็นเด็กยักษ์จอมลามกที่มัวแต่มองปากข้าไม่เลิก" อินอ้าปากค้าง ก่อนจะยกมือขึ้นกุมหน้าอย่างทำอะไรไม่ถูก ในขณะที่เปรมหัวเราะออกมาเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู... สำหรับเปรมแล้ว ความสุขอย่างเดียวที่คอยเติมเต็มเขาได้ตอนนี้ คือใบหน้าขี้อ้อนที่มักจะขึ้นสีระเรื่อ เวลาเขินออกมาอย่างปิดไม่มิด มันน่ารักยิ่งกว่าอะไรเสียหลังจากพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลครบกำหนดสองวันตามคุณหมอสั่ง ธีรัชก็ได้กลับมาที่บ้านของตนเองอีกครั้ง บ้านที่เขาควรจะเคยคุ้นแต่กลับรู้สึกแปลกตา เหมือนกลายเป็นแค่ฉากในละครที่ไม่ได้ฉายให้ใครดู เขาเดินช้า ๆ ผ่านห้องนั่งเล่น มองเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัวล้ำสมัย ตู้เย็น ทีวี และโซฟานุ่ม ๆ ที่เคยนั่งดูซีรีส์กับตัวเองในทุกคืนวันศุกร์จนลากไปเช้าของอีกวัน... ชีวิตที่สะดวกสบายและบ้านหลังใหญ่โตที่เขาสร้างมันขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ด้วยความภาคภูมิใจที่แต่ก่อนเขาต้องรู้สึกดีใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับมาเหยียบที่แห่งนี้แต่ครั้งนี้ทำไมมันกลับไม่อุ่นเหมือนอ้อมแขนของใครบางคนที่เขาคิดถึงจับใจ หรือเพียงเพราะโลกใบนี้ ไม่มีคุณเปรมอยู่ด้วย...ธีรัชนั่งลงกับพื้นเบา ๆ ตรงระเบียงหลังบ้าน ลมฤดูหนาวพัดแผ่วผ่านใบหญ้า เสียงนกกระจอกยังคงร้องเจื้อยแจ้วไม่รู้วันเวลาผ่านไปแค่ไหนสำหรับพวกมัน ต่างจากหัวใจของธีรัชที่เหมือนหยุดเดินตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาจาก “บ้าน” หลังหนึ่งในยุคต้นรัตนโกสินทร์กลับมาเขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่ก็ไม่ได้กลิ่นดอกมะลิที่เคยหอมกรุ่นในยามเช้า กลิ่นหอมน้ำอบไทยที่มักจะติดต
ทินกรรุ่งอรุณ แสงแดดอุ่น ๆ สาดผ่านม่านผืนบาง ละไล้ลงบนใบหน้าของอินที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เปรมยืนอยู่มุมห้องอย่างเงียบเชียบ จนเมื่อหมอที่เขาเรียกมาตรวจอาการเดินออกมาจากห้อง อินหันไปมองด้วยสายตาเป็นกังวล“เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านแพทย์?” เสียงเปรมเต็มไปด้วยความห่วงใยแพทย์หมอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยคำวินิจฉัย “จากที่ฉันตรวจดูทั้งหมดแล้ว คิดว่านายคนนี้น่าจะแพ้พิษบางอย่างที่สะสมในร่างกาย และเพิ่งจะแสดงอาการออกมา โชคดีที่ตรวจพบเร็ว ฉันจัดยาไว้ให้แล้ว ให้กินเช้าเย็นนะหลวงเปรม”เปรมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเครียด“ที่สำคัญ ช่วงนี้อย่าให้เขาใช้ร่างกายหนัก ๆ ยิ่งถ้ามีไข้ พิษจะยิ่งกระจายเร็วขึ้น ต้องระวังให้ดี”“ขอรับ… ขอบพระคุณมากขอรับท่านแพทย์ขอบคุณจริง ๆ”คุณเปรมส่งหลวงแพทย์หมอจนลับสายตา ก่อนจะรีบกลับเข้าห้อง เขาเปิดประตูเบา ๆ เหมือนกลัวเสียงจะไปรบกวนคนป่วย บนเตียง อินนอนเอนพิงหมอนอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมใสสบกับเขาอย่างแนบแน่น มีแววซุกซนผสมความอ่อนล้าอยู่ในนั้น“ไม่ต้องทำหน้ากังวลขนาดนั้นก็ได้นะครับ” อินพูดเบา ๆ น้ำเสียงพยายามกลั้วหัวเราะ “ผมสบายดีม๊ากก ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน
แสงแดดยามสายทอดผ่านม่านโปร่งบางภายในโถงของเรือนหลังใหญ่ เสียงจิบน้ำชาดังแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงบที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของใบชาและมะลิอบแห้งเปรมนั่งเอนหลังบนเบาะรองตัวยาว ร่างกายที่เคยแบกรับภาระหนักอึ้งมาหลายวันคล้ายได้หย่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน เขาสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ผ้าคลุมบางสีอ่อนพาดบ่า ใบหน้าเริ่มมีรอยอ่อนล้าจาง ๆ แต่แววตายังคงหนักแน่นและแน่วแน่เช่นเดิมอินนั่งอยู่พื้นข้าง ๆ มือหนึ่งหยิบหนังสือ อีกมือก็ไม่วายวางไว้บนขาของคนรัก พยักหน้าเบา ๆ รับฟังอย่างตั้งใจ แม้บทสนทนาที่เอ่ยออกมาจะชวนให้ใจสั่นไม่น้อย“อีกไม่กี่วัน…” เปรมเอ่ยเสียงเรียบ ขณะทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังบ้าน“หลวงวิษณุจะถูกนำตัวไปประหาร พร้อมกับ พักพวกอีกสามคน”อินชะงักมือที่กำลังเปิดหน้ากระดาษ เสียงคำว่า “ประหาร” กระแทกเข้าหูราวกับสายลมหนาวเฉียบ เขาเงยหน้ามองอีกคน ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องของความแค้นส่วนตัวธรรมดา หากแต่เป็น ความยุติธรรมที่คนบาปสมควรได้รับเปรมวางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันมาสบตาอินตรง ๆ“ข้ารู้ว่าเจ้าหวั่นใจ แต่การลอบสังหาร เจตนาโค่นล้มอำนาจ
แสงแดดยามสายทอดผ่านหมู่เมฆลงมากระทบผิวน้ำในท่าเรือ เกลียวคลื่นเบาๆ ซัดกระทบข้างลำเรือสำเภาอย่างสม่ำเสมอ เสียงเชือกเสียดสีกับเสากระโดง สลับกับเสียงกลาสีเรือร้องสั่งงานก้องไปทั่วท่าเรือ เปรมยืนอยู่ที่หัวท่า ชุดเครื่องแบบขุนนางขอบทองดูขรึมขลัง เขากำลังไล่ตรวจตราสินค้าที่ถูกขนลงจากเรือ สำรวจบัญชีรายชื่อสินค้าจากแดนไกลพลางใช้แววตาเคร่งขรึมพินิจทุกรายละเอียดทว่ากระแสลมเย็นที่พัดมากลับนำพาบางสิ่งมาให้เขา กลาสีเรือชาววิลาทคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา มอบจดหมายเก่าๆ ซองขาดปลายให้โดยไม่เอ่ยคำใด เปรมรับไว้ด้วยความสงสัย ครั้นเปิดจดหมายอ่าน ความสงบของเช้าวันนั้นก็ถูกฉีกทึ้งข้อความที่เขาได้อ่านนั้นสั้น เรียบง่าย แต่ราวกับเสียงระเบิดในอก> “รีบกลับมาดูผลงานข้าสิขอรับคุณพี่เปรม ก่อนที่มันจะตายน่ะ”เส้นเลือดที่ขมับเขาปูดพองขึ้น มือข้างหนึ่งกำกระดาษจนยับยู่ยี่ ขณะที่อีกมือแทบสั่นเทา ใจของเปรมกระโจนไปข้างหน้าเร็วกว่าความคิด เขารู้ดี ใครเป็นคนทำเรื่องนี้ได้ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าเยาะหยันเขาเช่นนี้ หลวงวิษณุ“รีบส่งกำลังตามจับหลวงวิษณุเดี๋ยวนี้!” เขาสั่งเสียงกร้าวกับทหารที่ติดตามมาด้วย" มันยังอยู่พ
เสียงฝีเท้าดังสม่ำเสมอบนพื้นไม้สักของตำหนักฝ่ายในเรือน เปรมเดินกลับมายังห้องพักชั้นบนอย่างเหนื่อยล้า แขนเสื้อถูกร่นขึ้นครึ่งหนึ่ง เหงื่อชื้นผุดบนหน้าผากแต่ไม่ทันได้ซับ เจ้าตัวก็ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ไม้ฝังลายอย่างหมดแรงบนโต๊ะข้างเตียงมีจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่เรียบร้อย ลายมือเจ้าหนุ่มคนรักวางซองกระดาษไว้แนบด้วยใบไม้สีเขียวที่แห้งไปบ้างจากการเดินทางไกล เปรมมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแกะเปิดด้วยมือที่ยังเปรอะหมึกจากเอกสารเมื่อบ่ายเขาอ่านมันช้าๆ เงียบๆ ไม่มีใครในที่นี้รู้ว่าอินเขียนอะไรในนั้น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีน้ำตา มีเพียงรอยยิ้มบางที่คลี่ออกบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เก็บงำความรู้สึกจนคนรอบตัวเรียกเขาว่า ‘คุณเปรมจอมบึ้งตึง’เปรมยกใบไม้นั้นขึ้นแนบจมูก สูดกลิ่นจาง ๆ ที่หลงเหลืออยู่พลางหลับตาลงอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเปิดสมุดบันทึกเก่าหนังวัว หย่อนใบมะลิลงบนหน้าหนึ่งที่ยังว่าง แล้วจดบางสิ่งไว้ด้วยลายมือเรียบร้อยเพียงไม่กี่คำ"ยังมีบ้านให้กลับเสมอ"เขามองออกไปยังท้องฟ้ากลางคืนผ่านหน้าต่าง บนฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาว และพระจันทร์ทรงกลดก็สุกสว่างอย่างสงบ เป็นค่ำคืนที่สวยงามเกินกว่าจะเก็บไว้ในควา
หลายต่อหลายวันผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะวันนี้กลับเป็นวันที่ต้องส่งคนรักออกไปทำงานไกลตัวเสียแล้ว รุ่งเช้าตรู่ แสงแดดแรกของวันทอดผ่านหน้าต่างเรือนไทยส่องสะท้อนกับผืนน้ำที่สงบเงียบ เสียงไก่ขันยังไม่ทันจางหาย อินก็ตื่นขึ้นมาอย่างรู้งาน เขาเตรียมน้ำท่าร้อนอุ่นอย่างพอดี กลิ่นมะลิจากเกลืออาบน้ำที่ตั้งใจผสมด้วยมือของตนเองลอยคลุ้งทั่วห้อง อินขัดผิวและเช็ดตัวให้เปรมอย่างอ่อนโยน ทุกจังหวะของนิ้วและฝ่ามือเหมือนตั้งใจจดจำสัมผัสของคนรักไว้ในใจ“คุณเปรม…” อินพูดขึ้นในขณะที่กำลังติดกระดุมเสื้อผ้าให้ “ถ้าเดินทางไปถึงที่โน่นแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาผมนะครับ อย่างน้อยก็...เดือนละสองฉบับก็ยังดี”เปรมยกมือขึ้นลูบศีรษะของอินเบา ๆ “เจ้าจะไม่เขียนตอบกลับข้ารึ?”“ผมกลัวว่าจะเขียนไม่ทันคุณเปรมต่างหาก” อินแสร้งเบะปาก พลางส่งยิ้มละมุน “แค่คิดถึงก็แทบจะเขียนทุกวันอยู่แล้ว”เปรมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกดจูบลงที่หน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย และความเสียดายเมื่อถึงเวลาต้องไปที่ท่าเรือ อินช่วยขนของและจัดแจงทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว เขายกกระเป๋า ผูกเชือกมัดปากถุง เดินขึ้นลงเรือจนเหงื่
ประตูห้องบานไม้ปิดลงเบา ๆ พร้อมเสียงกลอนที่ถูกหมุน เสียงฝีเท้าของอินหยุดชะงักอยู่หน้าประตู ก่อนจะหันกลับมา“จะให้ผมหาน้ำให้ดื—”เขาพูดได้แค่นั้นก่อนที่ร่างกำยำจะถูกคว้าหมับเข้ามาในอ้อมกอดแน่นหนา กลิ่นน้ำอบอ่อนๆจากเสื้อลินินของคุณเปรมยังไม่ทันจาง ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประกบลงมาทาบปิดคำพูดของเขาแรงแต่ไม่รุนแรง เร่าร้อนแต่มั่นคง และเต็มไปด้วยความคิดถึงที่อัดแน่นจนล้นขอบใจอินนิ่งไปชั่วครู่ สมองขาวโพลน ก่อนที่มือจะเลื่อนขึ้นจับแผ่นอกแข็งแรง แล้วหลับตาตอบรับจูบนั้นอย่างเงียบงันแฮ่ก เสียงหอบหายใจดังขึ้นเป็นระยะ ต้นขาเรียวถูกสอดเข้าไปแทรกอยู่ระหว่างขาของคนตัวใหญ่กว่า ร่างทั้งสองบดเบียดเข้าหากันจนหลังพิงผนังไม้ ลิ้นร้อนดูดดึงรสหวานขมปลายจากปากของอีกฝ่าย มือหนากอดรัดเอวคอดไว้หลวมๆ ขนาดที่พยายามจูบตอบ" อดทนมาทั้งวันแล้ว แฮ่ก.. " เสียงพูดสุดเร้าใจดังขึ้นอยู่ข้างหูของอิน " ถอดผ้าออกสิอิน " ปากอิ่มพึมพำพ้นลมร้อนใส่ ก่อนจะใช้มือขยำก้นของอินอย่างปลุกเร้าเป้าที่นูนขึ้นโผล่พ้นผ้าโจงออกมาอย่างเห็นได้ชัดกำลังถูกันไปมาทุกครั้งที่ร่างเบียดเข้าไปใกล้ชิดจนแทบไม่มีช่องให้อากาศลอดผ่าน " เร็วเข้า.. " มือเรี
พระจันทร์ลอยเด่นเหนือเรือนพัก เสียงกรอบแกรบของไม้เก่าที่ขยับตามลมเบาๆ แทบจะกลบเสียงหัวใจที่เต้นดังตุบๆ ของคนสองคนไม่ได้เลยอินขยับฟูกเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด… แล้วก็อีกนิด จนได้กลิ่นน้ำอบอ่อนๆ จากเสื้อผ้าคุณเปรมที่พาดไว้มุมฟูก"วันนี้ข้าตรวจบัญชีจนตาแทบบอด" เปรมบ่นเสียงเบา ขณะเอนตัวลงข้างอิน แขนข้างหนึ่งยันศีรษะ ส่วนอีกข้างปล่อยวางสบายๆ"ผมก็ขายของจนปากแห้ง คิดว่าจะไม่ได้ขายอะไรเลยด้วยซ้ำ… แต่แม่บุหลันมาช่วยไว้ทันครับ""นางมักใจดีเช่นนั้น…""แล้วคุณเปรมล่ะครับ วันนี้นอกจากจ้องตัวเลข ยังคิดถึงผมบ้างไหม?" อินแกล้งถามเสียงเบา ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับใต้แสงตะเกียงเปรมเลิกคิ้วมอง ก่อนเอื้อมมือมาดีดหน้าผากอีกคนเบาๆ "ข้าคิดถึงเจ้าทุกคราวที่หยุดหายใจ… แบบนี้พอหรือยัง?"อินหัวเราะคิก แต่ใบหน้ากลับแดงก่ำ "จะหวานไปไหนครับท่าน!"เปรมหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะขยับมือไปแตะแก้มอินแผ่วเบา นิ้วหัวแม่มือลูบวนเบาๆ ราวกับสำรวจทุกอณู"คราวหน้า อย่าเอาเงินทั้งหมดมาให้ข้าอีก เข้าใจหรือไม่""แต่ผมอยากให้คุณ…""เจ้าจะไถ่ตัวเองไม่ใช่หรือ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถูกจองจำตลอดชีวิตดอกหนา""แล้วถ้า… ผมยินดีจะเป็นทาสคุณตลอดช
แสงแดดอ่อนยามเช้าโรยตัวลงบนระเบียงเรือน เสียงไก่ขันเบา ๆ เคล้าเสียงนกกระจิบที่บินวนอยู่ตามชายคา เรือนเปรมในยามเช้าช่างสงบงามราวภาพวาด แต่บรรยากาศบนเรือนกลับไม่เงียบเหงาเหมือนวันก่อน ๆ เพราะชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งจิบชาร้อน พลางสนทนากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย"เจ้าจะกลับไปอยู่เรือนท้ายอย่างเดิมจริง ๆ หรือ อิน?" คุณเปรมวางถ้วยชาลงบนถาดไม้ไผ่ เคลื่อนตัวนั่งหลังตรง สีหน้าไม่เห็นด้วยนิด ๆ "ข้าไม่เข้าใจ…เหตุใดเจ้าจึงต้องทำเยี่ยงนั้น ทั้งที่บัดนี้เจ้าอยู่ตรงนี้ก็สุขสบายดี"อินนั่งก้มหน้า มือเกาะแก้วชาราวกับมันเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายของชีวิต“ก็เพราะว่าข้ามันเป็นทาสน่ะสิครับ” เสียงเขาเบาจนแทบเป็นกระซิบ “มันก็ไม่ยุติธรรมนักที่ผมได้อยู่เรือนหน้า กินดีอยู่ดี ขณะที่คนอื่นลำบากกันอยู่นั่น”คุณเปรมถอนใจยาว พยายามเก็บอารมณ์ไม่ให้ดูหงุดหงิด เขาไม่อยากบังคับอิน แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้คนตรงหน้าเลือกทางที่ทำร้ายตัวเองโดยไม่จำเป็น" เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าข้ารักเจ้าน่ะอิน " เปรมกุมขมับปลายตามองคนตรงหน้า" รู้ครับ..ผมเองก็รักคุณเปรม " เขาลอบกลืนน้ำลายลงคอ นี่มันไม่ใช่ความรู้สึกผิดที่ใช้ชีวิตเกินฐานะ แต่ถ้า