Home / วาย / บัญชารักคุณหลวง / จับปลาหรือจะสู้จับทุ่ม

Share

จับปลาหรือจะสู้จับทุ่ม

Author: jalix-ren
last update Last Updated: 2025-05-17 22:32:01

เช้าแดดอ่อนของฤดูร้อนในรัชกาลที่ ๓ แสงทองส่องลอดระแนงไม้ของเรือนยกใต้ถุนสูง กลิ่นหอมของใบตองอุ่นจากข้าวเหนียวหมูที่ห่อมาพร้อมไอร้อนบางเบา คละเคล้ากับกลิ่นไม้สักเก่าของตัวเรือนที่อาบแสงอาทิตย์ จนเกิดเป็นกลิ่นเฉพาะของเช้าในชนบทที่เงียบสงบ เสียงนกกระจอกส่งเสียงเจื้อยแจ้ว สลับกับเสียงน้ำคลองไหลเอื่อยผ่านหลังเรือน

บนชานไม้หลังเรือน ลุงเพิ่มเพิ่งเก็บเสื่อพับเป็นมุมเรียบร้อย ก่อนจะยื่นห่อข้าวเหนียวให้หนุ่มน้อยหน้าหวานผู้กำลังเก็บล้างเครื่องครัวที่ใช้เมื่อเช้า อินยกมือไหว้รับข้าวมาอย่างเรียบร้อย แล้วรีบเดินไปนั่งกินเงียบๆ ที่ขอบชานเรือนหลังโดนลุงเพิ่มหยอกเรื่องเมื่อครู่ที่ทำเอาใบหูแดงแจ๋ไปทั้งสองข้าง

“ลุงไปแกล้งเด็กมันทำไมเล่า” เปรมแกล้งเอ็ดคนสูงวัยอย่างเอ็นดู พร้อมหัวเราะเบาๆ

"ข้าแค่พูดว่าเมื่อคืนหนักกันเลยสิท่า แล้วดูมันสิเขินจนตัวแดงทั้งตัวแล้วกระมัง ฮ่าๆ” ลุงเพิ่มหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะเดินไปตบไหล่อินเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่

“ดูแลนายเองให้ดีนะ ข้าคงไม่ได้กลับมาเรือนนี้อีกนาน มีเรื่องต้องไปตามหาข่าวสักหน่อย”

อินพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็รู้สึกตกใจเล็กๆ เลยเอ่ยถามขึ้น“แล้วลุงจะไปนานเลยหรือครับ?”

“ไม่รู้แน่แท้ แต่คงไม่น้อยกว่าสองเพ็ง เอ็งไม่ต้องห่วง ข้าเคยบอกแล้วว่าไว้ใจเอ็งได้” ลุงเพิ่มหันมายิ้มให้เปรมที่ยืนมองอยู่ ก่อนจะเก็บของใส่ย่ามเตรียมออกเดินทาง ทิ้งให้เรือนไม้หลังนี้เหลือเพียงสองคน

ในช่วงเวลาหลังจากนั้น เปรมเริ่มรู้สึกตัวว่าหลังจากสลบไปถึงห้าวัน อินต้องทำอะไรหลายอย่างแทนตน โดยเฉพาะการดูแลเรื่องทั่วๆ ไป ทั้งหาข้าวหาน้ำ จัดของเตรียมยา และแม้แต่น้ำขันหนึ่งสำหรับล้างหน้า อินก็ยกมาให้ถึงที่ทุกเช้า เปรมที่ไม่ใช่คนติดหมากพลูจึงยังคงมีฟันขาวสะอาดสะอ้านเหมือนกับอิน ที่ตอนนี้เริ่มกลายเป็นภาพคุ้นตาที่เปรมชอบมอง

" สมัยเจ้าเขาไม่นิยมเคี้ยวหมากรึ" เปรมเอ่ยถามขึ้น

" ก็นิยมนะครับ..สำหรับคนที่อายุ80โน้น " อินหัวเราะออกมา พอเห็นใบหน้าที่เหวอของเปรม

ในเช้าอีกวันหนึ่ง แสงแดดยังคงอบอุ่นเหมือนเดิม ลมพัดใบตาลไหวเบา เปรมที่นั่งอยู่ริมตลิ่งใต้เงาไม้ เอนกายลงมองดูอินกำลังเตรียมเครื่องมือจับปลาแบบโบราณ ทั้งสวิงไม้ไผ่ สุ่มลวดและถุงตาข่ายแบบพื้นบ้าน อินถกโจงกระเบนขึ้นเหนือเข่าแล้วลงไปยืนในน้ำตื้นๆ ท่ามกลางเสียงแผ่วเบาของน้ำไหล กระชังไม้ผูกไว้กับหลักริมฝั่ง พร้อมถังไม้เล็กไว้ใส่ปลาสด

เปรมที่เดิมแค่นั่งดูเฉยๆ กลับลุกขึ้นถกโจงกระเบนตัวเองมั่นๆ จนเผยให้เห็นเรียวขาที่ขาวสะอาดผิดกับผู้ชายในละแวกเดียวกัน ก่อนจะเดินดุ่มๆ ลงไปในน้ำอย่างคนไม่คิดอะไร อินหันขวับมาแล้วรีบร้องห้ามทันที

“คุณเปรม อย่าครับ! ไม่ควรลงมาแบบนี้ มันเป็นงานของบ่าว…”

เปรมยิ้มขำ ไม่ได้หยุดเดิน “แล้วจะให้ข้านั่งดูเจ้าทำอยู่คนเดียวหรือ มันก็ใจร้ายเกินไปละสิ”

เขาก้มตัวใช้สวิงเก็บปลาด้วยท่าทางคล่องแคล่ว สักพักก็จับปลาตัวใหญ่ได้หนึ่งตัวด้วยท่าทางสง่างาม อินที่เห็นดังนั้นถึงกับอ้าปากค้าง ก่อนจะหลุดปากชม “คุณเปรมเก่งจังครับ! จับได้เร็วขนาดนี้…”

เปรมหันมายิ้มกวนๆ “เจ้ารู้ไหมว่าข้าทำยังไงถึงได้มันน่ะ?”

“ยังไงหรือครับ?” อินเผลอก้าวเข้ามาใกล้เพื่อดูอุปกรณ์ในมือเปรมอย่างตั้งใจ

แต่ยังไม่ทันได้ตั้งใจมอง เปรมก็ดึงอินเข้ามาใกล้แล้วโน้มตัวลงหอมแก้มฟอดใหญ่!

“คุณเปรม!” อินร้องลั่น หน้าแดงซ่านทั้งใบหู ปากก็พึมพำเสียงหลง “ท…ทำอะไรครับ!”

เปรมยืนหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงกวนประสาทสุดใจ “หอมแค่ทีเดียวเองนะ จะตกใจอะไรนักหนา…”

“คุณเปรมเริ่มก่อนเองนะครับ!!” อินตะโกนขึ้นเสียงดัง ก่อนจะเดินดุ่มๆ เข้ามาอุ้มเปรมขึ้นพาดบ่าโดยไม่ให้ตั้งตัว แล้วเหวี่ยงลงน้ำเสียงดังตูม

“โอ้ย! อิน!!” เปรมตะโกนลั่น ขนตาเปียกน้ำ ฝ้ายเสื้อแนบไปกับผิวกายเผยให้เห็นสัดส่วนเพียว หุ่นลีน อย่างน่าเอ็นดู

“สมแล้วครับ ทีหลังอย่าทำอะไรโดยไม่บอกก่อน!” อินยิ้มสะใจ

เปรมไม่ยอมแพ้ ลุกขึ้นจากน้ำแล้ววิ่งไล่อินกลับ สาดน้ำใส่กันเสียงดังจนนกกระพือปีกบินหนี บรรยากาศบนผืนน้ำกลายเป็นภาพของความอบอุ่นคละเคล้าเสียงหัวเราะ ทั้งสองเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน ราวกับความรักของเขาได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งในยามเช้าที่เงียบสงบ

ท่ามกลางลำคลองสายเล็กที่คดเคี้ยว เสียงหัวเราะดังแว่วก้องอยู่เหนือผืนน้ำสะท้อนแดดอ่อน ราวกับเป็นบทบันทึกแห่งความรักในยุคที่เรียบง่ายแต่แสนหวาน…

เสียงน้ำกระเซ็นดังสลับกับเสียงหัวเราะคิกคักลอยมาตามลม คลื่นน้ำเล็กๆ กระเพื่อมไปตามแรงสาดจากสองร่างที่ไล่ตามกันอยู่กลางลำคลองสายเล็ก น้ำสีเขียวใสสะอาดแซมเงาไม้ไผ่ที่โน้มใบลงมาแนบผิวน้ำ ลมพัดไหวเบาๆ คล้ายอยากร่วมเล่นสนุกกับเขาทั้งสองคน

“อิน! หยุดก่อน ข้าเพิ่งล้างตาไป เจ้าเอาน้ำสาดหน้าข้าอีกแล้ว!”

เปรมร้องขึ้นพร้อมหัวเราะ ขยี้ตาเบาๆ แต่น้ำเสียงไม่ได้จริงจังเลยสักนิด

“ก็ใครใช้ให้หอมแก้มผมก่อนละ! ตอบมาก่อนค่อยหยุด!”

อินตะโกนกลับ ปากก็ติดยิ้มไม่หยุด เขาไล่ตะลุยฝ่าน้ำตรงเข้ามาใกล้เปรม ที่ตอนนี้กำลังถอยหลังหัวเราะปนวิ่งหนี

“อ้าว! ก็เห็นแก้มมันล่อใจ เลยอดใจไม่ไหวนี่นา…”

เปรมตอบกวนๆ มือก็ตักน้ำใส่สองมือแล้วสาดกลับใส่อินจนเปียกมะล่อกมะแล่ก

อินหลบไม่พ้น น้ำสาดเข้าหน้าจังๆ จนต้องหลับตาปี๋

“คุณเปรม!! โดนแน่!”

เขาร้องลั่น ก่อนจะพุ่งเข้าใส่เปรมที่หัวเราะเสียงใส ยืนน้ำลึกแค่หัวเข่า

เปรมเห็นท่าไม่ดี รีบหันหลังวิ่ง แต่ไม่ทันหนี อินก็คว้าเอวไว้ได้

“ว้าย! ปล่อยๆ อิน! เดี๋ยวตก!”

“ตกก็ให้ตก จะได้สำนึก!”

ทั้งสองล้มตุ้บลงในน้ำพร้อมกัน หัวเราะจนเหนื่อย เปรมพยายามยันตัวขึ้นนั่ง ขณะที่อินนั่งพิงตลิ่ง หายใจหอบเล็กน้อย แต่ก็ยังยิ้มอยู่

“เหนื่อยละสิ? ข้าก็บอกแล้วว่าอย่ามาเล่นกับข้า เจ้าไม่เคยชนะหรอก” อินแกล้งยืดอกโอ้อวด

“ข้าตั้งใจแพ้ จะได้มีข้ออ้างให้เจ้าอุ้มข้าลงน้ำอีกรอบไงเล่า เจ้าไม่รู้เหรอ ว่าข้าอยากให้เจ้าสัมผัส”

เปรมหันไปกระซิบเบาๆ ข้างหู เล่นเอาอินถึงกับชะงัก หน้าขึ้นสีแดงจัดทันที

“พูดอะไรครับคุณเปรม…”

เสียงอินเบาลงเป็นพิเศษ หันหน้าหนีเล็กน้อยแต่ยิ้มยังอยู่เต็มแก้ม

“ก็พูดเรื่องจริง ข้าชอบเวลาที่เจ้าหน้าแดงแบบนี้ มันน่ารัก”

เปรมว่าพลางใช้นิ้วเกลี่ยปลายจมูกอินเบาๆ อินเงยหน้ามอง เปรมก็ยิ้มให้ตรงๆ แบบที่ไม่ต้องซ่อนอะไร

“คุณเปรม…”

อินมองตาอีกฝ่ายนิ่ง รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นผิดจังหวะ ก่อนจะรีบดึงสติกลับมา แล้วตักน้ำขึ้นมาอีกที สาดใส่เปรมทันที!

“โอ๊ย! อิน!”

เปรมร้องเสียงหลงก่อนจะสาดกลับ ทั้งคู่กลับมาไล่สาดน้ำกันอีกครั้ง กลิ่นไม้สดกับกลิ่นดินหลังฝนปลิวแตะจมูก

“จะหนีไปไหนเล่า เจ้าเด็กดื้อ!” เปรมหัวเราะ

“คุณเปรมต่างหากที่แกล้งผม!”

“ข้าเปล่า ข้าแค่…หิวแล้ว อยากให้เจ้าพาขึ้นเรือนไปกินข้าวด้วยกัน จะได้อ้อนตอนกินง่ายๆ”

“หิวหรือขี้อ้อนกันแน่ครับ?”

“ทั้งสองอย่าง!” เปรมตอบไม่ต้องคิด แล้วยิ้มแบบเด็กๆ ที่ขี้เล่นเต็มที่ อินส่ายหน้าระอาแต่ในแววตากลับอบอุ่นยิ่งกว่าแสงแดดยามเช้า

เสียงน้ำไหลไม่เคยหยุดเช่นเดียวกับเสียงหัวเราะที่ยังคงก้องอยู่ริมน้ำใต้ร่มไม้ พิรุณที่เคยตกเมื่อต้นเดือนพาแมลงปอออกมาโบยบินเหนือผืนน้ำ สะท้อนแสงแดดระยิบระยับราวประกายหัวใจที่กำลังเริ่มเต้นเป็นจังหวะเดียวกันของทั้งสองคน

กลิ่นควันไฟลอยอ้อยอิ่งปนกลิ่นปลาย่างที่กำลังส่งเสียงแซ่ก ๆ อยู่บนตะแกรงไม้ไผ่ เสียงไม้แห้งที่ถูกเผาไหม้ดังเป๊าะแป๊ะเป็นจังหวะนุ่มหู ส่องแสงส้มอมทองที่ไล่เงาร่างสองร่างให้ทาบยาวลงบนพื้นดินฉ่ำเย็นหลังฝน

ใต้ชายคาเรือนไม้เก่า ๆ ที่ตั้งอยู่ริมคลอง แสงจากตะเกียงน้ำมันดิบไหววูบเบา ๆ คล้ายจะเต้นระบำไปตามเสียงหัวใจที่เริ่มเคาะจังหวะอย่างเงียบงัน

อินนั่งชันเข่าอยู่ข้างหม้อไม้ไผ่ที่ต้มข้าวสวยหุงใหม่ร้อน ๆ กลิ่นข้าวหอมลอยขึ้นคลุ้ง กลิ่นเดียวกับที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เล็กจนโต เขาค่อย ๆ แกะเนื้อปลาที่เพิ่งสุกใหม่ออกจากก้างอย่างเบามือ เนื้อสีขาวนวลชุ่มฉ่ำน่ากินถูกวางลงบนจานเคลือบลายดอกไม้ จากนั้นจึงยื่นไปหาคนที่นั่งคลุมตัวด้วยผ้าห่มอยู่ไม่ห่าง

เปรมรับจานจากมืออินเงียบ ๆ แววตาอ่อนลงเมื่อเห็นว่าคนเด็กกว่าบรรจงจัดวางทุกอย่างอย่างเรียบร้อย ข้าวที่ตักไม่มากเกิน ไม่น้อยไป เนื้อปลาที่ไร้ก้าง และน้ำพริกที่ตำเองด้วยครกหินเล็ก ๆ ริมคลอง

“เจ้าทำแบบนี้บ่อยเลยหรือ?” เปรมถามเสียงนุ่ม พลางรับจานมาประคองไว้บนตัก

อินยิ้มเล็กน้อย “ทำบ่อยครับ แต่ไม่ค่อยมีใครได้กิน…นอกจากผมเอง”

เปรมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้ หวังจะหอมแก้มอินเป็นรางวัลเล็ก ๆ แต่ทันทีที่ใบหน้าเขาใกล้จนได้กลิ่นหอมจาง ๆ จากเนื้อผิวที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ อินกลับยกมือดันหน้าผากเปรมไว้เบา ๆ

“แหนะ... อย่ามาอ้อนแบบนี้สิครับ คุณเปรม”

น้ำเสียงไม่ได้จริงจัง แต่อ่อนโยนแฝงขี้เล่น

“ก็ข้า… อยากหอมตอบแทนเจ้าแค่นั้นเอง” เปรมตอบเสียงเบา พลางเบะปากมุ่ย คล้ายเด็กถูกขัดใจ มือข้างหนึ่งคว้าข้าวขึ้นมากินโดยไม่ใช้ช้อน

อินมองภาพนั้นแล้วหลุดยิ้มออกมา บางอย่างในหัวใจกระตุกเบา ๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้แล้วก้มลง…จุ๊บเบา ๆ ที่มุมปากเปรม

เสียงหัวใจของเปรมดังตุบ ๆ จนเขาเองยังได้ยิน เขาผงะไปเล็กน้อย หน้าร้อนวาบ ริมฝีปากที่ถูกแตะยังรู้สึกถึงความอุ่นอยู่ชัดเจน

“เจ้าทำ…อะไร…” เปรมพูดตะกุกตะกัก ดวงตาเบิกนิด ๆ พร้อมความเขินที่ทะลักออกมาทั้งแววตาและใบหน้า

อินขำเบา ๆ ยิ้มบาง “ผมนึกว่ามีข้าวติดครับ เลยเอาออกให้”

เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอียงคอ ยกมือแตะมุมปากตัวเองอย่างครุ่นคิด “แต่ที่ไหนได้…มันเป็นไฝเสน่ห์ของคุณเปรมซะงั้น”

เปรมที่ไม่ทันตั้งตัวกับจังหวะรุกกลับของอินถึงกับหน้าร้อนผ่าว ก้มหน้าก้มตากินข้าวแทบไม่มองหน้าอีกฝ่าย อินหัวเราะนิดๆ อย่างผู้ชนะ ก่อนจะยื่นกระบอกน้ำไผ่ให้เปรมดื่ม

“กินช้าๆ ก็ได้ครับ ไม่ต้องเขิน”

“ข้าไม่ได้เขิน…”

เปรมพูดอู้อี้ ปากยังเคี้ยวข้าวไม่หยุด

“อ้อเหรอครับ…” อินลากเสียงยาวอย่างล้อเลียน ก่อนจะหันไปหยิบปลาที่เหลือมาแกะก้างต่อ แสงไฟอุ่นๆ ลูบไล้ปลายจมูกและพวงแก้มของอิน ทำให้เปรมที่แอบมองอยู่อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม

เสียงจิ้งหรีดเริ่มขับกล่อมคืนค่ำ ขณะที่ลมเย็นพัดแทรกผ่านรอยฝาไม้ ใบไผ่ขยับไหวเบา ๆ แสงจากกองไฟสะท้อนแววตาของทั้งคู่ที่ลอบสบกันเป็นครั้งคราวโดยไม่พูดอะไร แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ต้องแปลความ

ในค่ำคืนกลางป่าริมคลองเช่นนี้ ไม่มีเสียงใดหวานเท่าเสียงหัวใจที่เต้นตรงกัน และไม่มีรสใดอร่อยเท่า “ข้าวปลา” ที่มีคนพิเศษเป็นผู้ยื่นให้ด้วยมือและหัวใจ

กลิ่นควันไฟยังคงคลุ้งอยู่ แต่ตอนนี้มันถูกกลบด้วยกลิ่นของบางสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้… ความเงียบงันที่แปลกไป ความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในแววตาของคนที่อินไว้ใจที่สุด...

หลายอาทิตย์ที่ผ่านไป...

เสียงหัวเราะเริ่มคุ้นหูมากขึ้น ความเงียบที่เคยกดดันกลับกลายเป็นความสบายใจที่นุ่มนวล บาดแผลบนแผ่นหลังของเปรมเริ่มจางลงตามกาลเวลา เช่นเดียวกับกำแพงในใจของเขา...ที่ค่อย ๆ ร่วงหล่นลงทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มอบอุ่นของคุณอินในยามเช้า

ทั้งคู่ใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่ายกลางป่าเงียบสงบ ตื่นแต่เช้า ออกหาปลา เด็ดผักริมคลอง หุงข้าวในกระบอกไม้ไผ่ ก่อไฟย่างปลาด้วยกัน แล้วก็หัวเราะกับเรื่องไร้สาระในตอนเย็น ยิ่งนานวัน อินก็ยิ่งลืมว่าตัวเองเคยระแวงโลกใบนี้ขนาดไหน

แต่ทุกคืน...

เมื่อแสงตะเกียงดับลง และเสียงหายใจของเขาแผ่วเบาราวกับนิทรา คนที่เขาคิดว่าอยู่ข้างเขาเสมอ กลับค่อย ๆ ลุกออกไปอย่างแผ่วเบา

เสียงฝีเท้าเบา ๆ เหยียบพื้นไม้ดังเอี๊ยดอ๊าดในจังหวะที่ระมัดระวัง ทำให้คนที่นอนหันหลังอยู่ต้องแง้มตาขึ้นเงียบ ๆ

อินไม่เคยหลับจริง ๆ

เขาลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบเหมือนแมวป่า ขยับฝ่าเท้าไปจนถึงช่องไม้ที่แง้มไว้บาง ๆ ที่พอมองลอดออกไปก็เห็นเงาสองเงานั่งอยู่ใกล้กองไฟที่ใกล้มอด ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังร่างของคุณเปรมที่กำลังนั่งคุยกับชายสูงวัยผิวคล้ำร่างใหญ่ ของลุงเพิ่มลุงเพิ่ม ที่แอบมาพบกับคุณเปรมตามลำพัง

เสียงสนทนาฟังไม่ชัดนัก แต่เขาพอจับได้...

“...ต้องรีบกลับก่อนพวกนั้นสงสัย”

“...อินไม่ควรรู้เรื่องนี้ ยิ่งนานยิ่งอันตราย”

ประโยคนั้นทำให้อินเผลอกำหมัดแน่น ความรู้สึกเย็นวาบแล่นผ่านแผ่นหลังทั้งที่บาดแผลเริ่มหายดีแล้ว

เขารู้...

คุณเปรมวางแผนจะกลับไปเรือนใหญ่ตามลำพัง โดยไม่พาเขาไป และไม่พูดอะไรเลยกับเขาสักคำ

ทำไม...?

เพราะไม่ไว้ใจเขาหรือ?

หรือเพราะเขาเป็นแค่คนแปลกหน้า ที่ไม่ใช่อินคนเดิม?

ความเงียบยามค่ำคืนดูเหมือนจะหนักหน่วงขึ้นกว่าเดิม ลมกลางป่าพัดเย็นแต่ไม่สดชื่นเหมือนทุกวัน เสียงไม้แห้งที่ลั่นเบา ๆ กลับดังก้องในหัว อินขยับตัวถอยกลับเข้ามาในห้อง นอนลงที่เดิม ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างทั้งที่ยังไม่หลับตา

แต่ในใจของเขา...เต็มไปด้วยคำถาม

ทำไมถึงไม่บอกเขา...?

หรือเขาควรจะหาทางกลับโลกเดิม แทนที่จะมาเสวยความสุขในนี้กัน

ยามค่ำคืนในป่าลึกเงียบสงัด มีเพียงเสียงแมลงกลางคืนร้องแว่วในระยะไกล แสงจันทร์ลอดผ่านช่องหน้าต่างไม้ไผ่ ทาบทอแสงเงินบางเบาลงบนเรือนผิวของเด็กหนุ่มที่นอนตะแคงหันหลังให้ประตู

อินลืมตาค้างอยู่ในความมืด

หัวใจของเขายังคงเต้นไม่เป็นจังหวะกับคำพูดที่แอบได้ยินจากหน้าห้องก่อนหน้านี้ คำพูดที่ทำให้ทุกอย่างเริ่มพร่าเลือน ไม่แน่ใจว่าเขายืนอยู่ตรงไหนในชีวิตของอีกฝ่ายกันแน่…

แต่ไม่นานหลังจากนั้น

เสียงเปิดประตูเบา ๆ ก็ดังขึ้น

กลิ่นเฉพาะตัวของคุณเปรมแตะจมูกเขาทันที กลิ่นอ่อน ๆ จากสมุนไพรไทยเจือกลิ่นควันไฟ กลิ่นที่เขาจำได้แม่นยำยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด สัมผัสจากฟูกเบา ๆ จมหยุ่นลง เมื่ออีกฝ่ายล้มตัวลงนอนด้านหลังเขา

จากนั้น…

อ้อมแขนที่อบอุ่นก็โอบรัดเขาไว้แน่นจากด้านหลัง ราวกับไม่อยากให้หลุดหายไปไหน อินไม่ขยับ ไม่ตอบสนองใด ๆ ทั้งที่หัวใจเต้นรัวเหมือนกลองศึก แต่ก็ยังคงนิ่ง ไม่พูด ไม่หันกลับไปมอง เพราะเขาอยากฟังต่อ...

แล้วคำพูดนั้นก็ตามมา

เสียงกระซิบเบาและสั่นไหว ราวกับกลัวแม้แต่ลมจะได้ยิน

"เจ้าเป็นเหมือนลมหายใจของข้า… ข้าจะไม่ยอมเสียมันไปอีก ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร"

เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของคนที่แกล้งพูดเล่น ไม่ใช่คำพูดของคนที่ไร้หัวใจ มันเต็มไปด้วยความรู้สึกแน่นขนัด... ความกลัว การโหยหา และความรักที่เก็บซ่อนไว้ในเงามืดมานานแสนนาน

อินหลับตาลงช้า ๆ ก่อนจะตัดสินใจ…

เขาขยับตัวกะทันหัน

พลิกกลับมาแล้วคว้าอ้อมแขนนั้นไว้ ยกร่างอีกคนที่เบากว่าขึ้นข้ามตัวมา แล้วกอดแน่นราวกับจะไม่ให้หลุดไปไหน มือหนึ่งสอดใต้คออีกฝ่าย อีกมือโอบแผ่นหลังอย่างถนุถนอม ราวกับกอดสมบัติชิ้นสุดท้ายของชีวิตไว้แนบอก

คุณเปรมสะดุ้งเล็กน้อย ใบหน้าแดงซ่านเพราะคิดว่าอินน่าจะละเมอ

แต่เขาก็ยอมให้อีกฝ่ายกอด เขาซุกหน้าลงบนไหล่ของอินอย่างอ่อนแรง ราวกับวางหัวใจทั้งหมดไว้ตรงนั้น

คืนที่เคยหนาว กลับอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ ลมหายใจของทั้งสองประสานกันเบา ๆ ใต้แสงจันทร์ที่สาดผ่านหน้าต่าง ผ้าห่มผืนบางที่คลุมอยู่เหนือร่างของทั้งคู่ ดูเหมือนจะอุ้มเอาความลับ ความรัก และคำสัญญาที่ไม่เคยพูดออกมาไว้ใต้ผืนเดียวกัน

ไม่นาน… เสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอก็ดังประสาน ทั้งอินและเปรมหลับไปในอ้อมกอดของกันและกัน โดยที่ต่างก็ไม่รู้เลยว่า…ความรู้สึกที่แท้จริงในใจอีกฝ่าย

ได้ถูกเผยมาตั้งแต่เมื่อไรกันแน่

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บัญชารักคุณหลวง   ข้ามาหาแล้วหนา

    หลังจากพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลครบกำหนดสองวันตามคุณหมอสั่ง ธีรัชก็ได้กลับมาที่บ้านของตนเองอีกครั้ง บ้านที่เขาควรจะเคยคุ้นแต่กลับรู้สึกแปลกตา เหมือนกลายเป็นแค่ฉากในละครที่ไม่ได้ฉายให้ใครดู เขาเดินช้า ๆ ผ่านห้องนั่งเล่น มองเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัวล้ำสมัย ตู้เย็น ทีวี และโซฟานุ่ม ๆ ที่เคยนั่งดูซีรีส์กับตัวเองในทุกคืนวันศุกร์จนลากไปเช้าของอีกวัน... ชีวิตที่สะดวกสบายและบ้านหลังใหญ่โตที่เขาสร้างมันขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ด้วยความภาคภูมิใจที่แต่ก่อนเขาต้องรู้สึกดีใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับมาเหยียบที่แห่งนี้แต่ครั้งนี้ทำไมมันกลับไม่อุ่นเหมือนอ้อมแขนของใครบางคนที่เขาคิดถึงจับใจ หรือเพียงเพราะโลกใบนี้ ไม่มีคุณเปรมอยู่ด้วย...ธีรัชนั่งลงกับพื้นเบา ๆ ตรงระเบียงหลังบ้าน ลมฤดูหนาวพัดแผ่วผ่านใบหญ้า เสียงนกกระจอกยังคงร้องเจื้อยแจ้วไม่รู้วันเวลาผ่านไปแค่ไหนสำหรับพวกมัน ต่างจากหัวใจของธีรัชที่เหมือนหยุดเดินตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาจาก “บ้าน” หลังหนึ่งในยุคต้นรัตนโกสินทร์กลับมาเขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่ก็ไม่ได้กลิ่นดอกมะลิที่เคยหอมกรุ่นในยามเช้า กลิ่นหอมน้ำอบไทยที่มักจะติดต

  • บัญชารักคุณหลวง   หวงกลับคืน

    ทินกรรุ่งอรุณ แสงแดดอุ่น ๆ สาดผ่านม่านผืนบาง ละไล้ลงบนใบหน้าของอินที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เปรมยืนอยู่มุมห้องอย่างเงียบเชียบ จนเมื่อหมอที่เขาเรียกมาตรวจอาการเดินออกมาจากห้อง อินหันไปมองด้วยสายตาเป็นกังวล“เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านแพทย์?” เสียงเปรมเต็มไปด้วยความห่วงใยแพทย์หมอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยคำวินิจฉัย “จากที่ฉันตรวจดูทั้งหมดแล้ว คิดว่านายคนนี้น่าจะแพ้พิษบางอย่างที่สะสมในร่างกาย และเพิ่งจะแสดงอาการออกมา โชคดีที่ตรวจพบเร็ว ฉันจัดยาไว้ให้แล้ว ให้กินเช้าเย็นนะหลวงเปรม”เปรมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเครียด“ที่สำคัญ ช่วงนี้อย่าให้เขาใช้ร่างกายหนัก ๆ ยิ่งถ้ามีไข้ พิษจะยิ่งกระจายเร็วขึ้น ต้องระวังให้ดี”“ขอรับ… ขอบพระคุณมากขอรับท่านแพทย์ขอบคุณจริง ๆ”คุณเปรมส่งหลวงแพทย์หมอจนลับสายตา ก่อนจะรีบกลับเข้าห้อง เขาเปิดประตูเบา ๆ เหมือนกลัวเสียงจะไปรบกวนคนป่วย บนเตียง อินนอนเอนพิงหมอนอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมใสสบกับเขาอย่างแนบแน่น มีแววซุกซนผสมความอ่อนล้าอยู่ในนั้น“ไม่ต้องทำหน้ากังวลขนาดนั้นก็ได้นะครับ” อินพูดเบา ๆ น้ำเสียงพยายามกลั้วหัวเราะ “ผมสบายดีม๊ากก ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน

  • บัญชารักคุณหลวง   ลางสังหรณ์

    แสงแดดยามสายทอดผ่านม่านโปร่งบางภายในโถงของเรือนหลังใหญ่ เสียงจิบน้ำชาดังแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงบที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของใบชาและมะลิอบแห้งเปรมนั่งเอนหลังบนเบาะรองตัวยาว ร่างกายที่เคยแบกรับภาระหนักอึ้งมาหลายวันคล้ายได้หย่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน เขาสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ผ้าคลุมบางสีอ่อนพาดบ่า ใบหน้าเริ่มมีรอยอ่อนล้าจาง ๆ แต่แววตายังคงหนักแน่นและแน่วแน่เช่นเดิมอินนั่งอยู่พื้นข้าง ๆ มือหนึ่งหยิบหนังสือ อีกมือก็ไม่วายวางไว้บนขาของคนรัก พยักหน้าเบา ๆ รับฟังอย่างตั้งใจ แม้บทสนทนาที่เอ่ยออกมาจะชวนให้ใจสั่นไม่น้อย“อีกไม่กี่วัน…” เปรมเอ่ยเสียงเรียบ ขณะทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังบ้าน“หลวงวิษณุจะถูกนำตัวไปประหาร พร้อมกับ พักพวกอีกสามคน”อินชะงักมือที่กำลังเปิดหน้ากระดาษ เสียงคำว่า “ประหาร” กระแทกเข้าหูราวกับสายลมหนาวเฉียบ เขาเงยหน้ามองอีกคน ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องของความแค้นส่วนตัวธรรมดา หากแต่เป็น ความยุติธรรมที่คนบาปสมควรได้รับเปรมวางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันมาสบตาอินตรง ๆ“ข้ารู้ว่าเจ้าหวั่นใจ แต่การลอบสังหาร เจตนาโค่นล้มอำนาจ

  • บัญชารักคุณหลวง   น้ำเดือดที่ดับไฟกองเล็ก

    แสงแดดยามสายทอดผ่านหมู่เมฆลงมากระทบผิวน้ำในท่าเรือ เกลียวคลื่นเบาๆ ซัดกระทบข้างลำเรือสำเภาอย่างสม่ำเสมอ เสียงเชือกเสียดสีกับเสากระโดง สลับกับเสียงกลาสีเรือร้องสั่งงานก้องไปทั่วท่าเรือ เปรมยืนอยู่ที่หัวท่า ชุดเครื่องแบบขุนนางขอบทองดูขรึมขลัง เขากำลังไล่ตรวจตราสินค้าที่ถูกขนลงจากเรือ สำรวจบัญชีรายชื่อสินค้าจากแดนไกลพลางใช้แววตาเคร่งขรึมพินิจทุกรายละเอียดทว่ากระแสลมเย็นที่พัดมากลับนำพาบางสิ่งมาให้เขา กลาสีเรือชาววิลาทคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา มอบจดหมายเก่าๆ ซองขาดปลายให้โดยไม่เอ่ยคำใด เปรมรับไว้ด้วยความสงสัย ครั้นเปิดจดหมายอ่าน ความสงบของเช้าวันนั้นก็ถูกฉีกทึ้งข้อความที่เขาได้อ่านนั้นสั้น เรียบง่าย แต่ราวกับเสียงระเบิดในอก> “รีบกลับมาดูผลงานข้าสิขอรับคุณพี่เปรม ก่อนที่มันจะตายน่ะ”เส้นเลือดที่ขมับเขาปูดพองขึ้น มือข้างหนึ่งกำกระดาษจนยับยู่ยี่ ขณะที่อีกมือแทบสั่นเทา ใจของเปรมกระโจนไปข้างหน้าเร็วกว่าความคิด เขารู้ดี ใครเป็นคนทำเรื่องนี้ได้ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าเยาะหยันเขาเช่นนี้ หลวงวิษณุ“รีบส่งกำลังตามจับหลวงวิษณุเดี๋ยวนี้!” เขาสั่งเสียงกร้าวกับทหารที่ติดตามมาด้วย" มันยังอยู่พ

  • บัญชารักคุณหลวง   ภาระที่ต้องแบกรับ

    เสียงฝีเท้าดังสม่ำเสมอบนพื้นไม้สักของตำหนักฝ่ายในเรือน เปรมเดินกลับมายังห้องพักชั้นบนอย่างเหนื่อยล้า แขนเสื้อถูกร่นขึ้นครึ่งหนึ่ง เหงื่อชื้นผุดบนหน้าผากแต่ไม่ทันได้ซับ เจ้าตัวก็ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ไม้ฝังลายอย่างหมดแรงบนโต๊ะข้างเตียงมีจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่เรียบร้อย ลายมือเจ้าหนุ่มคนรักวางซองกระดาษไว้แนบด้วยใบไม้สีเขียวที่แห้งไปบ้างจากการเดินทางไกล เปรมมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแกะเปิดด้วยมือที่ยังเปรอะหมึกจากเอกสารเมื่อบ่ายเขาอ่านมันช้าๆ เงียบๆ ไม่มีใครในที่นี้รู้ว่าอินเขียนอะไรในนั้น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีน้ำตา มีเพียงรอยยิ้มบางที่คลี่ออกบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เก็บงำความรู้สึกจนคนรอบตัวเรียกเขาว่า ‘คุณเปรมจอมบึ้งตึง’เปรมยกใบไม้นั้นขึ้นแนบจมูก สูดกลิ่นจาง ๆ ที่หลงเหลืออยู่พลางหลับตาลงอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเปิดสมุดบันทึกเก่าหนังวัว หย่อนใบมะลิลงบนหน้าหนึ่งที่ยังว่าง แล้วจดบางสิ่งไว้ด้วยลายมือเรียบร้อยเพียงไม่กี่คำ"ยังมีบ้านให้กลับเสมอ"เขามองออกไปยังท้องฟ้ากลางคืนผ่านหน้าต่าง บนฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาว และพระจันทร์ทรงกลดก็สุกสว่างอย่างสงบ เป็นค่ำคืนที่สวยงามเกินกว่าจะเก็บไว้ในควา

  • บัญชารักคุณหลวง   ฝากดูแลแทนข้าที

    หลายต่อหลายวันผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะวันนี้กลับเป็นวันที่ต้องส่งคนรักออกไปทำงานไกลตัวเสียแล้ว รุ่งเช้าตรู่ แสงแดดแรกของวันทอดผ่านหน้าต่างเรือนไทยส่องสะท้อนกับผืนน้ำที่สงบเงียบ เสียงไก่ขันยังไม่ทันจางหาย อินก็ตื่นขึ้นมาอย่างรู้งาน เขาเตรียมน้ำท่าร้อนอุ่นอย่างพอดี กลิ่นมะลิจากเกลืออาบน้ำที่ตั้งใจผสมด้วยมือของตนเองลอยคลุ้งทั่วห้อง อินขัดผิวและเช็ดตัวให้เปรมอย่างอ่อนโยน ทุกจังหวะของนิ้วและฝ่ามือเหมือนตั้งใจจดจำสัมผัสของคนรักไว้ในใจ“คุณเปรม…” อินพูดขึ้นในขณะที่กำลังติดกระดุมเสื้อผ้าให้ “ถ้าเดินทางไปถึงที่โน่นแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาผมนะครับ อย่างน้อยก็...เดือนละสองฉบับก็ยังดี”เปรมยกมือขึ้นลูบศีรษะของอินเบา ๆ “เจ้าจะไม่เขียนตอบกลับข้ารึ?”“ผมกลัวว่าจะเขียนไม่ทันคุณเปรมต่างหาก” อินแสร้งเบะปาก พลางส่งยิ้มละมุน “แค่คิดถึงก็แทบจะเขียนทุกวันอยู่แล้ว”เปรมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกดจูบลงที่หน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย และความเสียดายเมื่อถึงเวลาต้องไปที่ท่าเรือ อินช่วยขนของและจัดแจงทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว เขายกกระเป๋า ผูกเชือกมัดปากถุง เดินขึ้นลงเรือจนเหงื่

  • บัญชารักคุณหลวง   ขอสักทีก่อนไป

    ประตูห้องบานไม้ปิดลงเบา ๆ พร้อมเสียงกลอนที่ถูกหมุน เสียงฝีเท้าของอินหยุดชะงักอยู่หน้าประตู ก่อนจะหันกลับมา“จะให้ผมหาน้ำให้ดื—”เขาพูดได้แค่นั้นก่อนที่ร่างกำยำจะถูกคว้าหมับเข้ามาในอ้อมกอดแน่นหนา กลิ่นน้ำอบอ่อนๆจากเสื้อลินินของคุณเปรมยังไม่ทันจาง ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประกบลงมาทาบปิดคำพูดของเขาแรงแต่ไม่รุนแรง เร่าร้อนแต่มั่นคง และเต็มไปด้วยความคิดถึงที่อัดแน่นจนล้นขอบใจอินนิ่งไปชั่วครู่ สมองขาวโพลน ก่อนที่มือจะเลื่อนขึ้นจับแผ่นอกแข็งแรง แล้วหลับตาตอบรับจูบนั้นอย่างเงียบงันแฮ่ก เสียงหอบหายใจดังขึ้นเป็นระยะ ต้นขาเรียวถูกสอดเข้าไปแทรกอยู่ระหว่างขาของคนตัวใหญ่กว่า ร่างทั้งสองบดเบียดเข้าหากันจนหลังพิงผนังไม้ ลิ้นร้อนดูดดึงรสหวานขมปลายจากปากของอีกฝ่าย มือหนากอดรัดเอวคอดไว้หลวมๆ ขนาดที่พยายามจูบตอบ" อดทนมาทั้งวันแล้ว แฮ่ก.. " เสียงพูดสุดเร้าใจดังขึ้นอยู่ข้างหูของอิน " ถอดผ้าออกสิอิน " ปากอิ่มพึมพำพ้นลมร้อนใส่ ก่อนจะใช้มือขยำก้นของอินอย่างปลุกเร้าเป้าที่นูนขึ้นโผล่พ้นผ้าโจงออกมาอย่างเห็นได้ชัดกำลังถูกันไปมาทุกครั้งที่ร่างเบียดเข้าไปใกล้ชิดจนแทบไม่มีช่องให้อากาศลอดผ่าน " เร็วเข้า.. " มือเรี

  • บัญชารักคุณหลวง   บุคคลต้องสงสัย

    พระจันทร์ลอยเด่นเหนือเรือนพัก เสียงกรอบแกรบของไม้เก่าที่ขยับตามลมเบาๆ แทบจะกลบเสียงหัวใจที่เต้นดังตุบๆ ของคนสองคนไม่ได้เลยอินขยับฟูกเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด… แล้วก็อีกนิด จนได้กลิ่นน้ำอบอ่อนๆ จากเสื้อผ้าคุณเปรมที่พาดไว้มุมฟูก"วันนี้ข้าตรวจบัญชีจนตาแทบบอด" เปรมบ่นเสียงเบา ขณะเอนตัวลงข้างอิน แขนข้างหนึ่งยันศีรษะ ส่วนอีกข้างปล่อยวางสบายๆ"ผมก็ขายของจนปากแห้ง คิดว่าจะไม่ได้ขายอะไรเลยด้วยซ้ำ… แต่แม่บุหลันมาช่วยไว้ทันครับ""นางมักใจดีเช่นนั้น…""แล้วคุณเปรมล่ะครับ วันนี้นอกจากจ้องตัวเลข ยังคิดถึงผมบ้างไหม?" อินแกล้งถามเสียงเบา ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับใต้แสงตะเกียงเปรมเลิกคิ้วมอง ก่อนเอื้อมมือมาดีดหน้าผากอีกคนเบาๆ "ข้าคิดถึงเจ้าทุกคราวที่หยุดหายใจ… แบบนี้พอหรือยัง?"อินหัวเราะคิก แต่ใบหน้ากลับแดงก่ำ "จะหวานไปไหนครับท่าน!"เปรมหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะขยับมือไปแตะแก้มอินแผ่วเบา นิ้วหัวแม่มือลูบวนเบาๆ ราวกับสำรวจทุกอณู"คราวหน้า อย่าเอาเงินทั้งหมดมาให้ข้าอีก เข้าใจหรือไม่""แต่ผมอยากให้คุณ…""เจ้าจะไถ่ตัวเองไม่ใช่หรือ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถูกจองจำตลอดชีวิตดอกหนา""แล้วถ้า… ผมยินดีจะเป็นทาสคุณตลอดช

  • บัญชารักคุณหลวง   กลับมาเฉิดฉาย

    แสงแดดอ่อนยามเช้าโรยตัวลงบนระเบียงเรือน เสียงไก่ขันเบา ๆ เคล้าเสียงนกกระจิบที่บินวนอยู่ตามชายคา เรือนเปรมในยามเช้าช่างสงบงามราวภาพวาด แต่บรรยากาศบนเรือนกลับไม่เงียบเหงาเหมือนวันก่อน ๆ เพราะชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งจิบชาร้อน พลางสนทนากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย"เจ้าจะกลับไปอยู่เรือนท้ายอย่างเดิมจริง ๆ หรือ อิน?" คุณเปรมวางถ้วยชาลงบนถาดไม้ไผ่ เคลื่อนตัวนั่งหลังตรง สีหน้าไม่เห็นด้วยนิด ๆ "ข้าไม่เข้าใจ…เหตุใดเจ้าจึงต้องทำเยี่ยงนั้น ทั้งที่บัดนี้เจ้าอยู่ตรงนี้ก็สุขสบายดี"อินนั่งก้มหน้า มือเกาะแก้วชาราวกับมันเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายของชีวิต“ก็เพราะว่าข้ามันเป็นทาสน่ะสิครับ” เสียงเขาเบาจนแทบเป็นกระซิบ “มันก็ไม่ยุติธรรมนักที่ผมได้อยู่เรือนหน้า กินดีอยู่ดี ขณะที่คนอื่นลำบากกันอยู่นั่น”คุณเปรมถอนใจยาว พยายามเก็บอารมณ์ไม่ให้ดูหงุดหงิด เขาไม่อยากบังคับอิน แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้คนตรงหน้าเลือกทางที่ทำร้ายตัวเองโดยไม่จำเป็น" เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าข้ารักเจ้าน่ะอิน " เปรมกุมขมับปลายตามองคนตรงหน้า" รู้ครับ..ผมเองก็รักคุณเปรม " เขาลอบกลืนน้ำลายลงคอ นี่มันไม่ใช่ความรู้สึกผิดที่ใช้ชีวิตเกินฐานะ แต่ถ้า

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status