๔
นี่แม่ข้าเอง
บรรยากาศภายในห้องรับแขกเงียบสนิทจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน บุคคลภายในห้องมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดห้า
หญิงหนึ่งชายสี่!
ตามหลักการแล้วควรจะเป็นสตรีที่ต้องเกร็งเมื่อต้องอยู่ร่วมกับบุรุษหลายคน แต่ในกรณีนี้ ‘ไม่’
สตรีเพียงหนึ่งเดียวในห้องจ้องหน้าชายหนุ่มทั้งสามอย่างสำรวจ คนถูกจ้องรู้สึกร้อนรนจนนั่งไม่ติดที่
“ท่านแม่ เลิกจ้องพวกเขาเถอะขอรับ พวกเขาเกร็งกันหมดแล้ว”
หลันเฟิงไม่รู้จะหัวเราะหรือว่าจะสงสารสหายดี
หลังจากที่แยกย้ายกับเฉียนจิ่นหง หลันเฟิงก็พาชุนเอ๋อร์ไปยังเรือนขนาดกลางหลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากโรงเตี๊ยมพอสมควร
สหายทั้งสามไม่เชื่อว่าชุนเอ๋อร์คือมารดาของเขา ทว่าหลันเฟิงคร้านจะอธิบายจึงได้แต่แนะนำพวกเขาให้รู้จักกัน
“ท่านแม่ขอรับ นี่คือโจวฉือเหอ จางจงกว่าน เกาจี้เฉิน”
หลันเฟิงแนะนำพวกเขาตามลำดับเก้าอี้ที่นั่งล้อมโต๊ะอยู่
โจวฉือเหอมีบุคลิกสุภาพ ใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน
จางจงกว่านดูเป็นคนขี้เล่นเข้ากับคนอื่นง่าย
เกาจี้เฉินเป็นคนนิ่ง ๆ ลักษณะคล้ายหลันเฟิง ต่างกันตรงที่เกาจี้เฉินเงียบมาก ตั้งแต่เข้ามาในนั่งในห้อง ชุนเอ๋อร์ยังไม่ได้ยินเสียงพูดเลยแม้แต่คำเดียว
“ในเมื่อเป็นสหายของเฟิงเอ๋อร์ เช่นนั้นเรียกข้าว่าแม่ก็ได้”
ชายหนุ่มทั้งสามชะงักไป พวกเขาต่างคิดไปในทางเดียวกันว่า
ให้เรียกนางว่าแม่หรือ มันจะกระดากปากไปหรือไม่
“เอ่อ…คงไม่เหมาะขอรับ”
โจวฉือเหอเป็นคนกล่าวขึ้นมาก่อน ในความคิดของเขา แม้จะเป็นสหายแต่ก็ยังเป็นลูกน้องด้วย จะเรียกท่านแม่ก็คงไม่เหมาะ อีกอย่างใบหน้านางอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้
ใครจะกล้าเรียก!
ชุนเอ๋อร์เห็นสีหน้าลำบากใจของพวกเขาก็ไม่ได้คะยั้นคะยอ
“เช่นนั้นให้เรียกว่าอะไรดี”
ในความคิดของสามหนุ่ม จะเรียกอะไรก็ไม่ติด ขอเพียงไม่เรียกมารดาก็พอ!
หลันเฟิงเห็นทุกคนยังติดปัญหาที่คำเรียกจึงได้เสนอ
“เช่นนั้นให้พวกเขาเรียกท่านว่าเสี่ยวกูกุ[1]ดีหรือไม่”
หลันเฟิงไม่อยากให้ใครรู้ว่าชุนเอ๋อร์เป็นมารดาของเขา เรื่องนี้รู้กันให้น้อยเท่าไรได้ยิ่งดี
ต้องปิดจุดอ่อนเอาไว้!
“เข้าท่า เช่นนั้นต่อจากนี้เสี่ยวเหอ เสี่ยวกว่าน เสี่ยวเฉินเรียกข้าว่าเสี่ยวกูกุนะ”
บุรุษทั้งสามหน้าแดงกันเป็นแถบ ๆ พวกเขาสามคนเป็นเด็กกำพร้าไร้ญาติขาดมิตรมา รู้สึกไม่ชินที่โดนเรียกแบบนี้
“พวกเจ้าตามใจท่านแม่เถอะ!” ประโยคนี้แฝงความกดดันไม่น้อย ชายหนุ่มทั้งสามทำอะไรไม่ได้นอกจากเอ่ยคำว่า
“ก็ได้/แล้วแต่/ตามสบายขอรับ” ทั้งสามกล่าวพร้อมกัน
ชุนเอ๋อร์ที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเอ็นดู “น่ารักจริง ๆ”
“ท่านแม่ เฟิงเอ๋อร์พาท่านไปดูห้องพักในคืนนี้ดีหรือไม่”
หลันเฟิงเสนอ เพราะจะได้หาเวลาตกลงกับสหายเรื่องสถานะใหม่ของเขา ตอนนี้ทุกอย่างยังไม่เข้าที่ หลันเฟิงยังไม่อยากให้มารดาทราบสถานะที่แท้จริงของเขา
“ได้”
หลันเฟิงพยุงชุนเอ๋อร์ขึ้นจากเก้าอี้พากันเดินออกจากห้องนี้ไป
“ท่านแม่หิวหรือไม่”
“แม่ไม่ทานมื้อค่ำมานานแล้ว ไม่หิวเลย”
เมื่อเสียงของสองแม่ลูกห่างออกไปจนไม่ได้ยินแล้ว สามหนุ่มที่อยู่ในห้องก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
จางจงกว่านกล่าวด้วยความสงสัย
“ไม่คิดว่ามารดาของท่านประมุขอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้ พวกเจ้าเชื่อว่าเป็นมารดาเขาจริงหรือไม่”
เห็นสีหน้าของสหายทั้งสอง จางจงกว่านก็ทราบแล้วว่าทั้งคู่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“พวกเขาหน้าคล้ายกันกว่าแปดส่วน”
“หรือจะเป็นพี่สาวล่ะ พี่สาวก็หน้าคล้ายกันได้ ท่านประมุขกลัวพวกเราเกี้ยวนางเลยโกหกว่าเป็นมารดา”
เกาจี้เฉินมองจางจงกว่านด้วยหางตา “ท่านประมุขไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก”
โจวฉือเหอเอ่ยต่อ “หรือต่อให้ทำจริง ก็คงเพื่อปกป้องนางออกห่างเจ้า”
“นี่พวกเจ้า!”
“หรือไม่จริง”
จางจงกว่านชี้หน้าสหายเพราะถูกปรักปรำว่าเป็นคนเจ้าชู้ แต่เมื่อเถียงกลับไม่ได้ก็สะบัดหน้าใส่
“เหอะ!”
ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งจนกระทั่งหลันเฟิงเดินเข้ามาในห้องกอดอกมองคนที่อายุน้อยกว่าตนไม่กี่ปี
“พวกเจ้าคลางแคลงใจสินะ”
“ขออภัยท่านประมุข แต่มันดูน่าเชื่อถือยากไปหน่อย”
โจวฉือเหอสบตาหลันเฟิงไม่หลบหลีก ไม่ใช่ไม่อยากเชื่อ แต่พยายามเชื่อแล้วแต่เชื่อไม่ลง
หลันเฟิงกล่าวความในใจ...
“ข้าเองก็ไม่คิดว่าท่านแม่จะมีความสามารถเช่นนี้ รวมถึงท่านลุงเฉียนด้วย”
“บุรุษที่อยู่กับนางใช่หรือไม่”
จางจงกว่านถามหลันเฟิงจึงพยักหน้ารับ
“ท่านประมุขกำลังสงสัยสิ่งใดอยู่หรือ”
หลันเฟิงมองหน้าโจวฉือเหอแล้วตอบ
“ชาติกำเนิดมารดาข้าอาจจะไม่ธรรมดา คงเกี่ยวกับท่านลุงเฉียนไม่มากก็น้อย”
“จะสืบหาหรือไม่”
“ทางให้สืบหามีอยู่ แต่ข้าไม่ทำ!”
หลันเฟิงพลันมีแววตาอำมหิต พวกเขาเคยเห็นแววตาเช่นนี้จากหลันเฟิงมาก่อนตอนที่พูดถึงบิดา
“สี่คนนั้นจัดการเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่” หลันเฟิงรีบปรับอารมณ์แล้วกลับมาคุยเรื่องงานต่อ
“ขอรับ เด็ก ๆ มารับกลับไปที่พรรคสาขาใหญ่แล้ว”
หลันเฟิงพยักหน้ารับ อารมณ์ของเขาในตอนนี้ต่างจากตอนอยู่กับมารดาลิบลับ
ตอนอยู่กับชุนเอ๋อร์ยังมีความอ่อนโยนอยู่บ้าง แต่ตอนนี้มีแต่ความเย็นชาแผ่ออกมาจากร่างสูง
“ถ้าพวกมันไม่ยอมสารภาพก็ไม่ต้องเค้นให้เสียเวลา จัดการโยนลงทะเลเสีย จะรอดหรือไม่แล้วแต่เวรกรรม คนที่ไม่มีประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องเลี้ยงไว้ให้เสียข้าวสุก”
“ขอรับ”
“หากท่านแม่ถามว่าพวกเราทำงานอะไร บอกนางไปว่ารับจ้างคุ้มกันภัยก็พอ ข้าไม่อยากให้นางรู้เรื่องที่ข้าเป็นประมุขพรรคมาร”
“ขอรับท่านประมุข”
[1] กูกุ หมายถึง หมายถึง ป้า,น้า ใส่คำว่า ‘เสี่ยว’ ที่แปลว่า เล็ก,น้อย เข้าไปจะให้ความอ่อนเยาว์มากขึ้น
๙๒มาได้ถูกจังหวะ แม้จะโดนปฏิเสธแล้ว แต่อี้เฟยก็ไม่คิดจะหนีไปไหน ยังคงคอยตามเฝ้าตามมองชุนเอ๋อร์อยู่ทุกครั้งที่มีโอกาส ครั้งไหนที่เจอหน้ากันตรง ๆ เขาจะตีหน้าเศร้าใช้สายตาอ้อนขอความรักอยู่เช่นนั้นจนคนที่หัวเสียแทนเป็นหลันเฟิง นั่นเพราะว่าเขาตัวกับมารดาตลอด การที่ต้องมาทนมองบุรุษร่างใหญ่โตทำตัวเหมือนหมาตัวน้อยคอยเดินตามต้อย ๆ ทำเขาขนลุกขนพองไปทั้งตัว ไม่เพียงอี้เฟยที่โดนชุนเอ๋อร์ปฏิเสธมาเท่านั้น มู่หรงเซว่ฮวาก็โดนหลันเฟิงปฏิเสธนับครั้งไม่ถ้วน นั่นทำให้คนนอกอย่างสามหนุ่ม โจวฉือเหอ เกาจี้เฉินและซ่งเหวยไม่รู้จะนับถือคนที่ตามตื้อหรือคนที่โดนปฏิเสธดี ‘คนใจแข็ง’ กับ ‘คนตื้อเท่านั้นที่ครองโลก’ ส่วนจางจงกว่าน หลังจากที่รู้ความจริงก็นอนไม่หลับไปหลายคืน สิ่งที่ช่วยปลอบประโลมใจเขาเห็นทีจะมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็คือการเห็นอี้เฟยถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องมันควรจบลงแค่นั้น ‘ไม่มีใครได้ลงเอยกับใคร’ จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง ชุนเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาด้วยสภาพร่างกายไม่ปกติ หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็กำลังจะเดินเข้ามาที่ห
๙๑สองแม่ลูกใจอมหิต หลังจากที่หลันเฟิงกล่าวว่า ‘แล้วเจ้าจะเสียใจ’ ลู่จั๋วหรานก็ต้องเสียใจจริง ๆ เมื่อพัดของรักของหวงของหายากในยุทธภพโดนกระชากออกจากมืออย่างง่ายดาย นี่ไม่ใช่การขโมยอาวุธของผู้อื่นเพื่อตัดกำลังเท่านั้น แต่ยังทำลายอาวุธจนไม่เหลือซาก ทีนี้จะจัดการเจ้าของอาวุธก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป “ทำกันแรงเกินไปแล้ว กะจะฆ่ากันให้ตายเลยหรืออย่างไร!” ลู่ฮูหยินร้องไห้สะอึกสะอื้นให้กับอาการบาดเจ็บของบุตรชาย ในหัวนึกถึงภาพที่หลันเฟิงใช้พลังมารซัดลู่จั๋วหรานเพียงครั้งเดียวก็กระเด็นตกเวลาทีจนกระอักเลือด แค่คิดนางก็ยิ่งโกรธหลันเฟิง! นี่ไม่เพียงทำให้สำนักเยว่ซือเสียชื่อที่ทายาทของสำนักเสียท่าได้เร็วขนาดนี้เท่านั้น แต่ยังเพิ่มชื่อเสียงให้กับหลันเฟิงอีกด้วย เมื่อผู้คนรู้ว่าหลันเฟิงเป็นหัวหน้าพรรค รูปหล่อ ฝีมือดี ยิ่งเป็นการเพิ่มชื่อเสียงให้เขา บางคนจากที่ไม่เปิดใจยอมรับพรรคมาร ก็เปลี่ยนเป็นเปิดใจมากขึ้น “แค่ก ๆ ท่านแม่ขอรับ การแข่งขัน ย่อมมีแพ้มีชนะ ฝีมือลูกด้อยกว่า แพ้เช่นนี้ก็ถูกแล้ว” ลู่จั๋วหรานพูดด้วยน้ำ
๙๐อี้เฟยได้เลือด ชุนเอ๋อร์ตกใจกับภาพที่เห็นมาก ยกสองมือขึ้นปิดปาก ตะลึงค้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สายตาจับจ้องร่างสูงที่กำลังจะลงจากเวทีประลอง มือสองข้างกดทับแผลห้ามเลือดไว้ ครู่ต่อมาก็มีคนพาเขาแยกไปทางหนึ่ง “ไม่ตามไปหรือ” ชุนเอ๋อร์หันมามองหน้าเฉียนจิ่นหง อย่างขอความมั่นใจ “เขากำลังไปทำแผล ข้าไปรบกวนเช่นนี้จะดีหรือ” “ดีสิเจ้าคะ ไปเจ้าค่ะ หากท่านแม่ไม่กล้าไปคนเดียว เดี๋ยวข้าไปเป็นเพื่อน” ได้รับการสนับสนุนถึงเพียงนี้ ชุนเอ๋อร์จึงพยักหน้ารับมีความมั่นใจมากขึ้น “เดี๋ยวข้ามานะเจ้าคะพี่เฉียน” เฉียนจิ่นหงพยักหน้า มองตามทั้งสองไปจนลับตาก่อนที่จะหายตัวไปจากอัฒจันทร์ ทำเอาคนที่จับจ้องมาที่เขาอยู่พอดีถึงกับขยี้ตา หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นมาว่า… “หรือเขาจะเป็นเทพเซียนจริงอย่างที่สตรีผู้นั้นกล่าวไว้ น่าคิด ๆ” ณ กระโจมทำแผล “แผลไม่ได้ลึกมาก แต่ระวังการขยับเขยื้อนด้วยจะดีที่สุด” หมอชราผู้ทำแผลให้อี้เฟยกล่าวเตือน ความหมายคือการประลองยุทธ์ในครั้งนี้เขาอย่าร่วมการแข่งขันอีกเลยจะดีกว่า “ข้าไ
๘๙การประลอง ทางด้านหลันเฟิงและสมาชิกพรรคมารไฮ้เซินทั้งเก้าคนที่จะต้องประลองยุทธ์กับเก้าสำนักถูกจัดให้นั่งล้อมเป็นวงกลมของเวทีการประลอง ทั้งสิบสำนักจะต้องต่อสู้กันแบบคู่ต่อคู่ ในห้าคู่นี้ สำนักไหนชนะมากกว่ากันสำนักนั้นจะเป็นฝ่ายเข้าสู่รอบต่อไป ฝั่งแพ้ตกรอบ ส่วนห้าสำนักสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบมาจะเป็นการแข่งเพื่อวัดความแข็งแกร่ง แต่ละสำนักจะต้องเลือกสองคนที่เก่งที่สุดในพรรคออกมายืนบนเวทีเพื่อสู้กับอีกแปดคนที่เป็นต่างพรรค รอบนี้สามารถงัดเอาวิชาเร้นลับ เคล็ดวิชาประจำตัวมาใช้ได้อย่างไม่มีข้อจำกัดเหมือนรอบแรกที่บังคับให้ใช้เฉพาะพลังยุทธ์และอาวุธธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ความตื่นเต้นอยู่ในรอบนี้ ใคร ๆ ก็อยากเห็นเคล็ดกระบวนวิชาลับของผู้อื่นทั้งสิ้น อยู่ที่ผู้เข้าแข่งขันแล้วว่าจะงัดออกมาให้ชมหรือไม่ ก่อนเข้ามาทุกคนก็คาดหวังว่าจะเห็นนัดล้างแค้นระหว่างสำหนักเยว่ซือกับพรรคมารไฮ้เซิน ไม่ต้องทนรอคอย เพราะสองสำนักนี้ได้สู้กันตั้งแต่รอบแรก จะเป็นใครที่เข้ารอบ จะเป็นใครที่ตกรอบ ต้องรอชม! “การประลองของคู่แรกระหว่างพรรคมา
๘๘วันประลองยุทธ์ งานประลองยุทธ์ถูกจัดขึ้นที่สนามประลองที่ใหญ่ที่สุดของพระราชวัง มีการเปิดประตูวังหลวงเอาไว้ให้ประชาชนได้เข้าชม เวทีการประลองอยู่ตรงกลางสุด สำนักยุทธ์ทั้งหมดสิบสำนักจากสี่แคว้นที่เข้าร่วมการประลองจะนั่งอยู่ข้างสนามใกล้ชิดกับเวทีประลองที่สุด ผู้ชมจะนั่งอยู่บนอัฒจันทร์ล้อมส่วนของสนามไว้อีกที ส่วนที่นั่งของเชื้อพระวงศ์แคว้นหนานไฮ้จะอยู่สูงสุดตำแหน่งหันหน้าเข้าเวทีประลองพอดี หนึ่งในสิบสำนักยุทธ์ที่ทุกคนให้ความสนใจคงไม่พ้นสำหนักเยว่ซือ หนึ่งเพราะชื่อเสียงสำนักที่ดังไปทั่วสี่แคว้นใหญ่ สองเพราะสำนักนี้เพิ่งโดนหัวหน้าพรรคมารไฮ้เซินถล่มไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ทุกคนจึงคาดหวังว่าจะเกิดเรื่องสนุกขึ้นระหว่างพวกเขา! ทางด้านทางเข้าของพระราชวัง มีประชาชนมารอยืนต่อแถวหลายลี้เพื่อตรวจหาอาวุธก่อนเข้าพระราชวัง เสียงเฮอึกทึกที่ดังออกมาข้างนอกบ่งบอกว่าการประลองยุทธ์ได้เริ่มขึ้นแล้ว สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ที่ยังเข้าไปในพระราชวังไม่ได้ยิ่ง หนึ่งในคนที่ยืนต่อแถวรอก็คือชุนเอ๋อร์ ใบหน้างดงามโดดเด่นกว่าใครหันหลังให้ค
๘๗จะทรมานใจข้าไปถึงไหน งานประลองยุทธ์จะจัดขึ้นวันพรุ่งนี้เป็นวันแรก ตอนนี้สมาชิกพรรคมารไฮ้เซินกำลังสรุปกันเป็นครั้งสุดท้ายว่าจะส่งใครขึ้นประลองบ้าง โดยเบื้องต้นมีหลันเฟิง จางจงกว่าน โจวฉือเหอ เกาจี้เฉิน ซ่งเหวยและสมาชิกพรรคอีกสี่คน ส่วนคนสุดท้ายที่วางตัวไว้ตั้งแต่แรกกลับไม่ยอมลงการประลอง เขาให้เหตุผลว่า ‘เดี๋ยวเสียโฉม’ แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ ประชุมวันนี้เจ้าตัวกล่าวว่าขอลงการประลองด้วยคน สีหน้าที่พูดตอนนั้นดูห่อเหี่ยว ไม่มีชีวิตชีวา แตกต่างกับปกติที่มักจะมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กวนอารมณ์อยู่เสมอ “เจ้าเป็นอะไรอีกอี้เฟย ถ้าลงประลองแล้วทำสีหน้าซังกระตายแบบนี้อย่าลงเลย ขัดตาข้านัก!” จางจงกว่านมุ่นคิ้วเพราะขัดใจ คิดว่าอี้เฟยไม่อยากลงประลองยุทธ์ มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ดีที่สุดว่าตนเป็นอะไร เขาจ้องหน้าจางจงกว่านนิ่ง ๆ ไม่่ต่อล้อต่อเถียงเหมือนเคย จากนั้นก็ถอนหายใจใส่ ในหัวนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน… หลังจากที่ทุกคนทานข้าวเสร็จแล้ว ชุนเอ๋อร์ขอเวลาแวะร้านหนังสือชั่วครู่ หลันเฟิงตามใจแล้วรออยู่ด้านนอกร้านเพื่อให้มารดาได้มีเวลาอิสระในการเลือกซื้อ
๘๖จับได้แล้ว “ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งจะต้องมาทำอะไรแบบนี้” “ชีวิตคนเราก็แบบนี้แหละ ถ้าทุกอย่างได้ดั่งใจไปเสียหมด มันก็ไม่เรียกว่าชีวิตสิ…แต่เดี๋ยวนะ! ข้าไม่ได้ชวนเจ้ามาด้วย ถ้าไม่มีใจจะทำ ประตูอยู่นั่น เดินออกไปแล้วปิดให้ด้วย” สองคนที่ตอบโต้กันในขณะนี้คืออี้เฟยและมู่หรงเซว่ฮวา ย้อนไปตอนที่ทั้งคู่เห็นชุนเอ๋อร์กับหลันเฟิงที่หน้าประตูรั้ว พวกเขาตอบคำถามของหลันเฟิงด้วยการบอกว่าบังเอิญเจอกัน ก่อนที่ หลันเฟิงจะขอตัวพาชุนเอ๋อร์ไปทานข้าวที่โรงเตี๊ยม ‘พวกเราจะไปทานข้าวที่โรงเตี๊ยมแบบส่วนตัว’ เพราะคำว่า ‘ส่วนตัว’ ทำให้พวกเขาทั้งสองต้องแอบตามทั้งคู่มาที่โรงเตี๊ยมแทน อี้เฟยลงทุนเช่าห้องพิเศษข้าง ๆ ชุนเอ๋อร์และหลันเฟิง เพื่อแอบฟังทั้งคู่สนทนากัน “มู่หรงเซว่ฮวาสะกดคำว่ายอมแพ้ไม่เป็นหรอก แล้วที่แนบหูเข้ากับฝาผนังอยู่นานสองนาน ได้ยินอะไรสักอย่างหรือไม่” อี้เฟยผละจากผนังที่กั้นระหว่างห้องตนเองกับห้องชุนเอ๋อร์ ดวงตาเปลี่ยนเป็นหวานเยิ้มล่องลอยไปอีกแล้ว “ได้ยินสิ ชัดมากด้วย ชุนเอ๋อร์บอกว่ารักข้าและจะรักตลอดไป
๘๕ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ ตั้งแต่กลับมาจากตลาดในวันนั้น ชุนเอ๋อร์ก็ไม่ได้ออกจากจวนไปไหน ไม่ได้พบเจอใครนอกจากบุตรชายที่จะแวะเข้ามาในช่วงหัวค่ำของทุกวันแล้วออกจากจวนไปในช่วงเช้า ก่อนจะไปก็ไม่ลืมซื้ออาหารเช้ามาทิ้งไว้บนโต๊ะในครัวให้นางด้วย ย้ายมาอยู่ที่นี่ได้หลายวัน นอกจากอากาศกับการมีผู้คุ้มกันเดินไปเดินมาแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน นางยังคงปลูกผัก ลงดอกไม้ ดูแลสวน ทำกิจกรรมแบบเดิมได้ไม่รู้เบื่อ ทั้งยังให้หลันเฟิงสรรหาเมล็ดพันธุ์พืชต่าง ๆ มาให้อีกด้วย “ท่านแม่” เสียงที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังทำให้ชุนเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนแล้วหันไปทำหน้าสงสัยใส่บุตรชาย อาหารเช้าข้ายังไม่ย่อยเลย เหตุใดมาเร็วนัก “เหตุใดกลับเร็วนัก หรือว่ามีปัญหา” หลันเฟิงส่ายหน้า เดินเข้ามาดึงพลั่วอันเล็กออกจากมือมารดา จากนั้นก็ช่วยล้างมือให้พร้อมโดยที่ไม่กล่าวอะไรออกมาทั้งสิ้น ระหว่างที่กำลังถูกช่วยล้างมืออยู่ในถังน้ำ ชุนเอ๋อร์ก็เงยหน้ามองเขา สำรวจหาร่องรอยความผิดปกติบนใบหน้าเรียบเฉยของบุตรชาย “ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นขอรับท่านแม่ เฟิงเอ๋อร
๘๔หนานไฮ้จะจัดงานใหญ่ เมืองหลวงแคว้นหนานไฮ้เล็กนิดเดียว เรื่องที่หลันเฟิงประสบพบเจอในวันนี้ ไม่กี่ชั่วยามก็ดังทั่วเมือง เป็นหัวข้อให้ชาวบ้านพูดคุยกันสนุกปาก ใครที่เห็นเหตุการณ์แต่ไม่รู้จักหลันเฟิงก็จะตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า ‘ชายองอาจกับโฉมสะคราญทั้งสอง’ แต่เผอิญ! สมาชิกของพรรคกลับเห็นเหตุการณ์วันนี้ด้วย มีหรือที่จะเก็บงำไว้คนเดียว แต่งตั้งตัวเองเป็นเจ้ากรมข่าวประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนในพรรคได้ทราบทันที และช่วงเวลาที่ทุกคนอยู่รวมตัวกันมากที่สุดก็เป็นช่วงหัวค่ำที่โรงครัวใหญ่ เหมาะเหลือเกิน ทานอาหารไปด้วยฟังเรื่องประกอบไปด้วย แปะ ๆ ๆ “พวกเรา ๆ ขอความสนใจสักครู่ ข้ามีเรื่องจะมาประชาสัมพันธ์” เสียงปรบมือพร้อมกับเสียงตะโกนดังก้องของสมาชิกพรรคทำให้อีี้เฟย จางจงกว่านและโจวฉือเหอหันไปมองด้วยความสนใจ “จะนินทาใครอีกล่ะ” อี้เฟยเห็นสีหน้าของเจ้ากรมข่าวก็ทราบแล้วว่าเป็นเรื่องแนวใด “รู้หรือไม่ว่าวันนี้ข้าไปได้ยินข่าวดีอะไรมา” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อดูท่าทีของสหายร่วมพรรคว่าสนใจต่อเรื่องที่ตนกำลัง