๓
เขาเปลี่ยนไป
ชายชุดดำจ้องหน้าสตรีร่างเล็กใบหน้าอ่อนเยาว์นิ่งงัน เขายกมือทั้งสองข้างกุมศีรษะตนเองอย่างคนอัดอั้นตันใจทำอะไรไม่ถูก
เขาเห็นชุนเอ๋อร์ครั้งแรกก็ชะงักแล้ว!
ปกติเมื่อได้ออกแรงต่อสู้ เขามักจะเล่นสนุกกับคู่ต่อสู้ด้วยการค่อย ๆ เฉือนพวกเขาไปที่ละนิดอยู่เสมอ
แต่เพราะชุนเอ๋อร์ทำให้เขาต้องรีบปิดการต่อสู้นี้ให้เร็วที่สุด ชายชุดดำที่เหลือซึ่งเป็นทั้งลูกน้องพ่วงด้วยสถานะสหายเห็นเขาทำเช่นนั้นจึงได้ทำตาม
“ใจเย็น ๆ ไม่ต้องกลัว”
เสียงทุ้มเจือแววอ่อนโยนมากกว่าปกติเอ่ยขึ้น มือหนาจับไปที่ผ้าคลุมหน้าแล้วค่อย ๆ ดึงผ้าออกจนเผยใบหน้าหล่อเหลา
“เจ้าคือ…”
ชุนเอ๋อร์นิ่งค้าง สำรวจใบหน้าเขาอย่างละเอียด ไล่สายตาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วไล่จากเท้าขึ้นมาใบหน้า
ตอนนี้นางมีหลายอารมณ์มาก แต่ชัดเจนที่สุดคือ ‘ตกใจ’
“ข้าเองขอรับ เฟิงเอ๋อร์ หวงหลันเฟิง”
หลันเฟิงเอื้อมมือไปจับแขนเล็กของมารดาให้เข้ามายืนใกล้ ๆ เอ่ยเสียงอ่อนโยนอีกครั้งเพราะเห็นนางเงียบไป
“ท่านแม่ เฟิงเอ๋อร์เองขอรับ”
อาการหายใจติดขัด ตัวแข็งทื่อไปทั้งร่างของชุนเอ๋อร์ทำให้เขาร้อนใจยิ่งกว่าเดิม
“ฟะ เฟิงเอ๋อร์ของแม่จริงหรือ”
เพียงสิบปีผ่านไป เขาเปลี่ยนไปมากขนาดนี้เชียวหรือ
ชุนเอ๋อร์สำรวจหลันเฟิงอย่างละเอียด มองให้ลึกว่าเขามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
“ขอรับ ข้ากลับมาแล้ว”
หลันเฟิงยิ้มให้ชุนเอ๋อร์อย่างอ่อนโยน เขาสัมผัสได้ว่านางลดอาการเกร็งลงได้บ้างแล้วจึงได้ปล่อยมือออกจากตัวนาง
“เดิมทีตั้งใจจะกลับไปหาท่านภายในสามวันนี้อยู่แล้ว ไม่คิดว่าจะได้เจอท่านแม่ในวันนี้ แล้วยังให้ท่านแม่เห็นข้าในสภาพนี้อีก เฟิงเอ๋อร์ละอายใจนัก”
“เฟิงเอ๋อร์เป็นอันธพาลหรือ”
ชุนเอ๋อร์ยอมรับว่าภาพการกระทำของชายชุดดำในวันนี้ทำให้นางมองพวกเขาในแง่ดีไม่ได้เลย ใครจะไปคิดว่าภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีดำ จะเป็นบุตรชายของนางเอง
“ท่านแม่...”
หลันเฟิงกล่าวอะไรไม่ออก ภาพลักษณ์น่ารัก ๆ ร่างจ้ำม่ำของเขาในสายตามารดาได้อันตรธานแล้ว
“ท่านแม่อย่ามองเฟิงเอ๋อร์ในแง่ร้ายเลยนะขอรับ เฟิงเอ๋อร์เป็นลูกผู้ชาย เรื่องเตะต่อยเป็นธรรมดาไม่ใช่หรือ”
“อ้อ สำหรับลูกแล้ว ใช้กำปั้นในการแก้ปัญหาคือเรื่องธรรมดามากสินะ”
เห็นมารดาน้ำตาคลอเบ้า หลันเฟิงพลันเจ็บปวดใจขึ้นมาในทันที
ตั้งแต่เด็กจนถึงอายุ 15 หนาว เขาแสดงแต่ด้านน่ารักให้มารดาเห็น ไม่แปลกหากวันนี้มารดาได้เห็นเขาเตะต่อยกับอันธพาลแล้วรับไม่ได้
“เฟิงเอ๋อร์มีความจำเป็น…”
“แล้วความจำเป็นอันใดถึงต้องลากแม่มายังตรอกแห่งนี้”
“เฟิงเอ๋อร์อยากสนทนากับท่านแม่เป็นการส่วนตัว” หลันเฟิงกล่าวเสียงอ่อน
ชุนเอ๋อร์เห็นบุตรชายหน้าจ๋อยจึงรู้ว่าตนเริ่มทำตัวไม่น่ารัก ถอนหายใจแผ่วเบาแล้วเอื้อมมือไปจับแขนแกร่ง
“เอาเถอะ! ท่านลุงเฉียนคงรออยู่ที่โรงเตี๊ยม รีบกลับไปกันเถิด”
“ขอรับ”
สองแม่ลูกเดินกลับไปที่โรงเตี๊ยมอีกครั้งจึงเห็นว่าเฉียนจิ่นหงกำลังยืนรอชุนเอ๋อร์อยู่บริเวณด้านหน้าโรงเตี๊ยม ท่าทางของเขานิ่งสงบ ไม่ได้กระวนกระวายใจ
“คุยกันเสร็จแล้วหรือ”
ท่าทางสบาย ๆ ของเขาทำให้ชุนเอ๋อร์เริ่มเข้าใจอะไรแล้ว
“พี่เฉียนรู้อยู่แล้วหรือเจ้าคะว่าเป็นเฟิงเอ๋อร์”
เฉียนจิ่นหงยิ้มบาง “หากไม่ใช่เขา ข้าคงตามเจ้าไปแล้ว”
“เป็นข้าที่หัวช้าตลอดเลย เฟิงเอ๋อร์ทักทายท่านลุงสิ”
“เฟิงเอ๋อร์คารวะท่านลุงเฉียนขอรับ”
หลันเฟิงทำความเคารพเฉียนจิ่นหงอย่างนอบน้อม ในใจคิด...
เข้าปีที่ยี่สิบแล้ว ท่านลุงเฉียนยังคงมองท่านแม่เหมือนเดิม ไม่ใช่สายตาของชายหนุ่มที่มองหญิงสาว แต่เป็นสายตาของพี่ชายที่มองน้องสาว
“เฟิงเอ๋อร์โตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว”
“ขอรับท่านลุง ข้าสำเร็จวิชายุทธ์แล้ว ต่อจากนี้จะไม่หนีจากท่านแม่ไปไหนอีก”
ชุนเอ๋อร์มองหน้าชายต่างวัยทั้งสองสลับกับมองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำมืดครึ้ม
“พี่เฉียนเจ้าคะ ดูเหมือนฝนกำลังจะตก เรากลับกันเลยดีหรือไม่”
เฉียนจิ่นหงเงยหน้ามองท้องฟ้า
“จริงด้วย แต่รีบกลับตอนนี้ได้ติดฝนระหว่างทางแน่ แต่อีกทางหนึ่ง หากไม่กลับตอนนี้ วันนี้ก็คงกลับไม่ได้แล้ว”
ปรกติเฉียนจิ่นหงจะกลับไปส่งนางที่หมู่บ้านแล้วค่อยกลับบ้านตนเอง แต่ถ้าวันนี้ฝนตกก็จะเสียเวลาไปอีก
ชุนเอ๋อร์กังวลว่าจะทำให้เขาเสียงานจึงเอ่ยขึ้นมาว่า
“เช่นนั้นพี่เฉียนกลับก่อนเลยเจ้าค่ะ ข้าอยู่กับเฟิงเอ๋อร์ได้”
หลันเฟิงสำทับคำพูดของมารดาอีกประโยค
“ท่านลุงเฉียนไม่ต้องกังวลนะขอรับ ข้าดูแลท่านแม่ได้”
“อ้อ เช่นนั้นข้าไปละ ฝากมารดาเจ้าด้วยนะ”
มือหนายื่นมาตบไหล่หลันเฟิงเบา ๆ จากนั้นก็หันมาพูดกับชุนเอ๋อร์
“ช่วงนี้ข้าอาจไม่ได้มาหาบ่อย แต่ก็ไม่ต้องห่วงมากแล้ว”
ชุนเอ๋อร์พยักหน้ารับอย่างเข้าใจเขา
“เจ้าค่ะ ขอบคุณพี่เฉียนสำหรับอาหารวันนี้นะเจ้าคะ”
“เอาไว้ว่างแล้วข้าจะมาหาอีก”
“คารวะท่านลุงขอรับ”
สองแม่ลูกมองส่งเฉียนจิ่นหงไปจนลับสายตา จากนั้นทั้งคู่ก็หันมามองหน้ากัน
“อย่างไรต่อเฟิงเอ๋อร์”
หลันเฟิงรู้สึกดียิ่งนักที่ได้เห็นสายตาหวังพึ่งพาจากมารดาเป็นครั้งแรก ปณิธานในใจเขาคือการทำให้มารดามีความสุข
“ท่านแม่ ต่อจากนี้พึ่งพาเฟิงเอ๋อร์ได้เลยนะขอรับ”
สิบห้าปีในการพึ่งพามารดาเป็นเวลาที่มากเกินไปแล้ว ตอนนี้เขามีกำลังมากพอที่จะปกป้องมารดา เป็นที่พึ่งอันแข็งแกร่งให้แก่มารดาได้
ชุนเอ๋อร์ไม่ได้ตอบรับแต่ยิ้มให้บุตรชายอย่างอ่อนโยน
ส่วนตัวนางคิดว่าดูแลตัวเองได้ดีและสามารถดูแลบุตรชายได้
แต่เมื่อบุตรชายอยากแสดงด้านความเป็นผู้นำออกมา นางก็พร้อมให้เขาทำหน้าที่นี้
๙๒มาได้ถูกจังหวะ แม้จะโดนปฏิเสธแล้ว แต่อี้เฟยก็ไม่คิดจะหนีไปไหน ยังคงคอยตามเฝ้าตามมองชุนเอ๋อร์อยู่ทุกครั้งที่มีโอกาส ครั้งไหนที่เจอหน้ากันตรง ๆ เขาจะตีหน้าเศร้าใช้สายตาอ้อนขอความรักอยู่เช่นนั้นจนคนที่หัวเสียแทนเป็นหลันเฟิง นั่นเพราะว่าเขาตัวกับมารดาตลอด การที่ต้องมาทนมองบุรุษร่างใหญ่โตทำตัวเหมือนหมาตัวน้อยคอยเดินตามต้อย ๆ ทำเขาขนลุกขนพองไปทั้งตัว ไม่เพียงอี้เฟยที่โดนชุนเอ๋อร์ปฏิเสธมาเท่านั้น มู่หรงเซว่ฮวาก็โดนหลันเฟิงปฏิเสธนับครั้งไม่ถ้วน นั่นทำให้คนนอกอย่างสามหนุ่ม โจวฉือเหอ เกาจี้เฉินและซ่งเหวยไม่รู้จะนับถือคนที่ตามตื้อหรือคนที่โดนปฏิเสธดี ‘คนใจแข็ง’ กับ ‘คนตื้อเท่านั้นที่ครองโลก’ ส่วนจางจงกว่าน หลังจากที่รู้ความจริงก็นอนไม่หลับไปหลายคืน สิ่งที่ช่วยปลอบประโลมใจเขาเห็นทีจะมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็คือการเห็นอี้เฟยถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องมันควรจบลงแค่นั้น ‘ไม่มีใครได้ลงเอยกับใคร’ จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง ชุนเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาด้วยสภาพร่างกายไม่ปกติ หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็กำลังจะเดินเข้ามาที่ห
๙๑สองแม่ลูกใจอมหิต หลังจากที่หลันเฟิงกล่าวว่า ‘แล้วเจ้าจะเสียใจ’ ลู่จั๋วหรานก็ต้องเสียใจจริง ๆ เมื่อพัดของรักของหวงของหายากในยุทธภพโดนกระชากออกจากมืออย่างง่ายดาย นี่ไม่ใช่การขโมยอาวุธของผู้อื่นเพื่อตัดกำลังเท่านั้น แต่ยังทำลายอาวุธจนไม่เหลือซาก ทีนี้จะจัดการเจ้าของอาวุธก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป “ทำกันแรงเกินไปแล้ว กะจะฆ่ากันให้ตายเลยหรืออย่างไร!” ลู่ฮูหยินร้องไห้สะอึกสะอื้นให้กับอาการบาดเจ็บของบุตรชาย ในหัวนึกถึงภาพที่หลันเฟิงใช้พลังมารซัดลู่จั๋วหรานเพียงครั้งเดียวก็กระเด็นตกเวลาทีจนกระอักเลือด แค่คิดนางก็ยิ่งโกรธหลันเฟิง! นี่ไม่เพียงทำให้สำนักเยว่ซือเสียชื่อที่ทายาทของสำนักเสียท่าได้เร็วขนาดนี้เท่านั้น แต่ยังเพิ่มชื่อเสียงให้กับหลันเฟิงอีกด้วย เมื่อผู้คนรู้ว่าหลันเฟิงเป็นหัวหน้าพรรค รูปหล่อ ฝีมือดี ยิ่งเป็นการเพิ่มชื่อเสียงให้เขา บางคนจากที่ไม่เปิดใจยอมรับพรรคมาร ก็เปลี่ยนเป็นเปิดใจมากขึ้น “แค่ก ๆ ท่านแม่ขอรับ การแข่งขัน ย่อมมีแพ้มีชนะ ฝีมือลูกด้อยกว่า แพ้เช่นนี้ก็ถูกแล้ว” ลู่จั๋วหรานพูดด้วยน้ำ
๙๐อี้เฟยได้เลือด ชุนเอ๋อร์ตกใจกับภาพที่เห็นมาก ยกสองมือขึ้นปิดปาก ตะลึงค้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สายตาจับจ้องร่างสูงที่กำลังจะลงจากเวทีประลอง มือสองข้างกดทับแผลห้ามเลือดไว้ ครู่ต่อมาก็มีคนพาเขาแยกไปทางหนึ่ง “ไม่ตามไปหรือ” ชุนเอ๋อร์หันมามองหน้าเฉียนจิ่นหง อย่างขอความมั่นใจ “เขากำลังไปทำแผล ข้าไปรบกวนเช่นนี้จะดีหรือ” “ดีสิเจ้าคะ ไปเจ้าค่ะ หากท่านแม่ไม่กล้าไปคนเดียว เดี๋ยวข้าไปเป็นเพื่อน” ได้รับการสนับสนุนถึงเพียงนี้ ชุนเอ๋อร์จึงพยักหน้ารับมีความมั่นใจมากขึ้น “เดี๋ยวข้ามานะเจ้าคะพี่เฉียน” เฉียนจิ่นหงพยักหน้า มองตามทั้งสองไปจนลับตาก่อนที่จะหายตัวไปจากอัฒจันทร์ ทำเอาคนที่จับจ้องมาที่เขาอยู่พอดีถึงกับขยี้ตา หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นมาว่า… “หรือเขาจะเป็นเทพเซียนจริงอย่างที่สตรีผู้นั้นกล่าวไว้ น่าคิด ๆ” ณ กระโจมทำแผล “แผลไม่ได้ลึกมาก แต่ระวังการขยับเขยื้อนด้วยจะดีที่สุด” หมอชราผู้ทำแผลให้อี้เฟยกล่าวเตือน ความหมายคือการประลองยุทธ์ในครั้งนี้เขาอย่าร่วมการแข่งขันอีกเลยจะดีกว่า “ข้าไ
๘๙การประลอง ทางด้านหลันเฟิงและสมาชิกพรรคมารไฮ้เซินทั้งเก้าคนที่จะต้องประลองยุทธ์กับเก้าสำนักถูกจัดให้นั่งล้อมเป็นวงกลมของเวทีการประลอง ทั้งสิบสำนักจะต้องต่อสู้กันแบบคู่ต่อคู่ ในห้าคู่นี้ สำนักไหนชนะมากกว่ากันสำนักนั้นจะเป็นฝ่ายเข้าสู่รอบต่อไป ฝั่งแพ้ตกรอบ ส่วนห้าสำนักสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบมาจะเป็นการแข่งเพื่อวัดความแข็งแกร่ง แต่ละสำนักจะต้องเลือกสองคนที่เก่งที่สุดในพรรคออกมายืนบนเวทีเพื่อสู้กับอีกแปดคนที่เป็นต่างพรรค รอบนี้สามารถงัดเอาวิชาเร้นลับ เคล็ดวิชาประจำตัวมาใช้ได้อย่างไม่มีข้อจำกัดเหมือนรอบแรกที่บังคับให้ใช้เฉพาะพลังยุทธ์และอาวุธธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ความตื่นเต้นอยู่ในรอบนี้ ใคร ๆ ก็อยากเห็นเคล็ดกระบวนวิชาลับของผู้อื่นทั้งสิ้น อยู่ที่ผู้เข้าแข่งขันแล้วว่าจะงัดออกมาให้ชมหรือไม่ ก่อนเข้ามาทุกคนก็คาดหวังว่าจะเห็นนัดล้างแค้นระหว่างสำหนักเยว่ซือกับพรรคมารไฮ้เซิน ไม่ต้องทนรอคอย เพราะสองสำนักนี้ได้สู้กันตั้งแต่รอบแรก จะเป็นใครที่เข้ารอบ จะเป็นใครที่ตกรอบ ต้องรอชม! “การประลองของคู่แรกระหว่างพรรคมา
๘๘วันประลองยุทธ์ งานประลองยุทธ์ถูกจัดขึ้นที่สนามประลองที่ใหญ่ที่สุดของพระราชวัง มีการเปิดประตูวังหลวงเอาไว้ให้ประชาชนได้เข้าชม เวทีการประลองอยู่ตรงกลางสุด สำนักยุทธ์ทั้งหมดสิบสำนักจากสี่แคว้นที่เข้าร่วมการประลองจะนั่งอยู่ข้างสนามใกล้ชิดกับเวทีประลองที่สุด ผู้ชมจะนั่งอยู่บนอัฒจันทร์ล้อมส่วนของสนามไว้อีกที ส่วนที่นั่งของเชื้อพระวงศ์แคว้นหนานไฮ้จะอยู่สูงสุดตำแหน่งหันหน้าเข้าเวทีประลองพอดี หนึ่งในสิบสำนักยุทธ์ที่ทุกคนให้ความสนใจคงไม่พ้นสำหนักเยว่ซือ หนึ่งเพราะชื่อเสียงสำนักที่ดังไปทั่วสี่แคว้นใหญ่ สองเพราะสำนักนี้เพิ่งโดนหัวหน้าพรรคมารไฮ้เซินถล่มไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ทุกคนจึงคาดหวังว่าจะเกิดเรื่องสนุกขึ้นระหว่างพวกเขา! ทางด้านทางเข้าของพระราชวัง มีประชาชนมารอยืนต่อแถวหลายลี้เพื่อตรวจหาอาวุธก่อนเข้าพระราชวัง เสียงเฮอึกทึกที่ดังออกมาข้างนอกบ่งบอกว่าการประลองยุทธ์ได้เริ่มขึ้นแล้ว สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ที่ยังเข้าไปในพระราชวังไม่ได้ยิ่ง หนึ่งในคนที่ยืนต่อแถวรอก็คือชุนเอ๋อร์ ใบหน้างดงามโดดเด่นกว่าใครหันหลังให้ค
๘๗จะทรมานใจข้าไปถึงไหน งานประลองยุทธ์จะจัดขึ้นวันพรุ่งนี้เป็นวันแรก ตอนนี้สมาชิกพรรคมารไฮ้เซินกำลังสรุปกันเป็นครั้งสุดท้ายว่าจะส่งใครขึ้นประลองบ้าง โดยเบื้องต้นมีหลันเฟิง จางจงกว่าน โจวฉือเหอ เกาจี้เฉิน ซ่งเหวยและสมาชิกพรรคอีกสี่คน ส่วนคนสุดท้ายที่วางตัวไว้ตั้งแต่แรกกลับไม่ยอมลงการประลอง เขาให้เหตุผลว่า ‘เดี๋ยวเสียโฉม’ แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ ประชุมวันนี้เจ้าตัวกล่าวว่าขอลงการประลองด้วยคน สีหน้าที่พูดตอนนั้นดูห่อเหี่ยว ไม่มีชีวิตชีวา แตกต่างกับปกติที่มักจะมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กวนอารมณ์อยู่เสมอ “เจ้าเป็นอะไรอีกอี้เฟย ถ้าลงประลองแล้วทำสีหน้าซังกระตายแบบนี้อย่าลงเลย ขัดตาข้านัก!” จางจงกว่านมุ่นคิ้วเพราะขัดใจ คิดว่าอี้เฟยไม่อยากลงประลองยุทธ์ มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ดีที่สุดว่าตนเป็นอะไร เขาจ้องหน้าจางจงกว่านนิ่ง ๆ ไม่่ต่อล้อต่อเถียงเหมือนเคย จากนั้นก็ถอนหายใจใส่ ในหัวนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน… หลังจากที่ทุกคนทานข้าวเสร็จแล้ว ชุนเอ๋อร์ขอเวลาแวะร้านหนังสือชั่วครู่ หลันเฟิงตามใจแล้วรออยู่ด้านนอกร้านเพื่อให้มารดาได้มีเวลาอิสระในการเลือกซื้อ
๘๖จับได้แล้ว “ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งจะต้องมาทำอะไรแบบนี้” “ชีวิตคนเราก็แบบนี้แหละ ถ้าทุกอย่างได้ดั่งใจไปเสียหมด มันก็ไม่เรียกว่าชีวิตสิ…แต่เดี๋ยวนะ! ข้าไม่ได้ชวนเจ้ามาด้วย ถ้าไม่มีใจจะทำ ประตูอยู่นั่น เดินออกไปแล้วปิดให้ด้วย” สองคนที่ตอบโต้กันในขณะนี้คืออี้เฟยและมู่หรงเซว่ฮวา ย้อนไปตอนที่ทั้งคู่เห็นชุนเอ๋อร์กับหลันเฟิงที่หน้าประตูรั้ว พวกเขาตอบคำถามของหลันเฟิงด้วยการบอกว่าบังเอิญเจอกัน ก่อนที่ หลันเฟิงจะขอตัวพาชุนเอ๋อร์ไปทานข้าวที่โรงเตี๊ยม ‘พวกเราจะไปทานข้าวที่โรงเตี๊ยมแบบส่วนตัว’ เพราะคำว่า ‘ส่วนตัว’ ทำให้พวกเขาทั้งสองต้องแอบตามทั้งคู่มาที่โรงเตี๊ยมแทน อี้เฟยลงทุนเช่าห้องพิเศษข้าง ๆ ชุนเอ๋อร์และหลันเฟิง เพื่อแอบฟังทั้งคู่สนทนากัน “มู่หรงเซว่ฮวาสะกดคำว่ายอมแพ้ไม่เป็นหรอก แล้วที่แนบหูเข้ากับฝาผนังอยู่นานสองนาน ได้ยินอะไรสักอย่างหรือไม่” อี้เฟยผละจากผนังที่กั้นระหว่างห้องตนเองกับห้องชุนเอ๋อร์ ดวงตาเปลี่ยนเป็นหวานเยิ้มล่องลอยไปอีกแล้ว “ได้ยินสิ ชัดมากด้วย ชุนเอ๋อร์บอกว่ารักข้าและจะรักตลอดไป
๘๕ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ ตั้งแต่กลับมาจากตลาดในวันนั้น ชุนเอ๋อร์ก็ไม่ได้ออกจากจวนไปไหน ไม่ได้พบเจอใครนอกจากบุตรชายที่จะแวะเข้ามาในช่วงหัวค่ำของทุกวันแล้วออกจากจวนไปในช่วงเช้า ก่อนจะไปก็ไม่ลืมซื้ออาหารเช้ามาทิ้งไว้บนโต๊ะในครัวให้นางด้วย ย้ายมาอยู่ที่นี่ได้หลายวัน นอกจากอากาศกับการมีผู้คุ้มกันเดินไปเดินมาแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน นางยังคงปลูกผัก ลงดอกไม้ ดูแลสวน ทำกิจกรรมแบบเดิมได้ไม่รู้เบื่อ ทั้งยังให้หลันเฟิงสรรหาเมล็ดพันธุ์พืชต่าง ๆ มาให้อีกด้วย “ท่านแม่” เสียงที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังทำให้ชุนเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนแล้วหันไปทำหน้าสงสัยใส่บุตรชาย อาหารเช้าข้ายังไม่ย่อยเลย เหตุใดมาเร็วนัก “เหตุใดกลับเร็วนัก หรือว่ามีปัญหา” หลันเฟิงส่ายหน้า เดินเข้ามาดึงพลั่วอันเล็กออกจากมือมารดา จากนั้นก็ช่วยล้างมือให้พร้อมโดยที่ไม่กล่าวอะไรออกมาทั้งสิ้น ระหว่างที่กำลังถูกช่วยล้างมืออยู่ในถังน้ำ ชุนเอ๋อร์ก็เงยหน้ามองเขา สำรวจหาร่องรอยความผิดปกติบนใบหน้าเรียบเฉยของบุตรชาย “ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นขอรับท่านแม่ เฟิงเอ๋อร
๘๔หนานไฮ้จะจัดงานใหญ่ เมืองหลวงแคว้นหนานไฮ้เล็กนิดเดียว เรื่องที่หลันเฟิงประสบพบเจอในวันนี้ ไม่กี่ชั่วยามก็ดังทั่วเมือง เป็นหัวข้อให้ชาวบ้านพูดคุยกันสนุกปาก ใครที่เห็นเหตุการณ์แต่ไม่รู้จักหลันเฟิงก็จะตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า ‘ชายองอาจกับโฉมสะคราญทั้งสอง’ แต่เผอิญ! สมาชิกของพรรคกลับเห็นเหตุการณ์วันนี้ด้วย มีหรือที่จะเก็บงำไว้คนเดียว แต่งตั้งตัวเองเป็นเจ้ากรมข่าวประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนในพรรคได้ทราบทันที และช่วงเวลาที่ทุกคนอยู่รวมตัวกันมากที่สุดก็เป็นช่วงหัวค่ำที่โรงครัวใหญ่ เหมาะเหลือเกิน ทานอาหารไปด้วยฟังเรื่องประกอบไปด้วย แปะ ๆ ๆ “พวกเรา ๆ ขอความสนใจสักครู่ ข้ามีเรื่องจะมาประชาสัมพันธ์” เสียงปรบมือพร้อมกับเสียงตะโกนดังก้องของสมาชิกพรรคทำให้อีี้เฟย จางจงกว่านและโจวฉือเหอหันไปมองด้วยความสนใจ “จะนินทาใครอีกล่ะ” อี้เฟยเห็นสีหน้าของเจ้ากรมข่าวก็ทราบแล้วว่าเป็นเรื่องแนวใด “รู้หรือไม่ว่าวันนี้ข้าไปได้ยินข่าวดีอะไรมา” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อดูท่าทีของสหายร่วมพรรคว่าสนใจต่อเรื่องที่ตนกำลัง