๘
เข้าครัว เหตุการณ์เมื่อวานจบลงได้ไม่ใช่เพราะว่าปรับความเข้าใจ แต่เป็นเพราะว่าหลังจากที่ชุนเอ๋อร์เดินออกไปกลางทุ่งนาได้ไม่ถึงเค่อ ฝนที่ไม่มีเค้าว่าจะตกลงมาเลยก็ดันตกลงมาเสียงั้น กลายเป็นหลันเฟิงที่ต้องถอดชุดคลุมของตัวเองออกแล้วใช้วิชายุทธ์ขั้นสูงวิ่งเข้ามาหาชุนเอ๋อร์แล้วพากลับเข้าเรือนโดยที่ไม่เปียกฝนเลยสักนิด นางทั้งตกใจทั้งตื่นตาตื่นใจ แค่นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานก็รู้สึกภูมิใจในตัวบุตรชายแล้ว “วันนี้จะทำอะไรให้เด็ก ๆ ทานดีนะ” วันนี้ชุนเอ๋อร์ตื่นเช้ากว่าปกติ นางตั้งใจจะทำอาหารเช้าให้ชายหนุ่มทั้งหลายได้ชิม เมื่อแปรงฟันล้างหน้าแต่งตัวเสร็จแล้วก็ออกจากเรือนนอนตรงไปเรือนครัว “ใครเข้าครัวแต่เช้า” ชุนเอ๋อร์เห็นควันไฟลอยออกมาจากเรือนครัวทั้งยังได้ยินเสียงสะเก็ดไฟแตกถี่ ๆ “เสี่ยวเฉินทำอาหารหรือ” นางคาดเดา จนกระทั่งเดินเข้ามาในครัวแล้วเห็นร่างสูงกำลังง่วนอยู่กับการซาวข้าว... “เสี่ยวเฉิน” แล้วนางก็ทายถูก! เกาจี้เฉินจับจังหวะฝีเท้าของชุนเอ๋อร์ได้ตั้งแต่แรกแล้ว พอนางเอ่ยทักเขาจึงหันไปผงกศีรษะให้เป็นการทักทาย เมื่อซาวข้าวเสร็จแล้วก็เอาหม้อไปตั้งเตาเตรียมล้างผักต่อ “ทำอะไรทานหรือ เสี่ยวกูกุช่วยอะไรได้บ้าง” เกาจี้เฉินมองไปรอบ ๆ ใจจริงเขาอยากให้นางนั่งอยู่เฉย ๆ แต่เห็นสายตาหวังจะผ่อนแรงเขาแล้ว จึงได้ผายมือไปที่ผักแทน “ล้างผัก” “ได้เลย” ชุนเอ๋อร์ยิ้มรับ นางเห็นเกาจี้เฉินเดินออกไปจากครัว สักพักก็เดินเข้ามาอีกครั้งพร้อมถือปลาตัวใหญ่มาด้วยสามตัว “โอ้! นี่...” ที่นี่ไม่มีตลาด เขาไปจับปลาตั้งแต่ยังไม่สว่างเลยหรือ “จับตั้งแต่เมื่อวาน” เกาจี้เฉินเห็นสายตาตั้งคำถามของนางจึงได้ตอบให้นางหายข้องใจ จัดการขอดเกล็ดปลาด้วยความชำนาญจนชุนเอ๋อร์ตะลึง “เสี่ยวเฉินทะลวงไส้ปลาเก่งนัก นอกจากรสชาติอาหารจะอร่อยแล้วยังรู้จักวิธีการจัดการวัตถุดิบด้วย ยอดฝีมือจริง ๆ” คนถูกชมชะงักไป ในใจคิด... ยอดฝีมืออะไรนะ ทะลวงไส้ปลาหรือ “เสี่ยวกูกุ ปกติข้าไม่ทะลวงไส้ปลา…” แต่ทะลวงพุงคนมากกว่า เกาจี้เฉินเก็บคำพูดสุดท้ายเอาไว้ในใจ เขาเห็นสีหน้าดีใจของนางแล้วหว่างคิ้วพลันขมวดเข้าหากัน มีอันใดให้น่าดีใจหรือ “อ้อ! ว่าแต่เสี่ยวเฉินจะทำน้ำแกงปลาใช่หรือไม่ ส่วนผักหั่นแล้วผัดกับน้ำมัน” เกาจี้เฉินพยักหน้ารับ ชุนเอ๋อร์จึงได้เสนอหน้าที่ของตัวเองเพิ่ม “เช่นนั้นเสี่ยวกูกุทำเอง” หนึ่งชั่วยามต่อมา “โอ้โฮ! อาหารน่าทานทั้งนั้นเลยขอรับ เสี่ยวกูกุทำเองหรือ” จางจงกว่านเป็นคนแรกที่เข้ามานั่งที่โต๊ะรับประทานอาหาร เขาเห็นชุนเอ๋อร์กำลังจัดโต๊ะกับข้าวอยู่คนเดียวจึงเข้าใจว่านางเป็นคนทำอาหารทั้งหมด “ก็ไม่ใช่ทั้งหมด” จางจางกว่านทำหน้าสงสัย แต่เมื่อเห็นเกาจี้เฉินยกหม้อมาจึงได้รู้ว่าใครเป็นพ่อครัวร่วมในอาหารมื้อเช้า “ยกมาเป็นหม้อเลย” ชุนเอ๋อร์ทำหน้าตกใจ อยู่คนเดียวมานาน ทานอาหารน้อย หากนางทานคนเดียว หม้อนี้ต้องแบ่งทานสามวันเป็นอย่างต่ำ “เสี่ยวกูกุไม่คิดว่าพวกเราจะทานเยอะกระมัง เดี๋ยวต่อไปก็ชินขอรับ พวกเราทานเป็นหม้อกันแบบนี้เลย” อือ! สมกับเป็นชายวัยเจริญพันธุ์ เวลาผ่านไปไม่นาน หลันเฟิงและโจวฉือเหอก็เดินเข้ามาในครัว ชุนเอ๋อร์ได้กลิ่นสะอาดมาจากตัวพวกเขาจึงทราบว่าเพิ่งอาบน้ำกันมา “เพิ่งกลับมาจากการฝึกยุทธ์ขอรับท่านแม่” ชุนเอ๋อร์พยักหน้ารับเบา ๆ จากนั้นก็หันไปมองจางจงกว่าน เหมือนเพิ่งตื่นนอนเลย “เจ้านี่ถ้าไม่บังคับก็ไม่ทำหรอกขอรับเสี่ยวกูกุ” โจวฉือเหอตอบชุนเอ๋อร์เพราะอ่านท่าทางของนางออก ร่างสูงหย่อนก้นนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับจางจงกว่าน สีหน้าข้าอ่านง่ายขนาดนี้เลยหรือ เมื่อจัดเตรียมตะเกียบ ถ้วยและช้อนเอาไว้ซดน้ำแกงเสร็จแล้วทุกคนก็เริ่มทานอาหาร ชุนเอ๋อร์ตักหนึ่งคำแล้วเคี้ยวช้า ๆ ดูปฏิกิริยาของทุกคนตอนทานผัดผักที่นางปรุงรสเอง “อือ รสชาติดี” คนทำเป็นปลื้ม เห็นทุกคนทานอย่างเอร็ดอร่อยนางก็พลอยเจริญอาหารไปด้วย ที่จริงอาหารรสชาติทั่วไป แต่พอได้ทานร่วมกับทุกคนแล้วชุนเอ๋อร์รู้สึกว่าความอร่อยเพิ่มขึ้นหลายระดับ ชุนเอ๋อร์ยังไม่ได้ทานน้ำแกงปลา เมื่อเห็นหลันเฟิงซดน้ำแกงก็เอ่ยถามรสชาติ “เป็นอย่างไรบ้าง ฝีมือการทะลวงไส้ปลาของเสี่ยวเฉิน” “แค่ก ๆ” หลันเฟิงถึงกับสำลักในทันที ในหัวเขาตอนนี้เห็นเป็นภาพของเกาจี้เฉินกำลังจ้วงแทงศัตรูอยู่ด้วยความบ้าระห่ำ ดวงตาคมกริบมองเกาจี้เฉิน เริ่มสงสัยแล้วว่าเขาใช้วิธีการใดในการขอดเกล็ดปลา มารดาถึงได้กล่าวว่า ‘ทะลวงไส้’ ออกมาได้ เกาจี้เฉินอ่านสายตาหลันเฟิงออกตอบเสียงเรียบ “ข้าควักไส้ปลาแบบปกติ” “มีแบบไม่ปรกติด้วยหรือ” ชุนเอ๋อร์หันไปถามบุตรชายด้วยสีหน้างุนงง หลันเฟิงยิ้มแทนคำตอบ ใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาสีขาวใส่ถ้วยให้ชุนเอ๋อร์ “ท่านแม่ลองชิมเนื้อปลา” “อ้อ เฟิงเอ๋อร์ก็ทานเยอะ ๆ” หลังจากนั้นบนโต๊ะอาหารก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะทุกคนตั้งใจทานอาหาร เมื่อทานเสร็จแล้วก็พากันไปนั่งเล่นตากลมที่ศาลาข้าง ทุ่งนา หลันเฟิงและโจวฉือเหอเอาหมากล้อมของชุนเอ๋อร์มาเล่นโดยมีจางจงกว่านมองดูอยู่เงียบ ๆ ส่วนชุนเอ๋อร์นั้นขลุกอยู่ในครัวกับเกาจี้เฉิน เพราะเขาบอกว่าจะทำขนมกุ้ยฮวาให้นางได้ลองชิม นางเลยถือโอกาสนี้ขอเรียนรู้วิธีการทำ “ขนมกุ้ยฮวาหอม ๆ มาแล้ว” ชุนเอ๋อร์ถือถาดขนมเข้ามาในศาลาโดยมีเกาจี้เฉินเดินถือถาดน้ำชาหนัก ๆ ตามหลังมาด้วย “ท่านแม่ทำเป็นแล้วใช่หรือไม่” หลันเฟิงมองชุนเอ๋อร์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เห็นนางยิ้มไม่หุบจึงคิดว่านางทำเป็นแล้ว “ตอนนี้ยัง แต่ต่อไปต้องทำเป็นแน่ แม่จดสูตรไว้แล้ว” “ขอรับท่านแม่ เดี๋ยวเฟิงเอ๋อร์จะซื้อแป้งมาไว้ให้เพิ่ม” ชุนเอ๋อร์ชะงัก ในใจคิด... เฟิงเอ๋อร์ยังจำเหตุกาณ์นั้นได้สินะ สมัยหนีมาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ ชุนเอ๋อร์เคยทำครัวไหม้ไปหลายครั้ง ตอนนี้อาหารคาวเริ่มพัฒนาฝีมือแล้ว แต่อาหารหวานยังต้องฝึกฝนต่อ “เสี่ยวเฉิน!” อยู่ ๆ จางจงกว่านก็เรียกเกาจี้เฉินด้วยท่าทางจริงจัง ทุกคนจับจ้องไปที่เขาเป็นสายตาเดียว ส่วนเกาจี้เฉินมุ่นคิ้วทันทีเมื่อโดนจางจงกว่านเรียกเช่นนี้ จ้องหน้าเขานิ่ง ๆ รอฟัง “ข้าอยากขอเจ้าแต่งงาน คนอะไรรสมือดีเป็นบ้า ของคาวเลิศรสของหวานหอมทุกคำที่เคี้ยว” จางจงกว่านทานไปชมไป ส่วนผู้ที่ได้รับคำชมกลับมองจางจงกว่านด้วยหางตา ท่าทางจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหน “ข้าจะไม่เข้าครัวอีกตลอดชีวิต” ทุกคนหัวเราะให้กับคำพูดของเกาจี้เฉินไม่เว้นคนที่จะขอผู้อื่นแต่งงาน ชุนเอ๋อร์หัวเราะจนน้ำตาไหล ในใจคิด... เสี่ยวกว่านกับเสี่ยวเฉินตลกมาก๙๒มาได้ถูกจังหวะ แม้จะโดนปฏิเสธแล้ว แต่อี้เฟยก็ไม่คิดจะหนีไปไหน ยังคงคอยตามเฝ้าตามมองชุนเอ๋อร์อยู่ทุกครั้งที่มีโอกาส ครั้งไหนที่เจอหน้ากันตรง ๆ เขาจะตีหน้าเศร้าใช้สายตาอ้อนขอความรักอยู่เช่นนั้นจนคนที่หัวเสียแทนเป็นหลันเฟิง นั่นเพราะว่าเขาตัวกับมารดาตลอด การที่ต้องมาทนมองบุรุษร่างใหญ่โตทำตัวเหมือนหมาตัวน้อยคอยเดินตามต้อย ๆ ทำเขาขนลุกขนพองไปทั้งตัว ไม่เพียงอี้เฟยที่โดนชุนเอ๋อร์ปฏิเสธมาเท่านั้น มู่หรงเซว่ฮวาก็โดนหลันเฟิงปฏิเสธนับครั้งไม่ถ้วน นั่นทำให้คนนอกอย่างสามหนุ่ม โจวฉือเหอ เกาจี้เฉินและซ่งเหวยไม่รู้จะนับถือคนที่ตามตื้อหรือคนที่โดนปฏิเสธดี ‘คนใจแข็ง’ กับ ‘คนตื้อเท่านั้นที่ครองโลก’ ส่วนจางจงกว่าน หลังจากที่รู้ความจริงก็นอนไม่หลับไปหลายคืน สิ่งที่ช่วยปลอบประโลมใจเขาเห็นทีจะมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็คือการเห็นอี้เฟยถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องมันควรจบลงแค่นั้น ‘ไม่มีใครได้ลงเอยกับใคร’ จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง ชุนเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาด้วยสภาพร่างกายไม่ปกติ หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็กำลังจะเดินเข้ามาที่ห
๙๑สองแม่ลูกใจอมหิต หลังจากที่หลันเฟิงกล่าวว่า ‘แล้วเจ้าจะเสียใจ’ ลู่จั๋วหรานก็ต้องเสียใจจริง ๆ เมื่อพัดของรักของหวงของหายากในยุทธภพโดนกระชากออกจากมืออย่างง่ายดาย นี่ไม่ใช่การขโมยอาวุธของผู้อื่นเพื่อตัดกำลังเท่านั้น แต่ยังทำลายอาวุธจนไม่เหลือซาก ทีนี้จะจัดการเจ้าของอาวุธก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป “ทำกันแรงเกินไปแล้ว กะจะฆ่ากันให้ตายเลยหรืออย่างไร!” ลู่ฮูหยินร้องไห้สะอึกสะอื้นให้กับอาการบาดเจ็บของบุตรชาย ในหัวนึกถึงภาพที่หลันเฟิงใช้พลังมารซัดลู่จั๋วหรานเพียงครั้งเดียวก็กระเด็นตกเวลาทีจนกระอักเลือด แค่คิดนางก็ยิ่งโกรธหลันเฟิง! นี่ไม่เพียงทำให้สำนักเยว่ซือเสียชื่อที่ทายาทของสำนักเสียท่าได้เร็วขนาดนี้เท่านั้น แต่ยังเพิ่มชื่อเสียงให้กับหลันเฟิงอีกด้วย เมื่อผู้คนรู้ว่าหลันเฟิงเป็นหัวหน้าพรรค รูปหล่อ ฝีมือดี ยิ่งเป็นการเพิ่มชื่อเสียงให้เขา บางคนจากที่ไม่เปิดใจยอมรับพรรคมาร ก็เปลี่ยนเป็นเปิดใจมากขึ้น “แค่ก ๆ ท่านแม่ขอรับ การแข่งขัน ย่อมมีแพ้มีชนะ ฝีมือลูกด้อยกว่า แพ้เช่นนี้ก็ถูกแล้ว” ลู่จั๋วหรานพูดด้วยน้ำ
๙๐อี้เฟยได้เลือด ชุนเอ๋อร์ตกใจกับภาพที่เห็นมาก ยกสองมือขึ้นปิดปาก ตะลึงค้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สายตาจับจ้องร่างสูงที่กำลังจะลงจากเวทีประลอง มือสองข้างกดทับแผลห้ามเลือดไว้ ครู่ต่อมาก็มีคนพาเขาแยกไปทางหนึ่ง “ไม่ตามไปหรือ” ชุนเอ๋อร์หันมามองหน้าเฉียนจิ่นหง อย่างขอความมั่นใจ “เขากำลังไปทำแผล ข้าไปรบกวนเช่นนี้จะดีหรือ” “ดีสิเจ้าคะ ไปเจ้าค่ะ หากท่านแม่ไม่กล้าไปคนเดียว เดี๋ยวข้าไปเป็นเพื่อน” ได้รับการสนับสนุนถึงเพียงนี้ ชุนเอ๋อร์จึงพยักหน้ารับมีความมั่นใจมากขึ้น “เดี๋ยวข้ามานะเจ้าคะพี่เฉียน” เฉียนจิ่นหงพยักหน้า มองตามทั้งสองไปจนลับตาก่อนที่จะหายตัวไปจากอัฒจันทร์ ทำเอาคนที่จับจ้องมาที่เขาอยู่พอดีถึงกับขยี้ตา หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นมาว่า… “หรือเขาจะเป็นเทพเซียนจริงอย่างที่สตรีผู้นั้นกล่าวไว้ น่าคิด ๆ” ณ กระโจมทำแผล “แผลไม่ได้ลึกมาก แต่ระวังการขยับเขยื้อนด้วยจะดีที่สุด” หมอชราผู้ทำแผลให้อี้เฟยกล่าวเตือน ความหมายคือการประลองยุทธ์ในครั้งนี้เขาอย่าร่วมการแข่งขันอีกเลยจะดีกว่า “ข้าไ
๘๙การประลอง ทางด้านหลันเฟิงและสมาชิกพรรคมารไฮ้เซินทั้งเก้าคนที่จะต้องประลองยุทธ์กับเก้าสำนักถูกจัดให้นั่งล้อมเป็นวงกลมของเวทีการประลอง ทั้งสิบสำนักจะต้องต่อสู้กันแบบคู่ต่อคู่ ในห้าคู่นี้ สำนักไหนชนะมากกว่ากันสำนักนั้นจะเป็นฝ่ายเข้าสู่รอบต่อไป ฝั่งแพ้ตกรอบ ส่วนห้าสำนักสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบมาจะเป็นการแข่งเพื่อวัดความแข็งแกร่ง แต่ละสำนักจะต้องเลือกสองคนที่เก่งที่สุดในพรรคออกมายืนบนเวทีเพื่อสู้กับอีกแปดคนที่เป็นต่างพรรค รอบนี้สามารถงัดเอาวิชาเร้นลับ เคล็ดวิชาประจำตัวมาใช้ได้อย่างไม่มีข้อจำกัดเหมือนรอบแรกที่บังคับให้ใช้เฉพาะพลังยุทธ์และอาวุธธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ความตื่นเต้นอยู่ในรอบนี้ ใคร ๆ ก็อยากเห็นเคล็ดกระบวนวิชาลับของผู้อื่นทั้งสิ้น อยู่ที่ผู้เข้าแข่งขันแล้วว่าจะงัดออกมาให้ชมหรือไม่ ก่อนเข้ามาทุกคนก็คาดหวังว่าจะเห็นนัดล้างแค้นระหว่างสำหนักเยว่ซือกับพรรคมารไฮ้เซิน ไม่ต้องทนรอคอย เพราะสองสำนักนี้ได้สู้กันตั้งแต่รอบแรก จะเป็นใครที่เข้ารอบ จะเป็นใครที่ตกรอบ ต้องรอชม! “การประลองของคู่แรกระหว่างพรรคมา
๘๘วันประลองยุทธ์ งานประลองยุทธ์ถูกจัดขึ้นที่สนามประลองที่ใหญ่ที่สุดของพระราชวัง มีการเปิดประตูวังหลวงเอาไว้ให้ประชาชนได้เข้าชม เวทีการประลองอยู่ตรงกลางสุด สำนักยุทธ์ทั้งหมดสิบสำนักจากสี่แคว้นที่เข้าร่วมการประลองจะนั่งอยู่ข้างสนามใกล้ชิดกับเวทีประลองที่สุด ผู้ชมจะนั่งอยู่บนอัฒจันทร์ล้อมส่วนของสนามไว้อีกที ส่วนที่นั่งของเชื้อพระวงศ์แคว้นหนานไฮ้จะอยู่สูงสุดตำแหน่งหันหน้าเข้าเวทีประลองพอดี หนึ่งในสิบสำนักยุทธ์ที่ทุกคนให้ความสนใจคงไม่พ้นสำหนักเยว่ซือ หนึ่งเพราะชื่อเสียงสำนักที่ดังไปทั่วสี่แคว้นใหญ่ สองเพราะสำนักนี้เพิ่งโดนหัวหน้าพรรคมารไฮ้เซินถล่มไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ทุกคนจึงคาดหวังว่าจะเกิดเรื่องสนุกขึ้นระหว่างพวกเขา! ทางด้านทางเข้าของพระราชวัง มีประชาชนมารอยืนต่อแถวหลายลี้เพื่อตรวจหาอาวุธก่อนเข้าพระราชวัง เสียงเฮอึกทึกที่ดังออกมาข้างนอกบ่งบอกว่าการประลองยุทธ์ได้เริ่มขึ้นแล้ว สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ที่ยังเข้าไปในพระราชวังไม่ได้ยิ่ง หนึ่งในคนที่ยืนต่อแถวรอก็คือชุนเอ๋อร์ ใบหน้างดงามโดดเด่นกว่าใครหันหลังให้ค
๘๗จะทรมานใจข้าไปถึงไหน งานประลองยุทธ์จะจัดขึ้นวันพรุ่งนี้เป็นวันแรก ตอนนี้สมาชิกพรรคมารไฮ้เซินกำลังสรุปกันเป็นครั้งสุดท้ายว่าจะส่งใครขึ้นประลองบ้าง โดยเบื้องต้นมีหลันเฟิง จางจงกว่าน โจวฉือเหอ เกาจี้เฉิน ซ่งเหวยและสมาชิกพรรคอีกสี่คน ส่วนคนสุดท้ายที่วางตัวไว้ตั้งแต่แรกกลับไม่ยอมลงการประลอง เขาให้เหตุผลว่า ‘เดี๋ยวเสียโฉม’ แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ ประชุมวันนี้เจ้าตัวกล่าวว่าขอลงการประลองด้วยคน สีหน้าที่พูดตอนนั้นดูห่อเหี่ยว ไม่มีชีวิตชีวา แตกต่างกับปกติที่มักจะมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กวนอารมณ์อยู่เสมอ “เจ้าเป็นอะไรอีกอี้เฟย ถ้าลงประลองแล้วทำสีหน้าซังกระตายแบบนี้อย่าลงเลย ขัดตาข้านัก!” จางจงกว่านมุ่นคิ้วเพราะขัดใจ คิดว่าอี้เฟยไม่อยากลงประลองยุทธ์ มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ดีที่สุดว่าตนเป็นอะไร เขาจ้องหน้าจางจงกว่านนิ่ง ๆ ไม่่ต่อล้อต่อเถียงเหมือนเคย จากนั้นก็ถอนหายใจใส่ ในหัวนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน… หลังจากที่ทุกคนทานข้าวเสร็จแล้ว ชุนเอ๋อร์ขอเวลาแวะร้านหนังสือชั่วครู่ หลันเฟิงตามใจแล้วรออยู่ด้านนอกร้านเพื่อให้มารดาได้มีเวลาอิสระในการเลือกซื้อ
๘๖จับได้แล้ว “ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งจะต้องมาทำอะไรแบบนี้” “ชีวิตคนเราก็แบบนี้แหละ ถ้าทุกอย่างได้ดั่งใจไปเสียหมด มันก็ไม่เรียกว่าชีวิตสิ…แต่เดี๋ยวนะ! ข้าไม่ได้ชวนเจ้ามาด้วย ถ้าไม่มีใจจะทำ ประตูอยู่นั่น เดินออกไปแล้วปิดให้ด้วย” สองคนที่ตอบโต้กันในขณะนี้คืออี้เฟยและมู่หรงเซว่ฮวา ย้อนไปตอนที่ทั้งคู่เห็นชุนเอ๋อร์กับหลันเฟิงที่หน้าประตูรั้ว พวกเขาตอบคำถามของหลันเฟิงด้วยการบอกว่าบังเอิญเจอกัน ก่อนที่ หลันเฟิงจะขอตัวพาชุนเอ๋อร์ไปทานข้าวที่โรงเตี๊ยม ‘พวกเราจะไปทานข้าวที่โรงเตี๊ยมแบบส่วนตัว’ เพราะคำว่า ‘ส่วนตัว’ ทำให้พวกเขาทั้งสองต้องแอบตามทั้งคู่มาที่โรงเตี๊ยมแทน อี้เฟยลงทุนเช่าห้องพิเศษข้าง ๆ ชุนเอ๋อร์และหลันเฟิง เพื่อแอบฟังทั้งคู่สนทนากัน “มู่หรงเซว่ฮวาสะกดคำว่ายอมแพ้ไม่เป็นหรอก แล้วที่แนบหูเข้ากับฝาผนังอยู่นานสองนาน ได้ยินอะไรสักอย่างหรือไม่” อี้เฟยผละจากผนังที่กั้นระหว่างห้องตนเองกับห้องชุนเอ๋อร์ ดวงตาเปลี่ยนเป็นหวานเยิ้มล่องลอยไปอีกแล้ว “ได้ยินสิ ชัดมากด้วย ชุนเอ๋อร์บอกว่ารักข้าและจะรักตลอดไป
๘๕ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ ตั้งแต่กลับมาจากตลาดในวันนั้น ชุนเอ๋อร์ก็ไม่ได้ออกจากจวนไปไหน ไม่ได้พบเจอใครนอกจากบุตรชายที่จะแวะเข้ามาในช่วงหัวค่ำของทุกวันแล้วออกจากจวนไปในช่วงเช้า ก่อนจะไปก็ไม่ลืมซื้ออาหารเช้ามาทิ้งไว้บนโต๊ะในครัวให้นางด้วย ย้ายมาอยู่ที่นี่ได้หลายวัน นอกจากอากาศกับการมีผู้คุ้มกันเดินไปเดินมาแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน นางยังคงปลูกผัก ลงดอกไม้ ดูแลสวน ทำกิจกรรมแบบเดิมได้ไม่รู้เบื่อ ทั้งยังให้หลันเฟิงสรรหาเมล็ดพันธุ์พืชต่าง ๆ มาให้อีกด้วย “ท่านแม่” เสียงที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังทำให้ชุนเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนแล้วหันไปทำหน้าสงสัยใส่บุตรชาย อาหารเช้าข้ายังไม่ย่อยเลย เหตุใดมาเร็วนัก “เหตุใดกลับเร็วนัก หรือว่ามีปัญหา” หลันเฟิงส่ายหน้า เดินเข้ามาดึงพลั่วอันเล็กออกจากมือมารดา จากนั้นก็ช่วยล้างมือให้พร้อมโดยที่ไม่กล่าวอะไรออกมาทั้งสิ้น ระหว่างที่กำลังถูกช่วยล้างมืออยู่ในถังน้ำ ชุนเอ๋อร์ก็เงยหน้ามองเขา สำรวจหาร่องรอยความผิดปกติบนใบหน้าเรียบเฉยของบุตรชาย “ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นขอรับท่านแม่ เฟิงเอ๋อร
๘๔หนานไฮ้จะจัดงานใหญ่ เมืองหลวงแคว้นหนานไฮ้เล็กนิดเดียว เรื่องที่หลันเฟิงประสบพบเจอในวันนี้ ไม่กี่ชั่วยามก็ดังทั่วเมือง เป็นหัวข้อให้ชาวบ้านพูดคุยกันสนุกปาก ใครที่เห็นเหตุการณ์แต่ไม่รู้จักหลันเฟิงก็จะตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า ‘ชายองอาจกับโฉมสะคราญทั้งสอง’ แต่เผอิญ! สมาชิกของพรรคกลับเห็นเหตุการณ์วันนี้ด้วย มีหรือที่จะเก็บงำไว้คนเดียว แต่งตั้งตัวเองเป็นเจ้ากรมข่าวประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนในพรรคได้ทราบทันที และช่วงเวลาที่ทุกคนอยู่รวมตัวกันมากที่สุดก็เป็นช่วงหัวค่ำที่โรงครัวใหญ่ เหมาะเหลือเกิน ทานอาหารไปด้วยฟังเรื่องประกอบไปด้วย แปะ ๆ ๆ “พวกเรา ๆ ขอความสนใจสักครู่ ข้ามีเรื่องจะมาประชาสัมพันธ์” เสียงปรบมือพร้อมกับเสียงตะโกนดังก้องของสมาชิกพรรคทำให้อีี้เฟย จางจงกว่านและโจวฉือเหอหันไปมองด้วยความสนใจ “จะนินทาใครอีกล่ะ” อี้เฟยเห็นสีหน้าของเจ้ากรมข่าวก็ทราบแล้วว่าเป็นเรื่องแนวใด “รู้หรือไม่ว่าวันนี้ข้าไปได้ยินข่าวดีอะไรมา” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อดูท่าทีของสหายร่วมพรรคว่าสนใจต่อเรื่องที่ตนกำลัง