แชร์

แม่ม่ายยังสาว

ผู้เขียน: ซูเมี่ยวหลิง
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-12 13:00:46

แม่ม่ายยังสาว

         

          ชุนเอ๋อร์อยู่ในสถานะแม่ม่ายมายี่สิบหนาวแล้ว!

          ยี่สิบหนาวเป็นเวลาไม่น้อยสำหรับมนุษย์ มากพอที่จะทำให้เด็กคนหนึ่งโตเป็นผู้ใหญ่ได้ อย่างเช่นบุตรชายของนาง

          แต่ตัวชุนเอ๋อร์กลับไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด ตอนนี้นางยังคงนั่งอยู่ที่ศาลาตัวเดิม เป็นสตรีอายุ 41 หนาวที่มองภายนอกเหมือนสาวอายุยี่สิบตอนต้น

          ชุนเอ๋อร์ไม่ทราบว่าทำไมตนไม่แก่ขึ้นเลย แอบนึกสงสัยไม่น้อยว่าทำไมคนในหมู่บ้านสาวสองพันปีถึงไม่แปลกใจกับความหน้าเด็กตลอดกาลนี้ ทุกคนยังใช้ชีวิตปกติ ไม่มีใครว่านางเป็นแม่มดหมอผี

          กลับกัน...

          หากนางอยู่ที่เมืองหลวง ตอนนี้คงถูกจับถ่วงน้ำไปแล้ว เพราะแบบนี้กระมัง ตอนนั้นนางถึงรู้สึกว่าหมู่บ้านสาวสองพันปีดู

          ‘พิศวง’

          “สิบปีแล้วสินะ ที่เฟิงเอ๋อร์จากไป”

          ชุนเอ๋อร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าซึม ที่นางกล่าวว่าเฟิงเอ๋อร์จากไป ไม่ได้หมายความว่าบุตรชายลาจากโลกนี้ไปแล้ว

          ตอนหลันเฟิงอายุ 15 หนาวได้ออกเดินทางจากหมู่บ้านไปฝึกวิชายุทธ์กับจอมยุทธ์ที่สำนักแห่งหนึ่ง

          ชีวิตที่ไม่มีบุตรชายคอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ ทำให้ชุนเอ๋อร์รู้สึกโดดเดี่ยวมาก ยังดีที่มีเฉียนจิ่นหงคอยมาสนทนาด้วยอยู่เสมอ

          เขาก็คือรุ่นพี่ที่ชุนเอ๋อร์ให้ความนับถือ ช่วยนางหลบหนีจากอดีตสามีเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว

          “เหม่ออีกแล้วชุนเอ๋อร์”

          ชุนเอ๋อร์หันหน้าไปยังต้นเสียงก็เห็นร่างสูงของเฉียนจิ่งหงในชุดสีขาวมีรัศมีสูงศักดิ์ ใบหน้าหล่อเหลายิ้มให้นางแล้วเดินเข้ามานั่งในศาลาที่นั่งตรงข้ามกับชุนเอ๋อร์

          “วันนี้มาเร็วกว่าทุกวันนะเจ้าคะพี่เฉียน”

          “เพิ่งเลิกงานนะ เจ้าล่ะ กำลังคิดอะไรอยู่”

          “หลายเรื่องเลยเจ้าค่ะ ทั้งเรื่องของเฟิงเอ๋อร์ ตัวข้าและพี่เฉียน”

          เฉียนจิ่นหงเลิกคิ้ว “คิดถึงข้าด้วยหรือ”

          เฉียนจิ่นหงเอนกายไปยังพนักพิงหลัง กอดอกมองชุนเอ๋อร์ยิ้ม ๆ

          “แค่นึกสงสัยว่าเหตุใดรูปร่างหน้าตาของข้ายังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย พี่เฉียนก็ด้วย”

          ดวงตารูปกวางสำรวจเฉียนจิ่นหงอย่างชัดเจนไม่ปิดบังจนคนตรงข้ามหัวเราะเสียงแผ่ว

          “โลกนี้มีอะไรที่น่าพิศวงรอให้เจ้าเรียนรู้อีกเยอะ ไม่มองโลกแบบแคบ ๆ เป็นดีที่สุด”

          “เจ้าค่ะ” ชุนเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

          นางไม่ได้เชื่อฟังเขาเพียงนี้เรื่องเท่านั้น แต่ยังฟังคำโน้มน้าวเรื่องการฝึกวิชาต่างแดนของหลันเฟิงด้วย

          เฉียนจิ่นหงเห็นศักยภาพในตัวหลันเฟิง ไม่อยากให้เขาถูกขังอยู่ในหมู่บ้านที่มีแต่สตรี อยู่อย่างไร้อนาคตแบบนี้

          ชุนเอ๋อร์กลัวบุตรชายเป็นคนโลกแคบ นางจึงยอมให้หลันเฟิงไปฝึกวิชายุทธ์ที่ต่างแดน จากวันนั้นก็ผ่านมาแล้วกว่าสิบหนาว

           “นี่ก็ปีที่สิบแล้ว รออีกหน่อยเถิด เดี๋ยวเฟิงเอ๋อร์ก็กลับมา”

          ชุนเอ๋อร์คิดในใจ...กลับมาคราวนี้ก็อายุ 25 โตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วสินะ

          “ข้าควรเตรียมใจหรือไม่เจ้าคะ เผื่อกลับมาครั้งนี้เขาหอบลูกเมียมาด้วย รู้ตัวอีกทีข้าก็ได้เป็นย่าคนแล้ว”

          ชุนเอ๋อร์พูดติดตลก หากวันนั้นบุตรชายนางหอบลูกกลับมาด้วย นางก็ไม่รู้ว่าตัวเองยังตลกออกหรือไม่

          “ไม่หรอก”

          เฉียนจิ่นหงเห็นแววตาของชุนเอ๋อร์ไม่ได้ยิ้มเหมือนมุมปากจึงได้กล่าวให้นางสบายใจ ในใจเขาคิด...

          เจ้าเด็กนั่นรักแม่ที่สุด มีหรือจะยอมออกเรือนในเร็ววันนี้

          “ขอบคุณที่ปลอบข้าเจ้าค่ะ แล้วนี่ทานอะไรมาหรือยังเจ้าคะ”

          เฉียนจิ่นหงส่ายหน้า “ยังเลย เจ้าทำกับข้าวไว้เผื่อข้าหรือ”

          ชุนเอ๋อร์ยิ้มแห้ง “ไม่ได้ทำเจ้าค่ะ”

          “แล้วกล่าวเหมือนจะชวนทานข้าว...ไป! วันนี้ข้าจะพาเข้าเมืองไปเปลี่ยนบรรยากาศ ทานข้าวไปเสพความวุ่นวายของคนเมืองไป”

          “พี่เฉียนจะเลี้ยงหรือเจ้าคะ”

          “แล้วข้าจะให้สตรีเลี้ยงอาหารได้อย่างไร”

          “พี่เฉียนใจดีที่สุด ข้ารู้ดีกว่าใคร”

          เฉียนจิ่นหงส่ายหน้าให้ชุนเอ๋อร์ แต่พอหมุนกายเดินนำออกไปจากศาลากลับยิ้มมุมปาก ในใจคิด...

          นิสัยเหมือนเด็กน้อยจริง ๆ     

          หนึ่งเค่อ[1]ต่อมา...

          ชุนเอ๋อร์และเฉียนจิ่นหงนั่งรถม้าออกมาจากหมู่บ้านสาวสองพันปีที่สมาชิกในหมู่บ้านล้วนเป็นแม่ม่าย สามีตาย ไม่ก็ถูกสามีหย่าขาดทำให้เป็นที่อับอายของคนทั้งเมือง ญาติพี่น้องไม่ต้อนรับ

          สตรีในหมู่บ้านล้วนมีปมฝังลึกกันทั้งนั้น จากการเล่าของเฉียนจิ่นหง ชุนเอ๋อร์จึงรู้ว่าตนไม่ใช่คนแรกที่เขาพามาอยู่หมู่บ้านแห่งนี้

          สตรีที่อยากจบชีวิตตัวเองล้วนถูกเฉียนจิ่นหงช่วยไว้และพามาอยู่ในหมู่บ้าน สมาชิกทุกคนเห็นเฉียนจิ่นหงจะรีบทำความเคารพดุจลูกน้องทำความเคารพเจ้านาย ต่างจากนางที่เป็นกันเองกับเขาเหมือนพี่น้อง

          ชุนเอ๋อร์ให้เหตุผลในข้อสงสัยนี้ว่าเฉียนจิ่นหงเอ็นดูที่นางมีลูกติดท่ามกลางสตรีหลายร้อยคนในหมู่บ้านจึงมีเพียงนางที่สนิทกับเขา

          “พี่เฉียนเจ้าคะ เพราะหมู่บ้านมีแต่สตรีหรือไม่ เฟิงเอ๋อร์ถึงไม่รีบกลับมาหาข้าเสียที”

          ชุนเอ๋อร์ถามเสียงเครียด ความโคลงเคลงของรถม้าทำให้ศีรษะนางส่ายไปมาจนเริ่มรู้สึกวิงเวียน

          “เขาอาจจะฝึกวิชาเสร็จแล้วก็ได้ แต่ไม่อยากกลับหมู่บ้าน”

          “คิดมาก ข้าก็เป็นบุรุษยังเดินเข้าหมู่บ้านหน้าระรื่น”

          เฉียนจิ่นหงไม่เพียงกล่าวออกมาเท่านั้น ยังยื่นนิ้วไปดีดหน้าผากชุนเอ๋อร์เบา ๆ ลงโทษที่นางคิดเล็กคิดน้อย

          “สถานการณ์ไม่เหมือนกันเสียหน่อย แต่ก็ขอบคุณนะเจ้าคะ กำลังเมารถม้าอยู่พอดีเลย พอพี่เฉียนดีดนิ้วมาที่หน้าผากข้าเมื่อครู่...หายเลย!”

          “หึ! เด็กน้อย”

          เห็นนางยิ้มสดใสเช่นนี้ เฉียนจิ่นหงก็พลอยมีความสุขไปกับนางด้วย ระหว่างทางในรถม้าไม่เงียบเลย

          เพราะทั้งคู่สนทนากันตลอดทางจนกระทั่งรถม้าแล่นเข้าในเมืองมาถึงโรงเตี๊ยมที่เป็นจุดหมายในวันนี้

          

[1] เค่อ หมายถึง สิบห้านาที

***แม่ม่าย

เขียนอย่างนี้นะคะ

ไม่ใช่

แม่หม้าย

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บุตรชายข้าเป็นประมุขพรรคมาร   มาได้ถูกจังหวะ(จบบริบูรณ์)

    ๙๒มาได้ถูกจังหวะ แม้จะโดนปฏิเสธแล้ว แต่อี้เฟยก็ไม่คิดจะหนีไปไหน ยังคงคอยตามเฝ้าตามมองชุนเอ๋อร์อยู่ทุกครั้งที่มีโอกาส ครั้งไหนที่เจอหน้ากันตรง ๆ เขาจะตีหน้าเศร้าใช้สายตาอ้อนขอความรักอยู่เช่นนั้นจนคนที่หัวเสียแทนเป็นหลันเฟิง นั่นเพราะว่าเขาตัวกับมารดาตลอด การที่ต้องมาทนมองบุรุษร่างใหญ่โตทำตัวเหมือนหมาตัวน้อยคอยเดินตามต้อย ๆ ทำเขาขนลุกขนพองไปทั้งตัว ไม่เพียงอี้เฟยที่โดนชุนเอ๋อร์ปฏิเสธมาเท่านั้น มู่หรงเซว่ฮวาก็โดนหลันเฟิงปฏิเสธนับครั้งไม่ถ้วน นั่นทำให้คนนอกอย่างสามหนุ่ม โจวฉือเหอ เกาจี้เฉินและซ่งเหวยไม่รู้จะนับถือคนที่ตามตื้อหรือคนที่โดนปฏิเสธดี ‘คนใจแข็ง’ กับ ‘คนตื้อเท่านั้นที่ครองโลก’ ส่วนจางจงกว่าน หลังจากที่รู้ความจริงก็นอนไม่หลับไปหลายคืน สิ่งที่ช่วยปลอบประโลมใจเขาเห็นทีจะมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็คือการเห็นอี้เฟยถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องมันควรจบลงแค่นั้น ‘ไม่มีใครได้ลงเอยกับใคร’ จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง ชุนเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาด้วยสภาพร่างกายไม่ปกติ หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็กำลังจะเดินเข้ามาที่ห

  • บุตรชายข้าเป็นประมุขพรรคมาร   สองแม่ลูกใจอมหิต

    ๙๑สองแม่ลูกใจอมหิต หลังจากที่หลันเฟิงกล่าวว่า ‘แล้วเจ้าจะเสียใจ’ ลู่จั๋วหรานก็ต้องเสียใจจริง ๆ เมื่อพัดของรักของหวงของหายากในยุทธภพโดนกระชากออกจากมืออย่างง่ายดาย นี่ไม่ใช่การขโมยอาวุธของผู้อื่นเพื่อตัดกำลังเท่านั้น แต่ยังทำลายอาวุธจนไม่เหลือซาก ทีนี้จะจัดการเจ้าของอาวุธก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป “ทำกันแรงเกินไปแล้ว กะจะฆ่ากันให้ตายเลยหรืออย่างไร!” ลู่ฮูหยินร้องไห้สะอึกสะอื้นให้กับอาการบาดเจ็บของบุตรชาย ในหัวนึกถึงภาพที่หลันเฟิงใช้พลังมารซัดลู่จั๋วหรานเพียงครั้งเดียวก็กระเด็นตกเวลาทีจนกระอักเลือด แค่คิดนางก็ยิ่งโกรธหลันเฟิง! นี่ไม่เพียงทำให้สำนักเยว่ซือเสียชื่อที่ทายาทของสำนักเสียท่าได้เร็วขนาดนี้เท่านั้น แต่ยังเพิ่มชื่อเสียงให้กับหลันเฟิงอีกด้วย เมื่อผู้คนรู้ว่าหลันเฟิงเป็นหัวหน้าพรรค รูปหล่อ ฝีมือดี ยิ่งเป็นการเพิ่มชื่อเสียงให้เขา บางคนจากที่ไม่เปิดใจยอมรับพรรคมาร ก็เปลี่ยนเป็นเปิดใจมากขึ้น “แค่ก ๆ ท่านแม่ขอรับ การแข่งขัน ย่อมมีแพ้มีชนะ ฝีมือลูกด้อยกว่า แพ้เช่นนี้ก็ถูกแล้ว” ลู่จั๋วหรานพูดด้วยน้ำ

  • บุตรชายข้าเป็นประมุขพรรคมาร   อี้เฟยได้เลือด

    ๙๐อี้เฟยได้เลือด ชุนเอ๋อร์ตกใจกับภาพที่เห็นมาก ยกสองมือขึ้นปิดปาก ตะลึงค้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สายตาจับจ้องร่างสูงที่กำลังจะลงจากเวทีประลอง มือสองข้างกดทับแผลห้ามเลือดไว้ ครู่ต่อมาก็มีคนพาเขาแยกไปทางหนึ่ง “ไม่ตามไปหรือ” ชุนเอ๋อร์หันมามองหน้าเฉียนจิ่นหง อย่างขอความมั่นใจ “เขากำลังไปทำแผล ข้าไปรบกวนเช่นนี้จะดีหรือ” “ดีสิเจ้าคะ ไปเจ้าค่ะ หากท่านแม่ไม่กล้าไปคนเดียว เดี๋ยวข้าไปเป็นเพื่อน” ได้รับการสนับสนุนถึงเพียงนี้ ชุนเอ๋อร์จึงพยักหน้ารับมีความมั่นใจมากขึ้น “เดี๋ยวข้ามานะเจ้าคะพี่เฉียน” เฉียนจิ่นหงพยักหน้า มองตามทั้งสองไปจนลับตาก่อนที่จะหายตัวไปจากอัฒจันทร์ ทำเอาคนที่จับจ้องมาที่เขาอยู่พอดีถึงกับขยี้ตา หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นมาว่า… “หรือเขาจะเป็นเทพเซียนจริงอย่างที่สตรีผู้นั้นกล่าวไว้ น่าคิด ๆ” ณ กระโจมทำแผล “แผลไม่ได้ลึกมาก แต่ระวังการขยับเขยื้อนด้วยจะดีที่สุด” หมอชราผู้ทำแผลให้อี้เฟยกล่าวเตือน ความหมายคือการประลองยุทธ์ในครั้งนี้เขาอย่าร่วมการแข่งขันอีกเลยจะดีกว่า “ข้าไ

  • บุตรชายข้าเป็นประมุขพรรคมาร   การประลอง

    ๘๙การประลอง ทางด้านหลันเฟิงและสมาชิกพรรคมารไฮ้เซินทั้งเก้าคนที่จะต้องประลองยุทธ์กับเก้าสำนักถูกจัดให้นั่งล้อมเป็นวงกลมของเวทีการประลอง ทั้งสิบสำนักจะต้องต่อสู้กันแบบคู่ต่อคู่ ในห้าคู่นี้ สำนักไหนชนะมากกว่ากันสำนักนั้นจะเป็นฝ่ายเข้าสู่รอบต่อไป ฝั่งแพ้ตกรอบ ส่วนห้าสำนักสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบมาจะเป็นการแข่งเพื่อวัดความแข็งแกร่ง แต่ละสำนักจะต้องเลือกสองคนที่เก่งที่สุดในพรรคออกมายืนบนเวทีเพื่อสู้กับอีกแปดคนที่เป็นต่างพรรค รอบนี้สามารถงัดเอาวิชาเร้นลับ เคล็ดวิชาประจำตัวมาใช้ได้อย่างไม่มีข้อจำกัดเหมือนรอบแรกที่บังคับให้ใช้เฉพาะพลังยุทธ์และอาวุธธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ความตื่นเต้นอยู่ในรอบนี้ ใคร ๆ ก็อยากเห็นเคล็ดกระบวนวิชาลับของผู้อื่นทั้งสิ้น อยู่ที่ผู้เข้าแข่งขันแล้วว่าจะงัดออกมาให้ชมหรือไม่ ก่อนเข้ามาทุกคนก็คาดหวังว่าจะเห็นนัดล้างแค้นระหว่างสำหนักเยว่ซือกับพรรคมารไฮ้เซิน ไม่ต้องทนรอคอย เพราะสองสำนักนี้ได้สู้กันตั้งแต่รอบแรก จะเป็นใครที่เข้ารอบ จะเป็นใครที่ตกรอบ ต้องรอชม! “การประลองของคู่แรกระหว่างพรรคมา

  • บุตรชายข้าเป็นประมุขพรรคมาร   วันประลองยุทธ์

    ๘๘วันประลองยุทธ์ งานประลองยุทธ์ถูกจัดขึ้นที่สนามประลองที่ใหญ่ที่สุดของพระราชวัง มีการเปิดประตูวังหลวงเอาไว้ให้ประชาชนได้เข้าชม เวทีการประลองอยู่ตรงกลางสุด สำนักยุทธ์ทั้งหมดสิบสำนักจากสี่แคว้นที่เข้าร่วมการประลองจะนั่งอยู่ข้างสนามใกล้ชิดกับเวทีประลองที่สุด ผู้ชมจะนั่งอยู่บนอัฒจันทร์ล้อมส่วนของสนามไว้อีกที ส่วนที่นั่งของเชื้อพระวงศ์แคว้นหนานไฮ้จะอยู่สูงสุดตำแหน่งหันหน้าเข้าเวทีประลองพอดี หนึ่งในสิบสำนักยุทธ์ที่ทุกคนให้ความสนใจคงไม่พ้นสำหนักเยว่ซือ หนึ่งเพราะชื่อเสียงสำนักที่ดังไปทั่วสี่แคว้นใหญ่ สองเพราะสำนักนี้เพิ่งโดนหัวหน้าพรรคมารไฮ้เซินถล่มไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ทุกคนจึงคาดหวังว่าจะเกิดเรื่องสนุกขึ้นระหว่างพวกเขา! ทางด้านทางเข้าของพระราชวัง มีประชาชนมารอยืนต่อแถวหลายลี้เพื่อตรวจหาอาวุธก่อนเข้าพระราชวัง เสียงเฮอึกทึกที่ดังออกมาข้างนอกบ่งบอกว่าการประลองยุทธ์ได้เริ่มขึ้นแล้ว สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ที่ยังเข้าไปในพระราชวังไม่ได้ยิ่ง หนึ่งในคนที่ยืนต่อแถวรอก็คือชุนเอ๋อร์ ใบหน้างดงามโดดเด่นกว่าใครหันหลังให้ค

  • บุตรชายข้าเป็นประมุขพรรคมาร   จะทรมานใจข้าไปถึงไหน

    ๘๗จะทรมานใจข้าไปถึงไหน งานประลองยุทธ์จะจัดขึ้นวันพรุ่งนี้เป็นวันแรก ตอนนี้สมาชิกพรรคมารไฮ้เซินกำลังสรุปกันเป็นครั้งสุดท้ายว่าจะส่งใครขึ้นประลองบ้าง โดยเบื้องต้นมีหลันเฟิง จางจงกว่าน โจวฉือเหอ เกาจี้เฉิน ซ่งเหวยและสมาชิกพรรคอีกสี่คน ส่วนคนสุดท้ายที่วางตัวไว้ตั้งแต่แรกกลับไม่ยอมลงการประลอง เขาให้เหตุผลว่า ‘เดี๋ยวเสียโฉม’ แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ ประชุมวันนี้เจ้าตัวกล่าวว่าขอลงการประลองด้วยคน สีหน้าที่พูดตอนนั้นดูห่อเหี่ยว ไม่มีชีวิตชีวา แตกต่างกับปกติที่มักจะมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กวนอารมณ์อยู่เสมอ “เจ้าเป็นอะไรอีกอี้เฟย ถ้าลงประลองแล้วทำสีหน้าซังกระตายแบบนี้อย่าลงเลย ขัดตาข้านัก!” จางจงกว่านมุ่นคิ้วเพราะขัดใจ คิดว่าอี้เฟยไม่อยากลงประลองยุทธ์ มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ดีที่สุดว่าตนเป็นอะไร เขาจ้องหน้าจางจงกว่านนิ่ง ๆ ไม่่ต่อล้อต่อเถียงเหมือนเคย จากนั้นก็ถอนหายใจใส่ ในหัวนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน… หลังจากที่ทุกคนทานข้าวเสร็จแล้ว ชุนเอ๋อร์ขอเวลาแวะร้านหนังสือชั่วครู่ หลันเฟิงตามใจแล้วรออยู่ด้านนอกร้านเพื่อให้มารดาได้มีเวลาอิสระในการเลือกซื้อ

  • บุตรชายข้าเป็นประมุขพรรคมาร   จับได้แล้ว

    ๘๖จับได้แล้ว “ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งจะต้องมาทำอะไรแบบนี้” “ชีวิตคนเราก็แบบนี้แหละ ถ้าทุกอย่างได้ดั่งใจไปเสียหมด มันก็ไม่เรียกว่าชีวิตสิ…แต่เดี๋ยวนะ! ข้าไม่ได้ชวนเจ้ามาด้วย ถ้าไม่มีใจจะทำ ประตูอยู่นั่น เดินออกไปแล้วปิดให้ด้วย” สองคนที่ตอบโต้กันในขณะนี้คืออี้เฟยและมู่หรงเซว่ฮวา ย้อนไปตอนที่ทั้งคู่เห็นชุนเอ๋อร์กับหลันเฟิงที่หน้าประตูรั้ว พวกเขาตอบคำถามของหลันเฟิงด้วยการบอกว่าบังเอิญเจอกัน ก่อนที่ หลันเฟิงจะขอตัวพาชุนเอ๋อร์ไปทานข้าวที่โรงเตี๊ยม ‘พวกเราจะไปทานข้าวที่โรงเตี๊ยมแบบส่วนตัว’ เพราะคำว่า ‘ส่วนตัว’ ทำให้พวกเขาทั้งสองต้องแอบตามทั้งคู่มาที่โรงเตี๊ยมแทน อี้เฟยลงทุนเช่าห้องพิเศษข้าง ๆ ชุนเอ๋อร์และหลันเฟิง เพื่อแอบฟังทั้งคู่สนทนากัน “มู่หรงเซว่ฮวาสะกดคำว่ายอมแพ้ไม่เป็นหรอก แล้วที่แนบหูเข้ากับฝาผนังอยู่นานสองนาน ได้ยินอะไรสักอย่างหรือไม่” อี้เฟยผละจากผนังที่กั้นระหว่างห้องตนเองกับห้องชุนเอ๋อร์ ดวงตาเปลี่ยนเป็นหวานเยิ้มล่องลอยไปอีกแล้ว “ได้ยินสิ ชัดมากด้วย ชุนเอ๋อร์บอกว่ารักข้าและจะรักตลอดไป

  • บุตรชายข้าเป็นประมุขพรรคมาร   ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ

    ๘๕ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ ตั้งแต่กลับมาจากตลาดในวันนั้น ชุนเอ๋อร์ก็ไม่ได้ออกจากจวนไปไหน ไม่ได้พบเจอใครนอกจากบุตรชายที่จะแวะเข้ามาในช่วงหัวค่ำของทุกวันแล้วออกจากจวนไปในช่วงเช้า ก่อนจะไปก็ไม่ลืมซื้ออาหารเช้ามาทิ้งไว้บนโต๊ะในครัวให้นางด้วย ย้ายมาอยู่ที่นี่ได้หลายวัน นอกจากอากาศกับการมีผู้คุ้มกันเดินไปเดินมาแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน นางยังคงปลูกผัก ลงดอกไม้ ดูแลสวน ทำกิจกรรมแบบเดิมได้ไม่รู้เบื่อ ทั้งยังให้หลันเฟิงสรรหาเมล็ดพันธุ์พืชต่าง ๆ มาให้อีกด้วย “ท่านแม่” เสียงที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังทำให้ชุนเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนแล้วหันไปทำหน้าสงสัยใส่บุตรชาย อาหารเช้าข้ายังไม่ย่อยเลย เหตุใดมาเร็วนัก “เหตุใดกลับเร็วนัก หรือว่ามีปัญหา” หลันเฟิงส่ายหน้า เดินเข้ามาดึงพลั่วอันเล็กออกจากมือมารดา จากนั้นก็ช่วยล้างมือให้พร้อมโดยที่ไม่กล่าวอะไรออกมาทั้งสิ้น ระหว่างที่กำลังถูกช่วยล้างมืออยู่ในถังน้ำ ชุนเอ๋อร์ก็เงยหน้ามองเขา สำรวจหาร่องรอยความผิดปกติบนใบหน้าเรียบเฉยของบุตรชาย “ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นขอรับท่านแม่ เฟิงเอ๋อร

  • บุตรชายข้าเป็นประมุขพรรคมาร   หนานไฮ้จะจัดงานใหญ่

    ๘๔หนานไฮ้จะจัดงานใหญ่ เมืองหลวงแคว้นหนานไฮ้เล็กนิดเดียว เรื่องที่หลันเฟิงประสบพบเจอในวันนี้ ไม่กี่ชั่วยามก็ดังทั่วเมือง เป็นหัวข้อให้ชาวบ้านพูดคุยกันสนุกปาก ใครที่เห็นเหตุการณ์แต่ไม่รู้จักหลันเฟิงก็จะตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า ‘ชายองอาจกับโฉมสะคราญทั้งสอง’ แต่เผอิญ! สมาชิกของพรรคกลับเห็นเหตุการณ์วันนี้ด้วย มีหรือที่จะเก็บงำไว้คนเดียว แต่งตั้งตัวเองเป็นเจ้ากรมข่าวประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนในพรรคได้ทราบทันที และช่วงเวลาที่ทุกคนอยู่รวมตัวกันมากที่สุดก็เป็นช่วงหัวค่ำที่โรงครัวใหญ่ เหมาะเหลือเกิน ทานอาหารไปด้วยฟังเรื่องประกอบไปด้วย แปะ ๆ ๆ “พวกเรา ๆ ขอความสนใจสักครู่ ข้ามีเรื่องจะมาประชาสัมพันธ์” เสียงปรบมือพร้อมกับเสียงตะโกนดังก้องของสมาชิกพรรคทำให้อีี้เฟย จางจงกว่านและโจวฉือเหอหันไปมองด้วยความสนใจ “จะนินทาใครอีกล่ะ” อี้เฟยเห็นสีหน้าของเจ้ากรมข่าวก็ทราบแล้วว่าเป็นเรื่องแนวใด “รู้หรือไม่ว่าวันนี้ข้าไปได้ยินข่าวดีอะไรมา” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อดูท่าทีของสหายร่วมพรรคว่าสนใจต่อเรื่องที่ตนกำลัง

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status