๒
โรงเตี๊ยมอลเวง
หมู่บ้านสาวสองพันปีอยู่ห่างจากตัวเมืองค่อนข้างไกล ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยาม[1] ในการเดินทางมาที่นี่
“ครั้งต่อไปข้าว่าเราเปลี่ยนบรรยากาศจากในครัวบ้านข้า เป็นครัวบ้านคนอื่นดีหรือไม่เจ้าคะ นาน ๆ ได้นั่งรถม้าเข้าเมืองที ปวดเมื่อยไม่น้อย”
“อะไรกัน! อายุเท่านี้ก็บ่นเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเป็นคนแก่แล้ว”
“41 หนาวไม่น้อยแล้วนะเจ้าคะ ท่านอย่าได้โดนรูปกายภายนอกของข้าหลอกลวงเป็นอันขาด”
ปกตินางปลูกผัก เลี้ยงไก่จากไข่ที่หลันเฟิงเก็บมาเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ได้ออกแรงทำสวนบ้าง แต่ก็ไม่ได้แข็งแรงขนาดไม่ปวดเมื่อยส่วนใดของร่างกายเลย
“ไปเถอะ โรงเตี๊ยมตรงหน้าเรานี่แหละ”
เฉียนจิ่นหงเดินนำชุนเอ๋อร์เข้าไปในโรงเตี๊ยม เพราะภาพลักษณ์ที่ดูเหมือนคุณชายผู้สูงศักดิ์จึงสามารถดึงสายตาจากผู้คนได้ไม่ยาก
“คุณชายเฉียนมาแล้ว ห้องที่คุณชายจองไว้อยู่ทางนี้ขอรับ เชิญเดินตามข้าน้อยมาได้เลยขอรับ”
เมื่อเข้าไปนั่งห้องพิเศษ เฉียนจิ่นหงก็สั่งอาหารมาสามสี่อย่าง โดยที่ชุนเอ๋อร์นั่งเงียบ ยกหน้าที่สั่งอาหารให้เป็นของเขา
“ข้าสั่งถูกใจเจ้าหรือไม่”
“อะไรก็ได้เจ้าค่ะพี่เฉียน ข้าทานได้หมด”
ชุนเอ๋อร์ตอบกลับเฉียนจิ่นหง จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปมองนอกหน้าต่าง ผู้คนสัญจรไปมาบนท้องถนนไม่ขาดสายสมกับเป็นในเมือง
“อาหารมาแล้วขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารมาให้ที่โต๊ะ เมื่อถึงเวลาทานอาหารทั้งสองต่างก็เงียบเสียงไม่สนทนา ชุนเอ๋อร์คีบอาหารเข้าปากแล้วเคี้ยวช้า ๆ มองออกไปนอกหน้าต่างเป็นครั้งคราวดูผู้คนใช้ชีวิต
“อิ่มแล้วเจ้าค่ะ”
จนกระทั่งอาหารพร่องลงไปนิดหนึ่ง ชุนเอ๋อร์ก็วางตะเกียบหยิบน้ำชาล้างปากเป็นการจบของคาวในมื้อนี้
“ของคาวจบแล้ว ต่อด้วยของหวานใช่หรือไม่”
“เดี๋ยวดูก่อนนะเจ้าคะ”
ชุนเอ๋อร์นั่งมองเฉียนจิ่นหงทานอาหารเงียบ ๆ เขาทานไม่นานก็วางตะเกียบลงแล้ว ชี้มือผ่านหน้าต่างไปยังร้านน้ำชาซึ่งอยู่ไม่ห่างจากโรงเตี๊ยม
“กุ้ยฮวาเการ้านนั้นอร่อยมาก ซื้อกลับไปทานที่บ้านไหม”
“เจ้าค่ะ”
ชุนเอ๋อร์พยักหน้ารับ เฉียนจิ่นหงจึงวางเงินเกินค่าอาหารไว้ที่โต๊ะ จากนั้นก็เดินเคียงคู่กันออกจากห้องพิเศษ
ทว่ายังไม่ทันที่เท้าของชุนเอ๋อร์จะเหยียบลงบันไดจากชั้นสองไปชั้นแรก นางก็โดนพลังงานบางอย่างพุ่งเข้าชนจนเกือบเสียหลัก ดีที่เฉียนจิ่นหงรับเอาไว้ มิเช่นนั้นได้ตกบันไดแน่
“โน่น มันอยู่ชั้นสอง!”
เสียงเข้มของบุรุษร่างหนาตะโกนลั่นโรงเตี๊ยม เขามีพรรคพวกมาหลายคน ท่าทางกักขฬะไม่แพ้กัน
ชุนเอ๋อร์มองตามสายตาของเขาไปที่ด้านหลังตนเอง คาดว่าเป้าหมายของคนกลุ่มนี้คือชายชุดดำปิดใบหน้าที่เกือบพุ่งตัวมาชนนาง
“น่ากลัวเจ้าค่ะพี่เฉียน”
“ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่”
เฉียนจิ่นหงกอดเอวชุนเอ๋อร์แน่น พานางโรยตัวลงมาจากชั้นสอง ปล่อยให้พวกเขาใช้กำลังตัดสินปัญหากันต่อไป
“เรารีบออกจากที่นี่กันเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวโดนลูกหลง”
ชุนเอ๋อร์ดึงแขนเฉียนจิ่นหงให้รีบออกไปจากที่นี่โดยเร็ว แต่เฉียนจิ่นหงกลับส่ายหน้าปฏิเสธ มิหนำซ้ำยังจับมือชุนเอ๋อร์เดินไปหาที่หลบมุมดูการต่อสู้ของพวกเขา
“พี่เฉียน...”
“เฝ้าระวังอย่างเงียบ ๆ อยู่ตรงนี้เป็นพอ”
ชุนเอ๋อร์ถอนหายใจระบายอารมณ์ ดวงตารูปกวางมองภาพการต่อสู้ด้วยความหวาดหวั่น
“พื้นที่มีตั้งเยอะตั้งแยะ เหตุใดต้องมาสู้กันตรงนี้ด้วย”
สี่รุมหนึ่งสร้างความเสียหายให้แก่โรงเตี๊ยมไม่พอ ชายชุดดำอีกสามคนยังเข้ามาร่วมต่อสู้กับกลุ่มคนร่างหนาอีก กลายเป็นว่าการต่อสู้วันนี้ครบคู่
“ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง...”
ชุนเอ๋อร์หันไปมองหน้าเฉียนจิ่นหงด้วยความงุนงง สงสัยว่าเขานับเลขถอยหลังทำไม
จนกระทั่งหันกลับไปมองการต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง นางจึงเห็นว่าชายกลุ่มร่างหนาได้นอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้นกันทุกคนแล้ว
“จบแล้วหรือเจ้าคะ ท่านรู้ได้อย่างไร”
“เก่ง”
ชุนเอ๋อร์ร้อง “อ้อ” สั้น ๆ แล้วสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้น ก่อนจะเห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินสำรวจความเสียหายของโรงเตี๊ยม สีหน้าคล้ายจะร้องไห้ เข่าทรุดลงพื้นในทันที
“โรงเตี๊ยมข้า เสียหายหมดแล้ว”
เป็นเถ้าแก่โรงเตี๊ยมแห่งนี้นั่นเอง!
เขายกมือขึ้นกุมศีรษะ ใบหน้าเศร้าโศกชนิดที่ว่า หากเขาสามารถร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดได้ มันคงเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว
“สงสารเถ้าแก่นัก ค่าเสียหายคงไม่น้อยเลย”
ด้วยความที่ลูกค้าบางส่วนรีบหนีออกไปจากโรงเตี๊ยมกันไปแล้ว บรรยากาศตอนนี้จึงเงียบสงบ
นอกจากเสียงร้องไห้ของเถ้าแก่ที่ดังชัดแล้ว
ประโยคที่ชุนเอ๋อร์กล่าวออกไปเมื่อครู่ชัดเจนจนชายชุดดำทั้งหมดได้ยิน
“นี่ค่าเสียหายทั้งหมด เถ้าแก่ลองดูว่าพอหรือไม่”
หนึ่งในชายชุดดำเดินเข้าไปหาเถ้าแก่แล้วควักเงินหนึ่งถุงยื่นให้เขา เถ้าแก่เงียบเสียงร้อง เมื่อรับถุงเงินมาแล้วก็แง้มดู ดวงตาลุกวาวให้กับเงินในถุง
“พอ ๆ”
เถ้าแก่รีบเด้งตัวขึ้นยืนเต็มความสูง โค้งกายขอบคุณแล้วรีบเดินหนีชายชุดดำ ในความคิดของเถ้าแก่ตอนนี้ ได้ค่าเสียหายมาบ้างก็ดีกว่าไม่ได้เลย
“ข้าไม่เข้าใจเจ้าค่ะพี่เฉียน เหตุใดไม่ไปสู้กันข้างนอก จะได้ไม่สร้างความเสียหายให้ผู้อื่น”
ชุนเอ๋อร์กระซิบเบา ๆ ข้างหูของเฉียนจิ่นหง
ชายหนุ่มยิ้มมุมปากแล้วกล่าวเสียงไม่เบานักตอบกลับชุนเอ๋อร์ไป
“คงมีเงินเหลือใช้กันกระมัง”
ชุนเอ๋อร์พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย คำพูดของทั้งคู่เข้าหูชายชุดดำทั้งสี่ชัดแจ๋ว
หนึ่งในนั้นทำท่าจะเดินเข้ามาหาเรื่องเฉียนจิ่นหง แต่ก็โดนชายชุดดำอีกคนดึงแขนเอาไว้ก่อน
“พี่เฉียน ไปกันเถิดเจ้าค่ะ”
ชุนเอ๋อร์รู้ตัวแล้วว่าพูดเสียงดังเกินกว่าที่จะเรียกว่ากระซิบ มือบางดึงแขนเฉียนจิ่นหงให้รีบออกจากโรงเตี๊ยม
ทว่านางได้จับเพียงชายเสื้อของเฉียนจิ่นหงเท่านั้นก็โดนแรงบางอย่างดึงแขนออกจากโรงเตี๊ยม รู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่ในตรอกไร้ผู้คน
“นี่! เจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไม หรือว่าโกรธที่ข้านินทาพวกเจ้า หากเป็นเช่นนั้นข้าขอโทษ”
สีหน้าชุนเอ๋อร์ซีดเผือดอย่างชัดเจน ตกใจให้กับความแข็งแกร่งของวรยุทธ์เขา
“อย่าทำอะไรข้าเลยนะ ข้ากลัวแล้ว”
[1] หนึ่งชั่วยาม มีสองชั่วโมง
๙๒มาได้ถูกจังหวะ แม้จะโดนปฏิเสธแล้ว แต่อี้เฟยก็ไม่คิดจะหนีไปไหน ยังคงคอยตามเฝ้าตามมองชุนเอ๋อร์อยู่ทุกครั้งที่มีโอกาส ครั้งไหนที่เจอหน้ากันตรง ๆ เขาจะตีหน้าเศร้าใช้สายตาอ้อนขอความรักอยู่เช่นนั้นจนคนที่หัวเสียแทนเป็นหลันเฟิง นั่นเพราะว่าเขาตัวกับมารดาตลอด การที่ต้องมาทนมองบุรุษร่างใหญ่โตทำตัวเหมือนหมาตัวน้อยคอยเดินตามต้อย ๆ ทำเขาขนลุกขนพองไปทั้งตัว ไม่เพียงอี้เฟยที่โดนชุนเอ๋อร์ปฏิเสธมาเท่านั้น มู่หรงเซว่ฮวาก็โดนหลันเฟิงปฏิเสธนับครั้งไม่ถ้วน นั่นทำให้คนนอกอย่างสามหนุ่ม โจวฉือเหอ เกาจี้เฉินและซ่งเหวยไม่รู้จะนับถือคนที่ตามตื้อหรือคนที่โดนปฏิเสธดี ‘คนใจแข็ง’ กับ ‘คนตื้อเท่านั้นที่ครองโลก’ ส่วนจางจงกว่าน หลังจากที่รู้ความจริงก็นอนไม่หลับไปหลายคืน สิ่งที่ช่วยปลอบประโลมใจเขาเห็นทีจะมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็คือการเห็นอี้เฟยถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องมันควรจบลงแค่นั้น ‘ไม่มีใครได้ลงเอยกับใคร’ จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง ชุนเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาด้วยสภาพร่างกายไม่ปกติ หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็กำลังจะเดินเข้ามาที่ห
๙๑สองแม่ลูกใจอมหิต หลังจากที่หลันเฟิงกล่าวว่า ‘แล้วเจ้าจะเสียใจ’ ลู่จั๋วหรานก็ต้องเสียใจจริง ๆ เมื่อพัดของรักของหวงของหายากในยุทธภพโดนกระชากออกจากมืออย่างง่ายดาย นี่ไม่ใช่การขโมยอาวุธของผู้อื่นเพื่อตัดกำลังเท่านั้น แต่ยังทำลายอาวุธจนไม่เหลือซาก ทีนี้จะจัดการเจ้าของอาวุธก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป “ทำกันแรงเกินไปแล้ว กะจะฆ่ากันให้ตายเลยหรืออย่างไร!” ลู่ฮูหยินร้องไห้สะอึกสะอื้นให้กับอาการบาดเจ็บของบุตรชาย ในหัวนึกถึงภาพที่หลันเฟิงใช้พลังมารซัดลู่จั๋วหรานเพียงครั้งเดียวก็กระเด็นตกเวลาทีจนกระอักเลือด แค่คิดนางก็ยิ่งโกรธหลันเฟิง! นี่ไม่เพียงทำให้สำนักเยว่ซือเสียชื่อที่ทายาทของสำนักเสียท่าได้เร็วขนาดนี้เท่านั้น แต่ยังเพิ่มชื่อเสียงให้กับหลันเฟิงอีกด้วย เมื่อผู้คนรู้ว่าหลันเฟิงเป็นหัวหน้าพรรค รูปหล่อ ฝีมือดี ยิ่งเป็นการเพิ่มชื่อเสียงให้เขา บางคนจากที่ไม่เปิดใจยอมรับพรรคมาร ก็เปลี่ยนเป็นเปิดใจมากขึ้น “แค่ก ๆ ท่านแม่ขอรับ การแข่งขัน ย่อมมีแพ้มีชนะ ฝีมือลูกด้อยกว่า แพ้เช่นนี้ก็ถูกแล้ว” ลู่จั๋วหรานพูดด้วยน้ำ
๙๐อี้เฟยได้เลือด ชุนเอ๋อร์ตกใจกับภาพที่เห็นมาก ยกสองมือขึ้นปิดปาก ตะลึงค้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สายตาจับจ้องร่างสูงที่กำลังจะลงจากเวทีประลอง มือสองข้างกดทับแผลห้ามเลือดไว้ ครู่ต่อมาก็มีคนพาเขาแยกไปทางหนึ่ง “ไม่ตามไปหรือ” ชุนเอ๋อร์หันมามองหน้าเฉียนจิ่นหง อย่างขอความมั่นใจ “เขากำลังไปทำแผล ข้าไปรบกวนเช่นนี้จะดีหรือ” “ดีสิเจ้าคะ ไปเจ้าค่ะ หากท่านแม่ไม่กล้าไปคนเดียว เดี๋ยวข้าไปเป็นเพื่อน” ได้รับการสนับสนุนถึงเพียงนี้ ชุนเอ๋อร์จึงพยักหน้ารับมีความมั่นใจมากขึ้น “เดี๋ยวข้ามานะเจ้าคะพี่เฉียน” เฉียนจิ่นหงพยักหน้า มองตามทั้งสองไปจนลับตาก่อนที่จะหายตัวไปจากอัฒจันทร์ ทำเอาคนที่จับจ้องมาที่เขาอยู่พอดีถึงกับขยี้ตา หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นมาว่า… “หรือเขาจะเป็นเทพเซียนจริงอย่างที่สตรีผู้นั้นกล่าวไว้ น่าคิด ๆ” ณ กระโจมทำแผล “แผลไม่ได้ลึกมาก แต่ระวังการขยับเขยื้อนด้วยจะดีที่สุด” หมอชราผู้ทำแผลให้อี้เฟยกล่าวเตือน ความหมายคือการประลองยุทธ์ในครั้งนี้เขาอย่าร่วมการแข่งขันอีกเลยจะดีกว่า “ข้าไ
๘๙การประลอง ทางด้านหลันเฟิงและสมาชิกพรรคมารไฮ้เซินทั้งเก้าคนที่จะต้องประลองยุทธ์กับเก้าสำนักถูกจัดให้นั่งล้อมเป็นวงกลมของเวทีการประลอง ทั้งสิบสำนักจะต้องต่อสู้กันแบบคู่ต่อคู่ ในห้าคู่นี้ สำนักไหนชนะมากกว่ากันสำนักนั้นจะเป็นฝ่ายเข้าสู่รอบต่อไป ฝั่งแพ้ตกรอบ ส่วนห้าสำนักสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบมาจะเป็นการแข่งเพื่อวัดความแข็งแกร่ง แต่ละสำนักจะต้องเลือกสองคนที่เก่งที่สุดในพรรคออกมายืนบนเวทีเพื่อสู้กับอีกแปดคนที่เป็นต่างพรรค รอบนี้สามารถงัดเอาวิชาเร้นลับ เคล็ดวิชาประจำตัวมาใช้ได้อย่างไม่มีข้อจำกัดเหมือนรอบแรกที่บังคับให้ใช้เฉพาะพลังยุทธ์และอาวุธธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ความตื่นเต้นอยู่ในรอบนี้ ใคร ๆ ก็อยากเห็นเคล็ดกระบวนวิชาลับของผู้อื่นทั้งสิ้น อยู่ที่ผู้เข้าแข่งขันแล้วว่าจะงัดออกมาให้ชมหรือไม่ ก่อนเข้ามาทุกคนก็คาดหวังว่าจะเห็นนัดล้างแค้นระหว่างสำหนักเยว่ซือกับพรรคมารไฮ้เซิน ไม่ต้องทนรอคอย เพราะสองสำนักนี้ได้สู้กันตั้งแต่รอบแรก จะเป็นใครที่เข้ารอบ จะเป็นใครที่ตกรอบ ต้องรอชม! “การประลองของคู่แรกระหว่างพรรคมา
๘๘วันประลองยุทธ์ งานประลองยุทธ์ถูกจัดขึ้นที่สนามประลองที่ใหญ่ที่สุดของพระราชวัง มีการเปิดประตูวังหลวงเอาไว้ให้ประชาชนได้เข้าชม เวทีการประลองอยู่ตรงกลางสุด สำนักยุทธ์ทั้งหมดสิบสำนักจากสี่แคว้นที่เข้าร่วมการประลองจะนั่งอยู่ข้างสนามใกล้ชิดกับเวทีประลองที่สุด ผู้ชมจะนั่งอยู่บนอัฒจันทร์ล้อมส่วนของสนามไว้อีกที ส่วนที่นั่งของเชื้อพระวงศ์แคว้นหนานไฮ้จะอยู่สูงสุดตำแหน่งหันหน้าเข้าเวทีประลองพอดี หนึ่งในสิบสำนักยุทธ์ที่ทุกคนให้ความสนใจคงไม่พ้นสำหนักเยว่ซือ หนึ่งเพราะชื่อเสียงสำนักที่ดังไปทั่วสี่แคว้นใหญ่ สองเพราะสำนักนี้เพิ่งโดนหัวหน้าพรรคมารไฮ้เซินถล่มไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ทุกคนจึงคาดหวังว่าจะเกิดเรื่องสนุกขึ้นระหว่างพวกเขา! ทางด้านทางเข้าของพระราชวัง มีประชาชนมารอยืนต่อแถวหลายลี้เพื่อตรวจหาอาวุธก่อนเข้าพระราชวัง เสียงเฮอึกทึกที่ดังออกมาข้างนอกบ่งบอกว่าการประลองยุทธ์ได้เริ่มขึ้นแล้ว สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ที่ยังเข้าไปในพระราชวังไม่ได้ยิ่ง หนึ่งในคนที่ยืนต่อแถวรอก็คือชุนเอ๋อร์ ใบหน้างดงามโดดเด่นกว่าใครหันหลังให้ค
๘๗จะทรมานใจข้าไปถึงไหน งานประลองยุทธ์จะจัดขึ้นวันพรุ่งนี้เป็นวันแรก ตอนนี้สมาชิกพรรคมารไฮ้เซินกำลังสรุปกันเป็นครั้งสุดท้ายว่าจะส่งใครขึ้นประลองบ้าง โดยเบื้องต้นมีหลันเฟิง จางจงกว่าน โจวฉือเหอ เกาจี้เฉิน ซ่งเหวยและสมาชิกพรรคอีกสี่คน ส่วนคนสุดท้ายที่วางตัวไว้ตั้งแต่แรกกลับไม่ยอมลงการประลอง เขาให้เหตุผลว่า ‘เดี๋ยวเสียโฉม’ แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ ประชุมวันนี้เจ้าตัวกล่าวว่าขอลงการประลองด้วยคน สีหน้าที่พูดตอนนั้นดูห่อเหี่ยว ไม่มีชีวิตชีวา แตกต่างกับปกติที่มักจะมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กวนอารมณ์อยู่เสมอ “เจ้าเป็นอะไรอีกอี้เฟย ถ้าลงประลองแล้วทำสีหน้าซังกระตายแบบนี้อย่าลงเลย ขัดตาข้านัก!” จางจงกว่านมุ่นคิ้วเพราะขัดใจ คิดว่าอี้เฟยไม่อยากลงประลองยุทธ์ มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ดีที่สุดว่าตนเป็นอะไร เขาจ้องหน้าจางจงกว่านนิ่ง ๆ ไม่่ต่อล้อต่อเถียงเหมือนเคย จากนั้นก็ถอนหายใจใส่ ในหัวนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน… หลังจากที่ทุกคนทานข้าวเสร็จแล้ว ชุนเอ๋อร์ขอเวลาแวะร้านหนังสือชั่วครู่ หลันเฟิงตามใจแล้วรออยู่ด้านนอกร้านเพื่อให้มารดาได้มีเวลาอิสระในการเลือกซื้อ
๘๖จับได้แล้ว “ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งจะต้องมาทำอะไรแบบนี้” “ชีวิตคนเราก็แบบนี้แหละ ถ้าทุกอย่างได้ดั่งใจไปเสียหมด มันก็ไม่เรียกว่าชีวิตสิ…แต่เดี๋ยวนะ! ข้าไม่ได้ชวนเจ้ามาด้วย ถ้าไม่มีใจจะทำ ประตูอยู่นั่น เดินออกไปแล้วปิดให้ด้วย” สองคนที่ตอบโต้กันในขณะนี้คืออี้เฟยและมู่หรงเซว่ฮวา ย้อนไปตอนที่ทั้งคู่เห็นชุนเอ๋อร์กับหลันเฟิงที่หน้าประตูรั้ว พวกเขาตอบคำถามของหลันเฟิงด้วยการบอกว่าบังเอิญเจอกัน ก่อนที่ หลันเฟิงจะขอตัวพาชุนเอ๋อร์ไปทานข้าวที่โรงเตี๊ยม ‘พวกเราจะไปทานข้าวที่โรงเตี๊ยมแบบส่วนตัว’ เพราะคำว่า ‘ส่วนตัว’ ทำให้พวกเขาทั้งสองต้องแอบตามทั้งคู่มาที่โรงเตี๊ยมแทน อี้เฟยลงทุนเช่าห้องพิเศษข้าง ๆ ชุนเอ๋อร์และหลันเฟิง เพื่อแอบฟังทั้งคู่สนทนากัน “มู่หรงเซว่ฮวาสะกดคำว่ายอมแพ้ไม่เป็นหรอก แล้วที่แนบหูเข้ากับฝาผนังอยู่นานสองนาน ได้ยินอะไรสักอย่างหรือไม่” อี้เฟยผละจากผนังที่กั้นระหว่างห้องตนเองกับห้องชุนเอ๋อร์ ดวงตาเปลี่ยนเป็นหวานเยิ้มล่องลอยไปอีกแล้ว “ได้ยินสิ ชัดมากด้วย ชุนเอ๋อร์บอกว่ารักข้าและจะรักตลอดไป
๘๕ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ ตั้งแต่กลับมาจากตลาดในวันนั้น ชุนเอ๋อร์ก็ไม่ได้ออกจากจวนไปไหน ไม่ได้พบเจอใครนอกจากบุตรชายที่จะแวะเข้ามาในช่วงหัวค่ำของทุกวันแล้วออกจากจวนไปในช่วงเช้า ก่อนจะไปก็ไม่ลืมซื้ออาหารเช้ามาทิ้งไว้บนโต๊ะในครัวให้นางด้วย ย้ายมาอยู่ที่นี่ได้หลายวัน นอกจากอากาศกับการมีผู้คุ้มกันเดินไปเดินมาแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน นางยังคงปลูกผัก ลงดอกไม้ ดูแลสวน ทำกิจกรรมแบบเดิมได้ไม่รู้เบื่อ ทั้งยังให้หลันเฟิงสรรหาเมล็ดพันธุ์พืชต่าง ๆ มาให้อีกด้วย “ท่านแม่” เสียงที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังทำให้ชุนเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนแล้วหันไปทำหน้าสงสัยใส่บุตรชาย อาหารเช้าข้ายังไม่ย่อยเลย เหตุใดมาเร็วนัก “เหตุใดกลับเร็วนัก หรือว่ามีปัญหา” หลันเฟิงส่ายหน้า เดินเข้ามาดึงพลั่วอันเล็กออกจากมือมารดา จากนั้นก็ช่วยล้างมือให้พร้อมโดยที่ไม่กล่าวอะไรออกมาทั้งสิ้น ระหว่างที่กำลังถูกช่วยล้างมืออยู่ในถังน้ำ ชุนเอ๋อร์ก็เงยหน้ามองเขา สำรวจหาร่องรอยความผิดปกติบนใบหน้าเรียบเฉยของบุตรชาย “ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นขอรับท่านแม่ เฟิงเอ๋อร
๘๔หนานไฮ้จะจัดงานใหญ่ เมืองหลวงแคว้นหนานไฮ้เล็กนิดเดียว เรื่องที่หลันเฟิงประสบพบเจอในวันนี้ ไม่กี่ชั่วยามก็ดังทั่วเมือง เป็นหัวข้อให้ชาวบ้านพูดคุยกันสนุกปาก ใครที่เห็นเหตุการณ์แต่ไม่รู้จักหลันเฟิงก็จะตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า ‘ชายองอาจกับโฉมสะคราญทั้งสอง’ แต่เผอิญ! สมาชิกของพรรคกลับเห็นเหตุการณ์วันนี้ด้วย มีหรือที่จะเก็บงำไว้คนเดียว แต่งตั้งตัวเองเป็นเจ้ากรมข่าวประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนในพรรคได้ทราบทันที และช่วงเวลาที่ทุกคนอยู่รวมตัวกันมากที่สุดก็เป็นช่วงหัวค่ำที่โรงครัวใหญ่ เหมาะเหลือเกิน ทานอาหารไปด้วยฟังเรื่องประกอบไปด้วย แปะ ๆ ๆ “พวกเรา ๆ ขอความสนใจสักครู่ ข้ามีเรื่องจะมาประชาสัมพันธ์” เสียงปรบมือพร้อมกับเสียงตะโกนดังก้องของสมาชิกพรรคทำให้อีี้เฟย จางจงกว่านและโจวฉือเหอหันไปมองด้วยความสนใจ “จะนินทาใครอีกล่ะ” อี้เฟยเห็นสีหน้าของเจ้ากรมข่าวก็ทราบแล้วว่าเป็นเรื่องแนวใด “รู้หรือไม่ว่าวันนี้ข้าไปได้ยินข่าวดีอะไรมา” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อดูท่าทีของสหายร่วมพรรคว่าสนใจต่อเรื่องที่ตนกำลัง