Home / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่43 ข้าคือเจ้า...เจ้าคือข้า

Share

บทที่43 ข้าคือเจ้า...เจ้าคือข้า

หนิงอ้ายกับลู่ซีใช้เวลาอยู่ในหอตำราเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้นตามที่ได้ตกลงกันไว้เมื่อถึงเวลาก็มาตรงจุดนับพบโดยทันที ซึ่งทางฝั่งของหนิงอ้ายนั้นได้เลือกตำรามานับสิบกว่าเล่มเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานทั้งหมดเพื่อที่จะไปศึกษาเพิ่มเติม ทางฝั่งของลู่ซีนั้นได้เลือกตำราเกี่ยวกับพลังธาตุน้ำและเคล็ดวิชาระดับสูงอีกสองสามบทในการศึกษาเพิ่มเติม ด้วยเพราะรู้ตัวว่าฝีมือของเขาในตอนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะปกป้องหนิงอ้ายได้ ดังนั้นเขาต้องฝึกฝนให้มากที่สุด

เมื่อแจ้งจำนวนตำราที่นำออกจากหอตระกูลหวังกับผู้อาวุโสท่านเดิมเสร็จเเล้วนั้น เมื่อถึงเรือนพักเเล้วทั้งสองคนจึงเเยกย้ายกลับห้องของตนเพื่อศึกษาตำราต่อนั่นเอง

หนิงอ้ายใช้เวลาทั้งวันไปกับการศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับพลังลมปราณ พลังวิญญาณและพลังปราณธาตุที่เป็นความรู้พื้นฐานทั้งหมด เมื่ออ่านจบเเล้วทำให้เขานั้นมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น เมื่อเดินพลังลมปราณและปรับการหมุนเวียนของร่างกายให้มั่นคงสมดุลชักนำลมปราณฟ้าดินเข้ามากักเก็บเป็นพลังวิญญาณในร่างกายให้เเข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นหลายเท่า

เคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆานั้นนอกจากจะเป็นวิชาตัวเบาที่ขึ้นชื่อเเล้วเเต่สิ่งที่แฝงตามมาจากเคล็ดวิชานั่นคือผู้ที่ใช้เคล็ดวิชานี้ไม่ต้องคอยเสียเวลานั่งดูดซับลมปราณฟ้าดิน ผลึกธาตุหรือผลึกอสูรใดใดทั้งสิ้น เพราะว่าเคล็ดวิชานี้จะคอยดึงลมปราณฟ้าดินโดยรอบตัวแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานบริสุทธิ์ให้กับพลังวิญญาณนั่นเอง

ทางฝั่งลู่ซีนั้นออกจากห้องพักเมื่อครู่นี้โดยที่ตนตั้งใจจะแวะมาดูอีกฝ่ายเสียก่อน เเต่เมื่อเห็นว่าหนิงอ้ายยังคงเก็บตัวอยู่ในห้องไม่ออกมาเสียทีก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้

เขารู้ว่าเด็กหนุ่มนั้นมีความตั้งใจทุ่มเทมากเเค่ไหนเพราะดูได้จากเพียงเเค่ปีกว่าเท่านั้นจากผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดก็สามารถเลื่อนขั้นเป็นระดับจักรพรรดิขั้นสามัญช่วงปลายได้ ถึงแม้เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายนั้นเคร่งเครียดจนเกินไปแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พอเข้าใจได้อยู่เพราะว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นผลดีกับตัวของหนิงอ้ายในวันข้างหน้ายิ่งนัก

ด้วยเพราะตัวตนของหนิงอ้ายในตอนนี้ที่ทุกคนต่างรับรู้นั่นคือในฐานะจ้าวยุทธภพรุ่นเยาว์ของทวีปบูรพาอีกทั้งยังเป็นคุณชายเล็กของตระกูลหวังสายหลักหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำ ที่นับได้ว่าเป็นอีกตระกูลที่ถูกจับจ้องของผู้คนในยุทธภพ ดังนั้นแล้วหากต้องการอยู่รอดอย่างปลอดภัยและสามารถปกป้องคนในครอบครัวที่ตนรักได้ก็ต้องเเข็งแกร่งให้มากขึ้นเท่านั้นเอง...

เสียงตอบกลับจากหนิงอ้ายว่าเขานั้นยังไม่หิวสักเท่าไหร่ จึงขอศึกษาตำราที่หยิบยืมมาเสียก่อนและฝากให้เขาบอกท่านตา ท่านยายและท่านเเม่ด้วยเพื่อไม่ให้พวกท่านต้องเป็นห่วง เช่นนั้นเเล้วลู่ซีจึงได้เเต่กล่าวเตือนอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อยก่อนจะไปแจ้งผู้ใหญ่ทั้งสามท่านในเรือนให้คลายความกังวล

ทางฝั่งของหนิงอ้ายนั้นในตอนนี้นับว่ามีความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเกี่ยวกับเรื่องของพลังลมปราณพื้นฐานทั้งหมดเเล้วเขาจึงคิดว่าถึงควรแก่เวลาที่จะศึกษาคัมภีร์เบญจธาตุได้เสียที หลังจากที่ไปหยิบตำราเล่มนี้จากหีบเก็บของตรงมุมห้อง หลังจากสิ่งที่ต้องการอยู่ในมือของตนเเล้วนั้นจึงพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง

คัมภีร์เบญจธาตุเล่มนี้เราผู้เฒ่ารวบรวมมาได้อย่างอยากลำบากหาก ไม่ถึงด้วยสายเลือดอันเเข็งแกร่งและพลังวิญญาณระดับจักพรรดิจะไม่สามารถเปิดอ่านได้...

ผู้ที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติดังกล่าวให้หยดเลือดหนึ่งหยด และถ่ายทอดพลังวิญญาณทั้งหมดเเล้วเราผู้เฒ่าคนนี้จะเป็นผู้ตัดสินเองว่าเจ้านั้นคู่ควรเหมาะสมหรือไม่...

เช่นเดิมทุกครั้งที่หนิงอ้ายนั้นได้ถ่ายพลังวิญญาณลงไปในคัมภีร์เบญจธาตุก็จะปรากฎข้อความนี้ขึ้นมาเหมือนเดิมทุกครั้ง ตอนนี้เขามีพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิขั้นต้นช่วงปลาย จึงนับว่าผ่านหนึ่งเงื่อนไขแล้ว เเต่กลับความเข้มข้นของสายเลือดนั้นเขาไม่แน่ใจสักเท่าไหร่เเต่ถึงอย่างนั้นก็คุ้มค่าที่จะลองไม่น้อย

เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้นหนิงอ้ายจึงตั้งสมาธิเรียกพลังวิญญาณของตนออกมา ด้านหลังของเขานั้นพลันปรากฎวงเเหวนเวทย์สีเขียวเข้มหนึ่งชั้นเเสดงถึงระดับจักรพรรดิขั้นต้น พินิจจากความเข้มข้นของสีวงเเหวนนั้นนับว่าอยู่ในช่วงปลายใกล้จะทะลุขั้นกลางเเล้ว หนิงอ้ายไม่รอช้าที่จะหยิบมืดพับที่เขาสั่งทำขึ้นในตอนนั้นกรีดนิ้วของตนเบา ๆ และปล่อยให้หยดเลือด รวมรวมพลังวิญญาณแผ่พุ่งไปในคีมภีร์เบญจธาตุเล่มนี้

ทันใดนั้นเองคัมภีร์เบญจธาตุได้ลอยตัวขึ้นอยู่ตรงใบหน้าของ หนิงอ้ายพร้อมกับสาดส่องเเสงสีทองอร่ามเจิดจ้าออกมามากมาย ละอองเเสงนั้นงดงามราวกับมีหิ่งห้อยนับร้อยนับพันตัวโบยบินอยู่รอบห้องจนทำเอาสายตาของเขาพร่ามัวจนต้องหลับตาไปสักชั่วครู่ เเต่ก่อนที่เขาจะลืมตานั้นกลับได้ยินเสียงเด็กน้อยอายุราวสิบขวบปีดังขึ้นอยู่ใกล้หูของตนชวนให้รู้สึกตกตะลึงยิ่งนัก

"โอ้!!!! สวัสดีเด็กน้อย กลิ่นอายเจ้าทำเอาข้าประหลาดใจยิ่งนัก

เอาละ ลืมตาขึ้นมาคุยกับเราผู้เฒ่าคนนี้ได้เเล้ว...."

ญาณสัมผัสอันล้ำลึกของหนิงอ้ายนั้นเจาะทะลวงเข้าไปภายในคัมภีร์เบญจธาตุดังกล่าว ด้านหน้าของเขาพลันปรากฎเป็นมวลหมู่เมฆาสีฟ้าครามประกายทองขนาดน้อยใหญ่ที่ลอยล่องกระจัดกระจายไปทั่วผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ราวกับเป็นทะเลเมฆอันไร้ที่สิ้นสุด สถานที่ยืนอยู่ตรงนี้คือผืนดินโล่งเตียนซึ่งบรรยากาศโดยรอบได้อบอวลไปด้วยพลังลมปราณฟ้าดินหนาเเน่นที่มีความผันแปรซับซ้อนจนเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า

เเต่ถึงอย่างนั้นจากญาณสัมผัสเขาก็พอทราบได้ว่าสถานที่เเห่งนี้คล้ายคลึงกับห้วงมิติที่ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังวิญญาณระดับสูง ทันใดนั้นห้วงอากาศตรงด้านหน้าอันว่างเปล่าพลันปรากฎเเสงสีทองอร่ามสาดเเสงไปทั่ว หมู่เมฆและท้องฟ้าต่างถูกย้อมไปด้วยเเสงสีทองอันงดงาม นับว่าเป็นภาพที่หาชมได้ยากยิ่งนักในมหาพิภพเเห่งนี้

"สายเลือดตระกูลหวังในตัวเจ้านั้นนับว่าเข้มข้นอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว...." เสียงกึกก้องกัมปนาทดังสะท้านขึ้นไปทั่วทุกสารทิศห้วงมิติผืนนี้ถึงกับสั่นไหวด้วยความรุนแรงหนิงอ้ายพยายามเพ่งสายตาจ้องมองภาพตรงด้านหน้าของตนด้วยความยากลำบากเขาถึงกับต้องเรียกพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิขั้นสามัญทั้งสิบส่วนของตนออกมาอย่างท่วมท้น จนทำให้เขานั้นสามารถเห็นภาพเบื้องหน้าที่ชัดเจนได้มากยิ่งขึ้น

"หงส์เเดงหรือเฟิ่งหวงอย่างงั้นรึ!!!" สองขาของหนิงอ้ายนั้นสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวอยู่ไม่น้อยมือทั้งสองข้างเปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่ออีกทั้งน้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นสั่นเครืออย่างที่ไม่สามารถ ควบคุมได้ ต่อให้มหาพิภพอันกว้างใหญ่ไพศาลเเห่งนี้จะเต็มไปด้วยเผ่าพันธ์และสัตว์อสูรมากมายนับไม่ถ้วนก็จริงอีกทั้งสัตว์อสูรตำนานหรือสัตว์อสูรบรรพกาลนั้นหาได้ยากยิ่งคงเหลือเพียงในตำราเรื่องเล่า

เบื้องหน้าที่เขาเห็นคือสัตว์อสูรขนาดใหญ่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้ามีรูปร่างคล้ายกับนกยูงขนาดใหญ่และคล้ายกับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์ก็เป็นไปได้เช่นกัน เพราะว่าส่วนตรงหัวนั้นมีขนสีทองเเดงอันจรัสเเสง ดวงตา หงอนด้านบนเป็นสีทองอร่าม ในส่วนของกรงเล็บส่วนปีกทั้งสองข้างนั้นประกายสีแดงเข้ม ทั่วทั้งตัวนั้นปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีเเดงและส่วนขนสีแดงทองที่เปล่งประกายแวววับราวกับว่าสามารถทอเเสงออกมาได้ด้วยตัวเองอันเเสดงถึงตัวตนระดับตำนานที่จารึกในตำราเผ่าพันธ์นั้นที่เรียกว่าหงส์แดงหรือเฟิ่งหวง หนึ่งในสี่สัตว์อสูรบรรพกาลที่มีความเชื่อว่าเป็นหนึ่งในสี่ของสิ่งมีชีวิตแห่งสวรรค์หลังการสร้างโลก เพราะสวรรค์นั้นได้ถูกถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วนดังนี้

ส่วนที่หนึ่งคือเต่าดำ ซึ่งครองสวรรค์ปกครองทางทิศเหนือและฤดูหนาว

ส่วนที่สองคือหงส์เเดงหรือเฟิ่ง–หวง ซึ่งครองสวรรค์ปกครองทางทิศใต้ฤดูร้อน

ส่วนที่สามคือมังกรเขียว ซึ่งครองสวรรค์ปกครองทางทิศตะวันออกและฤดูใบไม้ผลิ

ส่วนที่สี่คือเสือขาว ซึ่งครองสวรรค์ปกครองทางทิศตะวันตกและฤดูใบไม้ร่วง

หงส์เเดงหรือเฟิ่งหวงนั้นได้รับการยกย่องให้เป็นเจ้าแห่งนกทั้งปวง มีความเชื่อว่านั้นเป็นตัวเเทนสัญลักษณ์ของความรอบรู้ ความเป็นสิริมงคล และความจงรักภักดี เป็นไปในลักษณะตัวแทนของผู้ให้และผู้รับที่ทำให้เกิดความสมดุล ซึ่งมาพร้อมกับเสียงร้องอันน่าหลงไหล อีกทั้งใครก็ตามที่ได้ดื่มเลือดของหงส์แดงหรือเฟิ่งหวงแม้เพียงนิดจะมีชีวิตเป็นอมตะ และน้ำตาอันบริสุทธิ์นั้นมีสรรพคุณในการรักษาบาดแผลและแก้พิษทุกชนิดอีกด้วย ว่ากันว่าหงส์แดงหรือเฟิ่งหวงนั้นมีอายุยืนยาวกว่าพันปีจากนั้นก็จะบินตรงไปยังดวงอาทิตย์เพื่อให้แสงแดดแผดเผาร่างกายให้กลายเป็นเถ้าถ่านเพื่อเป็นการบูชายันต์ตนเอง เพราะอย่างนั้นหงส์จึงถือว่าเกิดมาจากดวงอาทิตย์และไฟนั่นเอง

"ตัวตนที่เเท้จริงของเจ้ามีนามว่านที เมื่อได้ตายลงด้วยน้ำมือของคนรักแล้วจึงฟื้นตัวเกิดใหม่ในร่างนี้ตอนอายุสิบสี่ปี อายุสิบห้าปีบรรลุพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิวิญญาณ ความสามารถเช่นนี้ปรากฎขึ้นในมหาพิภพนี้เเล้วรึ?? หลายพันปีก่อนตระกูลหวังของเราก็เคยปรากฎรุ่นเยาว์มากพรสวรรค์อย่างมากมายเเต่ตอนนี้ตัวคนคงออกท่องในพันหมื่นพิภพเสียแล้วกระมัง..." เสียงของหงส์เเดงหรือเฟิ่งหวงด้านหน้าของหนิงอ้ายนั้นเป็นเสียงของเด็กหนุ่มราว ๆ สิบขวบปี

ดวงตาสีแดงชาดจับจ้องลงมายังหนิงอ้ายที่ยืนอยู่ตรงเบื้องล่างด้านหน้าของตนกลิ่นอายความเเข็งแกร่งที่ผ่านเวลามานานนับพันนับหมื่นปีเเต่ยังคงสามารถคงร่างจิตวิญญาณเอาไว้ได้เห็นได้ชัดว่าในครั้งกาลก่อนนั้นคงมีระดับพลังวิญญาณไม่สามัญอย่างแน่นอน

"ท่านรู้ว่าข้าไม่ใช่หนิงอ้ายตัวจริงเช่นนั้นรึ?? ท่านอาวุโสท่านเป็นใครกันแน่??" นทีเมื่อได้ยินชื่อและประวัติคร่าว ๆ ของตนพลันรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

"ข้าก็คือเจ้า...เจ้าก็คือข้าไงเด็กน้อยฮ่าฮ่าฮ่า" หงส์เเดงสีเพลิงกล่าวตอบก่อนจะหัวเราะอย่างสำราญใจ คำกล่าวนี้ทำเอาหนิงอ้ายนั้นมึนงงกว่าเดิมอยู่ไม่น้อยเเต่เช่นนั้นหาได้รอดพ้นสายตาอันเเหลมคมได้

"เราผู้เฒ่าคือพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์หรืออาจเรียกได้ว่าข้าคือบรรพชนของตระกูลหวัง!!! ตัวข้าเมื่อมีชีวิตอยู่ถูกกล่าวขานว่าเป็นราชันย์เจ้าเเห่งสัตว์อสูรทิศใต้ทั้งปวงเจ้าสามารถเรียกข้าได้ว่าผู้เฒ่าหวังได้...'' พญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์กล่าวตอบพร้อมกับจับจ้องหนิงอ้ายอย่างไม่คลาดสายตา

"ตัวข้าแม้จะไม่ใช่คนของโลกนี้เเต่กำเนิด เเต่ถึงอย่างนั้นร่างกายที่ข้าอาศัยอยู่ในตอนนี้นับว่าเป็นของตระกูลหวังครึ่งหนึ่ง ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นสิ่งที่สำคัญกับข้ามากที่สุดนั่นคือครอบครัวของข้าในตระกูลหวัง ตัวข้าเพียงต้องการศึกษาตำราเบญจธาตุเล่มนี้ว่าภายในนั้นบรรจุเคล็ดวิชาอันใด ไม่คิดว่าจะมีวาสนาพบท่านผู้เฒ่าหวังในสถานที่เเห่งนี้..."

หนิงอ้ายประสานมือตอบกลับไปอย่างนอบน้อมดูท่าสิ่งที่เขาคาดคิดจะเป็นจริง ตระกูลหวังนั้นหาได้มีความเป็นมาที่สามัญหากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริงเเสดงว่าตระกูลหวังได้สืบเชื้อสายมาจากพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ประจำทิศใต้ เเต่เหตุใดตระกูลหวังถึงได้มีการย้ายรกรากที่ตั้งอยู่ในแคว้นเต่าดำเช่นนี้ได้กัน ซึ่งเป็นไปได้ว่าราว ๆ หนึ่งพันปีก่อนคงเกิดสิ่งใดขึ้นกับตระกูลหวัง

"ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นข้ารับรู้ได้ผ่านตัวเจ้าเเล้วไม่จำเป็นต้องอธิบายสิ่งใดเพิ่ม ด้วยตอนนี้พลังวิญญาณระดับจักรพรรดิของเจ้า แม้จะโดดเด่นกว่าในรุ่นเยาว์วัยเดียวกัน เเต่หากจับวางไว้ในมหาพิภพเเห่งนี้เจ้าไม่ต่างไปจากมดน้อยตัวหนึ่งเท่านั้นเราผู้เฒ่าจะบอกสิ่งที่เจ้าควรรู้ให้..."

พญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์กล่าวขึ้นจากนั้นได้บอกเล่าความเป็นมาของตระกูลหวัง ตระกูลหวังเเท้ที่จริงนั้นมีอีกชื่อคือเผ่าพันธ์ของหงส์เเดงสุริยะกระจ่างฟ้าแห่งทิศใต้

เผ่าพันธ์หงส์แดงบรรพกาลที่มีมาตั้งเเต่เริ่มสร้างสรรค์มหาพิภพเปลวเพลิงของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของชีวิตและความร้อนแรงเป็นรองเพียงเปลวเพลงแท้เเห่งมังกรเท่านั้น หลังจากผ่านกาลเวลามายาวนานสายเลือดของตระกูลหวังเริ่มมีการปนเป

จนในที่สุดก็มีสายเลือดของมนุษย์มากกว่าสายเลือดของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ในตระกูลหวัง จนทำให้พลังอันยิ่งใหญ่ในครั้งอดีตกาลนั้นได้ถดถอยลงและค่อย ๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา เเต่ถึงเช่นนั้นสายเลือดของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ยังคงไหลเวียนอยู่ในสายเลือดของรุ่นหลังตระกูลหวังและสร้างชื่อในฐานะผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงอย่างมากมาย

แม้จะไม่ปรากฏชื่อของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์มานานหลานพันปีจนทุกคนในมหาพิภพได้เชื่อว่าเผ่าพันธ์ของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ได้ล่มสลายลงไปเสียเเล้ว หาได้เป็นเช่นนั้นไม่

ถึงแม้ว่าในปัจจุบันชื่อเสียงของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์หายไปจากมหาพิภพเเต่ถึงอย่างนั้นในบรรดาผู้ฝึกตนแกร่งกล้ารุ่นลายครามทุกคนล้วนทราบดี ว่าความน่าหวั่นเกรงของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์เเห่งทิศใต้นั้นน่าหวั่นเกรงเช่นใด

"ในบรรดาสุดยอดรุ่นเยาว์ของตระกูลหวังผู้สืบสายเลือดของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ที่ผ่านมาหากต้องการศึกษาตำราเบญจธาตุเล่มนี้ จำเป็นต้องมีพลังสายเลือดที่เข้มข้นมากเพียงพอ ยิ่งสายเลือดเข้มข้นมากเท่าใดอานุภาพและความสำเร็จก็จะมากขึ้นไปตามนั้น การที่เจ้าสามารถอัญเชิญเราผู้เฒ่าคนนี้ออกมาได้นั่นเป็นข้อพิสูจน์เเล้วว่าความเข้มข้นในสายเลือดของเจ้านั้นพิเศษมากเพียงใด..."

พญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์กล่าวจบลง บริเวณด้านหน้าที่ว่างเปล่าของหนิงอ้ายนั้นพลันปรากฏเป็นเพลิงสีแดงทองอร่ามจากนั้นจึงพุ่งหายเข้าไปในตัวของเขาในทันที ปริมาณที่มองเห็นจะเป็นเพียงก้อนขนาดเล็ก เเต่ทว่าหนิงอ้ายนั้นสัมผัสได้ว่าภายในนั้นอัดเเน่นไปด้วยพลังที่อัดแน่นมากเพียงใด

"ตำราเบญจธาตุนั้นหากผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถอย่างเเท้จริงจะสามารถบัญชาการมหาธาตุทั้งห้าได้อย่างใจนึกในเวลานี้ด้วยพลังวิญญาณจักรพรรดิของเจ้าทำให้สามารถฝึกฝนได้เพียง เพลิงธาราหงส์ทลายฟ้า เท่านั้น ด้วยเพราะความเข้มข้นของพลังธาตุน้ำต้นกำเนิดในตัวเจ้า เมื่อใดที่เจ้าบรรลุถึงระดับเทวะวิญญาณเมื่อใดเราผู้เฒ่าจะเป็นผู้ชี้แนะเพลิงสุริยะธาตุในตัวเจ้าเป็นลำดับถัดไปให้ พึงทราบเอาไว้เสมอว่าในอดีตเราผู้เฒ่าพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์เคยยิ่งใหญ่ได้มากเพียงใดอนาคตของเจ้าก็จะยิ่งใหญ่ได้ไม่แพ้กัน..."

หลังจากเสียงของผู้เฒ่าหงส์แดงกล่าวจบลงร่างอันใหญ่โตของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ก็แตกสลายกลายเป็นกลุ่มเเสงสีเเดงทองจากนั้นพุ่งทะยานเข้าไปในตัวของหนิงอ้ายบริเวณใจกลางหน้าผาก หลังจากนั้นข้อมูลของเพลิงธาราหงส์ทลายฟ้า การฝึกฝนทั้งหมดได้ปรากฏในหัวของหนิงอ้ายในทันที...

เสียงร้องดังอย่างเจ็บปวดของหนิงอ้ายดังขึ้นอยู่ภายในห้องของเรือนเล็กหลังนี้ เเต่ด้วยม่านพลังอันเเข็งแกร่งของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ได้กางม่านเอาไว้ในก่อนหน้านี้จึงสามารถป้องกันการรับรู้ของคนภายนอกได้ เเสงสีแดงทองอร่ามราวกับดวงอาทิตย์ได้แผ่ไปทั่วทั้งบริเวณซึ่งในห้วงมิตินั้น หนิงอ้ายได้เพ่งสัมผัสพลังวิญญาณเพื่อเริ่มศึกษาเพลิงธาราหงส์ทลายฟ้า

เขารู้สึกได้ว่าเสียงของท่านผู้เฒ่าหวังอยู่ด้านข้างของตนที่คอยชี้แนะขั้นตอนในการฝึก การร่ายบทเวทย์เพลิงธาราหงส์ทลายฟ้าให้ คุ้นชิน รวมไปถึงยังให้เขานั้นรวบรวมพลังลมปราณฟ้าดินในห้วงมิตินี้ให้เต็มที่เพื่อทะลุขั้นต่อไป ราวกับว่าถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเสียอย่างนั้นเพราะในขณะที่ผู้คนในตระกูลหวังนั้นหลับไหลไปอย่างสงบในยามราตรีที่เวลาและเเสงของจันทราค่อยหมุนเวียนผันผ่านไปอย่างช้า ๆ ทว่าเวลาในห้วงมิติเเห่งนี้กลับหมุนวนไปเรื่อย ๆ จนครบหนึ่งปีเสียเเล้ว

ตอนนี้หนิงอ้ายได้เลื่อนพลังวิญญาณได้สำเร็จเป็นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงอย่างเต็มเท้าแล้ว ด้วยการเคี่ยวกรำอย่างยิ่งยวดไปไม่ต่ำกว่าห้าสิบรอบนั้น ส่งผลให้รากฐานบ่มเพาะในห้วงจิตลมปราณของหนิงอ้ายนั้นนับได้ว่ากว้างขวางแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนในระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงด้วยกันหลายขั้นเลยทีเดียวเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นเสียด้วยซ้ำ

กลิ่นอายของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ในตัวของเขานั้นเข้มข้นขึ้นมาอีกเล็กน้อย ส่งผลให้พลังปราณสุริยะธาตุนั้นมีความเข้มข้นขึ้นมาอีกหนึ่งส่วน แม้จะดูเพียงน้อยนิดเเต่ถึงอย่างนั้นพลานุภาพของเพลิงอัคคีแห่งพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์นั้นเป็นของจริง

หนิงอ้ายสามารถควบคุมเปลวเพลิงของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ได้อย่างใจนึก ในส่วนของพลังธาตุน้ำนั้นด้วยเพราะว่าคัมภีร์เบญจธาตุเล่มนี้มีศาสตร์ลับยกระดับพลังปราณธาตุน้ำเช่นกันโดยการดูดซับผลึกปราณธาตุน้ำระดับสูง จึงส่งผลให้พลังปราณธาตุน้ำในตัวของหนิงอ้ายตอนนี้สามารถใช้ได้อย่างหลากหลาย สามารถพลิกเเพลงได้อย่างมากมาย ด้วยหนิงอ้ายมักจะนำศิลปะการต่อสู้จากโลกเดิมการปรับใช้ในโลกนี้ ดังนั้นต่อให้จะเป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นก็ไม่สามารถรับมือหนิงอ้ายในตอนนี้ได้ง่ายดายเท่าไหร่นัก

เเต่ถึงจะเต็มไปด้วยข้อดีหากได้ศึกษาคัมภีร์เบญจธาตุนี้ เเต่ข้อเสียนั่นคือเเต่ละครั้งที่ใช้เพลิงธาราหงส์ทลายฟ้า อันเป็นศาสตร์ลับของมหาปราณธาตุน้ำในเเต่ละครั้งนั้น ยิ่งพลังการทำลายล้างมากเท่าใดก็จะยิ่งใช้ปริมาณของพลังลมปราณมากขึ้นเท่านั้น

เเต่ด้วยเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาอันเป็นเคล็ดวิชาระดับเทวะสำหรับการดูดซับพลังลมปราณฟ้าดินอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่ต้องเพ่งจิตกำกับให้ดูดซับซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้เคล็ดวิชานี้ อีกทั้งกระดูกวิญญาณของอสูรอสรพิษบรรพกาลที่ถูกประสานเข้ามาในร่างกายของ หนิงอ้ายนั้น เปลวเพลิงเเห่งพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์จะชำระล้างจนผลึกดังกล่าวมีความบริสุทธิ์อย่างยิ่งยวดจนสามารถดูดซับพลังลมปราณฟ้าดินเข้ามาในร่างกายเช่นกัน เท่ากับว่าร่างกายของหนิงอ้ายนั้นสามารถดูดซับพลังลมปราณได้ดีกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปมากกว่าสองถึงสามเท่าเลยทีเดียว...

เสียงของท่านผู้เฒ่าหวังอันเป็นสัญญาณว่าได้เวลาที่เขาควรออกจากห้วงมิติฝึกฝนเเห่งได้เเล้ว ทันทีที่ลืมตาขึ้นมานั้นดวงตาของหนิงอ้ายปรากฏสีแดงทองอยู่วูบหนึ่งก่อนจะหายไป เขาสัมผัสได้ว่าตอนนี้ศักยภาพในร่างกายของเขานั้นถูกยกระดับขึ้นอีกขั้นเเล้ว

หลังจากเสร็จพิธีนำรายชื่อเข้าเเผนผังตระกูลหวังเสร็จเเล้วนั้นอีกไม่กี่วันคงได้เวลาเดินทางไปเข้าร่วมสำนักศึกษาเสียที ด้วยฝีมือที่ถูกขัดเกลาด้วยท่านผู้เฒ่า และพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงช่วงปลายที่คาดว่าอาศัยเวลา โชคจากสวรรค์เพียงเล็กน้อยเขาคงก้าว สู่ระดับเทวะวิญญาณได้เเล้ว เเต่ถึงอย่างนั้นการเพิ่มพลังวิญญาณในขั้นใหญ่หนิงอ้ายไม่อยากรีบร้อนเท่าไหร่ เขาอยากที่จะบ่มเพาะรากฐานให้มั่นคงเสียก่อนจะได้ไม่ส่งผลต่อการเลื่อนระดับในอนาคตได้ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นเเล้วเขาคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 168 เดินทางกลับสำนักศึกษา

    มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 167 การเลื่อนระดับที่เหนือล้ำ

    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 166 ความร่วมมือ

    ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status